อัจฉริยะฆ่าล้างโลก (Shadow Phantom)

10.0

เขียนโดย Reone

วันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2558 เวลา 09.31 น.

  4 chapter
  0 วิจารณ์
  7,000 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2558 09.42 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

บทนำ

     

อัจฉริยะฆ่าล้างโลก ... ตอนที่ 1 ปากกากินเลือด

                (โลกใบนี้น่ารังเกียจเสียเหลือเกิน ขยะแขยง อยากจะระเบิดให้มันเป็นจุล)

                เสียงสบถด่าทอดังก้องออกมาจากหัวของชายร่างสูงอายุ 19 ปี นามว่า เอม ชายผู้มองไม่เห็นด้านดีของโลกใบนี้เลย ทั้งเสียงรายงานข่าวการฆ่าฟัน โกหกหลอกลวง เห็นแก่ตัว และน้ำลายนักข่าวที่พูดและบิดเบือนทุกสิ่งผ่านจอทีวีขนาดใหญ่ ซึ่งถูกติดตั้งอยู่บนศูนย์การค้าใหญ่โตโอ้อ่าแห่งหนึ่ง มันทำให้เขาต้องยกมือขึ้นมาแนบปิดใบหูทั้งสองข้างของตัวเองเพราะไม่อยากรับรู้ข้อมูล ข่าวสาร และเสียงที่ไม่ต่างจากกลิ่นเน่าๆ ของขยะที่ทับถมกันมาเป็นร้อยปี

            (เกลียด เกลียดที่สุด โธ่เว้ย)

                คำสบถที่ดังก้องอยู่ในหัวดังคนกรีดร้องดังๆ แต่ก็ไม่อาจทำได้ ทำไมโลกนี้ถึงดูโหดร้ายเสียเหลือเกิน ทุกคนต่างก็ใส่หน้ากากเป็นของตัวเองกันทั้งนั้น ทำไมตัวเขาต้องมาพบเจอแต่เรื่องน่าบัดซบในชีวิตหลายครั้งกันด้วยอยากจะหนีมันไปให้ไกลเสียเหลือเกิน อยากให้ทุกสิ่งดับสูญ อยากให้ทุกอย่างหายไปต่อหน้าเขาเสียเหลือเกิน เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาไม่อาจทำอะไรได้เลย มันช่างน่าสมเพซเสียจริง

                ชายเสื้อฮู้ดแขนยาวสีดำปลิวสะบัดไปมาตามแรงลมเอื่อยๆ เอมก้าวขาอย่างเชื่องช้าเดินผ่านผู้คนที่ขวักไขว่ไปมาอย่างไร้จุดหมาย สองมือที่เคยยกขึ้นป้องศีรษะเปลี่ยนทีท่ามาเป็นกอดอกแทนแล้วเดินผ่านผู้คนไปเรื่อยๆ เสียงที่ผ่านแก้วหูของเอมมีแต่เรื่องยศถาบรรดาศักดิ์ ความอยาก ความละโมบ อิจฉาริษยา ทุกสิ่งที่ได้ยินทำให้รู้สึกสะอิดสะเอียนชวนคลื่นเหียนสิ้นดี

 พระจันทร์โผล่พ้นขอบฟ้ายามค่ำคืนส่องแสงรำไรแทนดวงตะวัน แสงของมันที่เคยสวยเด่นเป็นสง่า ตอนนี้มันริบหรี่ไม่ต่างอะไรกับดาวดวงเล็กๆ เลย ชายหนุ่มเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มีแต่แสงสีเสียงจากบรรยากาศรอบข้างด้วยใจที่สั่นรัวและเต็มไปด้วยความชิงชัง หากพระผู้เป็นเจ้าจะยินยอมอนุญาตให้เขาเป็นผู้ทำลายโลกได้ เขาจะยอมรับมันอย่างไม่มีข้อแม้ และสัญญาว่าจะปฏิบัติหน้าที่ให้อย่างดีเยี่ยม

ดวงตาสีน้ำตาลและใบหน้าที่หม่นหมองนั้น เพ่งสายตามองท้องฟ้าที่มีแต่ปุยเมฆสีดำทมิฬปกคลุมเหมือนกับว่าอยากส่งคำอ้อนวอนนั้นไปให้ถึงหูผู้พิพากษาโลกนั้นโดยไว

                ตูม!

                ทันใดนั้นเอง เสียงระเบิดลึกลับก็ดังกึกก้องกัมปนาท เสียงนั้นมาจากทางด้านหน้าตึกของห้างที่อยู่ไม่ห่างจากชายหนุ่มเท่าไรนักแรงระเบิดของมันส่งผลให้ฝุ่นและผงซีเมนต์ที่แหลกละเอียดลอยฟุ้งไปในอากาศ เขาส่ายสายตาหาที่มาของมันด้วยใจที่ร้อนรน

                (อะไรกัน นั่นมัน.....น่าสนุกดีนี่)

                จิตใจที่แสนชั่วร้ายและเย็นชา ไม่เคยแลเห็นว่าภัยพิบัติที่คืบคลานเข้ามาหาเขานั้นมันจะเป็นอุปสรรคประการใดต่อชีวิต มันผิดปกติจากคนรอบกายที่วุ่นวายกับเรื่องตรงหน้าเสียเหลือเกิน

                ผู้คนแตกตื่นต่างพากันวิ่งหนีระเบิดที่ดังขึ้น เสียงหวีดร้องของผู้คนและกริ่งเตือนภัยดังระงมไปทั่ว มนุษย์ทั้งหลายพากันหวาดกลัวกับสิ่งที่ได้เห็นและได้ยิน เพราะมันเป็นสัญญาณว่าเสียงที่ดังขึ้นเมื่อครู่สามารถพาพวกเขาจมดิ่งสู่ความมืดที่เรียกว่าความตายได้เลยทีเดียว

ผิดกับเอมชายผู้มองภาพมนุษย์ที่หวาดกลัวเหมือนกับว่าเป็นเรื่องสนุก เขาฉีกยิ้มกว้างราวกับว่าสิ่งที่เขาปรารถนานั้นอยู่ตรงหน้าแล้ว ปากเขาสั่นระริกด้วยความกระหาย กระหายความหวาดกลัวที่อยู่รอบกายของเขา ยิ่งเสพมันมากเท่าไรก็ยิ่งติดเหมือนยาเสพติดอยากได้และอยากเห็นมันไม่มีที่สิ้นสุด

                พลั่ก!

                โดยไม่ทันระวังตัว เด็กผู้หญิงสูงประมาณอกของเอมวิ่งเข้าชนชายผู้ยืนนิ่งเสพติดความหวาดกลัวเข้าอย่างจัง หญิงสาวหนีแรงระเบิดมาตามทิศทางที่ชายหนุ่มยืนอยู่ เธอล้มลงไปกองต่อหน้าเขา จากนั้นก็รีบขยับตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อไม่ให้คนด้านหลังวิ่งมาเหยียบเธอซ้ำ หญิงสาวรีบเงยหน้าขึ้นไปมองคนที่เธอวิ่งชนเพื่อจะกล่าวคำขอโทษ

                “กรี๊ดดด”

                ไม่มีคำพูดใดออกจากปากของเธอนอกจากเสียงกรีดร้องด้วยความหวาดหลัวไม่ต่างจากเห็นภาพระเบิดกำลังระเบิด เด็กหญิงกรีดร้องเสียงดังเมื่อเห็นหน้าของเอม ชายที่ฉีกปากแสยะยิ้มอันแสนอำมหิตเยี่ยงปีศาจ เธอตกตะลึงอ้าปากค้างแล้วรีบวิ่งหนีเขาไปในฝูงชนที่ชุลมุนนั้นทันที

                “ฮึ... น่าเบื่อจริง”

                เขาสบถถ้อยคำพูดออกมาดังๆ อย่างรำคาญ ภาพตรงหน้าของเขามีแต่คนเจ็บร้องโอดครวญ ด้วยความทรมาน เอมยืนนิ่งมองสิ่งเหล่านั้นอย่างเลือดเย็น เหมือนกับว่ามีความสุขอย่างหนึ่ง แต่ถ้าเยอะกว่านี้เขาก็จะยิ่งชอบสายตาของเอมนอกจากความรู้สึกอยากแล้ว เขามีจุดประสงค์อื่นในการมองหาอีก นั่นก็คือ ยมทูต เอมเป็นคนที่มีสายตามองเห็นยมทูตได้เป็นอย่างดี สิ่งมีชีวิตที่ชายหนุ่มไม่เคยเห็นค่ามันเลย แต่กลับมองเห็นพวกมันได้ทั้งที่ไม่ต้องการ

                “อะ.. โอยย”

                จู่ๆ เอมก็ได้ยินเสียงครางต่ำลอดเสียงความเจ็บปวดของผู้อื่นทั้งปวงจน มันไพเราะเพราะพริ้งจนเอมต้องหันหลังกลับไปมองหามันอย่างใคร่รู้

                (เสียงใคร ? จากด้านหลัง..)

                เขารีบหันหลังกลับไปมองที่ต้นเสียงทันที ดวงตาของเขาเบิกกว้างเมื่อเห็นชายคนหนึ่งโอดครวญอยู่ในบริเวณมุมมืดซอกตึกแสงนีออนส่องไม่ถึง ชายหนุ่มพบกับบุคคลปริศนาท่าทางลึกลับยืนคร่อมตัวของคนเจ็บอยู่เท้าของเขาขยับเข้าไปหามันอย่างช้าๆ อย่างระแวดระวังด้วยความอยากรู้ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจ้องมองถึงการกระทำต่อไปของคนในชุดคลุมดำนั้น ว่าต่อไป มันจะทำอะไร จะเอามีดเสียบแทงคนเจ็บหรือเปล่าหรือจะเป็นอย่างอื่น มันช่างน่าสนุกเสียจริง

                “บุญบาป คิดว่าไม่มีจริงสินะ ถึงเวลาของแกแล้ว”

                เสียงแหลมสูงเล็ดลอดออกมาจากผ้าคลุมสีดำนั้นโดยไม่ทันได้สังเกตเลยว่าเอมชายผู้กระหายการทำลายล้างแอบจ้องมองและฟังอยู่ด้านหลังมนุษย์ปริศนาภายใต้ผ้าคลุม ค่อยๆ หายใจลึกผ่านลำคออย่างช้าๆ และใจเย็น ชายคนที่ร้องโอดโอยเมื่อครู่สิ้นใจลงแน่นิ่งสนิท พร้อมกับลำแสงสีเทาที่เรียกว่าวิญญาณหลุดออกมาจากร่างของชายแปลกหน้า ตรงดิ่งเข้าปอดของมันอย่างช้าๆ เหมือนดั่งลมที่ไหลเข้าไปตามลมหายใจของมนุษย์ธรรมดา

                เอมจ้องมองมันเพียงครึ่งตา สมองของเขาสั่งการให้ทำอะไรบางอย่างก่อนที่เรื่องเหล่านี้จะกลายเป็นแค่ลมพัด เมื่อนั้น ชายหนุ่มก็ค่อยๆ เอามือล้วงกระเป๋าลงไปหยิบมือถือออกมา

          แชะ!

          เสียงกล้องถ่ายรูปดังขึ้นจากมือถือขนาดกระชับมือของเอม เขาควักมันมาถ่ายภาพวินาทีสำคัญได้ทันก่อนที่มันจะเลือนหายเข้าไปในปอดของมนุษย์ผ้าคลุมจนหมด ทันทีที่ได้ยินเสียงที่เป็นยิ่งกว่าอันตรายของมัน มนุษย์ผ้าคลุมรีบหันหลังกลับมามองยังต้นกำเนิดเสียงนั้นทันที

          “ห่ะ...ทำอะไรน่ะ แกเห็นฉันด้วยหรือเนี่ย!!” มนุษย์ผ้าคลุมสบถคำพูดออกมาโดยไม่ต้องผ่านสิ่งที่เรียกว่าความคิด สายตาของมันควานหาผู้เป็นเจ้าของเสียงนั้นอย่างโหยหา และเนื้อตัวที่สั่นระริกคล้ายกับว่าถูกจับได้จากการทำเรื่องที่ร้ายแรงและผิดมหันต์

          แสงไฟนีออนสลัวๆ จากด้านนอกตึกสาดส่องสะท้อนผนังตึกเข้ามาด้านในเป็นแสงสีเทา แสงนั้นกระทบเข้ากับรูปหน้าเรียวไข่ของสตรีผมยาวภายใต้ผ้าคลุมสีดำเพียงครึ่งซีก หน้าตาที่สะสวยมองมาที่เอมด้วยอารมณ์ที่ขุ่นเคือง

         “เอ นี่คืออะไรกันหว่า ผีใช่หรือเปล่าครับหากว่าผมเข้าใจไม่ผิด”

         เสียงยียวนเอ่ยล้อเลียนเธอที่หันมามองเขาด้วยความโกรธา เอมผู้กล่าวขานถ้อยคำยียวนนั้นกลับไม่ได้มีท่าทีเกรงกลัวหรือประหม่าต่อสิ่งที่ปรากฏอยู่ด้านหน้าเลยแม้สักนิด ในหัวของเขามีแต่ความต้องการ ความอยากรู้ว่ายมทูตสวะ ๆ เหล่านี้สามารถทำอะไรได้บ้างนอกจากจะดูดวิญญาณกัน แม้การท้าทายครั้งนี้จะมีเดิมพันเป็นชีวิตของเขาเองอยู่ด้วย แต่เอมหาได้ใส่ใจไม่

        “อืม ยังไงล่ะครับ จะฆ่าผมที่แอบถ่ายคุณหรือเปล่า หรือว่าจะอย่างไร ทำไมต้องทำสีหน้าวิตกอย่างนั้นล่ะครับ มันก็แค่รูปถ่ายธรรมดาๆ ใบเดียวเท่านั้นเองนี่ครับ ถึงกลับทำให้โกรธเชียวหรือ” ชายหนุ่มเชิดหน้า เพ่งสายตามองยมทูตตรงหน้าอย่างเหยียดหยาม

         “หน็อย แน่ะแก แกเป็นใครฉันไม่รู้หรอกนะ” เธอหันหลังกลับมาตะคอกเสียงดังอย่างไม่คิด          “แต่ รูปถ่ายนั่นน่ะ สำคัญต่อชีวิตของฉันมากเลยนะ ฉันเป็นยมทูตฝึกหัด หากรูปนั้นหลุดรอดออกไป และมีคนรู้เรื่องเกี่ยวกับฉันมากกว่านี้ วิญญาณของฉันก็จะมีอันเป็นไป ฉันขอล่ะ ทำลายรูปนั้นได้ไหม”

         “ไม่” คำปฏิเสธสั้นๆ ที่ไม่จำเป็นต้องใช้สมองมากนักถูกเอ่ยออกมาจากริมฝีปากเรียวบางของชายที่ชื่อว่าเอม“ทำไมผมต้องลบภาพสวยๆ ที่ผมเป็นคนถ่ายด้วยล่ะครับ คุณมีร่างเป็นมนุษย์หรือไง ถึงได้กลัวถูกไล่ฆ่าน่ะ”

         ชายหนุ่มพูดและเชิดหน้าเรียวๆ ของเขาใส่เธอประหนึ่งว่านั่นไม่น่าจะใช่คำขอร้องอ้อนวอนดีๆ ให้เขาลบรูปสักนิด ทำไมกันกับรูปถ่ายแค่ใบสองใบจะต้องหวงแหนขนาดนี้กัน ไร้สาระสิ้นดี

       “แกต้องการอะไรก็พูดมา แล้วแลกกับการลบรูปนั้น” ยมทูตสาวตวาดเสียงดังเพราะรู้ว่าเรื่องแบบนี้ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนอยู่แล้ว พร้อมกับจ้องมองมาที่ชายหนุ่มอย่างไม่ละสายตา

     “หากว่าคุณขอร้องผมดีๆ ตั้งแต่แรก อะไรๆ มันก็น่าจะง่ายขึ้นนะครับ” ชายผู้สวมเสื้อฮู้ดสีดำเพ่งเล็งไปยังรูปที่พึ่งถ่ายได้เมื่อครู่เขามองมันไปมา เหมือนกันว่าไม่มีอะไรจะทำก่อนจะเหล่สายตามามองหญิงสาวผู้มีพลังอำนาจลึกลับพิเศษนั้น “คุณมีร่างเป็นมนุษย์จริงๆ ด้วยสินะครับ” เอมกระพริบตาช้าๆหนึ่งครั้ง ก่อนจะหรี่ตาเล็กลงเพื่อสบตาเธอ

      “แก รู้ได้ยังไง”เธอตวาดถามเขาด้วยริมฝีปากสั่นระริก

      “เห็นได้ชัดว่าตัวคุณไม่ปฏิเสธในสิ่งที่ผมพูด” เขาตอบ “การที่ร่างกายพูดแสดงออกมาถึงความจริงที่ซ่อนอยู่จากคำพูดของคุณบอกได้ชัดเจนอยู่แล้วว่าสิ่งที่คุณพูดเป็นเรื่องจริง เพราะจำนนต่อสิ่งสำคัญที่อยู่ในมือของผม สายตาของคุณเมื่อครู่ล่อกแล่กไปมาเหมือนคิดอะไรบางอย่างริมฝีปากทั้งสองข้างกดต่ำลงเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด มันแสดงออกถึงความรู้สึกกดดันประหม่าและการที่จะพูดอะไรที่ฝืนอยู่ในใจไงล่ะครับ แต่ว่า ผมจะไม่พยายามเซ้าซี้ในเรื่องนี้นัก คุณอาจจะเข้าใจในสิ่งที่ผมพูด หรือละความพยายามที่เข้าใจก็แล้วแต่คุณ เอาล่ะ เรื่องนั้นช่างมันเถอะ อย่าไปสนใจเลยจะดีกว่า มาสนใจในสิ่งที่ผมต้องการจะดีกว่านะครับ คุณพูดเองนี่นาว่าผมต้องการอะไรน่ะ”

       หญิงสาวอึกอักกระพริบตาถี่ๆ แต่ก็เลือกที่จะเงียบเพื่อฟังสิ่งที่เขาต้องการ

       “ผมอยากให้คุณมาเป็นคนรับใช้ของผม ผมเห็นพวกคุณหายตัวได้ หลายครั้งอีกทั้งยังสามารถจับสิ่งของได้” เอมพูดเสียงเรียบ “นั่นคือสิ่งที่ผมสังเกตเห็นพวกยมทูตต่างๆ เขาทำกัน แต่ก็ไม่เคยมีใครสนใจหรือใส่ใจในสายตาที่ผมจ้องมองพวกเขาเลย มีคุณเป็นคนแรก ก็เลย...”

      “ไม่ได้หรอก”เธอพูดแทรกขึ้นมาโดยที่เขายังไม่ทันจะพูดจบ“ยมทูตจะมารับใช้มนุษย์ไม่ได้ และยมทูตก็ไม่สามารถอยู่ในร่างนี้ได้นาน อย่างที่นายรู้นั่นแหละ ฉันมีร่างเป็นมนุษย์”

      “อืม อย่างนั้นหรือครับ ” เขาตอบเสียงขรึมกึ่งเบ้ปากเล็กๆ ดูเหมือนว่าข้อเจรจาที่ต้องการไม่เป็นไปตามที่ตกลง ท่ามกลางเสียงหวอรถพยาบาลที่ดังมาจากด้านนอก เป็นตัวเร่งเวลาให้การสนทนานี้ต้องจบโดยเร็ว “งั้นเราคงไม่มีอะไรต้องพูดกันอีก” เอมทำท่าจะกดสมาร์ทโฟนเพื่ออัพเดตรูปถ่ายส่งต่อไปให้ใครหลายคนเป็นพยานการมีตัวตนของยมทูต แม้จะไม่รู้เหตุผลที่แน่ชัดของยมทูตก็ตามที แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่ชายหนุ่มควรจะมาเดือดร้อนกับมันเลยสักนิด

       ยมทูตสาวที่ออกอาการกลัวร่วมกับกดดันรีบตะโกนออกไปในทันที ก่อนที่คนตรงหน้าจะทำในสิ่งที่เธอไม่ต้องการ“เดี๋ยวก่อน ฉันมีข้อเสนอ” เธอรีบหยุดเขาก่อนที่บางสิ่งบางอย่างจะสายเกินไป

        “ว่ามา”เอมตอบอย่างไม่รีรอให้เสียเวลาด้วยสีหน้าบึ้งตึง

          “ฉันมีปากกาอันหนึ่ง”เธอพูดเสียงสั่นกลืนน้ำลายพลางแล้วค่อยๆ เอามือล้วงเข้าไปหยิบบางสิ่งบางอย่างออกมาจากกลางหน้าอกของเธอ “ปากกานี้สามารถควบคุมจิตใจคนได้”

          “โอ้ น่าสนใจดีนี่ ไหนลองเล่าหน่อยสิ ว่ามันคู่ควรกับคำขอของผมอย่างไร”

          เธอหายใจเข้าลึกๆ อย่างช้าๆ แล้วพ่นลมหายใจออกเพื่อลดความประหม่าก่อนจะเริ่มเอ่ยถึงสรรพคุณอันน่าพิศวงของปากกาสีดำที่ดึงมันมาจากอกของเธอ

          “ปากกาอันนี้สามารถควบคุมจิตใจมนุษย์ได้”เธอเอ่ย “มันต้องใช้เลือดมนุษย์เป็นน้ำหมึก แล้วผู้คนที่เธอจะควบคุมจิตใจ เธอต้องรู้จักกับชื่อที่แท้จริงของเขาเสียก่อน แล้วจึงเขียนในสมุดหรืออะไรก็ได้เรื่องของเธอ เธอสามารถให้คน คนนั้นไปตายก็ได้หรือเปลี่ยนแปลงอะไรก็ได้ตามแต่ใจเธอ แต่ในช่วงระหว่างที่ปากกานี้ทำงานของมัน คนที่ถูกควบคุมจะจำในสิ่งที่เขาเคยถูกควบคุมไม่ได้เลย”

          “โอ้ น่าสนใจแฮะ แต่ผมจะมั่นใจได้อย่างไรว่าผมสามารถใช้มันได้จริง ช่วยอธิบายให้หระจ่างชัดกว่านี้จะได้ไหมล่ะครับคุณยมทูต”เสียงของชายหนุ่มเร่งเร้าให้หญิงสาวพูดเกี่ยวกับสิ่งประดิษฐ์ที่ยากเกินกว่าจะเชื่อนี้ให้แก่เขาฟัง “แล้วคุณแน่ใจแล้วหรือ ที่จะมอบสิ่งสำคัญขนาดนั้นกับผมน่ะ ทั้งที่ผมก็แค่พลาดไปถ่ายรูปคุณก็เท่านั้นเองน่ะ”

                “มันก็แล้วแต่เธอจะเชื่อนะ” ยมทูตกำปากกาในมือแน่นเมื่อยู่ในสถานะที่เหมือนกับตกเป็นเบี้ยล่างของมนุษย์คนนี้เข้าไปครึ่งตัวแล้ว “ตัวฉันในตอนนี้ไม่ใช่มนุษย์ไม่มีอะไรในโลกที่จะมาอยู่ในร่างโปร่งใสของยมทูตได้ แล้วนายคิดดูสิ ทำไมปากกาอันนี้ถึงอยู่ในตัวของฉันได้ล่ะ มันย่อมต้องเป็นสิ่งที่วิเศษกว่าอย่างอื่นอยู่แล้ว ถูกต้องไหมล่ะ มันเป็นเรื่องที่ยากจะเชื่อ แต่ขอร้องล่ะช่วยเชื่อฉันทีเถอะ แล้วรูปอันนั้นก็ด้วย มันส่งผลถึงตัวฉันในอนาคตมากเลยทีเดียวนะถ้าไม่รีบทำลายมัน สักวันมันจะเป็นสิ่งที่นำมาซึ่งการทำลายตัวของฉัน มันเป็นปากกาปีศาจ เดิมทีไม่ใช่ของที่ยมทูตควรจะใช้อยู่แล้ว ถ้าเธออยากได้ ก็เอาไปสิ”

           ชายหนุ่มพยักหน้าเล็กน้อย  “อืม มันก็น่าเห็นใจอยู่นะ ”เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เหมือนกับแสดงความเห็นใจแบบเจ้าเล่ห์สุดๆ  “แต่การที่ตัวคุณจะต้องหายไป ยังไงมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผมอยู่แล้ว ทำไมผมจะต้องสนใจใยดีกับมันล่ะ แต่ก็นะ โอเค ผมจะลองเชื่อใจคุณดูสักครั้งก็ได้ อยากรู้เหมือนกันว่ายมทูตนั้นจะกล้าโกหกหลอกลวงเหมือนมนุษย์เดินดินหรือเปล่า ตกลงครับ สรรพคุณของมันเป็นที่ต้องการ ผมจะแลกมันกับคุณ”

          “ดีนี่ งั้นเรามาแลกเปลี่ยนกันเลยแล้วกัน ก่อนที่ใครคนอื่นจะมาเห็นไปมากกว่านี้”รอยยิ้มน้อยๆ ผุดออกมาจากใบหน้าหญิงสาวหลังจากเงียบงันด้วยแรงกดดันมาพักใหญ่

          การแลกเปลี่ยนเริ่มต้นขึ้น เอมเดินเข้าไปหยิบปากกาจากมือเธอทันที แต่ดูเหมือนว่าเธอยังไม่ไว้ใจในตัวเขา เธอจึงรั้งปากกาไว้ก่อน

          “อ้อ โอเค้ อ่ะดูนี่นะ” เมื่อเอมเห็นว่าเธอยังคงไม่ไว้ใจในตัวเขา เขาจึงโยนโทรศัพท์สมาร์ทโฟนนั้นทิ้งลงที่พื้นแล้วกระทืบซ้ำทันที เพื่อให้แน่ใจว่าโทรศัพท์นั้นจะไม่สามารถเอากลับมาใช้ได้อีกอย่างแน่นอน

          “เป็นไง สบายใจหรือยัง” เขาหันมาบอกเธออีกครั้งเพื่อยืนยันในสิ่งที่เขาพูดไปเมื่อครู่ และบอกทางอ้อมให้เธอปล่อยมือออกจากปากกานั้นเสีย

          “หายากจริงๆ คนที่มีสายตามองเห็นฉันได้ แต่ก็ไม่เป็นไร สักวันเราต้องได้พบกันอีกอย่างแน่นอนฉันเชื่ออย่างนั้น เอาล่ะ งั้นเราแยกกันตรงนี้” เธอปล่อยมือออกจากปากกาตามที่ตกลงกัน แล้วก้มลงหยิบโทรศัพท์ของเขาไปด้วย จากนั้นเธอก็วิ่งหนีหายเข้าไปในซอกตึกอีกด้านหนึ่ง ทิ้งไว้เพียงร่างของชายสูงอายุที่ถูกสะเก็ดระเบิดนอนตายอย่างอนาถ คาดว่าน่าจะเกิดจากอาการชาที่แผลและไม่รู้สึกตัวเมื่อตอนโดนสะเก็ดระเบิดใหม่ๆ ถึงได้มาดิ้นตายอยู่ตรงนี้แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีของเอม เพราะหากว่าเจ้านั่นไม่มานอนตายที่ตรงนี้เขาก็อาจไม่ได้พอเห็นเรื่องดีๆ แบบนี้ก็เป็นได้

            เอมยกปากกาสีดำเงางามขึ้นมาดูอย่างชื่นชมในเมื่อเขามีสิ่งนี้แล้ว มันก็เหมือนกับว่าเขาสามารถครองโลกได้ทั้งใบไปแล้ว โดยไม่จำเป็นต้องฆ่าทุกๆ คนบนโลกให้หมดไป เหมือนดังพระเจ้าเห็นใจและประทานในสิ่งที่เขาต้องการมาให้เป็นที่น่ายินดีเสียนี่กะไร

           “โง่เอ้ย” เขาสบถ “ถ้ามันทำได้จริงๆ อย่างปากเธอพูดมันก็ดีไป แต่ถ้าไม่ใช่ รูปในเมลล์ของฉันได้ดังแน่”

            เขาค่อยๆ เอาปากกาเสียบใส่กระเป๋ากางเกงยีนที่อยู่ด้านหลังอย่างช้าๆ ก่อนจะเอาฮู้ดคลุมหัวแล้ววิ่งออกไปจากบริเวณนั้นโดยไว

....................................................................................................................

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา