Zodiac Fate I (ภาคเปิดตำนานสิบสองราศี)
เขียนโดย esther
วันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2558 เวลา 13.20 น.
แก้ไขเมื่อ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 00.22 น. โดย เจ้าของนิยาย
10) Leroy:ปราการแห่งทิฐิ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความณ ทุ่งกว้าง ธาธ่าพื้นที่ราบลุ่ม
แสงแดดยามเช้าเทือกเขาสูง นภากระจ่างไร้เมฆหมอก
ขนานไปกับพื้นหญ้าเขียวขจีไปสุดลูกตา
บนเนินที่ราบต้นไม้ใหญ่มีลำธารน้ำเล็กๆไหลผ่าน
ใต้ร่มเงาต้นไม้ใหญ่นั้นเองจะพบนักเดินทางสี่คนที่กำลังนั่งสนทนากันอยู่
เทพราศีทั้งสามองค์เอ่ยขึ้นประสานเสียงพร้อมกันดวงตาต่างก็เปิดกว้าง
"นางหลงรักลูซิเฟอร์เหรอค่ะ...ได้ไง"
"โอ้ คุณพระ!! หล่อนชอบเล่นของแรงอยู่นะนั้น"
"........อืม"
แม้กาบริเอลจะหลับตาฟัง ก็พอเดาได้ว่าใครพูดอะไรออกมาบ้าง
ท่ามกลางคำถามมากมายที่ ถาโถมเข้าใส่นางฟ้าสาวชุดใหญ่ด้วยความสงสัยใคร่รู้
กาบริเอลลืมตาขึ้น กวาดสายตามองไปที่ใบหน้าทุกคน พร้อมยกฝ่ามือขึ้นหมายให้ทุกคนสงบลง
ตกลง ข้าจักเล่าเรื่องราวของพวกเขาทั้งสามนี้ให้พวกท่านฟัง"
พูดจบประโยค เอรอส อดามิน่า ฟิลเดลโล่ รู้ดีว่าสิ่งที่ตนควรทำคือ....เงียบ
พระองค์ก็ได้สร้าง 7 อัครเทวทูตแห่งสวรรค์ขึ้นมาก่อนนั้นคือ ข้า
กาบริเอล เทพแห่ง ความเมตตา การเกิดใหม่
หน้าที่ของข้าคือ "การส่งสารจากพระผู้เป็นเจ้า"
ราฟาเอล เทพแห่งการ "รักษา"
มิคาเอล เทพแห่งการ "ปกป้อง"
อูรีเอล เทพแห่ง "แสงสว่าง" มีหน้าที่เฝ้าดูมนุษย์
ซารีเอล เทพแห่ง"ความกล้า" และ "การควบคุม"
เรมีเอล เทพแห่งความ"แท้จริง" มีหน้าที่การบอก "ความจริง"
แก่ผู้คนและคอยจำกัดปีศาจ
รากูเอล เทพแห่ง "ความยุติธรรม" "ความถูกต้อง" และ "ความเท่าเทียม"
มีหน้าที่รักษาความสมดุลในภพต่างๆ"
อดามิน่าพูดแทรกขึ้น ทำให้กาบริเอลต้องส่ายหน้าอย่างช้าๆ แทนการปฎิเสธ
"Lucifer นั้น ถือได้ว่าเป็นอัครเทวดาองค์หนึ่งและเป็นอัครเทวดาองค์แรก
ที่พระบิดาได้สร้างขึ้นมาให้มีรูปงามมากที่สุดเหนือเทวดาทั้งหมด
เพื่อต้องการให้เป็นผู้ช่วยงานส่วนใหญ่ของพระองค์อย่างใกล้ชิด
...Lucifer ก็ได้รับความรักจากพระองค์มากที่สุด
ถึงแม้ถือว่าเป็นอัครเทวดาองค์หนึ่งแต่ก็ไม่ได้จัดให้อยู่ใน 1 ใน 7 อัครเทวทูต
เพราะส่วนใหญ่จะทำงานใกล้ชิดพระบิดามากกว่า"
เอรอสที่นอนกลิ้งไปกลิ้งมา หันหน้ามาถามขึ้นด้วยแววตาเปล่งประกาย
"อย่างที่ข้ากล่าวไปเมื่อครู่
พระบิดาต้องการให้Luciferเป็นผู้ช่วยงานของพระองค์อย่างใกล้ชิด
ดังนั้นตอนสร้างพวกท่านทั้งสิบสองขึ้นมา Lucifer
จึงได้อยู่ดูการสร้างสรรพวกท่านขึ้นมาด้วย
ส่วน Aquarius และ Pisces
นั้นจำเป็นต้องให้ 7 อัครเทวทูตมากันพร้อมหน้าจึงจะเริ่มสร้างพวกนางขึ้นมา
"วงน้ำวนแห่งการจุติ"คือแอ่งน้ำศักสิทธิ์ที่ใช้สร้างกายทิพย์ของบรรดาเทพต่างๆ
เนื่องจากพวกนางเป็นตัวแทนของ "แสงและเงา" ของพระองค์ จึงต้องคอยระวังเป็นพิเศษ..."
ฟิลเดลโล่ เห็นท่าทางที่อึดอัดใจของหญิงสาวจึงถามขึ้น
"อืม...Lucifer เป็นอัครเทวดา
ที่ถูกสร้างขึ้นมาจาก เปลวเพลิงของดวงอาทิตย์เจ็ดดวงบนโลกมนุษย์
เขาจึงเป็นผู้ที่หยิ่งยะโส จองหองอวดดี และทรนงตนเป็นอย่างมาก
มักจ้องมองผู้อื่นด้วยสายตาที่ดูหมิ่น
จึงเป็นที่ชิงชังของเทวดาหลายองค์บนสวรรค์ ...แต่ถึงกระนั้นแล้ว..."
"ในวันที่สร้าง Aquarius ข้าจำได้ดี นาทีที่นางก้าวขึ้นมาจากวังน้ำวน
ที่เปลี่ยนเป็นสีดำสนิทแค่เพียง Lucifer เห็น Aquarius
ไม่ว่าจะเป็นดวงตารึสีหน้าของเขา
ก็แลดูนุ่มนวลลง อย่างน่าแปลกประหลาด
และนั้น...เป็นครั้งแรกในชีวิตของข้าเลย
ที่ได้เห็นดวงตาอันจองหองนั้น....ฉายแววอ่อนโยน
พวกข้ารู้ได้ในทันที Lucifer หลงรัก Aquarius
...แต่ด้วยเหตุที่ว่าพวกท่านทั้ง12ถูกสร้างให้มีคู่ครองของตน
Aquarius จึงตกเป็นของ Leo อย่างเสียมิได้"
นางฟ้าได้ยินที่ อดามิน่า ถามขึ้นก็หันมาให้ยิ้มหญิงสาวนัยต์ตาสีชมพูใส
"พวกข้าเป็น 7 อัครเทวทูตมีหน้าที่รับใช้พระบิดาและช่วยเหลือมนุษย์
ล้วนถูกสร้างให้อยู่เหนือความรักในเชิงกามอารมณ์ของชายหญิง
....
ความรักของพวกข้ามีเพียง ความรักที่บุตรทั้งหลาย ควรพึงกระทำต่อ บิดามารดา
คือ ความรักที่จงรักภักดีต่อพระเจ้าเท่านั้น..
และอันที่จริง Lucifer เองก็ควรจะเป็นเช่นนั้น....
บางทีอาจเป็นเพราะ Aquarius จำต้องถูกสร้างมาให้ครองคู่กับLeo
เรือนร่างรูปหน้าล้วนเป็นดังที่เขาต้องการ
ซึ่งLeoเองก็ถูกสร้างจากไฟของดวงอาทิตย์เช่นเดียวกับLucifer
ในความ ทรนง หยิ่งยะโส รักในเกียรติยศและศักดิ์ศรี
เขามีนิสัยใจคอ คล้าย Lucifer อยู่ไม่น้อย เลยทีเดียว
Aquarius จึงกลายเป็นหญิงสาวในแบบที่ Lucifer ต้องการไปด้วย"
ชายหนุ่มผมแดงยังคงไม่เข้าใจเรื่องราวอันซับซ้อนนี้เท่าใดนัก
"ก็อย่างที่ข้าบอกไป Aquarius นั้นกลไกในใจนางซับซ้อนยากที่จะเข้าใจ
ตามนิสัยนางก็ไม่ชอบแสดงออกทางอารมณ์ แม้แต่จะทำสิ่งที่ดีๆให้กับคนที่ตนรัก
มิหน่ำซ้ำยังโกหกหน้าตาย ยากนักที่จะจับได้เรื่องใดจริงรึเท็จ
Leo ที่มีความหยิ่งทรนงตนมาก
จิตใจจึงเต็มไปด้วยทิฐิ ไม่คิดจะ ไกลเกลี่ย ใดๆทั้งสิ้น ยามใดมีปัญหากันเขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยย่อมต่างจาก Lucifer ที่ยอมเปลี่ยนแปลงได้ทุกสิ่งเพื่อนาง
นั้นคงเป็นโอกาศที่ดีของเขาที่จะเข้าใกล้นาง
ทุกคืนทั้งสองจะนัดเจอกันที่สวนอีเด็น เพื่อพบปะสนทนากัน"
"สนทนากันอย่างเดี่ยวเหรอ...ไม่ทำอะไรอย่างอื่นเลยเหรอ"
เอรอสพูดเสียงสูงด้วยสีหน้ากรุ่มกริ่ม ทำให้ อดามิน่าต้องหัวเราะออกมาใบหน้าแดงเล็กน้อย
"บนสวรรค์เทพทุกองค์ล้วนเกรงกลัวต่อบาป
ผิดพลาดนิดเดียวอาจกลายเป็นธุลีดินได้
ความรักของทั้งสอง ผู้ที่รับรู้และเฝ้าดูล้วนมีแต่เห็นอกเห็นใจ
......ข้าเองก็เช่นกัน
....อืม...เมื่อเกิดเหตุการณ์สวนแอปเปิ้ลในสวนอีเด็น
Aquarius นางยืนกรานเสียงแข็งว่า Lucifer มิได้เป็นผู้ก่อขึ้นแน่ๆ
แต่การหาหลักฐานรึสิ่งต่างๆมาเป็นข้อพิสูจน์ก็จำเป็นต้องใช้เวลา
จึงไม่อาจช่วย Lucifer ไว้ได้ทันกาล...สุดท้าย
Lucifer ก็กลายสภาพเป็น Demons และต้องตกสวรรค์ในที่สุด"
ผ่านความเงียบที่เกิดขึ้นใต้ร่มเงาต้นไม้ใหญ่
"เจอกันในทุกค่ำคืน...เพียงแค่ได้คุยกันก็ยังดีสินะ...เฮ่อ"
หญิงสาวผมเงิน ถอนหายใจออกมาด้วยนัตย์ตาสงสารคิ้วชนกัน
"แล้วตอนนี้พวกเราต้องเดินทางไปที่ไหนกัน ถึงพบ Leo ละเกบบี้"
เอรอส ถามขึ้นเพื่อเตรียมใจรับศึกครั้งนี้
นางฟ้าสาวชี้ไปที่ภูผาสูงแนวที่ราบลุ่มนั้น
"ขึ้นไปยังเทือกเขานี้มีแอ่งภูเขา ภายในนั้นมีคฤหาสน์ร้างอยู่ที่นั้นเอง เป็นที่พักของ Leo "
ฟิลเดลโล่ที่นั่งเงียบฟังเรื่องราวทั้งหมด เขาไม่มีความคิดเห็นใดใดเกี่ยวกับเรื่องนี้
เขาลุกขึ้นเดินไปหยิบ ออสวอท หุ่นสังหารของอดามิน่าขึ้นมาใส่ถุงหนังใบใหญ่
คว้าอาวุธตนสะพายด้านหลัง ก่อนจะกระโดดขึ้นอาชาสีดำ
"เฮ้ เฮ้ จะไปไหนน่ะ"
เอรอส รีบลุกขึ้นยืนตะโกนลั่น
"เจ้าก็รู้อยู่แล้วนี่นา"
เสียงทุ่มต่ำตอบด้วยสีหน้าปกติ
"ท่าน แน่ใจแล้วหรือ...ฟิลเดลโล่"
กาบริเอล พูดพร้อมจ้องไปในตาสีเขียวอมฟ้าน้ำทะเลคู่นั้น
...ดังนี้นการที่ Leo เลือกที่จะอยู่กับสิ่งนั้นมากกว่าAquarius
ก็ย่อมต้องเสียนางไปให้ Lucifer เป็นเรื่องสมควรอยู่แล้ว
ข้าต้องรีบไปพบคนรักของข้าScorpio
และจะไม่ยอมเสียเวลาไปกับชายผู้โง่เขลา"
สิ้นประโยคนั้นฟิลเดลโล่กระแทกบังเหียนเร่งควบม้าออกไปไกล หายไปในสุดขอบที่ราบลุ่ม
"ไม่เป็นไรแน่เหรอ เกบบี้"
เอรอสมีสีหน้าที่ไม่ค่อยดี แววตาเป็นห่วงเพื่อน
"ไม่หรอก ฟิลเดลโล่เป็นคนใจเย็นย่อมรู้ดีว่าตนทำอะไรอยู่
...แต่เพื่อความแน่ใจว่า ฟิลเดลโล่จะทำสำเร็จ ข้าคงต้องเปิดจักรราศี"
ขณะที่หนุ่มสาวทั้งสองยัง งง อยู่กับประโยคที่เธอพูดขึ้น
ท้องฟ้ากระจ่างนั้นค่อยๆมืดมิดลง สายลมหยุดพัด แม้แต่ธารน้ำก็นิ่งสนิท
เอรอสและอดามิน่ายืนมองสภาพแวดล้อมโดยรอบที่กลายเป็นสีขาวดำ
และร่างของนางฟ้าที่ส่องประกายจนเป็นขาวโผล่นไปทั่วร่าง
พระนามพระองค์ เป็นที่สักการะแด่ข้า...กาบริเอล
โปรดทอดพระเนตรมองลงมายังข้า ผู้รับใช้
เพื่อรับฟังคำวิงวอนนี้ ข้าปรารถนาให้หมู่ดาวราชสีห์นั้นเปิดออก
เรียกความทรงจำ เมื่อครั้งยังอยู่เคียงข้างพระองค์...บนสรวงสวรรค์
ณ ยามที่ Leo เข้าสู่ห้วงนิทรา"
พร้อมกับลำแสงสีทองที่ถูกปลดออกมาจากหน้าผากนางฟ้า พุ่งไปบนนภาที่มืดมิด
และทุกสิ่งก็กลับคืนสู่สภาวะปกติกาบริเอลหลับตาลงทรุดล้มลงไปนอนกับพื้นในทันใด
เสียงเอรอสและอดามิน่าตะโกนดังก้อง
อดามิน่าวิ่งเข้าประครองร่างของนางฟ้าที่เหนื่อยอ่อน
"ข้าไม่เป็นไร ขอพักผ่อนเพียงชั่วครู่ก็คงหายดีแล้ว"
"แน่ใจเหรอ เกบบี้ ตัวเจ้าเย็นมากเลยนะ"
เอรอสถามเสียงดังอย่างร้อนรน นางฟ้ายิ้มพยักหน้าแทนคำตอบ
ก่อนจะเปรยกับตัวเองเบาเบา
..
...
อีกแล้วรึเนี่ย...ไม่ใช่สิ...
นี่มันไม่ใช่แค่เสียง....
..
ที่นี่ที่ไหน....
....หมอกหนาชะมัด
ทำไมถึงมีทั้งดวงจันทร์และดวงอาทิตย์อยู่บนฟ้า?
ต้นไม้ที่มีใบไม้สีน้ำเงิน...มันช่างเหลือเชื่อ
นี่ข้ากำลังเดินไปที่ไหนกัน...แล้วทำไมควบคุมตัวเองไม่ได้เลย
ลีรอยเผลอหลับเมื่อไหร่เขาไม่ทันได้สังเกตุ
แต่ที่ชายหนุ่มแน่ใจได้อย่างหนึ่งคือตอนนี้เขากำลังอยู่ในความฝัน
ณ ศาลาริมน้ำ ที่มีลวดลายสวยงาม และมีต้นกุหลาบสีน้ำเงินเลื้อยขึ้นรอบๆเสาทั้งสี่
กลางศาลาริมน้ำมีชุดเก้าอี้ โต๊ะที่สร้างจากหินอ่อน
ถาดเงินที่มีองุ่นแดงอยู่พูนชาม แก้วน้ำและแจกันคริสตัลใบสวย วางอยู่บนโต๊ะหินอ่อน
และเหนือสิ่งอื่นใด สาวผมเงินชุดดำยาวที่หันหลังยืนอยู่ตรงระเบียง
รูปร่างได้สัดส่วน สีผิวขาวซีดเซียวราวกับพรายหิมะ เงยหน้ามองฟ้าด้วยท่าทางเหม่อลอย
หนุ่มสิงห์ได้ยินเสียงตัวเองตะโกนดังก้อง
ดูเหมือนว่านอกจากมองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วเขาก็ไม่อาจควบคุมอะไรได้ทั้งสิ้น
"น่าแปลกเสียจริง...ราชสีห์เช่นเจ้ากลับเห่าเก่งเยี่ยงสุนัขจรจัด"
หญิงสาวลึกลับตอบเสียงเย็นโดยไม่หันหลังกลับมามองคู่สนทนาเลยแม้แต่น้อย
ชายหนุ่มกัดฟันแน่น และที่น่าแปลกก็คือ ตัวเขาเอง ก็รู้สึกเจ็บกับคำพูดของหญิงสาวด้วยเช่นกัน
"ลูซิเฟอร์ล่อลวง อีฟและอดัมให้กินผลไม้ปีศาจ
การที่มันต้องตกสวรรค์กลายสภาพเป็นปีศาจนั้นนับว่าเป็นเรื่องสมควรยิ่ง"
ลีรอยฟังประโยคกระแทกกระทั่นปนขบขัน ที่ออกมาปากของตน
แต่ก็ไม่ได้รับคำพูดใดๆตอบกลับมานอกจากความเงียบ
หญิงสาวตัดบทสนทนาโดยการกลับหันหลังเดินเลี่ยงไป
อาจเป็นเพราะภาพในความฝันมันช่างเลือนลาง และสายหมอกที่ลงหนาทำให้ไม่อาจเห็นหน้าหญิงสาวได้ชัดเจนเท่าใดนักแต่ระหว่างที่หญิงสาวเดินสวนทางไปแล้วนั้นเองลีรอยก็พบว่า อุ้งมือของเขาเอื้อมคว้าแขนเธอจากทางด้านหลังฉุดกระชากร่างบางเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนตน พร้อมยิ้มเยาะเย้ย
"ทำไม?ถึงกับทนฟังไม่ได้เชียวรึ แสดงว่าติดใจมันมากเลยละสิท่า"
ด้วยอารมที่เกรียวกราดของชายหนุ่มจึงหลุดปากพูดออกไป
คำพูดที่มิควรจะเอ่ยต่อหน้านางผู้นี้เสียด้วยหญิงสาวพยายามสะบัดตัวออกมาจากอ้อมแขน
วินาทีที่นางเงยหน้ามองชายหนุ่มนั้นเอง เพราะอยู่ในระยะที่ประชิดกันมาก
ลีรอยจึงได้เห็นดวงตาส่องประกายสีม่วงเข้มฉายแววโกรธเคือง แม้รูปหน้าจะเป็นภาพล่างๆก็ตามที
"ข้าและลูไม่เคยกระทำการต่ำทราม เฉกเช่นที่มันมีอยู่แต่ในหัวเจ้าเลย Leo"
หญิงสาวยังคงตอบด้วยเสียงเรียบ
"ขอให้มันจริงเถอะ
ชายหญิงที่แอบลักลอบพบกันตามสวนอีเด็นจะไปทำอะไรกันมิทราบ"
ชายหนุ่มเอยขึ้นโดยไม่สนใจแรงดิ้นรนในอ้อมแขน
"ลักลอบ?ช่างน่าขำผู้ที่ล่วงรู้เห็นประจักมีมากมายจะเรียกลักลอบได้เช่นไร
แต่ก็นะหึ...Leo เพราะในกระโหลกบางๆเจ้ามันคงมีแต่เรื่องพรรณนี้"
ประโยคที่ก่อเปลวเพลิงแห่งความโกรธแค้นแก่ฝ่ายชายในทันใด
"การที่เจ้าต้องมาเป็นภรรยาของข้านั้นก็เป็นเพราะเจ้าเอง
ก็พร้อมรับเรื่องแบบนี้ได้ทุกโมงยามเลยสินะ!"
ลีรอยได้ยินตนกล่าวเสียงเหี้ยมจากนั้นก็เห็นได้ชัดว่า ตนได้กระชากร่างหญิงสาวมาไว้ในอ้อมแขน
ใบหน้าของตนเข้าไปใกล้ริมฝีปากที่แดงดุจทับทิมผ่าครึ่งไล้สันจมูกตนไปกับแก้มเนียน แขนที่โอบหญิงสาว
อีกข้างเลื่อนสูงขึ้น สัมผัสผ่านเส้นผมสลวยสีเงินดุจแสงจันทร์นั้น กดศรีษะของหญิงสาวไว้
ไม่ให้อีกฝ่ายเบือนหน้าหนี เขาขยับใบหน้าเข้าไปอีกเพื่อครอบครองเรียวปากสีแดงเงาระเรื่อ
ทว่าร่างบางหญิงสาวกลับแน่นิ่งเย็นเฉียบราวกับธารน้ำแข็ง
ขณะที่ริมฝีปากชายหนุ่มกำลังเข้าไปประกบนั้น มือเขาก็เข้ากอดรัดร่างบางนั้นอย่างร้อนแรงราวกับจะใช้จุมพิตนี้บันดาลโทสะตนไปด้วย ลีรอยรู้สึกได้ถึงลมหายใจของหญิงสาวที่รดลงบนใบหน้าตนยิ่งกระตุ้นความต้องการของเขา...ให้ยิ่งเดือดพล่าน
"จะไม่ปลดเปลื้องชุดนี้ก่อนเลยรึ...Leo?"
ประโยคที่แทรกขึ้นมาของหญิงสาวทำให้ชายหนุ่มถึงกับหยุดชะงักในระยะหายใจประชิด
หญิงสาวเธอลูบไล้เรียวปากของเธอที่ร้อนผ่าวไล่ไปตามลำคอชายหนุ่มจนถึงใบหู
"ทำไมถึงหยุดกลางคันเสียละ ยอดรัก...ฉีกอาภรนี้เสียสิด้วยกำลังความเป็นชาย
ยังไงซะกายนี้ก็ทำให้เจ้าหายอยากได้ทุกเมื่อได้มิใช่รึ?"
พร้อมเอ่ยเสียงกระซิบอันอ่อนหวานที่แช่แข็งชายหนุ่มได้ทั่วทั้งร่าง
ลีรอยรู้สึกเหมือนถูกเข็มพิษทิ่มแทงเข้าภายใน มิอาจทนสบตาสีม่วงคู่งามนั้นต่อไปได้
"เอาซิ...Leo...เอาเลย...
แสดงความเป็นชายของเจ้าโดยการย่ำยีร่างบางที่ไร้ทางสู้นี้"
คำพูดที่ฉีกหัวใจชายหนุ่ม สร้างความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส
จนเขาต้องปล่อยตัวเธอออกจากอ้อมแขน
"ทำไมละ? ยังไงเสียข้าก็ขัดขืนเจ้าไม่ได้อยู่แล้วจะย่ำยี?
รึจะสำเร็จความใคร่ ณ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ เจ้าทำได้ทุกสิ่งตามใจเจ้าปรารถนา..."
สาวงามลึกลับไม่พูดปากเปล่าเธอเลิกชายกระโปรงสีดำนั้นขึ้น
ไล้นิ้วยาวเรียวกับกับต้นขาเรียวขาวของเธอ
"..ข....ข้า"
เสียงที่ออกมาจากปากตนราวกับโดนเชือกแขวนคอความทรมาณเหมือนกลืนหินนี้คืออะไร มีคำพูดมากมายที่เอ่ยออกไปมิได้สิ่งที่ข้าต้องการบอกนาง แท้จริงแล้วคืออะไรกันแน่
"เจ้าก็เหมือนมนุษย์เพศชาย
ชอบทำร้ายอิสตรีเพื่อกลบเกลื่อนความอ่อนแอของตัวเอง"
เธอกล่าวจบเชิดหน้าขึ้น ก่อนจะใช้มือที่ลูบไล้ขาอ่อนสะบัดชายกระโปรงยาว
(ไม่ใช่ ...ไม่ใช่อย่างนั้น...เจ้ากำลังเข้าใจข้าผิด)
แม้เสียงในใจจะร้องดังก้องแต่ร่างนั้นกลับเพียงถอยห่างออกมายืนนิ่งอึ่ง
"เจ้ารู้สึกดี กับการได้เปรียบอิสตรีผู้ที่อ่อนแอกว่า ไม่ว่ากำลังกายรึอิสระภาพ
บุรุษ ล้วนถูกสร้างสรรค์มาให้เหนือกว่า ทั้งที่เป็นเช่นนั้นเหล่าบุรุษก็ยังคงหาทางเอาเปรียบอิสตรีอยู่วันยัง ค่ำ...ไม่ต่างจากเจ้าเลย LEO"
เมื่อถูกนัยต์ตาสีม่วงนั้นจ้องมองก็ราวกับถูกแช่แข็ง หญิงสาวสะบัดผมหันหลังเดินจากไป
(เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งไป...เดี๋ยวฟังข้าก่อน)
โครมมมม!!?
ลีรอยมองร่างของตัวเอง ถีบโต๊ะหินอ่อนบนศาลาล้มลง
เครื่องเรือนทั้งหมดแตกกระจาย เกลื้อนพื้นหญิงสาวมองการกระทำดังกล่าวจากหางตา หยุดชะงักเพียงชั่วครู่เหลือบสายตามองมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
"ข้าทนปฎิเสธความรู้สึกของตัวเองต่อไปไม่ได้อีกแล้ว
รู้ดีว่าการจากนี้แหละคือทางออกที่ดีที่สุด ถึงจะขัดแย้งกับตัวเองตลอดมาก็ตาม
รอคอยจังหวะเวลาที่จะได้บอกกับเจ้าเสียที่ โลกของเรามันผุผังลงอย่างช้าๆ
นั่นทำให้ข้าตัดสินใจที่จะหนีไปจากที่นี่ ปล่อยให้ปัจจุบันกลายเป็นอดีต
แม้ว่าข้าจะต้องเจ็บปวดแค่ไหนก็ตาม"
"สมเป็นเจ้าจริงๆAquarius...ไม่ลังเล อาลัยเลยซักนิด"
เขาพูดแทรกขึ้นทั้งที่ยังยืนหันหลังให้หญิงสาว มองถ้วยแก้วที่แตกละเอียดบนพื้นหินอ่อน
เธอไม่ได้เดินกลับมาหาเขาในทางตรงกันข้ามเธอมองตรงไปด้านหน้าพลางกล่าว
"ความลังเลนั้นมันช่างน่ากลัว มันทำให้ดวงตาพร่ามัวอาจเลือกทางผิด
ซ้ำร้ายยังทำให้ผู้ที่เฝ้ารอคำตอบทุกข์ทรมาณจมอยู่กับความคิดในแง่ลบ
ข้าเองก็ไม่ได้เข็มแข็งเช่นที่เจ้าเห็น ...ทั้งๆที่ข้าเตรียมใจรับความเจ็บปวดนี้แล้ว
แต่ทำไม...เมื่อต้องพูดจริงๆใจข้าก็ยังคงเจ็บมากอยู่ดี
...พอที..ให้มันจบลงแค่นี้เถอะ"
แล้วหญิงสาวก้าวขาออกไปก็ค่อยๆเดินหายไปกลางสายหมอกทิ้งไว้เพียงความเงียบ
และเสียงน้ำริมไหลเอื้อนที่ริมฝั่ง
(เดี๋ยวฟังข้าก่อน ...ขอร้องได้โปรดเถอะ....มันไม่ใช่อย่างนั้น)
..
(ทุกสิ่งที่ข้าทำไปเพียงเพราะข้าต้องการชิงตัวเจ้าคืนมา)
...
(เพียงเพราะข้า...)
.
หยุดดก่อนนน!!
ลี รอยตื่นขึ้นมาเพราะเสียงของตัวเองที่ตะโกนดังลั่น ร่างอันล่ำสันนั้นเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ คิ้วชนกัน กัดฟันแน่น หายใจหอบถี่ความฝันที่ราวกับความจริงในทุกสัมผัส กับหญิงสาวนัยน์ตาสีม่วง ที่ที่ตนไม่รู้จักแม้กระทั้งชื่อวอลท์เน่อมังกรทองที่กำลังทำอะไรบ้างอย่างอยู่ด้านนอก
ชะโงกหน้าเข้ามาเอาพื้นตาสีขาวไร้แว่ว ทาบหน้าต่างห้องนอน ส่องเข้ามาดูลีรอย
"ลีรอย ท่านเป็นไร เกิดอะไรขึ้น เสียงนั้นอีกแล้วเหรอ"
ชาย หนุ่มที่ท่าทางแตกตื่นอยู่นั้น กลืนน้ำลายลง คอแห้งผากจากการตะโกนสุดเสียงเมื่อครู่ หอบหายใจระรัวยกมือขึ้นกุมหน้าอก รับรู้ได้ถึงเสียงหัวใจที่เต้นระทึก เขาพยายามสูดหายใจลึกๆเพื่อเรียกสติตัวเองให้กลับคืนมา
"ข้าไม่เป็นไรก็แค่ฝันร้าย"
ลี รอยหันมาพูดกับวอลท์เน่อ หัวเราะแห้งๆด้วยท่าทีไม่ค่อยสู้ดีใช้มืออีกข้างลูบไบหน้าที่เต็มไปด้วย เหงื่อมังกรทองรี่ตาลงถอนหายใจออกเบา เป็นลมพัดเข้าหน้าต่าง
"ข้าก็หวังให้เป็นแค่เช่นนั้นลีรอย"
มังกรทองพูดขึ้นพร้อมหันหน้ามองไปทางอื่น
"ทำไมเหรอ...มีอะไรเจ้าก็พูดมาสิ"
"นี่ท่านยังไม่รู้ตัวอีกหรือ...น้ำที่อยู่บนใบหน้าท่านยามนี้คือน้ำตารู้รึไม่ไม่เคยเห็นท่านเป็นเช่นนี้มาก่อนโดยคำสาปรึไร?"
ลีรอยยกมือขึ้นสัมผัสไปที่ใบหน้าตนในทันทีที่ได้ยินปาดเช็ดน้ำใสๆที่ไหลออกจากดวงตาสีเทาที่แดงก่ำ
"ให้ตายสิข้านึกว่าเหงื่อซะอีก"
วอลท์เน่อ ตัดบทเ่อ่ยถามอีกครั้งเพื่อรับฟังความจริง
ชายหนุ่ม ที่ก้มหน้าลงมองน้ำตาตนไหลหยดลงบนผ้าห่มสีขาวอย่างช้าช้า
ด้วยอารมณ์กับร่างกายที่ไม่สมดุลกันนี้ ยากนักที่จะตอบแบบขอไปทีได้
ภายในฝันนั้น...นางคือคนที่ข้า...อืม ไม่รู้สิคงจะต้องเรียกว่า ผูกพัน ละมั่ง
อืมข้าไม่แน่ใจแต่คำพูดของนาง....ไม่รู้สิข้าเองก็ไม่เคยรู้สึกแบบนี้
เลยอธิบายให้ท่านฟังไม่ถูก
"มนุษย์นี่ช่างชับซ้อนยากเข้าใจยิ่ง ข้าอยู่กับท่านมาหลานร้อยปีก็ยังไม่เข้าใจเสียที"
มังกรทองพูดแทรกขึ้นมาเสียงแผ่ว
ไม่ว่าจะโดนไฟกาลเผ่าทั้งเป็น รึถูกมนต์ตราน้ำแข็งจนหัวใจหยุดเต้น
รึจะเป็นบาตแผลจากปลายหอกคมดาบ...แน่นอนมันเจ็บ.
..แต่ก็ไม่เคยร้าวไปถึงภายในได้ขนาดนี้
คำพูดนาง....ก็ทำให้ข้าหายใจลำบาก...กระอักกระอวน
แววตานางช่างห่างเหิน...มันเย็นชาเสียยิ่งกว่ามนต์ตราน้ำแข็งใดๆ
ยิ่งกว่าถูกตรึงด้วยหนามแหลม...เจ็บปวดมาก...แม้ไม่มีเลือดออก
ทั้งที่ข้าเจ็บปวดปานนั้น...แต่ในทุกความรู้สึกก็ไม่อาจส่งไปถึงนางได้เลย"
หากไม่เป็นเช่นนั้นแล้วท่านคงไม่อยู่ในสภาพนี้"
ข้าไม่อยากชายตามองแม้ปลายผม!!! "
ลีรอยแผดเสียงตะหวาด ดังก้อง จนชายหนุ่มต้องรีบเอามือไปปิดปากตัวเองแน่น
ทั้งๆที่ดวงตาสีเทายังคงเปิดกว้างเต็มเปี่ยมด้วยความเคียดแค้น
"โทษที ข้าเป็นอะไรไม่รู้ ควบคุมตัวเองไม่ได้เลย"
ลีรอยลุกลี้ลุกล้นในวาจารุนแรงที่ตนพูดออกไปกีบสหาย
"เอ่อ ไม่เป็นไร อย่าได้กังวน ข้าเองก็เพิ่งเห็นท่านมีเป็นแบบนี้ "
วอลท์เน่อ เต็มใจรับคำขอโทษจากชายหนุ่มด้วยความเห็นใจ
"เ่อ๊ะ ข้าว่าท่านรีบแต่งตัว และสงบสติอารมณ์ตัวเองดีกว่า"
"แต่งตัว?ทำไมมีอะไรรึ?"
ชายหนุ่มสงสัยคำพูด ของเพื่อนมังกรที่เอ่ยขึ้นมาลอยๆ
"มีคนมาหาท่านถึงที่นี่ อีกทั้งบอกว่าต้องการให้ท่านออกเดินทางไปกับเขา"
มังกรทองตอบลีรอยที่ลุกขึ้นเดินไปหยิบเสื้อที่พาดกับเก้าอี้ขึ้นมาใส่
"ไปกับเขา?ไปที่ไหนแล้วไปทำอะไร"
ลีรอยถามต่อขณะกำลังติดกระดุมเสื้อ
"ไม่รู้สิ แต่เขาต้องการให้ท่านไปพบ คนๆหนึ่งให้ได้"
วอลท์เน่อตอบ พร้อมทอดสายตามองใครบ้างคนที่เข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้า
"ผู้ใดรึ?ที่เขาอยากให้ข้าไปเจอ"
ชายหนุ่มถาม ด้วยสีหน้าที่ครุ่นคิดและคว้าดาบยักษ์ที่วางบนโต๊ะใกล้หน้าต่าง
ก่อนจะรับฟังคำตอบที่คาดไม่ถึงจากคู่หู
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ