แค้นรักแค้นเสน่หา

-

เขียนโดย ศิริพารา

วันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2558 เวลา 22.19 น.

  15 ตอน
  0 วิจารณ์
  17.51K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 11.27 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) แค้นรักแค้นเสน่หา ตอนที่ 1 100%

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ปลายเดือนเมษายน 2558

กรุงเคียฟ ประเทศยูเครน

        ฮาร์คิฟ ติโมชุก หลับตาลงอย่างข่มอารมณ์ เขาต้องยกเลิกการเดินทางไปอเมริกาก่อนที่เครื่องจะเทกออฟเพียงไม่กี่นาทีเพราะได้รับข่าวว่าผู้หญิงที่เลี้ยงเขามาตั้งแต่อายุหกขวบ อาการทรุดหนัก เธอสุขภาพไม่ค่อยจะสู้ดีตั้งแต่รู้ว่าวาเรีย ผู้เป็นลูกสาวเสียชีวิตอย่างกะทันหันเมื่อราวสามปีที่แล้ว

        ไม่มีใครในเคียฟไม่รู้จักฮาร์คิฟ ติโมชุก เขาคือซีอีโอหนุ่มเจ้าเสน่ห์แห่งติโมชุก อินดัสตรี นักธุรกิจแนวหน้าของโลกที่ผู้คนไม่อาจละสายตา โครงการก่อสร้างถนนสายหลักและสายรอง ตลอดไปถึงการคมนาคมในระบบรางของเมืองใหญ่จึงมีตราสัญลักษณ์ของติโมชุก อินดัสตรีทั้งนั้น

        ฮาร์คิฟก้าวลงจากรถยนต์สุดหรูเข้ามาในโรงพยาบาลชื่อดังแห่งหนึ่ง สูทตัวนอกถูกเหวี่ยงทิ้งตั้งแต่ได้รับข่าวไม่รื่นหู มือหนากำลังพันแขนเสื้อเชิ้ตให้ขึ้นมาอยู่ในระดับข้อศอกในขณะที่เดินผ่านผู้คนด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์นัก แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เสน่ห์ดึงดูดต่อเพศตรงข้ามลดน้อยลง เขายังดูหล่อเหลาร้ายกาจ ดวงตาสีเขียวอมฟ้ายังเป็นอาวุธเฉียบคมที่ทำให้ผู้หญิงมากหน้าหลายตาเข้ามาสยบแทบเท้า แววตาเกรี้ยวกราดที่สังเกตได้ชัด ไม่ได้เป็นแรงผลักให้ผู้หญิงหนีหน้า ตรงกันข้ามมันยิ่งท้าทายให้พวกเธอใฝ่ฝันถึงค่ำคืนหนึ่งกับผู้ชายเอาแต่ใจที่คอยเรียกร้องไม่หยุดหย่อน

        “มาร่าเป็นยังไงบ้างครับ” ฮาร์คิฟถามด้วยน้ำเสียงเครียดเมื่อก้าวเข้ามาอยู่ในห้องพักผู้ป่วยวีไอพีซึ่งมีคนของเขาเปิดประตูรอไว้อยู่แล้ว

        วิกตอร์ ส่ายหน้าพลางถอนหายใจมองร่างของอดีตภรรยาที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงผู้ป่วยแล้วส่งสัญญาณมือให้ลูกชายเดินออกไปคุยกันด้านนอก “หลับก็เพ้อถึงวาเรีย พอตื่นก็เรียกหาแต่ซีโล บอกว่าอยากกอดหลาน”

        ฮาร์คิฟถอนหายใจเพราะอาการเหล่านี้เกิดขึ้นมาสักพักแล้ว ตัวเขาเองก็ตั้งใจจะเดินทางไปประเทศไทยเพื่อจัดการเรื่องซีโล หลานชายเพียงคนเดียวของติโมชุก หากมีโอกาสได้เห็นหน้า ได้สัมผัส กอด หอมสักนิด อาจจะทำให้ท่านอาการดีขึ้น อย่างน้อยก็คงคลายความคิดถึงจากวาเรียได้ หากติดที่เขายังต้องสะสางงานสำคัญให้เสร็จสิ้นเสียก่อน

        “แล้วหมอว่าไงครับ?”

        “อาการทางร่างกายก็ต้องรักษาต่อไปตามขั้นตอน ให้คีโมบำบัดแต่ที่ทำให้มาร่าแย่ลงแบบนี้ก็เพราะ... ตรอมใจ” วิกตอร์พูดคำสุดท้ายอย่างไม่เต็มเสียง มันทำให้ลูกชายขมวดคิ้วมุ่นพร้อมทวนคำสุดท้ายด้วยเสียงสูง

        “ตรอมใจ?” ฮาร์คิฟถามอย่างข้องใจ แน่นอนว่ามะเร็งในลำไส้ระยะสุดท้ายทำให้มาร่าต้องเข้า-ออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น หากคำว่าตรอมใจช่างเสียดแทงและบาดหูจนต้องเดินตามผู้เป็นพ่อเพื่อหาคำตอบให้เร็วที่สุด “มีอะไรที่ผมควรจะรู้แต่ยังไม่รู้เหรอครับ”

        วิกตอร์มองวิวมุมสูงของกรุงเคียฟอย่างไร้จุดหมาย จริงอยู่ว่าเขาและมาร่า หย่าขาดกันเมื่อสิบห้าปีที่ผ่านมา แต่ความรักและความปรารถนาดีที่มีต่อเธอนั้นยังมิเสื่อมคลาย ไม่ว่าเธอจะขยับตัวทำอะไร เขาก็จะรู้ความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ยังมีบางเรื่องที่มีโอกาสล่วงรู้ช้าไปจนทำให้ต้องเสียใจอยู่เช่นทุกวันนี้ หากเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องบอกให้ลูกชายได้รับรู้

        “พ่อครับ” ยังไม่ทันที่ฮาร์คิฟจะพูดอะไรต่อ ผู้เป็นพ่อก็หมุนตัวกลับมาและขอสัญญาจากเขาในทันที

        “รับปากกับพ่อได้ไหมว่าถ้ารู้แล้วจะไม่วู่วาม จะใช้สติแก้ไขปัญหานี้เท่านั้น” วิกตอร์รู้นิสัยเลือดร้อนของลูกชายดี แม้ว่าฮาร์คิฟจะบริหารธุรกิจอย่างมีชั้นเชิง ทันเกมคู่ต่อสู้ และมีความอดทนจนน่าอัศจรรย์ใจแต่ความอดทนของฮาร์คิฟมีไว้สำหรับลูกค้าหรือคนที่มีผลประโยชน์ในเชิงธุรกิจเท่านั้น หากเป็นคนที่ไร้ซึ่งประโยชน์ในทุกๆด้าน ฮาร์คิฟจะจัดการเรื่องกวนใจด้วยอารมณ์รุนแรงที่คนรอบข้างสะพรึงกลัว “สัญญากับพ่อก่อน”

        “ครับ”

        เมื่อได้รับคำสัญญาด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่น วิกตอร์จึงเรียบเคียงถามก่อนเข้าเรื่อง “พักหลังมานี้ มาร่าเคยพูดถึงเรื่องพ่อบุญธรรมของแกบ้างรึเปล่า?”

        ฮาร์คิฟทำหน้าเมื่อย เมื่อได้ยินคำว่า ‘พ่อบุญธรรม’ ถ้าไม่ติดว่าผู้เป็นแม่จะไม่พอใจ เขาไม่เคยเต็มใจที่จะเรียกอานันท์ วรโชติ เป็นพ่อบุญธรรมแน่นอน “พ่อก็รู้ว่าผมไม่ค่อยลงรอยกับเขาเท่าไหร่ มาร่าเองก็รู้และไม่ค่อยพูดถึงบ่อยนักหรอกครับ ยิ่งเกิดเรื่องวาเรียกับอังเดรขึ้น ผมยิ่งไม่อยากพูดถึงผู้ชายคนนี้ด้วยซ้ำ”

        อานันท์ไม่เคยเป็นฝ่ายมาหาหรือมาเยี่ยมเยียนแม่เขาสักครั้งนับตั้งแต่วาเรียเข้าไปเป็นลูกสะใภ้จนกระทั่งจบชีวิตลงอย่างกะทันหัน เขาและพ่อไม่เคยได้รับคำอธิบายใดๆ รู้จากคำอธิบายของมาร่าแค่เพียงว่า... อังเดรและวาเรีย มีเรื่องระหองระแหงตามประสาคนใช้ชีวิตคู่ หากไม่มีใครล่วงรู้ว่าวาเรียจะคิดสั้นๆ แก้ปัญหาที่ปลายเหตุเช่นนี้ ที่น่าสงสารที่สุดคงหนีไม่พ้นลูกชายซึ่งตอนนี้อายุเจ็ดขวบ และมาร่าที่ต้องต่อสู้กับความคิดถึงและโรคร้ายที่รุมเร้า ถึงแม้จะทุกข์ใจกับการจากไปของวาเรีย ทุกวันนั่งมองรูปลูกสาวและอัฐิซึ่งประกอบพิธีตามศาสนาแล้ว

        ฮาร์คิฟไม่เคยเข้าใจว่าทำไมมาร่าและน้องสาวถึงได้เทิดทูนบูชาผู้ชายบ้านนั้นถึงเพียงนี้ วาเรียกับเขาอาจจะไม่ได้โตมาด้วยกัน มีแม่คนละคนแต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาห่วงใยน้อยลง แม้ว่าในช่วงที่วาเรียอาศัยอยู่ในประเทศไทยจะห่างเหินกันบ้างก็ตามที เขาไม่เคยเห็นว่าผู้ชายตระกูลวรโชติจะทำความดีอะไรให้แม่และน้องเทิดทูน

        วาเรียไม่เคยได้พิธีฉลองสมรส ไม่เคยได้ทะเบียนสมรส กระทั่งซีโลก็ยังเป็นลูกนอกสมรส แม้ในตอนที่มีเพียงกระดูกไม่กี่ชิ้นกลับมายังบ้านเกิดเมืองนอน เขาก็เห็นว่าอานันท์ควรจะมาส่งอัฐิของวาเรียด้วยตนเอง แต่นั่นมันก็คงจะเกินไปสักหน่อย หากจะหวังน้ำใจอันดีงามจากผู้ชายแล้งน้ำใจ แต่มาร่ากลับบอกว่าเขาแค่เป็นผู้ชายเย็นชาเท่านั้น เป็นคนดีที่เธอเทิดทูนจนฮาร์คิฟต้องเบือนหน้าหนี เพราะไม่อยากฟังเหตุผลในความดีเหล่านั้น เพียงแค่ต้องเรียกเขาว่าพ่อบุญธรรมก็ฝืนใจเต็มทน

        “ก่อนจะหลับไปมาร่าบอกกับพ่อว่า... อาทิตย์หน้าหลังวันเกิดซีโลครบเจ็ดขวบ อานันท์จะส่งซีโลมาให้เราดูแล”

        “เฮอะ! พ่อเชื่ออย่างนั้นเหรอครับ” ฮาร์คิฟไม่ต้องเสียเวลาครุ่นคิด เพราะถ้าอยากให้ซีโลอยู่ในความดูแลของติโมชุก ก็ควรจะส่งมาตั้งแต่แรกแล้ว “มาร่าก็เชื่อเขาอีกตามเคย”

        “มาร่าหลุดปากออกมาว่าแลกซีโลกับของสำคัญอย่างหนึ่ง แต่ยังไม่ทันได้พูดว่าอะไรก็ตัดบทไปเสียก่อน บอกแค่ให้แกบินไปรับซีโลทันทีที่เสร็จธุระ แต่พ่อคิดว่ามันไม่ชอบมาพากล ถ้าจะส่งหลานมาอยู่ที่นี่ทำไมต้องมีข้อแม้มากมายนัก และต้องแลกกับอะไรที่ทำให้คนอย่างอานันท์ยอมรับปากง่ายๆอย่างนี้”

        จบคำพูดสองพ่อลูกก็สบสายตากัน ต่างฝ่ายต่างใช้ความคิดอย่างหนักเพราะเกิดคำถามมากมายขึ้นในหัว ความเงียบเข้าครอบคลุมอยู่ชั่วขณะ ฮาร์คิฟจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด

        “งั้นผมจะบินไปประเทศไทยเย็นนี้เลย แต่งานเปิดตัวแมนชั่นของเราที่แคลิฟอร์เนียคงต้องทำให้พ่อเหนื่อยหน่อย”

        วิกตอร์ตบบ่าลูกชายพร้อมยิ้มเย็น “เรื่องนั้นอย่าห่วงเลย ไปจัดการเรื่องซีโลให้เรียบร้อยเถอะ ที่สำคัญอย่าให้ต้องเสียความรู้สึกกันทั้งสองฝ่าย ยังไงเสียมาร่าก็เทิดทูนเขามาก อีกอย่างซีโลอยู่กับเขายังไงเสียก็ต้องมีความรักความผูกพันกัน”

        ฮาร์คิฟถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่พร้อมกับสุภาษิตไทยชัดเจนทุกถ้อยคำไม่ต่างจากเจ้าของภาษา “หยิกเล็บก็เจ็บเนื้อ”

        วิกตอร์ยิ้มให้ลูกชาย “รู้แล้วใช่ไหมว่าเพราะอะไรพ่อถึงเคี่ยวเข็ญให้แกเรียนภาษาไทยนัก”

        “ตอนที่ผมจัดการเรื่องทุกอย่างเรียบร้อยคงได้เห็นประโยชน์มากกว่านี้ครับ” ตอบกลับเป็นภาษายูเครน ซึ่งชาวยูเครนใช้สื่อสารและยังเป็นภาษาราชการอีกด้วย

        สองพ่อลูกยืนมองร่างผ่ายผอมที่หลับสนิทอยู่บนเตียงผู้ป่วยอีกสักพักก็แยกย้ายกันออกจากโรงพยาบาลเพื่อทำหน้าที่ของตนอย่างที่ตั้งใจไว้

        “กลับบ้าน” ฮาร์คิฟสั่งเมื่อขึ้นมานั่งบนรถยนต์คันหรูที่ค่อยๆเคลื่อนตัวออกจากหน้าโรงพยาบาล “คืนนี้ฉันจะบินไปประเทศไทย คิริลแกอยู่ที่นี่คอยดูแลงานและรับคำสั่งจากฉัน รามานเตรียมตัวให้พร้อม แกต้องไปกับฉัน”

        “เราจะไปประเทศไทยสักกี่วันครับ” รามานถามเจ้านายที่นั่งอยู่ด้านหลัง

        “ไม่มีกำหนด”

        คำตอบที่ได้ยินทำให้รามานและคิริลหันมาสบสายตากันชั่วขณะ เพราะประเทศไทยไม่เคยอยู่ในแผนการธุรกิจที่ท่านต้องเดินทางไปเยือน หากไม่มีใครกล้าถามเจ้านายเพราะเห็นท่าทางหงุดหงิด ดวงตาเขียวอมฟ้าที่เปี่ยมไปด้วยเพลิงโทสะ นั่นก็เป็นสัญญาณเตือนให้รู้ว่า หากไม่อยากตกที่นั่งลำบากก็ไม่ควรจะเซ้าซี้ท่านให้รำคาญใจไปมากกว่านี้

 

        กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย

        “เอลก้า... เอลก้าอยู่ไหน ฮือ... ทิ้งซีโลไปอีกคนแล้วใช่ไหม ฮือ...” ซีโลวิ่งลงจากรถมาอยู่ที่กลางห้องโถงใหญ่ของคฤหาสน์วรโชติ เป้พิมพ์ลายซูเปอร์ฮีโร่ตัวโปรดถูกทิ้งลงบนพื้นอย่างไม่ใยดี เด็กน้อยกำลังเรียกหาผู้เป็นอา ร้องไห้ฟูมฟายตั้งแต่อยู่บนรถเมื่ออภินราไม่ได้ไปรับที่โรงเรียนสอนดนตรีตามที่สัญญากันไว้

        “อะไรกันซีโล ร้องไห้ทำไม?” อานันท์บังคับรถเข็นอัตโนมัติออกมาจากห้อง พร้อมไถ่ถามหลานชาย

        “คุณปู่... เอลก้าหายไปไหน ทิ้งซีโลไปแล้วใช่ไหม ฮือ...” ถามพลางเดินเข้าไปเกาะที่ข้างรถเข็น

        อานันท์ยื่นมือไปลูบศีรษะของหลานชายพร้อมกับอธิบายเหตุผลให้ฟัง “ไม่มีใครทิ้งซีโลหรอก เอลก้าติดงานสำคัญเลยไปรับไม่ทัน แต่เดี๋ยวคงจะมาถึงบ้านแล้ว อย่าร้องไห้นะคนเก่ง”

        “แต่เอลก้าไม่เคยผิดสัญญา ฮือ... จะหาเอลก้าๆ”

        “ไม่ใช่ เงียบแล้วฟังปู่ก่อนได้ไหม” อานันท์พยายามใจเย็นปลอบประโลม หากแต่หลานชายกลับทิ้งตัวลงบนพื้นแล้วคร่ำครวญหนักขึ้น ไม่ว่าพี่เลี้ยงจะเข้ามาปลอบอย่างไรก็ไม่มีท่าทีว่าจะเงียบเสียงลง “ซีโล หลานโตแล้วนะต้องรู้จักมีเหตุผลบ้าง”

        “ไม่! ซีโลจะหาเอลก้า... ฮือ...”

        เมื่อเสียงประมุขของบ้านเริ่มเข้ม ดุขึ้น พี่เลี้ยงก็รีบดึงเอาตัวซีโลเข้ามากอด กระซิบให้หยุดร้องไห้เพราะรับรู้ได้ว่าอานันท์เริ่มอารมณ์เสียแล้ว “ชู่ว... เงียบก่อนนะคะ รออีกแป๊บเดี๋ยวคุณอาก็กลับแล้ว”

        แต่ก่อนที่สถานการณ์จะย่ำแย่ไปกว่านี้ เสียงหวานของอภินราที่ดังขึ้นก็ทำให้ทุกคนหันไปมองยังร่างอรชรที่ยืนอยู่หน้าประตูใหญ่ “ซีโล...”

        “เอลก้า...” ซีโลหยุดร้องไห้ราวกับปิดสวิตช์ พยุงตัวลุกขึ้นจากพื้นแล้ววิ่งไปกอดคนเป็นอาด้วยความดีใจ

        อภินราก้มตัวลงพร้อมใช้ฝ่ามือลูบแผ่นหลังของหลานชายที่กอดช่วงสะโพกของตัวเองไว้อย่างหนาแน่น เธอเดาเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นได้เพราะไมใช่ครั้งแรกที่ซีโลร้องไห้ โวยวายเช่นนี้ “อาขอโทษนะ ตั้งใจจะไปรับซีโลจริงๆแต่รถติดมาก กลัวว่าซีโลจะรอนาน อาเลยโทรฯมาบอกให้คนที่บ้านไปรับ ไม่ได้ทิ้งซีโลไปไหนสักหน่อย”

        เมื่อได้ยินเช่นนั้นเด็กชายก็เงยหน้าขึ้นมองคนเป็นอา พร้อมคำถามเพื่อความแน่ใจ “จริงๆนะฮะ เอลก้าไม่ได้หลอกจริงๆนะ”

        อภินรายิ้มพลางแกะแขนเล็กทั้งสองข้างออกจากสะโพกผายของตน แล้วทรุดตัวคุกเข่าลงกับพื้น ประคองใบหน้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตาของหลานชายเอาไว้ในมือ มองแววตาแสนรัก พูดด้วยน้ำเสียงมั่นคงทว่าอบอุ่นอยู่ในที “อารักซีโลยิ่งกว่าอะไรในโลก จะทิ้งไปไหนได้ล่ะ ซีโลบอย”

        เมื่อได้ยินเช่นนั้นซีโลก็โผเข้ากอดผู้เป็นอาอีกครั้ง ยิ้มอย่างดีใจและซุกหน้าเข้ากับผ่าบอบบางเพื่อเช็ดน้ำตาตัวเองจนพี่เลี้ยงและแม่บ้านอมยิ้มให้กับท่าทางดังกล่าว มีเพียงประมุขของบ้านเท่านั้นที่มองด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์เท่าไหร่

        “เอาล่ะ ไปล้างหน้าล้างตาแล้วไปรออาในห้องนั่งเล่น วันนี้คุณครูต่อเพลงให้จบแล้วใช่ไหม” ถามพลางดึงหลานชายออกห่างแล้วใช้มือป้ายน้ำตาออกจากสองแก้มด้วยอาการอ่อนโยน

        “ฮะ ซีโลจะเล่นเปียโนให้ฟังจนจบเพลงเลย” บอกอย่างอารมณ์ดีราวกับไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟายเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ เมื่อเห็นหลานชายอารมณ์เป็นปกติแล้วอภินราพยุงตัวลุกขึ้นพร้อมพยักหน้าให้พี่เลี้ยงพาหลานชายเข้าไปด้านใน

        “โอ๋กันเข้าไป อย่าลืมนะว่าซีโลเป็นเด็กผู้ชาย แกควรจะเลี้ยงให้เขาเข้มแข็ง ไม่ใช่เลี้ยงให้เป็นลูกแหง่ อะไรนิดอะไรหน่อยก็ร้องไห้เรียกหาแต่แกคนเดียว” อานันท์พูดขึ้นด้วยความไม่พอใจ เมื่ออยู่ด้วยกันกับลูกสาว

        “คุณพ่อน่าจะรู้ว่าซีโลไม่เหมือนเด็กคนอื่น คุณหมอก็อธิบายเรื่องนี้ชัดเจนแล้ว พ่อเองก็สัญญาว่าจะใจเย็นกับซีโลให้มาก อย่าลืมสิคะ” อภินราทวงสัญญาจนคนเป็นพ่อคอแข็งเถียงไม่ออกเพราะนึกถึงช่วงเวลาเลวร้าย ตนต้องกลายเป็นอัมพาตท่อนล่าง ส่วนหลานชายก็พูดช้ากว่าปกติ “ซีโลแค่มีความกังวลใจมากกว่าเด็กทั่วไป กลัวว่าคนที่เขารักจะทอดทิ้งไปเหมือนพ่อแม่เท่านั้น หนูแค่ตะล่อมปลอบ พยายามรักษาให้เขาเป็นปกติไม่ได้สปอยล์หลานจนเสียเด็กนะคะ...”

        “เอาล่ะๆ ที่เตือนก็เพราะหวังดี ซีโลก็หลานฉันเหมือนกัน” อานันท์ตัดบทก่อนที่ลูกสาวผู้มีจิตใจดีงามจะชักแม่น้ำทั้งห้ามาสาธยายให้ฟัง หากดวงตาก็ไปปะทะเข้ากับปลายแขนเสื้อของใครบางคนที่ยืนอยู่หลังประตู “แล้วนั่นใคร มาทำลับๆล่อๆอะไรตรงนั้น”

        เสียงดุเข้มที่ดังขึ้น ทำให้คนที่ยืนอยู่หลังประตูใหญ่เดินเข้ามาทำความเคารพประมุขของคฤหาสน์วรโชติ “สวัสดีครับคุณลุง”

        “อ้าว... คุณตฤณมาด้วยหรอกรึ” อานันท์รับไหว้พลางทักทายตฤณ เรืองโกเมศ นักธุรกิจหนุ่มไฟแรงซึ่งพักหลังนี้ไปมาหาสู่บ้านตนบ่อยขึ้น

        “ครับ ผมเป็นคนไปรับเอลก้าจากงานเลี้ยง แต่เห็นว่ากำลังยุ่งๆเลยรออยู่ข้างนอกครับ” บอกอย่างสุภาพพร้อมกับยื่นกระเช้าผลไม้อย่างดีให้ผู้สูงวัยโดยมีแม่บ้านที่ยืนอยู่ไม่ไกลเอื้อมมือมารับ “คุณลุงสบายดีนะครับ”

        “ตามอัตภาพ ความจริงไม่ต้องมีของติดมือมาทุกครั้งหรอก ลุงเกรงใจ” อานันท์ว่าพลางผายมือเชิญชายหนุ่มไปยังห้องรับแขก

        “งั้นฉันขอตัวสักครู่นะคะ คุณคุยกับคุณพ่อไปก่อน” อภินราบอก เมื่อเห็นตฤณพยักหน้ารับแล้วเดินเข้าไปเข็นรถเข็นอย่างรู้งาน เสียงห้าวของหนุ่มต่างวัยที่สนทนากันอย่างถูกคอดังขึ้นและค่อยๆหายไป เมื่อเธอเดินขึ้นมาชั้นบนของบ้าน

หญิงสาวรู้ดีว่าตฤณ คือผู้ชายที่พ่อหมายตาไว้ให้เป็นสามีในอนาคตอันใกล้นี้ เขาเป็นทายาทเพียงคนเดียวของบริษัทปูนซีเมนต์ที่ใหญ่ที่สุดและยังมีซูเปอร์มาร์เก็ตขายวัสดุอุปกรณ์เกี่ยวกับการก่อสร้างทุกชนิด ซึ่งเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจของตระกูลเธอเป็นอย่างดี

อภินรามีโอกาสได้รู้จักกับตฤณเมื่อปลายปีที่ผ่านมาโดยการแนะนำของผู้ใหญ่ในวงสังคม การสร้างคอนโดมิเนียมเฟสล่าสุดของบริษัทเธอนั้น ก็ได้รับเครดิตจากบริษัทของตฤณ แน่นอนว่ามันทำให้เธอสามารถหมุนเวียนเงินในระบบได้อย่างคล่องมือ โดยไม่ต้องหาแหล่งเงินทุนจากธนาคารพาณิชย์เช่นโครงการที่ผ่านมา มันยิ่งทำให้พ่อของเธอเกิดความพอใจในตัวของตฤณมากขึ้นไปอีก

        ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าตฤณ ช่วยเหลือเธอในเรื่องธุรกิจได้มากโข ทั้งสองสามเดือนให้หลังมานี้ เขาก้าวเข้ามามีส่วนร่วมในชีวิตส่วนตัวของเธอมากขึ้น ทุกครั้งที่มาหาจะมีข้าวของติดไม้ติดมือมาให้พ่อและซีโลตลอด ถึงแม้ว่าจะยังไม่ได้รับความไว้วางใจจากซีโลแต่ตฤณก็พยายามชวนเล่นสนุกอยู่ทุกครั้งไป

        สายน้ำเย็นฉ่ำที่ปะทะเข้ากับผิวเนียนละเอียดเรียกความสดชื่นให้อภินราได้เป็นอย่างดี หากในใจยังคิดถึงอนาคตของตนที่ต้องมีร่วมกับผู้ชายข้างล่างไม่หยุด เธอจินตนาการภาพหวานชื่นกับตฤณไม่ได้เลยสักครั้ง ใช่ว่าเขาไม่ดีหรือมีข้อบกพร่องจนเธอรับไม่ได้ หลายครั้งที่พยายามทำใจให้รักใคร่ในตัวเขา แต่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นกลับว่างเปล่า เป็นเพียงความปลื้มใจ รู้สึกดีในน้ำใจเพื่อนคนหนึ่งมีให้เท่านั้น และมันช่างห่างไกลจากคำว่าเสน่หานัก!

        หากความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้คือ เขาคือที่พึ่งพาในแง่ธุรกิจที่เธอต้องแบกรับไว้บนบ่าเพียงลำพังนับตั้งแต่พี่ชายเสียชีวิต พ่อเจ็บป่วยออดๆแอดๆ อภินราเดินออกจากห้องน้ำพร้อมกับมองตัวเองในกระจกเงา พร้อมบอกกับตัวเองว่า การทำใจให้รักตฤณอย่างจริงจัง คงจะทำให้เธอรู้สึกผิดน้อยลงกว่านี้ นั่นคือคำตอบและสิ่งที่เธอควรทำ หากเพียงชั่วครู่ก็เกิดคำถามขึ้นว่า... เธอจะสั่งใจอย่างไรถึงจะรักตฤณฉันหนุ่มสาวได้?

 

        อภินรากลับลงมาชั้นล่างอีกครั้งในชุดผ้าฝ้ายสวมสบาย รวบผมที่ดัดเป็นลอนหลวมๆตามสมัยนิยมไว้ด้วยง่ายๆ เปิดเผยผิวสุขภาพดีไร้ซึ่งเครื่องสำอาง ภาพที่เธอคอยพูดจาให้กำลังใจหลานชาย เล่นเปียโนด้วยมือซ้ายไปพร้อมๆกับหลานชายที่เล่นด้วยมือขวา คอยสอนอย่างใจเย็น ยิ่งทำให้ตฤณมองภาพนั้นเพลินตา เธอช่างให้ความรู้สึกถึงแม่ผู้อบอุ่นในขณะเดียวกันรูปร่างอรชรก็น่าปรารถนาจนต้องมองด้วยแววตาเสน่หาอย่างเปิดเผย

        ซึ่งปฏิกิริยาเหล่านั้นไม่สามารถรอดพ้นสายตาประมุขของคฤหาสน์วรโชติไปได้เลย เมื่อเวลาอาหารเย็นเริ่มขึ้นสักระยะหนึ่ง คำพูดที่ออกจากปากของอานันท์ก็ทำให้ลูกสาวอายแทบแทรกแผ่นดินหนี

        “ถ้าแต่งงานมีลูกมีเต้ากันไป คงไม่ต้องห่วงว่าเอลก้าจะเลี้ยงลูกไม่เป็นแล้วนะ เก่งกว่าแม่ลูกอ่อนบางคนเสียอีก” อานันท์พูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ

        “ครับ/คุณพ่อคะ” ตฤณรับคำอย่างดีใจ ในขณะที่อภินราเรียกพ่อด้วยความตกใจสุดขีด

        “จะอายอะไรนักหนา เรื่องธรรมชาติ เมื่อเช้านี้คุณพ่อของตฤณก็โทรฯมา เลียบเคียงถึงเรื่องของเราอยู่เหมือนกัน แต่คงไม่กล้าพูดทางโทรศัพท์เลยได้แค่ไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบกันตามประสา”

        เมื่อได้ยินผู้ใหญ่ของฝ่ายหญิงเปิดไปเขียวเช่นนั้น ตฤณจึงรีบฉวยโอกาสไว้ด้วยความดีใจ “ผมต้องบินไปไต้หวันสามวัน หลังจากกลับมาผมจะให้คุณพ่อคุณแม่มาสู่ขอเอลก้านะครับ”

        “เอ่อ...”

        “ฉันจะรอ” อานันท์ตอบรับก่อนที่ลูกสาวซึ่งทำหน้าตื่นจะพูดอะไรที่ไม่เข้าหูออกมาเสียก่อน

        จากนั้นบรรยากาศบนโต๊ะอาหารสำหรับอภินราก็เป็นไปอย่างฝืดคอ เธอคงไม่กล้าที่จะขัดใจหรือแสดงความคิดเห็นขัดแย้งกับผู้เป็นพ่อต่อหน้าบุคคลที่สาม เพราะรู้ดีว่าหากหักหน้าท่านเช่นนั้นคงต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ จึงทำได้แค่เพียงดูแลหลานชายที่นั่งรับประทานอาหารอยู่ข้างๆ ฟังบทสนทนาของทั้งคู่และยิ้มรับเมื่อตฤณหันมามองเป็นระยะเท่านั้น

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา