แค้นรักแค้นเสน่หา
เขียนโดย ศิริพารา
วันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2558 เวลา 22.19 น.
แก้ไขเมื่อ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 11.27 น. โดย เจ้าของนิยาย
9) แค้นรักแค้นเสน่หา ตอนที่ 8 100%
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความอภินราและตฤณเดินทางมาถึงคฤหาสน์วรโชติในอีกชั่วโมงเศษ หญิงสาวมองอย่างแปลกใจเมื่อเห็นว่าพ่อและหลานชายมารอรับถึงหน้าบันไดใหญ่ คนในบ้านก็เดินขวักไขว่ราวกับกำลังวุ่นวายด้วยอะไรสักอย่าง
อภินรายิ้ม อ้าแขนออกกว้างรับร่างของซีโลที่โผเข้ามาหา เธอก้มตัวลงสูดเอาความหอมจากสองแก้มอย่างที่ทำจนเคยชิน แม้ว่าอานันท์จะไม่ค่อยเห็นด้วยแต่วันนี้เป็นวันพิเศษ จึงไม่อยากตำหนิทั้งคู่ให้เสียบรรยากาศ
“วันนี้บ้านเรามีอะไรพิเศษรึเปล่าคะ ทำไมทุกคนถึงได้ดูวุ่นๆ” หญิงสาวถามพลางลูบศีรษะของหลานชายเล่นอย่างเพลินมือ
“วันนี้เป็นวันดีพ่อเลยสั่งให้คนทำอาหารเยอะแยะ มีแต่ของโปรดแกกับซีโลทั้งนั้น” อานันท์ขยายความต่อเมื่อลูกสาวยังทำหน้าแปลกใจ “วันนี้ฉันจะฉลองให้กับงานใหญ่ที่แกทำสำเร็จและฉลองให้กับการงานมงคลที่กำลังจะเกิดขึ้น ไป... พาคุณตฤณเข้าไปข้างใน พ่อแม่ของคุณตฤณอยู่ในห้องรับแขก”
เหมือนกับทุกอย่างถูกเตรียมการไว้หมดแล้ว เมื่อเธอหันมามองหน้าตฤณ เขาก็พยักหน้าและแตะเข้าที่บั้นเอวของเธอให้เดินตามผู้เป็นพ่อซึ่งบังคับรถเข็นเข้าไปด้านในแล้ว หากแรงกระตุกที่ฝ่ามือทำให้อภินราก้มลงมองหลานชายและถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“อะไรจ๊ะ?...”
“เอลก้าไปประกอบหุ่นยนต์กันนะฮะ ซีโลนั่งทำมาตั้งนานแล้วยังไม่เสร็จสักที” ซีโลบอกทั้งยังดึงมือของผู้เป็นอาให้มุ่งตรงไปยังห้องที่อัดแน่นไปด้วยของเล่น ซึ่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับห้องรับแขก หากเสียงเข้มที่สั่งการอย่างดุๆ ทำให้หนุ่มน้อยหน้าสลดลงในทันที
“ไม่ใช่เวลาที่เด็กจะมาทำตัววุ่นวาย” อานันท์บอกพลางเรียกหาพี่เลี้ยงให้กันตัวซีโลออกไป “ขวัญๆ พาซีโลไปเล่นในห้อง”
“นะ... นะเอลก้า” ซีโลยังไม่ยอมง่ายๆ จนอภินราต้องลดตัวลงหวังจะอธิบายเหตุผลให้หลานชายฟัง แต่น้ำเสียงติดรำคาญของตฤณก็ดังขึ้นเสียก่อน
“ทำไม่ได้ก็ต้องพยายาม ของเล่นพวกนี้เอลก้าก็ช่วยไม่ได้หรอก โตแล้วเรื่องง่ายๆแค่นี้ซีโลต้องหัดแก้ปัญหาด้วยตัวเอง” พูดพลางรั้งต้นแขนของอภินราให้ยืนขึ้นแล้วเดินจากไป ปล่อยให้ซีโลยืนอยู่กับพี่เลี้ยงมองตามผู้เป็นอาตาละห้อย
“ไหน... ใครมันไม่อยากเล่นกับซีโล เดี๋ยวลุงจะสั่งสอนมันเอง”
เสียงห้าวดุดันที่ดังขึ้นทำให้สายตาทุกคู่หันกลับไปจ้องยังเจ้าของเสียงนั้นด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป หากในคฤหาสน์หลังใหญ่คงจะมีเพียงหนุ่มน้อยซีโลกระมังที่ยินดีในการมาเยือนของเขา
“ฮาร์คิฟ... ลุงจะช่วยประกอบหุ่นยนต์จริงๆนะ อย่าล้อเล่นนะฮะ” ซีโลพูดออกมาด้วยความดีใจตามประสาเด็ก ที่หาเพื่อเล่นไม่ได้แล้วจู่ๆก็มีคนอาสาตัวขึ้น ประกอบกับประทับใจที่ฮาร์คิฟเข้มแข็ง พูดคุยทักทายแบบผู้ชายที่ไม่เคยได้รับจากใครมาก่อน
ฮาร์คิฟมองเห็นตัวต้นเหตุที่ทำให้ครอบครัวเขาล่มสลายได้อย่างชัดเจน แต่กลับหันมาทักทายหลายชายด้วยการฟีสบั้พม์ ก่อนที่จะพนมมือไหว้อานันท์ “สวัสดีครับพ่อบุญธรรม ไม่ได้เจอกันเสียนาน สบายดีนะครับ”
“ก็อย่างที่เห็น” อานันท์บังคับรถเข็นถอยหลังเพื่อให้มองใบหน้าของแขกไม่ได้รับเชิญให้ถนัดตา ไอ้หมอนี่มันก็ยังคงจองหอง ไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา มันตั้งใจจะทักทายเด็กทั้งที่รู้และเข้าใจธรรมเนียมว่าควรทักทายผู้ที่อาวุโสที่สุดก่อนเสมอ
“ท่านคะ อาหารพร้อมแล้วนะคะ” แม่บ้านออกมารายงานตามหน้าที่
“อา... ผมมาถูกจังหวะจริงๆ พ่อบุญธรรมคงมีอาหารเหลือเผื่อแผ่ผมบ้างนะครับ ตอนนี้หิวจนแทบจะเขมือบทุกอย่างได้เลย” ฮาร์คิฟตั้งใจพูดแดกดันและรู้ว่าอานันท์เข้าใจในคำพูดของตนอย่างชัดเจน แต่จะไม่มีวันได้ล่วงรู้ว่าเขามาที่นี่ด้วยจุดประสงค์ใดจนกว่าทุกอย่างจะบรรลุในแผนการที่วางเอาไว้
อภินราไม่สามารถล่วงรู้ในความรู้สึกที่เขาสื่อสารกับผู้เป็นพ่อ แต่เธอตีความหมายจากคำพูดกระแทกแดกดันนั้นคือการทวงหนี้ที่เธอผันผ่อนและไม่มีวันมอบให้เขา จึงเดินไปหาชายหนุ่มและขอร้องเขาเช่นเคย “ฮาร์คิฟคะ ฉันขอนะคะ”
ฮาร์คิฟทำหน้าเมื่อยเพราะเบื่อหน่ายกับเสียงข่มขู่ที่เธอมักใช้และมันทำให้เขาอ่อนข้อให้โดยไม่รู้ตัว “แค่ข้าวเย็นนะจ๊ะ ไม่ได้เหรอ?”
อานันท์ข่มความโกรธเอาไว้เพราะวันนี้มีแขกสำคัญอยู่ในบ้าน ไม่เช่นนั้นคงไล่ตะเพิดมันออกจากบ้านไปนานแล้ว ไม่ต้องมาอดทนถึงถึงสิบในใจเช่นนี้ เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงสั่งให้อภินราเข้าไปเชิญพ่อแม่ของตฤณที่รออยู่ในห้องรับแขก ออกมารับประทานอาหาร
เมื่อทุกคนทยอยเดินเข้าไปในห้องอาหาร ฮาร์คิฟจึงหันมายิ้มให้หลานชายและช้อนอุ้มไว้ในวงแขนเดินตามเข้าไปเป็นคนสุดท้าย
อานันท์นั่งหัวโต๊ะ ในขณะที่พ่อและแม่ของตฤณนั่งอยู่ฝั่งซ้ายมือ อภินรา ตฤณ ซีโล ฮาร์คิฟ ถูกจัดที่นั่งให้นั่งอยู่ฝั่งเดียวกัน แต่ซีโลร่ำๆว่าจะนั่งรับประทานอาหารใกล้ๆผู้เป็นอา ตฤณจึงตั้งแต่ใจเปลี่ยนที่กับซีโล
“ไม่เอา ซีโลจะให้เอลก้ามานั่งตรงนี้” บอกพลางเอนตัวหนีเมื่อตฤณทำท่าว่าจะอุ้มมานั่งที่ของตน ทั้งซีโลยังตบมือลงตรงพนักพิงเก้าอี้ของตฤณเป็นเชิงบอกให้อภินรามานั่งแทนที่ ฮาร์คิฟหัวเราะร่วนกับความไม่ลงรอยของซีโลและตฤณ มันทำให้เขารู้ว่าต่อจากนี้จะโจมตีตฤณด้วยวิธีใด
เมื่ออภินราทำตามความต้องการของหลานชายเรียบร้อยแล้ว อานันท์ก็เอ่ยเชิญให้ทุกคนเริ่มรับประทานอาหาร บรรยากาศบนโต๊ะอาหารสำหรับอภินราเป็นไปด้วยความอึดอัดใจ บ่อยครั้งที่ฮาร์คิฟตักอาหารมาไว้ในจานของเธอและเป็นที่น่าสงสัยกับทุกคนจนอานันท์ต้องแนะนำว่า ฮาร์คิฟเป็นพี่ชายคนละแม่ของวาเรีย ซึ่งมีศักดิ์เป็นคุณลุงของซีโล
ทั้งอานันท์ยังจงใจเรียกฮาร์คิฟว่าลูกชาย เป็นเหมือนการย้ำให้ตฤณและพ่อแม่ได้วางใจว่าจะไม่มีเรื่องใด หรือใครเข้ามาทำให้การแต่งงานที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้านี้เปลี่ยนแปลงได้
“เราไปประกอบหุ่นยนต์กันนะฮะ” ซีโลบอกผู้เป็นลุงหลังจากที่รับประทานอาหารเรียบร้อย
“ไม่ทานผลไม้ก่อนเหรอซีโล วันนี้มี...” อภินราชะงักคำพูดเมื่อผู้เป็นพ่อพูดโพล่งขึ้นมา
“ซีโลไปเล่นในห้องไป เดี๋ยวปู่จะให้คนยกผลไม้เข้าไปให้” อานันท์บอกและแสยะยิ้มให้ฮาร์คิฟ เพราะนั่นหมายถึงการไล่เขาให้ออกไปจากห้องอาหารกลายๆ
หากนั่นไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับฮาร์คิฟ เพราะใจจริงแล้วก็ไม่ได้อยากอยู่ฟังเรื่องการแต่งงานบ้าบอที่เขาคิดว่ามันไม่มีทางได้เกิดขึ้นแน่ๆ การแยกตัวออกมากับซีโลจึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจกว่า ฮาร์คิฟสอนให้หลานชายประกอบหุ่นยนต์จนเสร็จภายในเวลาไม่กี่นาทีต่อมา
“โอ้... สุดยอดเลยฮะ ฮาร์คิฟเก่งที่สุด ซีโลนั่งประกอบมาสองวันแล้วยังเดินไม่ได้แบบนี้เลย”
ฮาร์คิฟหัวเราะร่วน เอนหลังลงบนโซฟาตัวนุ่มมองไปรอบๆห้อง ซึ่งมีแต่ของเล่นและของใช้ของเด็กทั้งนั้น ทำให้เขารู้ได้ในทันทีว่าหลานชายจะใช้เวลาขลุกอยู่ในห้องนี้ “ปกติใครเล่นเป็นเพื่อนซีโล ลุงหมายถึงตอนที่เอลก้าไม่อยู่”
“เล่นคนเดียวฮะ บางทีพี่ขวัญก็เล่นด้วย แต่ถ้าซีโลอยากเล่นหุ่นยนต์หรือแปลงร่าง พี่ขวัญจะนั่งเฝ้าเฉยๆ”
“แล้วเอลก้าเล่นหุ่นยนต์กับซีโลด้วยเหรอ” ถามพลางมองหลานชายที่กำลังใช้หุ่นยนต์สองตัวชนกัน ทั้งยังทำเสียงประกอบจนต้องหัวเราะออกมา
ซีโลทำท่าสลดเมื่อผู้เป็นลุงถามถึงเรื่องนี้ “เอลก้าไม่เล่นหุ่นยนต์หรอกฮะ แต่ชอบเปิดชูชูทีวีให้ซีโลดู ร้องเพลงท่องคำศัพท์ตาม”
“น่าเบื่อล่ะสิ?” ฮาร์คิฟถามอย่างรู้ทัน เขาเดาได้ไม่ยากจากสีหน้าเบื่อหน่ายของหลานชาย
“ฮะ แต่ก็ต้องดูเพราะเอลก้าบอกว่าจะได้เรียนหนังสือเก่งๆ อีกอย่าง เดี๋ยวจะไม่ได้นอนห้องเดียวกันกับเอลก้า” ประโยคหลังเจ้าแสบเอนตัวเข้าบอกใกล้ๆราวกับกลัวว่าคนอื่นจะได้ยิน หากสิ่งที่ฮาร์คิฟได้รับรู้จากปากของหลานชายว่ากิจกรรมยามว่างหรืองานอดิเรกที่เธอเลือกเฟ้นให้ทำนั้นไม่ต่างจากแม่เลือกให้ลูกสาว
เรียนเปียโน วาดเขียน แทนที่จะเป็นว่ายน้ำ กีต้าร์ กลองชุด คาราเต้ หรือมวยไทย
ให้ตายเถอะ! เธอจะเลี้ยงหลานให้เป็นผู้ชายสุภาพ นุ่มนิ่ม พูดน้อยคอยทำตามความต้องการของปู่กับอาหรือไง
“แล้วซีโลชอบพวกคาราเต้หรือมวยไทยไหม ที่โรงเรียนมีคอร์สสอนพิเศษรึเปล่า”
“มีฮะ ซีโลเคยขอเรียนตั้งแต่ตอนขึ้นป.1 แต่เอลก้าบอกว่าต้องเรียนเปียโนฝึกสมาธิก่อน ป.4 ถึงจะให้เรียนพวกกีฬา”
“ว้า... น่าเสียดาย ที่บ้านนี้ไม่มีห้องยิม ไม่มีพวกอุปกรณ์ซ้อมมวยเหมือนบ้านลุง ไม่งั้นลุงจะสอนให้เอง” ฮาร์คิฟบอกและไม่ได้เกินความจริงแม้แต่น้อย เพราะที่บ้านของเขาในเคียฟ เนื้อที่กว้างใหญ่จนสามารถทำเป็นสนามกอล์ฟได้
“ว้าว... บ้านหลังมหึมาเลยเหรอฮะ?” ซีโลถามตาโต วางหุ่นยนต์ในมือลงแล้วยกขึ้นกลางอากาศ ทำท่าวัดขนาดความใหญ่
ฮาร์คิฟพยักหน้าเร็วๆ รีบพูดสำทับ “ใหญ่กว่าบ้านหลังนี้หลายเท่า มีสนามกอล์ฟ สระว่ายน้ำเด็กยังมีสไลเดอร์ด้วยเลย” อย่างหลังนี้พูดเพื่อเรียกร้องความสนใจแต่เขาก็ไม่ได้โกหกเพราะหากซีโลชอบ ขอเวลาแค่ไม่กี่วันเขาจะเนรมิตให้เป็นไปตามความต้องการของหลานชาย
“โอ้โห เจ๋งไปเลยฮะ ซีโลอยากไปเที่ยวบ้านฮาร์คิฟบ้าง พาเอลก้าไปด้วยได้ไหมฮะ”
“ได้ แต่...” ฮาร์คิฟรับคำในทันทีแต่ก็ทำหน้าสลดจนหลานชายรีบขยับตัวเข้ามาใกล้ๆ ยื่นมือไปเขย่าต้นแขนอย่างอยากรู้ “ถ้าเอลก้าต้องแต่งงานกับตฤณ คงไม่มีโอกาสได้ไปด้วยแน่ๆ ทั้งวันคงต้องอยู่กับตฤณไม่ได้ไปไหนมาไหน หรือถ้าจะไปก็คงต้องหิ้วเอานายตฤณนั่นไปด้วย คราวนี้พวกเราหมดสนุกแน่”
“จริงฮะ เขาไม่ชอบหน้าซีโล ชอบดุ ชอบแย่งเอลก้าไป” หนุ่มน้อยบอกทั้งใบหน้าและน้ำเสียงเซ็งสุดฤทธิ์ “ซีโลก็ไม่ชอบหน้าเขาเหมือนกัน”
เมื่อฮาร์คิฟสามารถจับจุดหลานชายได้ รู้ว่าต้องเปิดใจพูดด้วยอย่างไร จึงเป็นเรื่องง่ายที่จะทำให้เด็กวางใจที่จะพูดคุยด้วยอย่างเปิดเผย “แล้วจะยอมให้ไอ้หมอนั่นมาแย่งเอลก้าไปง่ายๆเหรอ”
“ไม่ยอมแน่ แต่... คุณปู่บอกว่าเรื่องของผู้ใหญ่เด็กไม่เกี่ยว” แม้ว่าจะฮึกเหิมแต่เมื่อคิดถึงท่าทางขึงขังจริงจังของผู้เป็นปู่แล้ว ก็ทำให้หนุ่มน้อยพูดประโยคหลังออกมาด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ
“เราจะกำจัดไอ้หมอนั่นไปให้พ้นๆจากเอลก้า ซีโลจะช่วยลุงไหม?” ฮาร์คิฟกระซิบถามที่ข้างหูของหลานชาย หากปฏิกิริยาตอบสนองกลับมานั้นยิ่งทำให้ฮาร์คิฟมั่นใจว่าตนมีกองหนุนคนสำคัญที่จะทำให้อภินราเกิดความบาดหมางกับตฤณแล้ว
“ขอแค่ให้เอลก้าไม่ต้องแต่งงานกับไอ้หมอนั่น ซีโลสู้ตายฮะ” บอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่นทั้งยังเป็นฝ่ายยื่นกำปั้นออกมาฟีสบั้มพ์กับผู้เป็นลุงก่อน
หากเสียงหัวเราะที่ดังขึ้นอย่างถูกอกถูกใจทั้งลุงและหลานก็ทำให้อภินราซึ่งเปิดประตูห้องเข้ามาพร้อมกับผลไม้ในมือรู้สึกประหลาดใจ เธอมองหลานชายด้วยสายตาคาดโทษที่เข้ากันกับฮาร์คิฟเป็นปี่เป็นขลุ่ยในห้องอาหาร แต่ลึกๆในใจก็รู้สึกยินดีที่ซีโลร่างเริงสดใสอย่างที่ไม่ค่อยได้บ่อยนัก
“ฉันบอกแล้วไงคะว่าขอผลัดไปวันหลัง ทำไมยังตามมาอีก” อภินราวางถาดผลไม้ลงบนโต๊ะกลางหน้าโซฟาซึ่งมีชื้นส่วนหุ่นยนต์วางกลาดเกลื่อน
“ผมมาเยี่ยมซีโลไม่ได้ตามคุณมาสักหน่อย อย่าคิดเข้าข้างตัวเองแบบนั้นสิจ๊ะ” ฮาร์คิฟบอกพลางตีคิ้วใส่ดวงตากลมโตที่มองมาอย่างไม่พอใจ ใบหน้างดงามเริ่มแดงก่ำเพราะถูกเขาล้อให้อายเล่น
“อ้อ... งั้นตามสบายนะคะ ฉันคงเข้าใจอะไรผิดไปจริงๆ” อภินราอับอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ตั้งใจจะเดินออกจากห้องปล่อยให้ลุงกับหลานได้พูดคุยกันตามสบาย หากแต่มือใหญ่กลับรั้งเอาไว้เสียก่อน
ฮาร์คิฟกระชับมือนุ่มไว้แน่น ยิ้มอย่างเอาใจให้กับคนที่ทำหน้าบึ้ง น่ารักในสายตาเขายิ่งนัก “ไม่เอาน่า... ผมแค่หยอกเล่นเท่านั้น อย่าใจน้อยนักเลย ทีคุณพูดจาทำร้ายจิตใจผมยังไม่โอดครวญสักคำ หน้ามึนตามมาถึงนี่”
“ฮาร์คิฟ ปล่อยค่ะ” อภินราบอกพลางหันกลับไปมองที่ประตูซึ่งเป็นแบบติดกระจกสี่เหลี่ยมช่องเล็กๆเอาไว้ กลัวว่าคนอื่นจะมาเห็นภาพไม่เหมาะไม่ควรเช่นนี้
“ทำไม กลัวไอ้หมอนั่นมันจะมาเห็นนักหรือไง” ฮาร์คิฟบอกพลางรั้งร่างน่าปรารถนาให้ทรุดตัวนั่งลงข้างๆตน แต่เธอก็ยังขืนตัวไว้สุดแรง “นั่งลง ยังไงวันนี้เราก็ต้องคุยกันให้รู้เรื่อง”
“นั่งลงก่อนสิฮะเอลก้า”
แม้ว่าหลานชายจะขอร้องเธอก็ยังไม่ยอมทำตาม ฮาร์คิฟจึงกวักมือเรียกให้ซีโลขยับตัวเข้าไปใกล้ๆ กระซิบกระซาบบางอย่างอยู่พักหนึ่ง อภินรามองทั้งคู่อย่างสงสัยเมื่อเห็นว่าหลานชายพยักหน้ารับคำอย่างขันแข็ง ไม่นานก็รีบวิ่งออกไปจากห้อง
“พูดอะไรกับซีโลคะ” ถามในขณะที่มองตามร่างของหลานชาย แถมยังกดปุ่มล็อกประตูก่อนที่จะปิดลงเสียอีก
“ความลับของผู้ชาย” ฮาร์คิฟอาศัยจังหวะที่เธอเผลอตัว ออกแรงกระตุกแขนเรียวเล็กน้อย เธอก็ล้มลงมาเกยทับอยู่บนตัว
“อุ้ย... อย่าทำอะไรบ้าๆนะ ปล่อยเดี๋ยวนี้”
ไม่เพียงไม่ปล่อยแต่ฮาร์คิฟยังกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น “รู้อะไรไหมเอลก้า ผมอยากทำบ้าๆอย่างที่คุณว่าตลอดเวลา”
“อย่านะ! คนในบ้านอยู่เยอะแยะ คุณควรให้เกียรติฉันบ้างนะคะ ฮาร์คิฟ” อภินราพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ดิ้นรนออกจากอ้อมแขนแข็งแรงไม่หยุดหย่อน
“ก็เพราะให้เกียรติน่ะสิ ถึงได้รอให้คุณพูดมันออกมา ทั้งที่ความจริงแล้ว ผมจะถือเอาสายตาของคุณเป็นคำอนุญาตก็ย่อมได้”
อภินราตกใจไม่น้อยที่เขาล่วงรู้แม้กระทั่งความคิดของเธอ แต่ก็เลือกที่จะปฏิเสธและดิ้นรนต่อไป “อย่ามากล่าวหากันนะ ฉันไม่เคยคิดอะไรบ้าๆอย่างที่คุณพูดสักหน่อย”
“คนอะไร ขี้ขลาดแม้กระทั่งไม่กล้ายอมรับใจตัวเอง เพราะคุณอ่อนแอแบบนี้ถึงต้องยอมกล้ำกลืนฝืนทนอยู่กับไอ้หมอนั่น เคยคิดบ้างไหมว่าจะทนอยู่ในสภาพแบบนี้ไปตลอดชีวิตได้ยังไง” ฮาร์คิฟลดเสียงลงกว่าครึ่ง เมื่อเธอชะงึกงันกับคำพูดของเขา “ถ้าไม่คิดถึงตัวเองก็ขอให้เห็นกับซีโลบ้าง ในโลกนี้ซีโลมีคุณแค่คนเดียว มันก็ไม่แปลกอะไรหรอกที่ต้องแบ่งคุณให้กับคนอื่นบ้าง แต่อีกคนที่จะเข้ามาแชร์ไม่ได้รักใคร่เอ็นดูซีโลเลย คุณจะใจร้ายทิ้งซีโลไว้ในโลกนี้คนเดียวหรือไง”
“ทำไมฉันจะไม่คิด ทำไมฉันจะไม่เป็นห่วงซีโล ฉันเลี้ยงเขามาด้วยความยากลำบาก แต่... ฉันไม่มีทางเลือก” อภินราพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ เธอไม่ได้แร้นแค้น ขาดปัจจัยในการดำรงชีวิต แต่ความยากลำบากที่ว่า มันเป็นการปรับตัวเองอย่างเฉียบพลันและในช่วงเวลานั้น สภาพจิตใจของซีโลก็ไม่ได้เป็นปกติเหมือนเด็กวัยเดียวกัน
“ไม่ใช่ไม่มีทางเลือกหรอกเอลก้า คุณไม่แม้ที่จะคิดนอกกรอบต่างหาก ทำไมต้องยอมให้คนอื่นบงการจิตใจจนต้องทรยศต่อความรู้สึกของตัวเองนะ”
“คนอื่นที่คุณว่าคือพ่อของฉัน พระคุณของท่านมากกว่าสิ่งใดในโลก ถ้าฉันปฏิเสธนั่นไม่เท่ากับว่าทรยศผู้มีพระคุณเหรอคะ” อภินราถามเขาด้วยความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในใจ หากการที่เขาใช้นิ้วมือเกลี่ยไล้บนแก้มอย่างแผ่วเบากลับทำให้เธออุ่นซ่านในหัวใจ สายตาที่เขามองช่างอ่อนโยนและเต็มไปด้วยกำลังใจที่เธอค้าหาไม่เจอในแววตาของว่าที่เจ้าบ่าว
“ตอบแทนพระคุณพ่อแม่มีหลายวีธีนะที่รัก... ถ้าคุณเป็นแม่คน จะมีความสุขเหรอถ้าได้เห็นลูกต้องใช้ชีวิตอยู่กับคนที่ไม่ได้รักไปจนตาย”
คำตอบของเขาทำให้เธอเถียงไม่ออก หากต้องคร่ำครวญในใจเมื่อเห็นรอยยิ้มปลอบประโลม ดวงตาเธอพร่าเลือนจ้องมองดวงตาสีเขียวอมฟ้าราวกับต้องมนตร์สะกด แม้ว่าเขาจะพลิกตัวจนเธอตกอยู่ใต้ร่างก็ยังหลงวนอยู่ในดวงตาคู่นั้นอย่าหาทางออกไม่เจอ
“ชีวิตมันไม่ได้ยากอย่างนั้นหรอกนะคนสวย ทำไมไม่ลองทำตามหัวใจ มองคนใกล้ๆตัวบ้าง” ฮาร์คิฟแนะนำแล้วต้องยิ้มตามเธออย่างมีความสุข เมื่อได้ยินเสียงหวานถามอย่างรู้ทัน
“เช่นคุณน่ะเหรอคะ?...” อภินราหลุดปากถามออกไปอย่างไม่ทันคิด
ฮาร์คิฟมองริมฝีปากอวบอิ่มที่กำลังหัวเราะคิกคัก เผยให้เห็นฟันแวววาวที่เรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบ “ซีโลชอบผมเอามากๆ และผมกำลังจะทำให้คุณ เลิกปฏิเสธผมสักที”
จบคำฮาร์คิฟก็ก้มลงทำตามความต้องการของตัวเองอย่างห้ามใจเอาไว้ไม่อยู่ ความนุ่มละมุนของริมฝีปากอิ่มทำให้เขาใจเย็นค่อยๆและเล็กอย่างที่ไม่เคยทำกับใครมาก่อน เพียงแค่ปลายลิ้นสัมผัสกันเขาก็พบว่า...
เธอช่างให้ความรู้สึกยอดเยี่ยมนัก หากอภินรากลับรู้สึกตื่นเต้น ความอยากรู้และหวาดกลัวเกิดขึ้นพร้อมๆกัน ลิ้นหลาที่สอดเข้ามาเกี่ยวกระหวัดอย่างหยอกเย้า ทุกครั้งที่เขาตวัดลิ้น เธอจะซาบซ่านไปทั้งร่าง ปลายลิ้นที่สำรวจฟันแต่ละซี่อย่างหยอกเอินทำให้เธอต้องจิกเล็บลงบนบ่าหนาเพื่อบรรเทาความรู้สึกเสียดเสียวที่เริ่มเด่นชัดขึ้น
หากความหวานละมุนนุ่มลิ้นไม่ต่างจากครีมสดทำให้ฮาร์คิฟร้อนรุ่มไปด้วยความต้องการ มันอัดแน่นอยู่ในตัวตั้งแต่มีโอกาสได้พบเธอ แรงดูดดึงที่เพิ่มมากขึ้น ฝ่ามือและอ้อมแขนที่กอดรัดเธออย่างแนบแน่น ทำให้อภินราตื่นตระหนกกับความเร่าร้อนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาจูบเอาๆราวกับจะดูดกลืนทุกสิ่งไปจากเธอ จูบอย่างเรียกร้องให้เธอตอบสนองกลับคืน หากฝ่ามือหนาที่สอดเข้ามาใต้เสื้อ สัมผัสเนื้อแท้ของเธออย่างถนัดถนี่ก็ทำให้อภินราตกใจสุดชีวิต เพราะเป็นครั้งแรกที่เธอปล่อยให้ผู้ชายแตะเนื้อต้องตัวอย่างลึกซึ้งเพียงนี้
“อื้อ...” เริ่มเบือนหน้าหนีจากริมฝีปากบึกบึนที่ไล่ตามอย่างไม่ลดละ ทั้งยังพยายามดึงฝ่ามือของเขาออกจากทรวงอก “พะ...พอแล้ว อื้อ... อย่าค่ะ ฮาร์คิฟ”
ฮาร์คิฟกดปากและจมูกลงบนแก้มเนียนที่แดงก่ำอย่างน่ามอง เธอเริ่มต่อต้านเพราะเขารุกหนักอย่างไม่อาจห้ามใจตัวเองได้ กระทั่งวินาทีนี้ก็ยังไม่ยอมละฝ่ามือออกจากก้อนเนื้อนุ่มหยุ่นที่ตามหลอกหลอนมาหลายวัน เธอทำให้เขาต้องการมากขึ้นเรื่อยๆ จากที่เคยคิดว่าอยากบีบเคล้น เมื่อได้สมใจก็อยากลิ้มลอง ก้อนเนื้อแน่นหนั่นใต้ฝ่ามือนี้จะให้รสชาติหอมหวานเลิศเลอสักเพียงใด กลิ่นสาวกลางหว่างอกที่เบียดชิดจะหอมหวนยวนใจเท่าซอกคอระหงนี้ไหมนะ?
เมื่อสติเริ่มครบถ้วน เธอก็พบว่าตัวเองปล่อยตัวให้เขาอยู่ในห้องนั่งเล่นที่มีว่าที่เจ้าบ่าวกำลังคุยกับผู้เป็นพ่ออยู่ไม่ไกล ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีถาโถมโจมตี อภินรารวบรวมเรี่ยวแรงที่เหลืออยู่ผลักแผงอกกว้างออกไปจนสุดแรง พยุงตัวลุกขึ้นจากโซฟาในขณะที่เหลือบมองไปยังประตู จึงเห็นได้ว่ามีเงาตะคุ่มของใครคนหนึ่งกำลังเดินใกล้เข้ามา
หลังจากที่พ่อแม่ของตฤณออกจากคฤหาสน์วรโชติแล้ว ชายหนุ่มก็ก้มลงมองตัวปัญหาที่รบเร้าไม่หยุดหย่อน อันที่จริงเจารำคาญใจเป็นอย่างมากแต่ไม่อาจแสดงออกมาได้เพราะเกรงใจว่าที่พ่อตา หากแทบแยกเขี้ยวใส่เมื่อได้ยินว่าอภินราและฮาร์คิฟอยู่ในห้องด้วยกัน เขาจึงรีบเดินกลับเข้ามาด้านในอีกครั้งและหงุดหงิดใจเป็นอย่างมากที่ห้องล็อกจากด้านใน
“เอลก้า คุณทำอะไรอยู่ในนั้น เปิดประตู” ตฤณบอกทั้งยังขยับลูกบิด มองเข้าไปในห้องผ่านช่องกระจกเล็กๆบนประตู ท่าทางของเธอยิ่งทำให้เขาร้อนใจมากขึ้น “เปิดประตูให้ผมหน่อย เอลก้า”
ชั่วอึดใจต่อมาอภินราก็เดินไปปลดล็อกให้ตฤณได้เดินเข้ามาภายในห้อง ภาพที่ฮาร์คิฟชันตัวลุกขึ้นนั่งบนโซฟาอย่างเอื่อยเฉื่อย สีหน้าท่าทางและสายตาที่มองมาอย่างเยาะเย้ย เหยียดหยามราวกับจะบอกว่ามันเขมือบว่าที่เจ้าสาวของเขาเข้าไปอย่างเต็มอิ่ม
“ทำอะไรกัน?”
“เปล่านี่คะ” อภินราตอบกลับอย่างรวดเร็ว หากน้ำเสียงไม่มั่นคงของเธอยิ่งทำให้ตฤณคลางแคลงใจ ใบหน้าแดงก่ำ ไม่กล้าสบสายตากับใครสักคน มือบางกำชุดของตัวเองแน่นราวกับคนทำความผิดหรือขาดความมั่นใจซึ่งท่าทางเหล่านั้น ไม่เคยได้เห็นจากผู้หญิงทำงานเก่งอย่างเธอ
แน่นอนว่าท่าทางประหม่าจนน่าสงสัยของอภินราไม่สามารถรอดพ้นสายตาของผู้เป็นพ่อที่รีบบังคับรถเข็นมาสมทบ ในตอนที่ได้ยินเสียงตฤณสั่งอย่างดุกร้าวเมื่อครู่
“แกควรกลับได้แล้วนะฮาร์คิฟ ไหนเมื่อกี้นี้ขอแค่ข้าวเย็นกินไม่ใช่เหรอ”
“โธ่! พ่อบุญธรรม ใจคอจะไม่ให้ผมทำความรู้จักกับซีโลหน่อยเหรอครับ ทำไมต้องกีดกัดขนาดนี้ด้วย หรือว่า...” ฮาร์คิฟพูดด้วยน้ำเสียงยียวน ทั้งท่าทางยังกวนโทสะไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน “หรือไม่ก็น่าจะถามถึงมาร่าบ้าง ไม่อยากรู้หน่อยเหรอครับว่าเธอยู่ดีมีสุขหรือต้องอยู่อย่างทรมานใจ”
“เรื่องนั้นฉันถามจากมาร่าเองน่าจะสะดวกใจกว่า” อานันท์บอกและคิดแต่เพียงว่า มาร่าส่งมันมารับตัวซีโลไปอยู่ที่ยูเครน และด้วยความที่ไม่ค่อยลงรอยกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรทำให้มันแสดงท่าทียียวนกวนประสาท แต่ต้องข่มใจเอาไว้ รอให้ถึงเวลาอันสมควร เขาจะให้มันซมซานกลับประเทศแทบไม่ทัน “นี่ก็ดึกมากแล้ว ฉันว่าแกน่าจะปล่อยให้เจ้าของบ้านได้พักผ่อนบ้างนะ เอลก้าพาซีโลไปอาบน้ำเข้านอนได้แล้ว”
แต่ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินออกไปจากห้อง ซีโลยังเดินมาฟีสบั้พม์ร่ำลากับผู้เป็นลุง ซึ่งความจริงแล้วมันเป็นการร่ำลาที่มีนัยแอบแฝงที่รู้กันเพียงสองคนว่าทำการอย่างหนึ่งร่วมกันได้สำเร็จ ฮาร์คิฟหัวเราะร่วนมองตามทั้งคู่ที่เดินออกไปจากห้อง ก่อนจะลุกขึ้นเดินมาประจันหน้ากับตฤณที่ยืนขวางประตูเอาไว้
“ผมขอคุยกับเขาตามลำพังนะครับคุณพ่อ” ตฤณหันมาบอกกับอานันท์ และเปลี่ยนสรรพนามในการเรียกอย่างสนิทสนม ซึ่งอานันท์ก็ยอมทำตามความต้องการจึงบังคับรถเข็นกลับไปยังห้องทำงานของตน
“ผมไม่อ้อมค้อมนะ เพราะพอจะดูออกว่าคุณสนใจเอลก้า แต่เรากำลังจะแต่งงานกัน ไม่ว่าคุณจะคิดจริงจังหรือแค่เล่นสนุกก็มีประโยชน์อะไร” ตฤณเปิดประเด็นในทันที
“แล้ว?...” ฮาร์คิฟถามพลางเกี่ยวนิ้วหัวแม่มือกับขอบกระเป๋ากางเกงยีน มองไอ้หน้าจืดตรงหน้าอย่างไม่แยแส เขามั่นใจว่าสามารถล้มมันได้ในหมัดเดียว
“ผมจะไม่ยอมเสียเอลก้าไปแน่ เรารักกันและมันก็ไม่มีประโยชน์ที่คุณจะเข้ามาสร้างปัญหาให้กับความรักของเรา” ตฤณบอกด้วยน้ำเสียงเข้มแข็ง ถ้าจะมีเรื่องชกต่อยเขาก็ไม่เกี่ยงอยู่แล้ว
“ถ้ามั่นใจว่าไม่ได้เป็นรักข้างเดียวแล้วจะกลัวอะไร ต่อให้เอลก้าผ่านการแต่งงานมาสักกี่ครั้ง ถ้าฉันชอบเธอ ก็ไม่เคยใส่ใจ” นั่นเหมือนเป็นการประกาศสงครามอย่างแท้จริงและมันทำให้คนรับสารหวั่นใจขึ้นมาในทันที
“แต่มันผิดศีลธรรม คุณน่าจะคำนึงถึงข้อนี้ให้มากๆ” ตฤณบอกทั้งยังไม่เชื่อหูว่าจะได้ยินอะไรไม่เข้าท่าเช่นนี้
หากคนฟังกลับคิดว่า ไอ้หมอนี่สติดีรึเปล่าที่ยกเอาเรื่องศีลธรรมมาพูดกับเขา เขาแทบไม่เคยใส่ใจในเรื่องคุณงามความดีอันลึกซึ้งเหล่านี้เลย อีกอย่างมันเป็นเรื่องที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นเลยสักนิด “เธอยังไม่มีพันธะใดผูกมัดแล้วฉันจะต้องไปคิดเรื่องนั้นให้รกสมองทำไม”
จบคำพูดก็ยิ้มที่มุมปากอย่างท้าทาย เดินปะทะหัวไหล่ของตฤณผ่านออกไปจากห้อง ทิ้งให้ตฤณมองตามด้วยความไม่พอใจ ทั้งหวั่นใจกับท่าทาของอภินรา หากไม่เชื่อว่าเวลาเพียงสามสี่วันที่ทั้งคู่รู้จักกันจะทำให้เธอมีความรู้สึกรักใคร่เกิดขึ้นได้ ไม่กี่นาทีต่อมาตฤณก็ขับรถออกจากคฤหาสน์วรโชติด้วยความกระวนกระวายใจ หากสิ่งที่เขาทำได้ในตอนนี้นั่นก็คือเร่งวันแต่งงานเข้ามาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ