GOD - The Gift Of Doom
เขียนโดย Barry
วันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 เวลา 12.06 น.
แก้ไขเมื่อ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 13.18 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) Prelogue : Part 1 Past of Factions
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความRaider
ท่ามกลางหุบเขาที่ตั้งอยู่กลางดินแดนรกร้างที่รายล้อมไปด้วยดินทราย ซากปรักหักพังของเชลเตอร์ถูกต่อเติมด้วยเศษเหล็กอย่างลวกๆ บางส่วนก็ใช้ท่อเหล็กและผ้าใบในการบังแดดฝน ผู้คนจำนวนมากยึดเอาที่นี่เป็นบ้าน พวกเขามีแหล่งพลังงาน มีอาหารที่ได้จากการปล้น และอาศัยอยู่ใน’บ้าน’ที่เรียงตัวอย่างเป็นระเบียบ ซี่ลูกกรงเหล็กที่ใหญ่และหนาคือกำแพงหน้าบ้านของพวกเขา คล้ายกับคุก แต่ก็เข้าออกได้อย่างอิสระ กลิ่นแอลกอฮอล์คลุ้งไปกับกลิ่นอับและกลิ่นคาวซึ่งไม่ได้รับการดูแลทำความสะอาดอย่างบ่อยครั้งนัก
นานๆครั้งก็จะมีพวกคนจาก’ชั้นล่าง’ขึ้นมาเพื่อมองหาแนวร่วม ซึ่งพวกคนจากชั้นล่างนั้นก็เปรียบเสมือนชนชั้นสูงของเมืองลิมโบแห่งนี้ พวกเขามีทักษะการต่อสู้ที่เหนือกว่า มีความเป็นผู้นำ หรือเป็นจอมวางแผนที่ชั่วร้าย จึงสามารถเอาชนะ และแย่งชิงพื้นที่ของเขต’ห้องขังพิเศษ’ที่มีสภาพสมบูรณ์พร้อมกว่าห้องขังปกติ มีไฟฟ้าใช้ และมีการปรับอากาศตลอดเวลา
และเช่นเดียวกับครั้งนี้ ที่มีคนจากชั้นล่างขึ้นมาอีกคนหนึ่ง เขาเป็นชายร่างสูง ผิวคล้ำแดงกร้านแดด แม้จังหวะจะไม่ดีนัก เพราะมีคนสองคนกำลังมีเรื่องชกต่อยกันอยู่ ทำให้พวกที่เหลือเริ่มที่จะวางสิ่งของที่ตนมีเพื่อเดิมพัน และส่งเสียงดังกลบเสียงเรียกของเขาจนหมด
“เฮ้ย!! ไอ้พวกชั้นต่ำ ฟังทางนี้สิโว้ย!!”เขาชักปืนออกมายิงขึ้นไปบนฟ้าสามนัด และเล็งไปทางชายสองคนที่กำลังต่อยกันอยู่ ได้ผล มันทั้งคู่หยุดทันที วงล้อมแหวกออกโดยอัตโนมัติขณะที่เขากำลังเดินเข้าไป ราวกับโมเสสแหวกน้ำทะเล “แจกซ์ พ...พวกเราไม่ได้ตั้งใจจริงๆ”หนึ่งในนั้นกล่าวด้วยความหวาดกลัว
“พวกแกจะต่อยกันหรือจะตุ๋ยกันก็ช่าง มันเรื่องของพวกแกโว้ย!! ได้ยินมาว่าพวกแรงเจอร์มันมาตั้งจุดสังเกตการณ์ใกล้กับพวกเรา น่าจะพอมีเสบียงอยู่บ้าง ก็แค่แผนง่ายๆ ใช้คนแค่ไม่กี่คน ใครจะเอาด้วยบ้าง?”ชายร่างใหญ่กล่าวแบบไม่ได้สนใจไยดีนัก เขาแค่ต้องการความสนใจเท่านั้น แต่ก็มีชายรูปร่างผอมแห้งคนหนึ่งแย้งออกมา “ต...แต่ ถ้ามันเรื่องเล็กขนาดนั้น ทำไมต้องวางแผนด้วยล่ะ?” “เปรี้ยง!!” ถามจบ ลูกตะกั่วก็พุ่งทะลุหัวของเขาทันที ควันจางๆลอยออกมาจากปากกระบอกปืนสั้นของแจกซ์ “พวกชั้นต่ำก็มีความคิดแบบต่ำๆ ถ้าบุกไปตรงๆ พวกมันก็ต้องขอกำลังเสริมอยู่แล้ว พวกเราต้องขนของทั้งหมดให้ได้ก่อนที่ความช่วยเหลือจะมา เข้าใจมั้ย!!” เขากล่าวด้วยเสียงอันดัง ในขณะที่คนอื่นได้แต่เงียบกันหมด ด้วยความรู้สึกกลัว “ลากศพมันไปทิ้งข้างนอกด้วย แล้วใครจะไปก็ตามมา”แจกซ์กล่าว หันหลังเดินจากไป โดยมีบางคนติดตามไปด้วยเพราะถ้าไม่ตามไป แจกซ์อาจจะย้อนกลับมา เพื่อฆ่าอีกซักสองสามคน ถ้าโชคร้ายอาจจะเป็นตัวเขาเองก็ได้
Raider - ชั่วร้าย และไม่เคร่งกฏ
Ranger
สองวันหลังจากขาดการติดต่อ เหล่าแรงเจอร์จำนวนสี่นายได้เดินเท้าจากสถานีประจำการที่ใกล้ที่สุด เพื่อมาตรวจสอบจุดสังเกตการณ์ลิมโบ การเดินเท้ากลางอากาศที่ร้อนระอุของเดือนเมษายนทำให้พวกเขานึกอยากจะให้มันเกิดนิวเคลียร์เหมันต์ซะให้รู้แล้วรู้รอด ปกติแล้วพวกแรงเจอร์ที่จุดสังเกตการณ์ต้องส่งการรายงานทุกวัน แต่นี่ก็เป็นวันที่สองแล้ว ที่การติดต่อขาดหายไป
พวกเขาเห็นความเคลื่อนไหวบางอย่างอยู่ห่างจากจุดสังเกตการณ์กว่าห้าร้อยเมตร ทำให้ชายที่นำอยู่หน้าสุดต้องหยุดดู เขาสวมชุดเกราะที่ดูดีกว่าคนอื่น มีเหล็กปิดหลังแขน ไหล่ และเกราะคุ้มกันลำตัว รองเท้าบูตสีน้ำตาลมีแผ่นเหล็กปิดส้นเท้าและปลายเท้า หมวกเหล็กที่ปิดคลุมใบหน้ามีกล้องติดอยู่ที่ด้านขวาของหมวก มันทำหน้าที่ในการบันทึกภาพ ขณะเดียวกันก็ใช้ในการตรวจสอบแหล่งความร้อน และทำการซูมภาพในระยะไกลด้วย
โชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่อาจบอกได้ ที่การมาของเทพธิดาทำให้ปริมาณออกซิเจนในอากาศเพิ่มขึ้น จนเหล่าแมลงต่างๆมีขนาดใหญ่ขึ้น แม้แต่แมลงวันที่ตอมซากศพก็ยังมีขนาดตัวเท่ากับลูกแมว และเพราะอย่างงั้น มันจึงถูกมองเห็นได้จากระยะไกล กล้องบนหมวกทำการสแกนศพเหล่านั้น ทำให้ระบุตัวของเหยื่อได้ทั้งหมด
“สี่คนนี้อยู่ระหว่างเวรเดินตรวจตราก่อนการติดต่อจะขาดหายไป ทุกศพอยู่ในสภาพเปลือยเปล่า พวกเรดเดอร์น่าจะเอาเสื้อผ้าไป...”เขากล่าวคำรายงานบันทึกลงไปในหน่วยบันทึกความจำของหมวก ขบวนของพวกเขายังคงเคลื่อนต่อไปยังจุดสังเกตการณ์ลิมโบ มันเป็นแค่ตู้คอนเทรนเนอร์ และซากรถที่ถูกรื้อที่นั่งออก และนำอุปกรณ์สื่อสารกับเสบียงใส่เข้าไป
เดิมทีควรจะมีคนประจำอยู่ที่นี่อีก4คน แต่ตอนนี้มันกลับเงียบ เหมือนไม่เคยมีใครอาศัยอยู่มาก่อน มือของผู้นำกลุ่มผลักประตูเข้าไปอย่างแผ่วเบา เขารู้สึกได้ถึงแรงตึงบางอย่าง จึงหยุดมือเอาไว้ และก้มตัวลงไปตัดเชือกสีขาวเล็กๆที่อยู่บริเวณขอบล่างของประตู “มีกับดัก ทุกคนระวังตัวด้วย”หัวหน้ากลุ่มกล่าว และผลักประตูเปิดออกไป กลิ่นคาวเลือดคลุ้งออกมาทันทีที่ประตูถูกเปิดออก มีศพของชายสองคน และหญิงสาวอีกคนนอนแน่นิ่งอยู่ อุปกรณ์ที่หมวกทำการสแกนสัญญาณชีพ แต่ก็ต้องพบกับความว่างเปล่า ไม่มีสิ่งมีชีวิตในบริเวณนี้
หัวหน้ากลุ่มใช้มือกดที่ปุ่มข้างหมวกเพื่อทำการติดต่อ “เรียกเอชคิว นี่มิดไนท์สตาร์หน่วยสิบสี่ จุดสังเกตการณ์ถูกบุก ยืนยันผู้เสียชีวิต7นาย” ศพแรกในจุดสังเกตการณ์นอนคว่ำหน้าอยู่ เขาจึงค่อยๆเอื้อมมือเข้าไปเพื่อดึงร่างของผู้เสียชีวิตแง้มขึ้นมา ร่างของเขานอนทับแผ่นโลหะกลมสีดำ “ฮอว์ค กู้ระเบิดด้วย”เขาเรียกชายผิวคล้ำที่ติดตามมาด้วยเข้ามา เข้าใช้คีมเพียงอันเดียวก็สามารถปลดชนวนระเบิดได้อย่างปลอดภัย ศพถูกยิงเข้าที่แสกหน้า นัดเดียวจอด ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ หัวหน้ากลุ่มของพวกเขาดึงตราที่อกของศพนั้นออก
“คอมพิวเตอร์ยังอยู่”ชายหนุ่มร่างผอมสูงผิวขาวบอก เขากำลังเปิดดูแผงวงจรภายใน ก่อนจะหยิบระเบิดออกมาสามลูก “ท่าทางจะไม่ใช่เรดเดอร์ธรรมดา” เขาเค่นเสียงหัวเราะ และเริ่มทำการเช็คข้อมูลบันทึกภายในเครื่อง ขณะที่ระเบิดลูกที่สองถูกปลดชนวนสำเร็จ ส่วนศพที่สามของหญิงสาวอยู่ในสภาพเปลือยเปล่า ร่างกายมีรอยฟกช้ำ เธอคงจะดิ้นรนขัดขืน และที่พวกเขาทำได้ มีเพียงการใช้นิ้วปิดตาเธอให้หลับลงเท่านั้น ส่วนตราที่สลักชื่อของเธอเอาไว้ด้านหลัง ยังคงติดอยู่บนเศษผ้า ที่เกิดจากการพยายามฉีกกระชากเสื้อออกด้วยแรง
“บันทึกข้อความล่าสุดล่ะ”หัวหน้ากลุ่มถาม และทำการติดต่อทางวิทยุ เพื่อเปิดข้อความล่าสุดให้ศูนย์บัญชาการได้ยินพร้อมๆกันไปด้วย
“กึก....แซ่ก(เสียงปรับไมค์)
‘จุดสังเกตการณ์ลิมโบ เหตุการณ์ทุกอย่างปกติดี หน่วยลาดตระเวนกลับมาช้ากว่าปกตินิดหน่อย คงต้องให้เขียนบันทึกรายงานทีหลัง’
‘แกร๊ก...’(เสียงผลักประตู)
‘เฮ้ย!! ทำไมกลับมาช้า...!’ ‘ปัง ปัง ปัง’(เสียงปืน) ‘กรี๊ด~!!’ (เสียงกรีดร้องของผู้หญิง) ........(บันทึกถูกปิด และถูกเลื่อนเป็นบันทึกถัดไป)..... ’ถึงพวกแรงเจอร์ทุกคน ถ้าพวกแกยังไม่เลือกที่จะขัดขวางพวกเราล่ะก็ พวกแกจะต้องถูกล่าทีละคน จนไม่เหลือใครรอดแม้แต่คนเดียว ครั้งนี้พวกเราพาผู้หญิงคนนึงไปกับเรา...’”
“เอชคิว เรียกมิดไนท์สตาร์ที่สิบสี่ กองกำลังหลักกำลังติดภารกิจ จะทำการส่ง’ซิสเตม’ไปสองนาย ได้ยินแล้วตอบด้วย” เสียงวิทยุตอบกลับมาทันที “เรียกเอชคิว ได้ยินชัดเจน เปลี่ยน”หัวหน้ากลุ่มตอบ มือของเขาสั่นขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ พูดถึงซิสเตม พวกเขาคือบุคคลสิบคน ที่มีพลังอำนาจมากมาย และยิ่งใหญ่ระดับผู้นำของเหล่าแรงเจอร์
“เป้าหมายคือแจกซ์ วายร้ายที่มีพลัง’อัจฉริยะภาพ’ ห้ามทำการเคลื่อนไหวด้วยตัวเอง อันพึงเสี่ยงต่อการสูญเสียเด็ดขาด ขอให้รอเจ้าหน้าที่จากศูนย์บัญชาการไปถึง” เสียงจากศูนย์บัญชาการสั่ง แม้จะอยากตามไปแค่ไหน พวกเขาก็ต้องรอก่อน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่ายังไม่รู้ว่ากองกำลังศัตรูมีอยู่เท่าไร ที่สำคัญ พูดถึงแจกซ์จอมโหดแล้ว เขาเป็นจอมวางแผนตัวร้ายที่มีประกาศจับไม่ว่าเป็นหรือตาย ค่าหัวที่ถูกชาวเมืองต่างๆนำสิ่งตอบแทนมาสุมรวมกันเอาไว้เทียบเท่ากับกระสุนหมื่นนัด
แจกซ์นั้นไม่มีพลังที่ใช้ในการต่อสู้ แต่สามารถคิดคำนวณก่อนการปล้นได้อย่างเฉียบแหลม ที่สำคัญ ต่อให้ต้องเสียผู้ติดตามไปบ้าง แจกซ์ก็จะทำเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ ลูกน้องรอบๆตัวเขาจึงเปลี่ยนไปเสมอ ไม่สามารถคาดเดาพลังของกลุ่มที่แจกซ์มีอยู่ได้เลย
พวกเขาจำเป็นต้องรออยู่ที่จุดตรวจการณ์นี้ และเพื่อไม่ให้เวลาสูญเปล่าพวกเขาได้ทำการค้นหาพื้นที่ๆเป็นไปได้ว่าจะมีกับดักอยู่อย่างละเอียด ผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมง ก็มีความเคลื่อนไหวขึ้น เสียงไอพ่นดังมาจากฟากฟ้าทางตะวันตก นกเหล็กลำยักษ์ค่อยๆปรับไอพ่น โดยตะแคงหน้าขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเคลื่อนลงในแนวดิ่ง มันเป็นเครื่องบนขนย้ายที่หุ้มเกราะอย่างดี สามารถกันอากาศภายนอกไม่ให้เข้ามาข้างใน รวมถึงมีความสามารถที่จะลดทอนรังสีนิวเคลียร์ได้ในระดับหนึ่ง
ท่อไอพ่นพัดหมุนอากาศร้อนพุ่งใส่พื้นทรายเบื้องล่างจนกระจายออกเป็นวงเมื่อล้อทั้งสามกางแตะพื้น ไอพ่นก็ผ่อนแรงลงเรื่อยๆจนหยุดลง แผ่นประตูโลหะท้ายเครื่องเปิดออก โดยมีชายสองคนก้าวลงมา หนึ่งในนั้นเป็นชายสูงอายุผิวขาว ผมสั้นรองทรงสีขาวเกือบจะหมดทั้งหัว ยังคงเหลือสีทองอ่อนๆอยู่ไม่กี่เส้น รอยย่นบนใบหน้าบอกถึงวัยที่มากกว่า60 ถ้าตามปกติในแง่ของราชการก็ถือว่าถึงวัยเกษียณ นัยน์ตาสีฟ้าฉายแววมั่นใจเพราะแก่ประสบการณ์ เขาสวมหมวกปีกกว้างสีกากี ตามแบบคาวบอยยุคเก่า เสื้อเชิ้ตสีขาว เสื้อหนังสีน้ำตาล เข็มขัดที่สามารถเสียบกระสุน และปืนลูกโม่ที่เด่นหราอยู่ที่เอว เพียงแต่ว่า มันไม่ได้ถูกผลิตในยุคสมัยของคาวบอยอย่างแท้จริงตามประวัติศาสตร์ แต่เป็นปืนสมิธแอนด์เวสสันโมเดล500 ที่มีลักษณะใหญ่ยาวเป็นพิเศษเขายิ้มและโบกมือให้กับหน่วยมิดไนท์สตาร์อย่างอารมณ์ดี
ชายอีกคนเป็นชายวัยกลางคนท่าทางเคร่งขรึม ผมยาวรุงรังสีดำซ่อนอยู่ใต้หมวกปีกกว้างที่กว้างมากกว่าหมวกคาวบอย ร่างกายของเขาแม้จะไม่สูงมาก แต่ก็มีกล้ามเนื้อดูทรงพลังและดุดัน แววตาเฉียบคม นัยน์ตาสีดำกวาดมองสภาพรอบๆ เขาสวมกางเกงขายาว และบูทหนังแบบคาวบอย เสื้อแขนยาวสีดำกรมท่าทับอยู่บนเสื้อเชิตสีขาว ผ้าโพกหัวสีแดงถูกมัดเอาไว้ที่คอ พร้อมจะดึงขึ้นมาปิดบังใบหน้า แต่มันคงไม่จำเป็นนัก เมื่อชื่อเสียงของเขาโด่งดังไปทั่ว สายกระสุนสองเส้นถูกพันไว้รอบๆเอว และที่หัวเข็มขัดก็มีมีดเล่มหนึ่งเสียบอยู่
“เมอร์คิวรี่กับเซเทิร์นเหรอเนี่ย”หัวหน้ากลุ่มมิดไนท์สตาร์กล่าวด้วยความรู้สึกชื่นชมเป็นหลัก เขาถอดหมวกเหล็กออก เผยให้เห็นผิวขาวเนียน ใบหน้ารูปไข่ที่งดงามแบบผู้หญิง ปากสีชมพูอวบอิ่มที่ไร้ซึ่งการแต่งเติม นัยน์ตาสีแดง ผมสั้นสีขาวสั้นพอจะมองเห็นใบหูทั้งสองชัดเจน
“เรียกว่าจอห์นก็ได้”ชายสูงอายุกล่าวและยิ้มออกมา “แอนดี้ เมอร์คาโด้” ชายอีกคนพูดชื่อของตนออกมาห้วนๆ และยื่นมือเพื่อทำการเชคแฮนด์ แต่มันกลับทำให้บรรยากาศตึงเครียดมากขึ้นอย่างบอกไม่ถูก ด้วยใบหน้าที่ไม่ยิ้มแย้มเป็นปกติของเขา “บริทนีย์ อัลเลน ยินดีที่ด...”ยังไม่ทันกล่าวจบเธอกลับพบว่าคนที่เธอกำลังจับมือด้วยกลายเป็นจอห์นอย่างกะทันหัน ขณะที่แอนดี้ก็กำลังจับมือกับความว่างเปล่า
“จอห์น คูเปอร์ พลังของชั้นคือการ’สลับ’ จริงๆก็เอาไว้ใช้หากินในวงไพ่อ่ะนะ”เขากล่าวและขยิบตาให้เธอ ซึ่งคลายบรรยากาศชวนให้รู้สึกกดดันจากตัวแอนดี้ได้มาก “โชว์ไต๋กันก่อนสินะ”แอนดี้กล่าว ควงปืนลูกโม่คู่ที่เอวทั้งสองข้างของเขาในมืออย่างคล่องแคล่ว ก่อนที่มันจะ....หายไป “เรียกมันว่า’อินเวนทอรี่’ความสามารถก็แค่การ’เก็บ’อะไรบางอย่าง แล้วก็เอาออกมาเมื่อถึงเวลา” แอนดี้กล่าว และเรียกปืนลูกโม่ที่หายไปกลับเข้ามาในมืออีกครั้ง เสียบมันเข้าไปในซองตามเดิม และไม่มีท่าทีว่าจะเผยไต๋มากไปกว่านี้
“พวกเธอล่ะ หน่วยที่สิบสี่ มีพลังอะไรกันบ้าง?”จอห์นถามกลับ นัยน์ตาของบริทนีย์เรืองแสงสีแดงขึ้นมา และส่งผลให้ทุกคนรอบๆมองเห็นกลุ่มควันสีแดงที่ลอยขึ้นมาจากพื้นเป็นเส้นตรงแบบเจือจาง เส้นนั้นตรงไปยังทิศตะวันออก ตรงดิ่งไปทางสุดขอบฟ้าเท่าที่จะมองเห็นได้ มีต้นไม้ต้นใหญ่อยู่ไกลลิบ ใหญ่พอจะเห็นได้จากระยะไกล เท่าเทียมกับภูเขาลูกหนึ่ง เศษซากยานรบขนาดใหญ่พอๆกับเมืองๆหนึ่งยังคงติดคาอยู่บนกิ่งไม้เด่นตระหง่าน สูงเทียมเมฆ
“’วิชั่น’เป็นพลังที่ใช้ติดตามเป้าหมาย และสามารถแชร์ข้อมูลให้คนอื่นรับรู้ได้ฮะ”บริทนีย์กล่าวด้วยการพูดแบบผู้ชาย “ช่วยได้มากเลย.....”จอห์นกล่าวอย่างครุ่นคิด ‘ถ้าพวกนั้นจะไปที่ป่าของเทพธิดา จะพาผู้หญิงไปทำไมมีจุดประสงค์อะไรกันแน่ พวกอิคารัสก็อยู่คนละด้านกันกับทางที่พวกนั้นมุ่งหน้าไป’ เหตุผลนี้ หลายๆคนต่างก็คิดเช่นเดียวกัน อีกสามคนในหน่วยต่างก็มีพลังที่แตกต่างกันตามความเชี่ยวชาญ ชายร่างผอมสูงมีพลังในการควบคุมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ฮอว์คมีพลังในการลดหรือเพิ่มแรงกระทำทางฟิสิกส์ ซึ่งไม่เกี่ยวกับทางของเวกเตอร์ ซึ่งสามารถเสริมให้กับการใช้ปืนของเขาได้ และอีกคนหนึ่งที่เหลือมีพลังในการ’ไม่เป็นจุดสนใจ’ แน่นอนว่า ถ้าไม่ออกมาแนะนำตัวตรงๆ ก็แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จอห์นและแอนดี้จะสังเกตเห็นชายผู้นี้
“ถ้าตามไป ยังไงแจกซ์ก็น่าจะวางกับดักไว้รอเราอีกเพียบ ที่สำคัญ เป้าหมายหลักอาจจะเป็นการทำลายกำลังสำคัญของแรงเจอร์ก็ได้ ตามประวัติ หมอนั่นมีพี่น้องอีก6คน เมื่อสิบปีก่อนเคยรวมตัวกันเป็นแกงค์ แต่ก็ถูกฆ่าตายหมด ด้วยมือแรงเจอร์คนเดียว”จอห์นสรุป เขาชายตามองแอนดี้เล็กน้อย นัยจะบอกว่าคนที่ฆ่าแรงเจอร์พวกนั้น ก็คือตัวแอนดี้นี่เอง
“จู่โจมเลยน่าจะดีกว่า”แอนดี้กล่าว เมื่อพูดถึงแจกซ์ ดูเหมือนจังหวะหายใจของเขาก็จะหนักหน่วงขึ้น เขาตัดสินใจก้าวขึ้นเครื่องบิน โดยไม่ต้องต่อรองให้มากความ หน่วยสิบสี่ทั้งหมดขึ้นเครื่องบิน โดยมีจอห์นขึ้นเป็นคนสุดท้าย บริทนีย์แสดงภาพให้แอนดี้เห็นตลอดเวลาว่าเขาควรบินไปทางไหน
เพียงแค่สามชั่วโมง ด้วยความเร็วสูงสุด เครื่องบินก็ลงจอด ภาพเบื้องหน้าของพวกเขาคือหน้าผาหินสูงชั้นที่เกิดจากการยกตัวของรอยเลื่อนจากแผ่นดินไหว มันยกตัวขึ้นเป็นวงกลม รอบต้นไม้ของเทพธิดา จากจุดนี้ พวกเขาพบแอ่งน้ำ อันเป็นสัญญาณของชีวิตมากมาย ปลาตัวเล็กแหวกว่ายในน้ำ อากาศเย็นผิดกับทะเลทรายลิบลับ แม้จะไม่เท่าห้องปรับอากาศในเครื่องบินที่พวกเขานั่งมา แต่ก็รู้สึกได้ถึงอากาศที่สดชื่น
“ฉึก!!”กระสุนปริศนาเจาะเข้าที่หน้าผากของช่างเทคนิคประจำหน่วยโดยที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัวด้วยซ้ำ ทุกคนที่เหลือตั้งท่าพร้อมต่อสู้ บริทนีย์หยังประสาทสัมผัส เพื่อจับสัญญาณชีพรอบๆ และแสดงให้เห็นสัญญาณชีพจุดหนึ่งที่อยู่สูงขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่ขอบหน้าผา
แอนดี้เรียกปลอกคออันหนึ่งโยนทิ้งไว้บนพื้นพร้อมทั้งเกราะแบบแรงเจอร์ทั่วไปหนึ่งชุด “จอห์น!!” สิ้นเสียงเรียก เขาก็ถูกสลับที่กับสไนเปอร์บนยอดต้นไม้ ทว่า เครื่องยิงจรวดอันหนึ่งถูกเล็งมาทางเขา ช่วงเวลาวินาทีแห่งชีวิต จอห์นดึงลูกโม่ที่ข้างเอวออกมาด้วยสัญชาติญาณ ยิงสวนกับจรวดนั้นระเบิดกลางอากาศ เรเดอร์จำนวนห้าคนล้อมอยู่รอบต้นไม้ ราวกับตั้งใจรอการ’สลับ’ของจอห์น ต้นไม้สูงเกินกว่าที่จะกระโดดลงไปโดยไม่ใช้อุปกรณ์ช่วย แต่อุปกรณ์ช่วยที่ว่าของแอนดี้ก็เหนือล้ำกว่าจินตนาการของแจกซ์ เมื่อปืนลูกซองเหล็กกล้าขนาดใหญ่ถูกเรียกออกมากลางอากาศ เล็งเข้าที่เรเดอร์คนหนึ่งด้วยพลังงานที่ถูกชาร์จในเสี้ยววินาที แรงดีดจากลูกซองผลักร่างของเขาให้ลดความเร็วในการตกจนเกือบจะหยุดนิ่งกลางอากาศ
ปืนลูกซองหายไป แอนดี้กลิ้งตัวกับพื้นดินเพื่อลดแรงกระแทก จับปืนเล็งมั่นด้วยมือขวา มือซ้ายตบที่หลังปืนอย่างรวดเร็ว ‘เปรี้ยงๆ!!เปรี้ยงๆๆ!!’กระสุนสี่นัดวิ่งออกจากรังเพลิงไปรอบๆ พุ่งใส่หัวของเรเดอร์ทั้งหลายอย่างแม่นยำ กระสุนอีกนัดยิงขึ้นไปบนฟ้า ร่างของชายคนหนึ่งตกลงมานอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น มือยังคงกำมีดเอาไว้แน่น ควันสีขาวลอยขึ้นมาจากปากกระบอกปืนสีดำ สายลมแผ่วเบาพวยพุ่งออกจากปากของแอนดี้ เป่าควันให้ปลิวออกไป เขาควงปืนสองรอบ เปิดโม่และหมุนขึ้นครึ่งรอบเพื่อเทกระสุน มือซ้ายที่ว่างอยู่วาดกวาดปลอกกระสุนทั้งหมดและทำให้มันหายไป ก่อนจะหยิบกระสุนจากช่องที่เอว ในจังหวะที่มือขวาหมุนลงอีกครึ่งรอบ ใส่กระสุนเข้าไปหกนัดอย่างคล่องแคล่ว ควงปืนอีกสองรอบ และเสียบเข้าไปในซองอย่างรวดเร็วและดุดัน
ด้านจอห์นที่อยู่บนพื้นเองก็ลำบากไม่แพ้กัน เมื่อสลับที่ ร่างที่โผล่ออกมากลับเป็นแรงเจอร์อีกคนหนึ่งที่ถูกลักพาตัวไป เธออยู่ในสภาพเปลือยเปล่า ปลอกคอเหล็กกล้ากระพริบเตือน และกำลังจะระเบิดหัวเธอ ไม่แค่นั้น เอวของเธอมีระเบิดพันอยู่รอบ จอห์นเข้าใจวัตถุประสงค์ของแอนดี้ทันที และสลับปลอกคอ ระเบิดที่เอวของเธอกับของที่แอนดี้ทิ้งเอาไว้ให้ บริทนีย์กระโดดตะครุบร่างของเธอลงกับพื้นด้วยสัญชาติญาณ ระเบิดที่ปลอกคอและสายรัดเอวร้องเตือนเป็นครั้งสุดท้าย เปลวไฟพวยพุ่งขึ้นบนฟ้า ทำลายพื้นดินเบื้องล่างกลายเป็นหลุมลึก โชคดีที่ไม่มีใครเป็นอะไร
“พาผู้เคราะห์ร้ายทั้งหมดขึ้นเครื่องไปก่อน!!”บริทนีย์บอกกับฮอว์ค ยึดเอาคำสั่งเป็นที่ตั้ง เขาตัดสินใจแบกร่างของสหายร่วมหน่วยรบวิ่งไปทางเครื่องบินลำเลียงหุ้มเกราะที่พวกเขานั่งมาก่อน แอนดี้ยื่นศพออกมาที่ขอบหน้าผา โดยจับที่คอเสื้อเอาไว้ จอห์นก็ค่อยๆส่งพวกเขาขึ้นไป....ทีละคน
เสียงปรบมือดังขึ้นจากด้านบน แจกซ์นั่นเอง เขายืน ไม่สิ นั่งอยู่บนเบาะนุ่มๆ ภายในห้องกระจกกันกระสุนที่มีขา และไอพ่นที่ใช้ในการบิน เหนือห้องกระจกมีใบพัดสี่ใบที่พับเรียงกันคล้ายหางของนก และด้านข้างก็มีแขนติดปืนกลทั้งสองข้าง และมิไซส์สองชนิด AH-206 Apache IV ตัวอักษรสีเหลืองที่เห็นได้จางๆบนตัวถังเหล็กบ่งบอกว่ามันอันตรายขนาดไหน มันคือสุดยอดเครื่องบินรบที่สามารถสลับโหมดมาเป็นหุ่นรบเดินด้วยสองขา แขนทั้งสองสามารถเล็งแยกกันได้อย่างอิสระ
“เก่งมากที่รอดจากการโจมตีละรอกแรกได้ แต่ว่า... พวกแกทำเสียงดังกันมากเกินไปรึเปล่า?”เสียงของแจกซ์ดังผ่านลำโพงของเครื่อง “แล้วถ้ามิไซส์มันระเบิดเครื่องบินของพวกแกเละเป็นจุลเอาตอนนี้.... พวกแกจะหนีจาก’พวกมัน’ยังไง” ใช่แล้ว แผนของแจกซ์คงไม่ได้วางเอาไว้ชั้นเดียว ใบพัดทั้งสีกางและเริ่มหมุนขณะที่ตัวเครื่องเอนลง ขาทั้งสองเรียบเรียงกลไกใหม่กลายเป็นหางของเครื่องบิน แขนกางออกกลายเป็นปีก “บ้าเอ๊ย มันไปเอาเครื่องนั่นมาจากไหนฟระ!!” จอห์นสบถ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความรู้สึก’คาดไม่ถึง’และ’หลงกล’ เครื่องบิน อันเป็นความหวังที่จะกลับมาตุภูมิของพวกเขาถูกระเบิด ในเวลาเดียวกัน เรเดอร์ยี่สิบคนก็ปรากฏตัวจากแนวริมหน้าผา แจกซ์หันเครื่องบินหนีไปโดยพูดทิ้งท้ายเอาไว้กับพวกเรเดอร์ “ใครที่อยากรอดจงฆ่าพวกมันให้ได้ก่อนที่’หมาป่า’จะมา!!” แต่แอนดี้ที่มี’ความแค้น’กับแจกซ์เป็นพิเศษไม่ปล่อยไปง่ายๆ เขายิงตะขอปีนติดกับท้องเครื่องได้ในวินาทีสุดท้าย และดึงตัวเองขึ้นไปให้ใกล้ที่สุด
เหลือไว้เพียงคนสองคน...ไม่สิ สามคนที่ถูกรายล้อมด้วยศัตรูจำนวนมาก กระสุนจากเครื่องยิงระเบิดตกลงบนพื้นข้างหน้าบริทนีย์ เสียงระเบิดดังสนั่นจนร่างของเธอล้มลง ชายสูงอายุจำต้องเข้าไปดูอาการอย่างตกใจ “ห....หนีไป”เธอกล่าว ปลดตราที่อกเสื้อเพื่อยื่นให้กับจอห์นด้วยมือที่โรยแรง “คุณต้อง....รอด....”เลือดเริ่มไหลออกมาจากช่องท้อง และซึมทะลักออกมานอกชุดเกราะที่ทะลุเพราะสะเก็ดระเบิด จอห์นยิงปืนลูกโม่ของเขาตอบโต้ แต่ก็รู้ดีว่าไม่มีทางเอาชนะ “การเสียสละของเธอจะไม่สูญเปล่า พวกเราสองคนจะลากตัวแจกซ์ไปลงโทษให้ได้....”จอห์นกล่าวด้วยน้ำเสียงหมองลงเล็กน้อย ขณะที่บริทนีย์ถอดหมวกของเธอ และยิ้มให้เขาเป็นครั้งสุดท้าย
จอห์นวางร่างของเธอลง มองไปทางหน้าผา เขาวิ่ง และกระโดดออกไปสุดตัว ก่อนที่จะหายมายืนอยู่เบื้องหลังพวกเรเดอร์ ขณะที่รายหนึ่งที่เคราะห์ร้ายที่สุดกำลังร่วงลงจากหน้าผา กระสุนขนาดใหญ่หกนัดถูกยิงใส่พวกมันจากข้างหลัง และในระหว่างที่บรรจุกระสุน จอห์นก็สลับที่กับเรเดอร์ที่ถือเครื่องยิงระเบิดM79 ลูกระเบิดที่กำลังจะหล่นใส่หัวเขา จึงหล่นใส่ตัวผู้ยิงแทน จังหวะนั้นก็ลั่นไกยิงออกไปสามนัด สลับตัวไปใกล้กับหน้าผามากที่สุด เพื่อกระโดดออกไป และลั่นไกอีกสามนัด ก่อนจะสลับที่มายืนบนพื้นอีกครั้งหนึ่ง แค่พริบตาเดียว เรเดอร์ก็ตายไปกว่าครึ่ง สร้างความหวาดกลัวเกาะกุมในใจของพวกมันอย่างที่สุด แม้จะลองใช้พลังจิตเทเลพาธีในการจับร่างของจอห์นเอาไว้ แต่พริบตาที่กำลังจะขยี้ร่างของเขาเป็นเศษเนื้อ ตาแก่ปีศาจเบื้องหน้า ก็เปลี่ยนเป็นเพื่อนคนหนึ่งของพวกมันแทน กระสุนเจาะเข้าหน้าผากของผู้ใช้หลังจิต โดยที่ม่านพลังป้องกันก็ไม่อาจจะทานกระสุนขนาด.50อันทรงพลังได้
เหลืออยู่แค่สามคน พวกเรเดอร์ต่างก็คิดว่าตัวเองคงไม่รอดแน่ ทำได้เพียงการบุกแบบหมาจนตรอก อย่างพร้อมเพรียง จอห์นแค่ลั่นไกออกไปสองนัด แต่ร่างทั้งสามกลับล้มลง สร้างความฉงนให้กับจอห์น เขาหันมองไปทางซอกโขดหิน และมองผ่าน’ชายผู้ไม่เป็นจุดสังเกต’ไป จนเขาต้องเดินออกมาโบกมือข้างหน้าจอห์น “ลืมไปเลยแฮะว่ามีนายอยู่...”เสียงหมาป่าเห่าหอนเริ่มดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ สร้างความกังวลให้กับจอห์นอีกครั้งหนึ่ง....
อีกด้านหนึ่ง สูงขึ้นไปบนฟ้า แรงกดอากาศและแรงเฉื่อยกดลงบนใบหน้าของแอนดี้จนแม้จะกัดฟันแน่นๆ ริมฝีปากของเขาก็ยังสะบัด เขาเรียกปืนเลเซอร์ออกมาเพื่อทำการเจาะล็อคของเครื่องบิน ซึ่งก็ต้องใช้สมาธิและเวลา เพื่อโฟกัสความร้อนให้มากพอจะละลายโลหะที่หนาพอจะทานแรงระเบิดจากรถถัง แอนดี้กระชากประตูเปิดสุดแรง ความดันอากาศที่ต่างกันดูดเอาสิ่งของน้ำหนักเบาภายในเครื่องออกมา รวมถึงมีดเซรามิคจำนวนมากที่ผูกเอาไว้กับถุงกระดาษด้วย เขาดึงตัวเข้าแนบกับเครื่องบินให้ได้มากที่สุดเพื่อหลบคมมีดเหล่านั้น คมมีดสองสามเล่มถากแขนซ้ายของเขาไป โชคไม่ดีที่แรงดึงของลมมากพอจะตัดทะลุแขนเสื้อของเขาสร้างรอยแผลเลือดอาบ
“กัดไม่ปล่อย เหมือนเมื่อสิบปีก...”แจกซ์ที่พยายามแกะมือที่อ่อนแรงเพราะความเจ็บปวดออกจากขอบเครื่องบินกล่าว ไม่ทันพูดจบ ค้อนปอนด์ก็พุ่งออกมาจากมือขวาของแอนดี้ กระแทกเข้าที่ใบหน้าจนปากแตกเลือดอาบ “โทษทีว่ะ เบื่อจะฟังคนพล่าม”เขากล่าว ดึงตัวเองมานั่งยังเบาะด้านหลังได้ในที่สุด โชคดีที่เปิดระบบบินอัตโนมัติเอาไว้ แจกซ์พยายามคิดวิธีต่อสู้ และจากการคำนวณ แอนดี้จะต้องออกหมัดขวา ซึ่งเขาก็คิดว่าจะปั.... ไม่ทันคิดเสร็จ กำปั้นขวาของแอนดี้ก็กระแทกเข้าที่ใบหน้าของเขาอีกครั้ง
“เวลาต่อยกัน ใครเขามัวคิดกันบ้างวะ!!”แอนดี้กล่าว มือทั้งสองจับที่คอเสื้อของแจกซ์ โขกหัวเข้าไปอีกครั้งกลางดั้งของแจกซ์ และต่อยเข้าไปอีกสองหมัดทำให้วายร้ายเบื้องหน้าเซลงไปชนแผงควบคุมการบินและดันสวิตช์ควบคุมการบินอัตโนมัติเข้าสู่รูปแบบ’ปิด’ ส่วนหัวของเครื่องบินเริ่มเอนลงพื้นอย่างควบคุมไม่ได้ แอนดี้ใช้มือขวาของเขาในการจับคันบังคับ เพื่อดึงกลับมาให้ได้มากที่สุด เช่นเดียวกับแจกซ์ที่ใช้มือซ้ายของเขาจับคันบังคับ และหันมาประจันหน้ากับแอนดี้อย่างไม่กลัวเกรง แลกกันหมัดต่อหมัด แต่มือซ้ายที่บาดเจ็บของแอนดี้ก็ไม่กระเทือนเท่าไรนัก
สวิตช์เปลี่ยนโหมดถูกสับด้วยมือขวาของแอนดี้อย่างรวดเร็ว ตัวเครื่องเปลี่ยนสภาพเป็นโหมดหุ่นรบอีกครั้ง ขณะที่เพดานบินลดลง โช๊คอย่างดี รวมกับบูสเตอร์ที่หลังของตัวหุ่นทำให้พวกเขาลงถึงพื้นได้อย่างปลอดภัย และโชคดีที่เป็นพื้นทรายนุ่มๆ แจกซ์ถูกถีบกระเด็นออกไปจากตัวเครื่อง โดยมีแอนดี้กระโดดตามมาติดๆ “ปิดเกม....ล่ะนะ....”เขาเรียกปืนช็อตไฟฟ้าสำหรับจับตัวผู้ร้ายมาไว้ในมือ และลั่นไก แต่แจกซ์ก็กันเอาไว้ได้ด้วยปากกาเสียบอกเพียงด้ามเดียวที่มีกลไกดูดซับพลังงานพิเศษ “ซะเมื่อไรล่ะ ดูรอบตัวแกให้ดีๆสิแอนดี้”แจกซ์กล่าว และยิ้มอย่างผู้มีชัยในที่สุด จุดที่เขาลงจอดห่างกับจุดหมายที่แจกซ์ตั้งไว้ในตัวเครื่องเพียงห้าร้อยเมตร เขาไม่ได้ตั้งใจตรงดิ่งไปทางลิมโบ แต่เลือกที่จะร่อนลงกลางแคมป์เล็กๆของเรเดอร์อีกกลุ่มหนึ่งทว่า แอนดี้ไม่ได้สนใจดูตามที่เขาพูด เหวี่ยงเท้าเตะปากกาในมือ และช็อตร่างของแจกซ์จนสลบไป
เนิ่นนานเท่าไรก็ไม่อาจทราบ พวกเรเดอร์ระดับล่างๆแค่ได้ยินชื่อของ’เซเทิร์น’ก็พากันกลัวจนหัวหด เขาเป็นชายผู้เป็นตำนาน ว่ากันว่าเป็นวิญญาณผู้พิทักษ์ คอยไล่ล่าเหล่าคนที่ทำร้ายผู้อ่อนแอเพื่อกระโยชน์ส่วนตน เพราะงั้น เพียงแค่เห็นชื่อ และการแต่งตัว ยิ่งสยบ’แจกซ์จอมโหด’ลงได้ ยิ่งทำให้ตำนานยิ่งแผ่ขยายไปอีก คนเหล่านั้นจึงเลือกที่จะ’มอบตัว’เสียแต่โดยดี
แจกซ์ค่อยๆลืมตาตื่นช้าๆ เขาพบว่าตัวเองถูกล่ามตรวนไว้อย่างแน่นหนา รอบข้างมีเพียงผนังตู้คอนเทรนเนอร์ ตะเกียงแบตฟิชชั่น และ....หุ่นรักษาการณ์ของพลาเกีย เซนที่บอทมาร์ค3 ต่างจากรุ่นปกติตรงที่เหนือแผงวงจรที่หลังของมันมีชื่อที่เขียนเอาไว้ด้วยตัวอักษรสีขาว ‘The Giant Who Killed Jack The Giant Killer (ยักษ์ที่ฆ่าแจกซ์ผู้ฆ่ายักซ์)’ ล้อเหล็กทรงลูกบอลที่ขาทั้งสามหมุนอย่างเชื่องช้า เพื่อหมุนร่างที่ใหญ่โตของมันกลับมา ดวงตาสีแดงสแกนหาเป้าหมาย
“พบผู้บุกรุก....”เสียงสังเคราะห์ดังมาจากลำโพงที่ปากของมัน “ชูมือขึ้นเหนือหัว หากคุณเป็นผู้บริสุทธิ” แจกซ์พยายามกระชากโซ่ตรวน เพื่อชูมือเหนือหัวตามคำสั่ง แต่ก็ไม่สามารถทำได้ ความโกรธแค้นทำให้เขาต้องคำรามออกมาสุดเสียง “ว๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”“เป้าหมายไม่ให้ความร่วมมือ อณุญาติให้ใช้ความรุนแรงระดับ1” มือขวาที่เป็นปืนกลของมันเล็งมาทางร่างที่ปราศจากอาวุธของแจกซ์ และยิงกระสุนออกมา สร้างความเจ็บปวดให้กับแจกซ์ กระสุนภายในทั้งหมดถูกเปลี่ยนเป็นกระสุนยาง ผ่านการดัดแปลงโดยช่างชาวโนอาที่รู้จักกับแอนดี้เป็นการส่วนตัว
“เป้าหมายไม่ให้ความรวมมือ อนุมัติการใช้แก็สน้ำตา” กระสุนแก๊สน้ำตาถูกยิงออกจากมือซ้ายของหุ่น แก๊สแสบร้อนพวยพุ่งออกมาจากกระสุน อวลอยู่ในตู้คอนเทรนเนอร์ “อ๊ากกกกกกก!! ปล่อยข้า ปล่อยข้าออกปายยยยยย!!!!!!!”“อนุมัติการใช้กระสุนเบย์ตัน” มือซ้ายของมันยิงกระสุนออกมาอีกนัด เล็งตรงไปยังหว่างอกของแจกซ์ “เป้าหมายหมดสติ กำลังเรียกเจ้าหน้าที่เข้าทำการจับกุม เป้าหมายหมดสติ กำลังเรียกเจ้าหน้าที่เข้าทำการจับกุม...” รอยยิ้มปรากฏที่มุมปากของแอนดี้ เขาคิดว่าเขาพอใจกับการแก้แค้นเล็กๆน้อยๆนี้แล้ว ที่เหลือคงต้องให้เวลาเป็นเครื่องตัดสิน เขาพร้อมที่จะส่งแจกซ์ ไปยังทัณฑสถาน เขาแบกร่างของแจกซ์ออกมาจากตู้คอนเทรนเนอร์ และมัดเอาไว้อย่างแน่นหนาที่สุดเท่าที่จะมีอุปกรณ์ในการมัด ส่งตัวให้กับกลุ่มแรงเจอร์อีกกลุ่มที่มาพร้อมเครื่องบินบรรทุกคน
โชคดีที่เครื่องอาปาเช่4ของแจกซ์สามารถนั่งได้สองคนพอดี แต่ก็โชคร้ายสำหรับมิดไนท์สตาร์14 ที่ต้องเสียกำลังพลไปหมด หลังจากที่ล่ามแจกซ์เอาไว้กับตรวน เขาก็บินตรงไปหาจอห์นทันที ภาพแรกที่เห็นก็คือจอห์นกำลังดื่มเหล้า และเล่นทอยลูกเต๋าอย่างง่ายๆกับพวกชนเผ่าหมาป่า เริ่มต้นด้วยมีดเล่มเดียว จอห์นสามารถหาหนังสัตฺว์ กระดูก และแร่ทองคำดิบได้จากการเล่นพนัน กองไฟถูกก่อขึ้นเพื่อย่างเนื้อ และฉลองให้กับ’ผู้พิทักษ์’ผู้ช่วยจัดการกับพวกคนเลวที่รุกรานป่าของเทพธิดา ชาวเผ่าบางคนกระโดดโลดเต้นไปรอบๆกองไฟ ตามจังหวะการตีกลอง และเป่าขลุ่ย
โชคดีที่เขาพอจะรู้จักภาษาของชนเผ่าหมาป่าอยู่บ้าง จึงพอคุยได้รู้เรื่อง เขาใช้เวลาไม่นานในการเก็บของทั้งหมด ขอตัวลา และบินกลับไป ท่ามกลางการกราบสักการะของชนเผ่า ที่คิดว่าเขาเป็น’เทพเจ้าผู้จำแลงร่างมา’ที่กำลังบินกลับสู่’สรวงสวรรค์’
ความมืดเข้าปกคลุมยังผืนป่า หมาป่าสีขาวตัวหนึ่งใช้ขาหน้าของมันเขี่ยที่ร่างของบริทนีย์เบาๆ มันคาบคอเสื้อของเธอ และดึงกลับไปยังถ้ำหิน บุรุษผู้หนึ่งที่แต่งหน้าด้วยสีขาวเป็นทรงโครงกระดูกรำพันออกมาด้วยภาษาของตนเอง’อา.... ผู้ถูกเลือก....สินะ’ ลากร่างของบริทนีย์ขึ้นยังแท่นไม้ หน้ากองไฟกองใหญ่ และเริ่มประกอบ’พิธีกรรม’ เขานำวัตถุทรงหยดน้ำที่มีผิวคล้ายกับลูกไม้สีน้ำตาลมาวางบนร่างของบริทนีย์ และนำเลือดมาวาดไปทั่วเรือนร่างของเธอ เสียงกลองของชาวเผ่าเน้นจังหวะหนักแน่นขึ้นเรื่อยๆ ฟังดูคล้ายจังหวะของหัวใจ ที่เร่งจังหวะเร็วขึ้น หนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ
ลูกไม้สีน้ำตาลค่อยๆปริแตกออก ส่องแสงสว่างสีทองออกมา และหายไป บาดแผลทั่วเรือนร่างของบริทนีย์ก็หายไปราวกับไม่เคยมีมาก่อน!
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ชายผู้’ไม่เป็นจุดสังเกต’เพิ่งจะปีนลงมาจนถึงพื้นล่างสุด นอกเขตป่าของเทพธิดา..... เขาถูกลืมโดยเหล่าซิสเตมทั้งสอง ....อย่างสิ้นเชิง
Ranger – ฝ่ายดี ผู้เคร่งกฏ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ