Prediction , Texts & Paper วุ่นรักนักข่าว

-

เขียนโดย Littlepeacee

วันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2558 เวลา 23.11 น.

  5 ตอน
  2 วิจารณ์
  7,490 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2558 23.27 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) บทที่หนึ่ง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

1

‘พี่อยู่ที่ร้านใช่ไหม อีกสิบนาทีผมไปหานะ

-นิค ช.

 

ฉันส่งข้อความสั้นๆ กลับไปให้นิค ก่อนจะเก็บโทรศัพท์มือถือที่ใช้มาเกือบจะครบปีลงกระเป๋ากางเกง พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มผู้กำลังนั่งอยู่ตรงหน้าด้วยสายตาเบื่อหน่าย

ฉันไม่ปฏิเสธว่ากำลังได้รับความปรานีอย่างสูงสุด แถมยังเป็นความปรานีที่ไม่เคยมีใครได้รับมันมาก่อน พนันได้เลยว่า หากไม่เป็นเพราะพวกแสตนเบิร์กเจอร์นัลทำกับเราไว้ซะเจ็บแสบขนาดนี้ โจไม่มีทางบากหน้ามานั่งเป็นลูกแมวน้อยขี้เหงาที่กำลังรอความเห็นใจจากผู้เป็นนายให้ฉันดูแน่ๆ และถ้าขืนฉันยังล้อเล่นกับความเป็นลูกแมวน้อยของโจนานกว่านี้อีกสักหน่อยละก็ มีหวังเขาได้กลายร่างกับเป็นพ่อเสือใจร้ายที่กำลังรอคอยโอกาสจะงาบแกะตัวอ้วนอย่างฉันแน่นอน

ฉันเลือกที่จะแก้ปัญหาอย่างคนฉลาดเพื่อป้องกันการตกเป็นลูกแกะน้อยของโจด้วยการส่งแซนด์วิชเข้าปากหนึ่งคำแล้วเริ่มพูด

“ฉันมีเวลาให้นายสิบนาที มีอะไรก็ว่ามา”

อีกฝ่ายหรี่ตาใส่ฉันอย่างไม่พอใจนัก “ไม่มีใครเคยสอนให้เคี้ยวให้หมดก่อนพูดหรือไง”

พูดก็พูดเถอะนะ นี่ถือเป็นความปรานีครั้งที่สองที่ฉันได้รับจากโจภายในหนึ่งวัน เพราะถ้าเป็นคนอื่นอย่างเช่นแม่ล่ะก็ มีหวังฉันโดนสั่งให้ตบปากตัวเองโทษฐานที่พูดขณะมีอาหารอยู่เต็มปาก หรือแย่กว่านั้น อาจจะเป็นแม่เองเนี่ยแหละที่ยื่นมือออกมาตบปากฉันเอง

“อีกเก้านาทีนะคุณคอลลินส์” ฉันเตือนพร้อมกับเคี้ยวเศษอาหารต่อไปอย่างพยายามจะกวนประสาทเขา

“ไม่เอาน่าลีอาห์ เธอก็รู้อยู่แล้วว่าฉันจะพูดว่าอะไร” โจถอนหายใจราวกับว่ากำลังแบกโลกไว้ทั้งใบ “เธอแค่ยอมรับข้อเสนอของฉัน แล้วฉันจะไม่มารบกวนเธออีกเลย”

“ ‘ข้อเสนอ’ อย่างนั้นเหรอ” ฉันเลิกคิ้ว ฉันล่ะอยากจะรู้จริงๆ ว่าอีกฝ่ายเป็นประธานชมรมหนังสือพิมพ์ได้อย่างไร ในเมื่อเขายังแยกระหว่างคำว่า ‘ข้อเสนอ’ กับ ‘ข้อบังคับ’ ไม่ออกเลยสักนิด

“โอเค นั่นไม่ใช่ข้อเสนอ” โจยกมือขึ้นสองข้างอย่างยอมแพ้ “เอาเป็นว่าฉันไม่สนว่าเธอจะเรียกมันว่าอะไร แต่แคทส์ อายสนในสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่เธอตอบตกลงว่าจะทำในสิ่งที่ฉันขอ เพราะถ้าเธอไม่ทำแคทส์ อายแย่แน่ๆ และฉันรู้ดีว่าเธอไม่อยากให้มันเป็นอย่างนั้น...ใช่ไหม ลีอาห์”

โจเป็นคนฉลาด ทั้งเรื่องการวางแผน การใช้คนและการเลือกคำพูด ถูกอย่างที่เขาพูดมาทั้งหมดนั่นแหละ ฉันรักแคทส์ อายมากพอๆ กับที่เขารักมัน เขาไม่อยากให้แคทส์ อายถูกยุบ ฉันเองก็ไม่อยาก แต่สิ่งที่เขาอาจไม่รู้หรือไม่ก็แกล้งไม่รู้คือ ฉันไม่อยากรับหน้าที่นี้และไม่มีทางที่จะตอบตกลงด้วย

เรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นเมื่อสองเดือนก่อน ตอนที่ครูใหญ่โฮซี่เซ็นตอบรับให้อเล็กซ์ บิลล์และพรรคพวกของเขาเปิดชมรมหนังสือพิมพ์แห่งใหม่ขึ้นภายใต้ชื่อ ‘แสตนเบิร์กเจอร์นัล’ และหลังจากที่แสตนเบิร์กเจอร์นัลเริ่มตีพิมพ์หนังสือพิมพ์ฉบับแรกออกมาวางจำหน่าย ‘แคทส์ อาย’ ชมรมหนังสือแห่งแรกและเคยเป็นแห่งเดียวของโรงเรียนมัธยมปลายแสตนเบิร์กก็ต้องถึงคราวพินาศ!

ก็ได้ๆ คำว่า ‘พินาศ’ อาจจะดูรุนแรงไปหน่อย เพราะพวกเราชาวแคทส์ อายก็ยังสามารถยื้อชีวิตตัวเองต่อมาได้ถึงสองเดือน! สองเดือนเชียวนะ ฉันไม่ได้ล้อเล่นด้วย สองเดือนที่มียอดขายไม่เกินสิบฉบับ และสองในสามส่วนนั้นคือสมาชิกของชมรมอย่างเราๆ เองที่เป็นคนซื้อ

หรือจะเรียกง่ายๆ ก็คือ ชมรมเราพังพินาศนั่นแหละ

มีสองสิ่งที่แสตนเบิร์กเจอร์นัลมีเหนือพวกเรา หนึ่ง แนวข่าวที่หลากหลายกว่า แคทส์ อายนำเสนอแต่เพียงข่าวซุบซิบนินทาทั้งภายในและภายนอกโรงเรียน แต่ฝั่งนู้นกลับเขียนทุกข่าวที่พวกเขาคิดว่าคุณอยากรู้ ควรรู้ และจำเป็นต้องรู้ รวมไปถึงสกู๊ปเด็ดที่เขียนชมการแต่งตัวประจำวันของครูใหญ่เอช และนั่นจะนำมาซึ่งข้อที่สองอย่าง เงินสนับสนุนจำนวนมหาศาลจากครูใหญ่เอชแต่อ้างว่าให้ในนามของโรงเรียน

ในทางตรงกันข้ามแคทส์ อายนำเสนอแต่ความจริง

ใครแต่งตัวเลิศเราก็ให้ดาว ใครแต่งตัวเห่ยก็เอาไข่ไปกิน (สาบานได้ว่า ฉันไม่ได้มีความรู้เรื่องแฟชั่นมากนัก แต่ถ้าพูดถึงครูใหญ่เอชล่ะก็ ฉันขอยกไข่ให้ทั้งเล้าเลย) พวกเราไม่เคยนำเสนอข่าวอวยใคร เพราะนั่นถือเป็นจรรยาบรรณอย่างหนึ่งของนักข่าวที่ดี (ลอนดอนว่าอย่างนั้นน่ะนะ) และนั่นเองที่ทำให้เราไม่ได้รับเงินสนับสนุนจากทางโรงเรียนมานานติดต่อกันถึงสองเดือน!

คิดดูก็แล้วกัน ถ้าคุณมีเงินในกระเป๋าอย่างจำกัด หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งมีทุกอย่างทั้งที่คุณอยากรู้และไม่อยากรู้ กับหนังสือพิมพ์อีกฉบับที่มีแต่เรื่องราวบันเทิง ในราคาที่เท่ากันแล้ว ใครๆ ก็ย่อมเลือกหนังสือพิมพ์ฉบับแรก หรือต่อให้ฉบับที่สองจะลดราคาลงมาให้ต่ำกว่าเดิมคุณก็ย่อมเลือกฉบับแรกอยู่ดีนั่นแหละ

แคทส์ อายอยู่ในสภาวะที่แย่ยิ่งกว่าขาดทุน ทั้งไม่มีเงินสนับสนุนจากโรงเรียน หนังสือพิมพ์ที่ตีพิมพ์ออกมาก็ถูกแสตนเบิร์กเจอร์นัลขายตัดหน้า สมาชิกภายในชมรมที่เห็นทีว่าคงไปไม่รอด ก็ต่างพากันลาออก แล้วไหนจะข้อเสนอดีๆ บางอย่างที่ทางแสตนเบิร์กเจอร์นัลยื่นให้นักข่าวฝีมือดีแต่ไร้ความมั่นคงของพวกเรา จนพวกเขาทนต่อข้อเสนอเจ๋งๆ เหล่านั้นไม่ไหวเลยต้องย้ายก้นตัวเองจากชมรมเก่าใกล้ยุบไปอยู่ชมรมน้องใหม่ไฟแรงแทน

บอกเลยว่าไม่มีอะไรที่ทำให้ลอนดอนโกรธจนไฟไหม้หัวได้มากเท่ากับการที่คนในชมรมลาออกแล้วย้ายไปอยู่กับศัตรูหรอก โจในฐานะประธานชมรมและรองประธานชมรมอย่างลอนดอนจึงต้องเร่งคิดหาทางแก้วิกฤตการณ์ครั้งนี้ให้จงได้ และหนึ่งในวิธีแก้ปัญหาของพวกเขาคือการสร้างภาระขึ้นมาหนึ่งอย่าง ก่อนจะช่วยกันผลักมันมาให้สมาชิกผู้จงรักภักดีต่อแคทส์ อายมาตลอดสองปีกว่าแต่ไร้ซึ่งปากและเสียงอย่างฉันรับผิดชอบแทน

ฉันปฏิเสธโจเพราะไม่อยากมีปัญหากับเพื่อนรักอย่างแอลลี่ แต่ก็ใช่ว่าฉันอยากจะมีปัญหากับโจหรือไม่ก็ลอนดอนคนใดคนหนึ่งหรอกนะ เพราะนั่นคงไม่สนุกแน่หากคุณต้องโดนเพื่อนที่คุณมีอยู่น้อยนิดแบนแบบที่แม็กซ์โดน

“ขอโทษนะโจ แต่ฉันจำเป็นต้องยืนยันคำเดิม”

โจเม้มปากเป็นเส้นตรงอย่างที่เขามักจะทำเวลาที่อะไรสักไม่ได้ดั่งใจ “ฉันจะคุยกับแอลลี่ให้ ตกลงไหม”

“ไม่มีทาง!” ฉันปฏิเสธ “แอลลี่ไม่ยอมแน่ๆ และเธอจะโกรธมากกว่าเดิมด้วยซ้ำถ้านายเป็นคนไปพูด”

“แล้วเธอจะให้ฉะ—”

โจยังไม่ทันพูดจบประโยค ฉันก็แทรกขึ้นอย่างรู้ดีว่าเขาจะพูดอะไร “ฉันไม่รู้! ฟังนะโจ ฉันไม่อยากให้แคทส์ อายต้องปิดตัวลงก็จริง แต่นายต้องเข้าใจว่า แอลลี่จะต้องไม่พอใจมากๆ ถ้าฉันตอบตกลง ฉะนั้นฉันไม่มีทางรับหน้าที่นี้เด็ดขาด” ว่าจบฉันก็ส่งแซนด์วิชคำสุดท้ายเข้าปาก ก่อนจะขย้ำกระดาษห่อแซนด์วิชในมือเป็นก้อนกลมๆ แล้วปามันลงถังขยะที่ตั้งอยู่ไกลออกไปประมาณสามถึงสี่ก้าวคนเดินอย่างเเม่นยำ

“เธอนี่มันดื้อด้านชะมัด!” โจส่งเสียงฮึดฮัดอย่างหงุดหงิด ก่อนจะลุกพรวดแล้วเดินออกไปทางประตูหน้าร้าน และนั่นก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่นิคเดินเข้ามา

“ลีอาห์! ผม—”

ผลั่ก!

นิคผลักประตูหน้าร้านชเลนเดอร์สเข้ามาด้วยใบหน้าอันใสมากพอที่เด็กวัยสิบเอ็ดปีคนหนึ่งจะทำได้ เขาตะโกนเรียกฉันที่นั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของร้าน แต่แล้วจู่ๆ คำพูดนั้นก็ถูกดูดกลืนกลับเข้าไปอย่างรวดเร็ว ใบหน้าที่เคยร่าเริง แววตาที่เต็มไปด้วยความสดใสกลับถูกแทนที่ด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง สีหน้าซีดเผือดราวกับคนกำลังขวัญผวา

อะไรกัน เด็กนี่เป็นอะไรของเขา แค่ถูกโจที่กำลังอารมณ์เดือดปุดๆ เดินชนเข้าหน่อยถึงกลับหน้าซีด เอาแต่ยืนนิ่งไม่ขยับแม้แต่นิด ฉันไม่แน่ใจว่าโจพูดอะไรกับนิค แต่เขาแค่หันมาไม่กี่วินาทีก่อนจะเดินออกไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ฉันตัดสินใจลุกออกจากโต๊ะของตัวเองไปหานิคที่ดูเหมือนกำลังสับสนในอะไรบางอย่าง

“เฮ้ เป็นอะไรหรือเปล่า” ฉันเรียกพลางยกมือข้างหนึ่งโบกไปมาตรงหน้าอีกฝ่าย “นิค! นิค! ได้ยินที่พี่เรียกไหมเนี่ย!”

“...ฮะ อะ...อะไรนะ” นิคสะดุ้งสุดตัวทันทีที่เสียงของฉันแล่นเข้าโสตประสาท

“เธอเป็นอะไร ทำไมไม่เข้าไปในร้านสักทีล่ะ” ฉันยังคงยิงคำถามอย่างต่อเนื่อง “มีอะไรหรือเปล่า”

“ปละ...เปล่าหรอก ไม่มีอะไร แค่โจ...” เสียงของอีกฝ่ายที่เบาลงเมื่อพูดถึงโจเหมือนกับว่าเขากำลังลังเลใจที่จะพูดอะไรสักอย่าง

ถ้าถามความเห็นฉันนะ นิคมักจะเป็นแบบนี้เสมอเมื่อมีอะไรอยู่ในใจ เขาจะอ้ำอึ้ง ไม่ยอมพูดออกมาจนกว่าจะถูกเค้นจนจนมุม ถ้าเป็นพ่อที่ต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ล่ะก็ พนันได้เลยว่าพ่อจะไม่พยายามถามอะไรนิคต่อทั้งนั้น ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากรู้หรอกนะว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ แต่เป็นเพราะพ่อคิดว่าไม่ใช่หน้าที่ของเขาที่ต้องถามอีกฝ่ายต่างหาก พ่อยินดีที่จะอยู่เฉยๆ อย่างคนที่มีความอดทนสูง รอให้อีกฝ่ายอึดอัดจนต้องระบายมันออกมาเอง หรืออย่างมาก พ่อก็จะพูดอ้อมๆ ให้ฉันฟัง เพราะพ่อรู้ดีว่าฉันไม่ได้รับความอดทนที่ว่านั่นจากพ่อมาเลยสักนิดเดียว

เฮ้! ขอร้องล่ะน่า หยุดมองฉันด้วยสายตาแบบนั้นสักทีเถอะ ฉันจะบอกให้เลยก็ได้ว่า ความจริงแล้วฉันก็ไม่ใช่พี่สาวใจร้ายที่ชอบทำให้น้องชายตัวเองจนมุมหรอกนะ เพียงแต่แค่เรื่องนี้ดูเหมือนมีโจเข้าไปเอี่ยวไม่มากก็น้อยก็เท่านั้นเอง ฉะนั้นฉันจะถือว่าฉันมีสิทธิ์ที่จะรับรู้บ้างก็แล้วกัน

“โจทำไม”

“เอ่อ คือ...เปล่าซะหน่อย” นิคปรับน้ำเสียงให้ฟังดูเป็นปกติมากขึ้น มากเกินไปจนน่าสงสัย ก่อนทำทีเป็นเดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะเดิมของฉัน “ผมไม่ได้พูดชื่อโจเลยนะ พี่คิดมากไปเองหรือเปล่า”

“งั้นเหรอ” ฉันถามเบาๆ อีกฝ่ายก็ขานรับในลำคอพลางเบนสายตาไปทางอื่น อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นักเลยนิคอาจจะแกล้งหลอกคนอื่นได้ แต่สำหรับฉันแล้วฉันมั่นใจว่าจะต้องมีอะไรบางอย่างที่เกี่ยวกับโจแน่ เพราะฉันได้ยินเขาเรียกชื่อ ‘โจ’ เต็มสองรูหู!

หรือว่าตอนที่เดินสวนกันโจจะบอกให้นิคมาเกลี้ยกล่อมให้ฉันยอมรับหน้าที่ที่เขาเสนอมาให้ แต่เอ...ฉันมั่นใจมากว่า ถ้าโจบอกให้นิคมาโน้มน้าวฉันจริงๆ นิคคงไม่ช็อกจนหน้าซีดเป็นกระดาษแบบนี้แน่ๆ

มีโอกาสเป็นไปได้ที่โจจะขู่อะไรบางอย่างกับนิค เป็นต้นว่า ‘บอกให้ลีอาห์ใจอ่อนซะ ไม่อย่างนั้นนายตายแน่!’หรือไม่ก็ ‘ถ้าไม่อยากให้ความลับของนายถูกเปิดเผยล่ะก็ ไปบอกลีอาห์ให้ยอมแพ้ซะ!’

โอ้ว ให้ตายเถอะ! ทำไมโจถึงได้ร้ายกาจกับน้องชายฉันขนาดนี้!

แต่ว่ากันตามตรง ต่อให้ในสายตาของฉันโจจะเป็นพวกเผด็จการ เจ้าคำสั่ง แถมยังชอบบังคับคนอื่นอย่างไม่น่าให้อภัยด้วยก็เถอะ ฉันก็ยังมีความเชื่ออยู่ในส่วนลึกๆ ของหัวใจว่า เขาจะไม่มีทางใช้กำลังกับใครแน่ๆ ดังนั้นคำขู่ที่หนึ่งจึงตกไป

โจไม่ใช้กำลังกับใครก็จริง แต่เรื่องแบล็คเมล์อะไรนี่ฉันมั่นใจล้านเปอร์เซ็นต์ว่าลอนดอนเก่งมาก และโจเองก็สนิทกับลอนดอนเสียยิ่งกว่าอะไรดี เป็นไปได้ว่าเขาจะติดนิสัยชอบแบล็คเมล์นี่มาจากเธอ

แล้วอย่างนี้เขาจะเอาความลับอะไรของนิคไปเปิดเผยล่ะ เรื่องที่นิคแอบชอบเพื่อนในห้องที่ชื่อมิลเดร็ดอะไรนั่นน่ะเหรอ จะบอกให้รู้ไว้ทั่วกันเลยก็ได้ว่า นั่นอาจจะไม่ใช่เรื่องจริงก็ได้ มิลเดร็ดอาจจะเป็นเพียงเพื่อนหญิงที่นิคสนิทที่สุด และการที่คุณมีเพื่อนสนิทเป็นเพศตรงข้ามก็ไม่ได้หมายความว่า คุณกับเขาหรือเธอจะต้องชอบกันเสียหน่อย

หรือว่าจะเป็นเรื่องที่เขาแอบดูแบดเนเบอร์สกับฉันเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว ทั้งๆ ที่แม่สั่งห้ามเอาไว้แล้วว่านิคยังไม่ถึงวัยที่สมควรจะดูหนังประเภทนี้ แต่แหม...เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่า นิคแอบดูเท็ดดี้ แซนเดอร์ในเมื่อโจเองยังแยกระหว่างแซคเอฟรอนกับเอียน โซเมอร์ฮอลเดอร์ไม่ออกเลยด้วยซ้ำ

ทีนี่ก็คงเหลือแต่เรื่องที่นิคสามารถรับรู้เหตุการณ์เลวร้ายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตกับคนที่เขาสัมผัสกายด้วยล่ะมั้ง ฉันก็ไม่เห็นว่านิคจะมีความลับอะไรที่น่าตกใจตรงไหน มันก็แค่...เดี๋ยวนะ! สัมผัสกาย การหยั่งรู้อนาคตของนิค

...หรือว่า!

“พระเจ้าช่วย! เธอเห็นอะไรบอกมาเดี๋ยวนี้นะ!” ฉันโพล่งออกมาเสียงดังจนคนทั้งร้านต่างหันมามอง แต่ใช่ว่าตอนนี้ฉันจะสนอะไรอีกแล้ว ถ้าตอนที่นิคเดินชนกับโจแล้วเขาเห็นอะไรจริงๆ นั่นจะกลายเป็นเรื่องใหญ่มากเลยทีเดียว

ฉันไม่ได้ล้อเล่นด้วย นิคมักจะเห็นอะไรบางอย่างที่คนปกติไม่เห็น เอ่อ...ฉันไม่ได้หมายถึงวิญญาณหรืออะไรทำนองนั้นหรอกนะ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ฉันคนหนึ่งล่ะที่จะไม่ขอย่างเท้าเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลย

แม้ว่ามันจะเกี่ยวกับโจก็ตาม

ฉันหมายถึงการที่เขาสามารถรับรู้อนาคตล่วงหน้าได้แบบที่มิลเดร็ดเรียกมันว่าอะไรนะ...เอ่อ…ญาณ ใช่! ‘ญาณทิพย์’ หรือ ‘อำนาจหยั่งรู้’ อะไรสักอย่าง

โอเค ถึงตรงนี้แล้วคุณอาจจะคิดว่าฉันบ้า แต่จะบอกให้เลยว่าคุณนั่นแหละที่เพี้ยนไปแล้วแน่ๆ ถ้าคุณได้ฟังเรื่องทั้งหมดนี่ที่ฉันกำลังจะเล่า แล้วยังไม่เชื่อว่าน้องชายของฉันมีพลังวิเศษจริงๆ!

ย้อนกลับไปเมื่อต้นปีที่แล้ว ที่ห้างฯ แถวบ้านฉันมีผลิตภัณฑ์คอร์นเฟลกยี่ห้อหนึ่งมาโปรโมทสินค้าออกใหม่ ที่น่าสนใจก็คือ ทางบริษัทมีโปรโมชั่นซื้อสินค้าในงานลดราคาทันทีห้าสิบเปอร์เซ็นต์! ห้าสิบเปอร์เซ็นต์เชียวนะ! คิดดูก็แล้วกันว่า ถ้าฉันซื้อกลับมาสักสิบกล่องหรือมากกว่านั้นฉันจะประหยัดเงินไปตั้งเท่าไหร่ เผลอๆ บางทีฉันอาจจะเอาไปขายให้คนอื่นต่อด้วยราคาที่ลดลงยี่สิบเปอร์เซ็นต์ ฉันได้ทั้งค่าเสียเวลา เสียกำลังในการเดินไปกลับและต่อคิวรอซื้อ และไหนจะกำไรนิดๆ หน่อยๆ อีกต่างหาก เห็นไหมว่ามีแต่คุ้มกับคุ้ม!

เพราะฉะนั้นแล้วฉันจึงเลือกที่จะไม่พลาดไปงานนี้ด้วยการชวนนิคไปเป็นเพื่อน แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือเจ้าตัวไม่ยอมไปกับฉันนี่สิ  ฉันได้แต่คะยั้นคะยออีกฝ่ายอย่างต่อเนื่องก่อนที่เจ้าตัวจะปริปากพูดอะไรบางอย่างออกมาเล่นเอาฉันหัวเราะท้องแข็งไปหมด คุณรู้ไหมว่านิคพูดกับฉันว่าอะไร เขาบอกว่า เราไม่ควรไปงานนี้ เวทีที่จัดงานจะถล่มลงมาทันทีที่เราไม่ทันตั้งตัว และจะมีคนบาดเจ็บจากงานนี้เป็นจำนวนมาก

โถ่เอ๊ย! ถ้าเป็นคุณมีเด็กสิบขวบเดินมาบอกว่าอย่าไปงานที่คุณจะได้แต่กำไรกับกำไรเลยนะ เพราะคุณกำลังจะเอาชีวิตทั้งชีวิตไปแลกกับเงินเพียงไม่กี่เหรียญเป็นคุณคุณจะเชื่อไหมล่ะ

โอเค คุณอาจจะบอกฉันว่า เชื่อ แต่สำหรับลีอาห์ ชเลนเดอร์แล้ว ขอบอกเลยว่า ไม่มีทาง!

ฉันยังยืนยันคำเดิมว่าจะต้องลากเขาไปให้ได้ ก็แหม ถ้าฉันซื้อคอร์นเฟลกสักยี่สิบกล่องใครจะช่วยฉันถือกัน เผลอๆ ถ้าทางบริษัทไม่กำหนดปริมาณสินค้าที่ผู้บริโภคหนึ่งคนสามารถซื้อได้ล่ะก็ ฉันอาจจะซื้อสักสามสิบกล่องเอาไว้สำหรับห่อเป็นของขวัญวันปีใหม่ปีหน้าก็ยังได้ คุณก็รู้ดีนี่นาว่า ไม่มีใครเอาของเจ๋งๆ แพงๆ ไปจับสลากวันปีใหม่กันหรอก

เมื่อเราไปถึงที่งานทุกอย่างดูเป็นปกติดี ฉันยังแอบเย้ยนิคเบาๆ เลยด้วยซ้ำ แต่แล้วเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น มือของฉันยังไม่ทันที่จะได้สัมผัสกับกล่องคอร์นเฟลกรสใหม่เวทีในฮอลล์ขนาดใหญ่ก็ล้มลงมาจริงๆ อย่างที่นิคพูด! สปอร์ตไลท์ต่างตกลงมากระจายแตกอยู่เต็มพื้น คนในงานทั้งพนักงานบางส่วนและลูกค้าจำนวนมากต่างพากันวิ่งชุลมุนออกจากตัวห้างฯ นิคฉุดแขนฉันให้หนีออกมานอกตัวห้างฯ หัวใจฉันเต้นรัวด้วยความตื่นตระหนก แต่ขาเจ้ากรรมกลับวิ่งกลับเข้าไปในงานแล้วคว้าทุกอย่างที่สามารถคว้าได้ในช่วงเวลาอันสั้น ก่อนจะวิ่งหนีออกมาด้านนอกกับนิค

โอเคๆ ฉันยอมรับว่า นั่นไม่ใช่ความคิดที่ดีสักเท่าไหร่ที่ฉันจะวิ่งกลับเข้าไปในนั้น แต่คุณรู้ไหมว่าแทนที่ฉันจะเสียเงินตั้งครึ่งหนึ่งให้กับคอร์นเฟลกกล่องนั้น ฉันกลับได้มันมาฟรี! แม้จะได้มาแค่เจ็ดกล่อง แถมยังหยิบได้มาแต่รสแย่ๆ ทั้งนั้นเลยก็ตาม

ใช่ว่าทุกคนจะคิดว่า คอร์นเฟลกฟรีเจ็ดกล่องแลกกับรอยขีดควนเล็กๆ น้อยๆ ที่ฉันได้มาจะคุ้มหรอกนะ เพราะนิคไม่ยอมพูดกับฉันเป็นอาทิตย์ สาบานได้ว่านั่นแย่เสียยิ่งกว่าให้เขาพูดว่า‘ผมบอกพี่แล้วใช่ไหม ลีอาห์’ อีก

แม่เองก็ดูจะไม่ประทับใจสักเท่าไหร่ที่นิคเตือนฉันแล้วว่าอย่าไป แต่ฉันกลับไม่ฟัง แม่บอกว่าเธอยินดีที่จะซื้อคอร์นเฟลกให้ฉันกินไปทั้งชาติมากกว่าที่จะให้ฉันเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยง ฉันเกือบจะซึ้งอยู่แล้วเชียว แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ฉันซึ้งไม่ออกก็คือ แม่ดูไม่ประหลาดใจสักเท่าไหร่เมื่อรู้ว่า คำทำนายของนิคถูกต้อง! ฉันก็เลยได้แต่เดาว่าบางทีตลอดเวลาห้า-หกปีที่นิคกับแม่อยู่ด้วยกันสองคนที่เพ้นต์เฮ้นส์สุดหรูอาจเป็นข้อพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีว่า นิคจะต้องเคยแสดงอภินิหารอะไรทำนองนี้ให้แม่เห็นมาแล้ว

โชคยังดีที่พ่อไม่ได้ขี้บ่นไปอีกคนหนึ่ง พ่อทำแผลให้ฉันอย่างง่ายๆ แต่ใส่ใจ ก่อนจะกระซิบเบาๆ ตอนที่แม่เผลอว่า

‘คราวหลังไม่เอาแบบน้ำตาลศูนย์เปอร์เซ็นต์นะ ลีอาห์’

เราสองแอบหัวเราะกันสนุกสนานก่อนจะเปิดกล่องคอร์นเฟลกออกกิน ฉันยื่นมันให้แม่กับนิคลองชิมด้วย แต่พวกเขาเอาแต่มองหน้าเราพ่อลูกด้วยสายตาที่นับว่าเย็นชาระดับหนึ่งแล้วเดินออกจากบ้านไป

ด้วยความสัตย์จริงเลยนะ หลังเหตุการณ์ใหญ่ครั้งนั้นเป็นต้นมาฉันก็เชื่อเขามาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กเรื่องน้อย อย่างฉันกำลังจะสะดุดหกล้มบ้าง หรือโดนมีดบาดระหว่างหั่นหัวผักกาดบ้าง แต่นั่นก็ไม่เคยมีครั้งไหนที่นิคจะตกใจจนหน้าซีดได้มากขนาดคราวนี้เลย ดังนั้นเป็นไปได้มากว่าสิ่งที่เขาเห็นในครั้งนี้จะไม่เรื่องเล็กๆ อีกแล้ว

“เห็นอะไร พี่พูดเรื่องอะไร” นิคยังคงทำเฉไฉ

ฉันไม่แน่สักเท่าไหร่ว่า ฉันเข้าใจถูกหรือเปล่า แต่ฉันรู้สึกได้ว่า เขาจะเตือนเรื่องพวกนี้แต่กับคนที่เขาไว้ใจ ซึ่งไว้ใจในที่นี้หมายถึง คนที่เชื่อว่าเขา ‘ไม่ได้โกหก’

ยกตัวอย่างง่ายๆ นะ ถ้าคุณเดินไปบอกใครสักคนว่า เขาจะต้องตายตอนอายุสี่สิบสามแล้วเขากลับไม่เชื่อคุณ หาว่าคุณบ้า ก่อนจะตะโกนเรียกคนอื่นให้หันมามองแล้วบอกทุกคนว่าอย่าไปยุ่งกับคุณเด็ดขาด เพราะคุณกำลังสาปแช่งเขาอยู่ คุณยังจะบอกเรื่องพวกนั้นกับใครอีกเหรอ

หรือว่าบางที ถ้าคุณบอกสิ่งที่คุณเห็นให้กับใครอีกสักคน แล้วเรื่องนั้นดันเกิดขึ้นกับเขาจริงๆ จากนั้นเขาก็หันมาต่อว่าคุณอย่างหนัก หาว่าคุณเป็นตัวซวยบ้างล่ะ เป็นพ่อมดที่กำลังจ้องจะทำร่ายมนต์ดำใส่เขาบ้างล่ะ คุณจะทำอย่างไร

ฉันไม่โทษนิคหรอกนะที่เขาไม่ยอมพูดมันออกมา แต่ก็อย่างที่เคยบอกไปก่อนหน้านี้นั่นแหละว่า อย่ามาทำให้ฉันสงสัย ไม่อย่างนั้นฉันจะเค้นจนกว่าเขาจะจนมุมแน่ๆ

“นิค” ฉันจับไหล่อีกฝ่ายแล้วพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พี่รู้นะว่าเธอเห็น บอกพี่มาว่ามันเกิดอะไรขึ้น”

“ลีอาห์ ผมไม่ได้เห็นอะไรทั้งนั้น เราแค่ชนกันแล้ว...แล้วโจก็ขอโทษผม...แค่นั้น”

“จริงเหรอ” ฉันหรี่ตาอย่างจับผิด “แล้วโจบาดเจ็บตรงไหนบ้าง”

“มีเลือดออกที่หัวเขา แต่ว่ามัน—”

“ฮ่า! นั่นไง เธอเห็นจริงๆ ด้วย!” นิครีบยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเองก่อนที่ดวงตากลมโตสองข้างจะเบิกกว้าง “สรุปเธอเห็นอะไรกันแน่ เขาเลือดออกด้วยจริงเหรอ แล้วเป็นอะไรมากหรือเปล่า เกิดเรื่องที่ไหน ยังไง เล่า!” ฉันรีบถามต่ออย่างร้อนใจ

“โจไม่เชื่อเรื่องพวกนี้หรอกน่า” เขาส่ายหัวอย่างขาดความมั่นใจ

“แต่พี่เชื่อ!” ฉันถอนหายใจพลางหย่อนก้นลงบนเก้าอี้ตัวข้างๆ “นิค พี่ไม่รู้ว่าคนอื่นจะคิดอย่างไรกับเรื่องพวกนี้ แต่สำหรับพี่แล้วพี่เชื่อ และถ้าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับโจจริงๆ เมื่อพี่รู้ พี่จะไม่มีทางปล่อยให้อันตรายพวกนั้นเข้าใกล้เขาเด็ดขาด ขอร้องล่ะบอกพี่มาเถอะนะ”

นิคมองหน้าฉันนิ่งๆ อย่างยากที่จะรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ ก่อนที่เขาจะพูดออกมาหนึ่งประโยคที่ทำเอาฉันตัวแข็งไปทั้งร่าง

“...พี่ชอบโจเหรอ”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา