Creepypasta Family The Broken Myth

9.5

เขียนโดย Leragan

วันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 เวลา 20.43 น.

  24 chapter
  9 วิจารณ์
  41.43K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 14.07 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

17) ภายหลังการสูญเสีย (After The Loss)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

                โลกนั้นคือสถานที่ที่ค่อนข้างโหดร้ายสำหรับบางสิ่งที่ไม่มีความสามารถที่จะปรับตัวและอยู่รอด เพราะโลกคือต้นกำเนิดแห่งการชิงดีชิงเด่น เป็นแหล่งบังเกิดของเหล่าบาปมากมาย แต่สิ่งเหล่านั้นล้วนเกิดจากสิ่งมีชีวิตที่ถูกเรียกว่ามนุษย์ที่มีกิเลสที่ไร้จุดสิ้นสุด ฆ่าสิ่งมีชิวิตตัวอื่นดังว่าตัวเองนั้นใหญ่หนักหนา ต่างจากสัตว์เดรัจฉานที่ฆ่าสัตว์ตัวอื่นเพียงเพราะความอยู่รอดของตัวเองหรือครอบครัว

                แต่ก็ไม่ใช่มนุษย์ทุกคนที่ฆ่าเพียงเพราะต้องการหรืออาจเป็นเพราะกิเลส หรือเหล่าบาปจากตำนานมากมาย แต่หากในโลกนี้ บาปอันมากมายนี้มักเกิดจากการฉ้อฉล หลอกหลวง พูดปด ไร้ซึ่งข้อเท็จจริงซึ่งนั่นคือตัวตนที่มนุษย์ไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ว่าบาปที่แท้จริงแห่งโลกทั้งปวงนั้นคือ ซัลโก้ ราชันย์แห่งบาปทั้งปวง และขุมนรกทั้งเจ็ด ตัวแทนแห่งความเท็จ ซึ่งอาจเป็นต้นเหตุอาจก่อให้เกิดหลายๆบาปขึ้นมาเช่นเดียวกับบาปแห่งความมึนเมา

                แต่ในขณะนี้กำลังมีมนุษย์และอสูรกายพวกหนึ่งนั้นไม่ได้ต้องการฆ่าฟันหรือต่อสู้แม้แต่น้อย พวกเขาทำเพียงเพราะความสงบสุขของพวกเขาและเพื่อพวกพ้องที่เขารัก อายเลส แจ็คและพวกพ้องที่ได้รับความช่วยเหลือจากคาอิน บุตรแห่งอาดัมและอีฟ ผู้มีพลังสะท้อนสรรพสิ่งที่กระทำต่อเขากลับไป 7 เท่า

                ทุกคนที่เหลือรอดจากการต่อสู้ภายในฐานทัพลับของศัตรูผู้ทรงพลังนั้น มีเพียงฝายสนับสนุนผู้สร้างทางหนีที่มีอายเลส แจ็กเป็นหัวหน้าทีม กับเจน อาร์เคนซอว์และลาอ้อน แม็กซิมัสในสภาพบาดเจ็บสาหัสรุนแรงเท่านั้น พวกเขาทั้งหมดต่างพากันวิ่งหนีออกมาอย่างรวดเร็ว แต่กลับโชคร้ายที่ระหว่างทางนั้นกลับมีเหล่าผู้คุมเอสซีพีพบเข้า ทำให้เกิดการปะทะโจมตีขึ้นกลางทาง

                “เจ้านั่นมันอายเลส แจ็กไม่ใช่เหรอนั่น” ผู้คุมคนหนึ่งที่กำลังพูดคุยกับเพื่อนของเขาได้เอ่ยลั่นออกมา ทำให้เหล่าผู้คุมคนอื่นๆ และหัวหน้าผู้คุมหันไปในรอบทิศเพื่อหาสิ่งที่ผู้คุมคนนั้นได้ลั่นออกมา

                “จับพวกมันให้ได้!!!” หัวหน้าผู้คุมตะโกนขึ้นมาทันใด สร้างความฮึกเหิมให้กับเหล่าผู้คุมอย่างมาก พวกมันต่างหยิบอาวุธของพวกมันขึ้นมา แล้ววิ่งไล่ยิงพวกของอายเลส แจ็กอย่างบ้าคลั่ง

                “บ้าเอ้ย! ทีมเราไม่มีใครปัดกระสุนได้เลยสักคน” แจ็กอุทานขึ้นอย่างตื่นตระหนก แต่แล้วคลื่นพลังสีดำก็ได้ปรากฏขึ้นมา เบื้องหน้าของอายเลสแจ็กและพรรคพวกของตน ในขณะที่เหล่ากระสุนปืนไรเฟิลได้พุ่งเข้ามาหาพวกเขาอย่างรวดเร็ว

                “วีน่า!!!” หญิงสาวผู้มีพละกำลังและศิลปะการต่อสู้และการป้องกันตัวไม่เป็นสองรองใครในหมู่ครีปปี้พาสต้าทั้งหมดนั้นได้เอ่ยนามที่แม้แต่เพื่อนของตนก็ไม่สามารถเข้าใจได้ ทันทีที่เธอลั่นวาจาออกมา ฝ่ามือข้างซ้ายของเธอที่มีพลังงานสีดำเคลือบอยู่กลับเคลื่อนตัวมารวมกันและขยายตัวออกเป็นก้อนพลังงานทรงกลมสีดำทมิฬ

                เธอใช้ฝ่ามือที่อาบพลังงานสีดำนั้นสัมผัสไปบนอากาศธาตุ เธอกางนิ้วทั้งห้าพร้อมทั้งเพ่งสมาธิไปในสิ่งที่เธอกำลังจะทำต่อไป ในเวลาเดียวกันเหล่าลูกกระสุนปืนไรเฟิลได้วิ่งพุ่งเข้ามาใส่บริเวณที่หญิงสาวเรือนผมดำยืนอยู่

                เสียงของเหล่ากระสุนจำนวนมากพุ่งชนเข้ากับอากาศธาตุเบื้องหน้าของเจน อากาศธาตุที่ป้องกันเธออยู่นั้นกลับเปล่งแสงออร่าสีดำออกมา แม้ว่าเหล่ากระสุนทั้งหมดนั้นจะถูกป้องกันโดยอากาศที่ถูกเสริมพลังก็ตาม แต่ทุกสิ่งย่อมมีการพังทลายและดับสูญ เช่นเดียวกับโล่อากาศที่ถูกเสริมพลังให้จับตัวกัน มันเริ่มเกิดรอยแตกร้าวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ใบหน้าของเจนมีหยาดเหงื่อไหลเต็มใบหน้า ฝ่ามือข้างซ้ายของเธอสั่นระริกถี่รัวจนจำเป็นต้องใช้มืออีกข้างกุมประคองเอาไว้ ก่อนที่เธอจะหันมาหาพวกอายเลส แจ็ก

                “พวกเราต้องรีบกำจัดมัน..อย่าให้เจ้าพวกนี้ตามพวกเราไปได้” นิน่าเอ่ยบอกทุกคนให้รับทราบ แต่ก่อนที่ทั้งหมดจะได้เริ่มวางแผน อากาศเสริมพลังของเจนกลับแตกออกเสียก่อน เช่นเดียวกับร่างของเจนที่กระเด็นออกมาจากจุดเดิมและล้มลง

                ปืนไรเฟิลของผู้คุมนับสิบจากเกือบร้อยคนได้จ่อยิงไปที่เจนที่ล้มลงไป กระสุนถูกลั่นไกเกิดเสียงดังขึ้นหลายสิบครั้ง ทุกคนต่างใช้เวลาหันไปและตั้งสติกับสิ่งที่ตนได้ยินและเห็น ซึ่งใช้เวลานานเกินกว่าที่จะเข้าไปช่วยเธอจากเหล่ากระสุน เว้นแต่ลูว์ที่สังเกตการตอบสนองขิเงจนมาสักพักใหญ่หลังจากที่เธอแสดงทีท่าไม่สู้ดี ลูว์ที่รู้ว่าหากไม่มีใครทำอะไร เจนอาจถูกปืนยิงจนได้รับบาดเจ็บหรือตายได้ เขาจึงตัดสินใจพุ่งตัวเข้าไปรับกระสุนปืนที่พุ่งมาทั้งหมดแทนเจนที่พี่งจะได้สติ

                โลหิตแดงฉานของชายหนุ่มผู้เสียสละสาดกระเซ็นพุ่งออกมาจากร่างที่มีรอยพรุนจำนวนมาก เขากัดฟันอดทนต่อความเจ็บปวดเพื่อไม่ให้ร่างกายที่เปรียบเหมือนโล่ป้องกันทุกคนต้องล้มลงและทำให้เพื่อนของเขาโดนลูกหลงของการโจมตี ในขณะเดียวกันนั้นเองกระสุนไรเฟิลที่มีจำนวนมากเกินไปทำให้กล้ามเนื้อแผ่นหลังของชายหนุ่มไม่สามารถหยุดแรงกระสุนเอาไว้ได้ ทำให้กระสุนจำนวนมากพุ่งทะลุออกมา แอ่งโลหิตเจิ่งนองเต็มพื้นที่ที่ชายหนุ่มยืนอยู่ เลือดสีแดงฉานไหลออกมาจากปาก จมูก และดวงตา จนในที่สุดสติของลูว์ก็ไม่สามารถทนรับไหว ร่างกายของเขาร่วงหล่นลงสู่พื้นดินช้าๆ เหล่ากระสุนที่กำลังพุ่งเข้าใส่คนอื่นๆที่อยู่เบื้องหลังของลูว์ กลับต้องพบกับวิกฤติ แต่ด้วยความโชคดีที่ลาอ้อนซึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสหนักนั้นได้สติมาบ้าง เขาจึงใช้พลังของเขาสร้างโดมป้องกันการโจมตีทั้งหมดรอบสารทิศ และไม่นานหลังจากนั้นเอง เหล่าผู้คุมก็ได้หยุดโจมตีและเปลี่ยนกระบวนทัพเป็นโอบล้อมพวกของแจ็กแทน

                “ลูว์!!! ลูว์!!!” เจนเขย่าร่างของเขาอย่างแรง แต่กลับไม่เกิดการตอบสนองใดๆเกิดขึ้น เจนที่รู้สึกไม่ดีรีบนำมือไปสัมผัสที่ลำคอเพื่อรอได้ยินถึงข่าวดี

                ชีพจรของชายหนุ่มไร้ซึ่งการเต้นแต่อย่างใด น้ำตาของหญิงสาวเริ่มคลอออกมา เธอสะบัดหน้าไปอีกทิศทางก่อนจะหลั่งน้ำตาพร้อมกับกัดฟัน ร่างกายที่ซีดเผือกของเธอกลับเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเนื้ออมขาวชมพูเช่นเดียวกับตอนที่เธอยังคงเป็นมนุษย์ปกติ ดวงตาที่มีสีดำทั้งหมดของเธอเปลี่ยนกลายเป็นดวงตาของมนุษย์ที่มีนัยน์ตาสีเขียวใสดั่งมรกตเช่นเดิม เรือนผมสีดำถูกเปลี่ยนกลายเป็นสีน้ำตาลอ่อน ริมฝีปากและขอบดวงตาสีดำเลือนหายไปจนหมดสิ้น ก่อนที่ร่างของเธอจะล้มลงหมดสติไปนอนอยู่ข้างร่างของลูว์ในที่สุด

                เหล่าผู้คุมต่างเดินมาโอบล้อมพวกของแจ็กขึ้นเรื่อยๆ โดยในขณะนั้นหัวหน้าผู้คุมก็ได้ยิ้มที่มุมปากด้วยความสะใจ

                “ฆ่าตัวอันตรายไปได้อีกสอง..ฮึ ฮึ” ชายผู้คุมเดินเข้ามาใกล้ร่างของลูว์ที่นอนอยู่ ก่อนจะเตะใส่ร่างของเขาจนกระเด็นไปทับร่างของเจน ชายผู้เป็นหัวหน้าผู้คุมยิ้มออกมา เขาหยิบปืนกระบอกหนึ่งขึ้นมาก่อนจะเล็งไปที่ศีรษะของลูว์แล้วลั่นไกเจาะกระโหลกของเขาไปเพื่อเช็คความมั่นใจ “งั้นก็เหลือยัยผู้หญิงนี่อีกคนสินะ..”

                ในขณะที่หัวหน้าผู้คุมกำลังจะเล็งปืนไปที่เจน เพื่อนผู้เป็นทหารของลอสต์กลับยกปืนขึ้นจนเกิดเสียงผู้คุมทุกคนต่างจ่อปืนไปที่พวกเขาที่ยืนเป็นกลุ่มก้อนทั้งหมด

                “ลองยิงใส่ชั้นซะสิ..ฮ่าๆๆ พวกแกได้พรุนเหมือนเจ้านี่แน่” หัวหน้าผู้คุมที่เริ่มบ้ากับผลงานที่ตนและทีมของตนทำเริ่มเหิมเกริม “วางอาวุธของแกลงซะ”

                ทหารต่างมิติที่ไม่มีทางเลือกเขาจึงทิ้งอาวุธของเขาลงบนพื้น และยกมือทั้งสองข้างขึ้นเพื่อเป็นประกาศยอมจำนน นั่นทำให้หัวหน้าผู้คุมยิ้มหัวเราะออกมาอีกครั้ง แต่ในขณะเดียวกัน...

                ฉึก!!! มีดเล่มหนึ่งพุ่งเข้าแทงใส่ลำคอของหัวหน้าผู้คุมจนมิดด้าม ปลายของมันปรากฏออกมาอีกฝั่งหนึ่ง เสียงของหัวหน้าผู้คุมที่กำลังหัวเราะอยู่ได้หยุดลง เหล่าผู้คุมเกือบทั้งหมดเพ่งความสนใจไปที่ลูว์ที่ฟื้นมาจากความตายอย่างน่าสงสัย ชายหนุ่มดึงมีดออกจากร่างไร้วิญญาณ เหล่าผู้คุมที่กำลังถือปืนจ่อเล็งมาที่เขาเกือบทั้งหมด

                “คุณมรึงใส่ชุดเกราะมาซะเต็มยศ แต่ดันไม่ใส่เกราะหุ้มคอหรือหมวกนิรภัยแบบผู้คุมปกติล่ะฟร่ะ” ชายหนุ่มเอ่ยออกมา ก่อนจะสะบัดเลือดที่ติดที่ใบดาบออก

                ลูว์สังเกตดูร่างกายของตนที่เต็มไปด้วยเลือดเปียกชุ่มเต็มร่างกาย พร้อมทั้งรอยแผลจำนวนมาก ด้วยความที่เขาไม่มีความสามารถในการฟื้นฟูแบบเจฟ ทำให้ร่งรอยการถูกโจมตีนั้นยังคงอยู่อย่างสมบูรณ์ เขาจึงก้มลงไปหยิบปืนแมกนัมอีกกระบอกหนึ่งที่เสียบไว้ที่เข็มขัดของหัวหน้าผู้คุมขึ้นมา เขาตรวจเช็คกระสุน แล้วกลับไปมองศัตรูอย่างไม่หวาดหวั่น

                “ชั้นก็ว่าอยู่แล้วล่ะ..คนอย่างเจ้านั่นคงต้องเล่นอะไรกับร่างกายชั้นแน่นอน” ลูว์กล่าวถึงลอสต์ที่เคยช่วยเหลือเขาที่เกิดหัวใจกำเริบกระทันหัน แต่อย่างลอสต์จอมเกรียนน่ะเหรอ..ที่จะไม่เล่นกับร่างกายคนไข้

                “หัวใจของชั้นไม่มีการเต้นตั้งแต่วันนั้น” เขาเริ่มย่างก้าวเดินเข้ามาหาพวกผู้คุมที่เหลือ “ร่างกายของชั้นกลับเริ่มเหมือนกับเป็นผีดิบขึ้นทุกทีแล้วนะ..เพราะทุกครั้งที่ตายก็จะฟื้นกลับมา”

                “น่าตลกนะ..ที่ร่างกายของชั้นมันฟื้นฟูแค่ระบบอวัยวะภายในกับเส้นเลือดเท่านั้น” ชายหนุ่มยังคงเดินเข้ามา ทำให้เหล่าผ็คุมเกือบหกสิบคนเริ่มกราดยิงใส่ลูว์อีกครั้ง แต่ในครั้งนี้เขากลับเริ่มวิ่งและดีดตัวหลบบ้างเป็นครั้งคราว ทำให้ปริมาณกระสุนที่โจมตีโดนนั้นลดลงเกือบห้าเท่าตัว จนในที่สุดลูว์ก็ได้เข้ามาอยู่ระยะประชิด

                เขาใช้ปืนจ่อโจมตีใส่เหล่าผู้คุมคนหนึ่งจนตาย แล้วใช้มีดฟันใส่บริเวณที่ไร้เกราะของผู้คุมจนเกิดอาการบาดเจ็บ แต่เขากลับต่อสู้ได้ไม่นานก็ถูกเหล่าผู้คุมที่อยู่ห่างไกลออกไปยิงใส่ร่างจนทำให้รอยพรุนเพิ่มจำนวนขึ้นมาก และทำให้เขาเสียสมาธิจนถูกผู้คุมในระยะประชิดใช้มีดและขวานโจมตีใส่จนเกิดรอยแผลมากขึ้น

                แต่ในขณะนั้นเองเหล่าผ็คุสทั้งหมดให้ความสนใจไปยังลูว์ คนอื่นๆที่พอต่อสู้ได้ก็เข้าไปช่วยโจมตีในขณะที่ลาอ้อนที่ใช้พลังไปเริ่มที่จะหมดสติอีกครั้ง เขาจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดโทรออกทันที

                “สวัสดีเพื่อน..วันนี้มีไรเหรอ” เอดจ์เอ่ยทักทายด้วยความกวนประสาท “อยากชวนเพื่อนคนนี้ไปเลี้ยงสังสรรค์เหรอ..น๋องอ้อน”

                “ชั้นก็ว่างั้นแหละ..เราควรจะมาฉลองมิตรภาพอันยั่งยืนของเรากันเถอะนะ..ถุ้ย!!! ไอบ้า!!! ดูเสียงตรูด้วยสิเฟ้ยยย!!! แค่กๆๆ” ลาอ้อนตบมุขของเอดจ์โดยไม่ได้สังเกตสภาพร่างกายและสถานการณ์ของตัวเองเลย

                “เสียงนายก็เท่ดีนี่” เอดจ์ตอบกลับไปผ่านโทรศัพท์

                “จริงเหรอ..ตะเอง ถุ้ยยย!!! ยังจะเล่นอีกนะไอบ้าเอดจ์” ลาอ้อนตะโกนออกมาดังลั่น “ตรูจะตาย@#$อยู่แล้วเนี่ย”

                “นายไม่ตายหรอกน่า..อ้อนคุง นายเก่งจะตายไป” เอดจ์กล่าวชื่นชมลาอ้อนด้วยน้ำเสียงกวนบาทา “จริงๆนะ”

                “เลิกเล่นเหอะเพื่อน..ตอนนี้ชั้นใช้พลังอะไรไม่ได้เลย” ลาอ้อนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้งที่จริงจัง “เพื่อนของชั้นก็กำลังลำบาก..นายมาหาชั้นให้ไวเลยนะ”

                “ชั้นอยู่ที่...” ในระหว่างที่ลาอ้อนกำลังจะบอกสถานที่ให้กับเอดจ์ในสาย เขากลับถูกผู้คุมคนหนึ่งเหยียบที่แผ่นหลังแล้วจ่อปืนไปที่ศีรษะของลาอ้อนเตรียมเหนี่ยวไกดับชีวิตศัตรูที่แข็งแกร่งของตน

                “วางเครื่องมือสื่อสารของแกลงซะ” ผู้คุมคนนั้นพูดขู่ด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด พร้อมกับใช้กระบอกปืนเขี่ยไปที่บริเวณศีรษะของชายหนุ่ม “วางลงเดี๋ยวนี้..ถ้าไม่อยากมีรูอยู่กลางหัว”

                “แกนั่นแหละที่ต้องวางปืนลง..ถ้าไม่อยากให้มีรูพรุนอยู่กลางหัว” เสียงเข้มของชายหนุ่มผู้ชอบกวนประสาทเพื่อนของตนยืนอยู่ด้านหลังของผู้คุมคนนั้น เขาจ่อปืนแมกนัมแรงอัดสูงไปที่ศีรษะของผู้คุม อีกทั้งยังเปิดใช้หน้ากากเพิ่มความแม่นยำอีกด้วย ผู้คุมคนนั้นจึงจำใจต้องวางปืนลงกับพื้นและยกมือทั้งสองขึ้นเหนือศีรษะ

                ปั้ง!!! เสียงปืนแรงอัดสูงถูกลั่นไก กระสุนพุ่งตรงทะลุศีรษะของผู้คุมไร้อาวุธ จนเลือดภายในนั้นสาดกระเซ็นออกมาจากรูที่กระสุนเจาะกลางกระโหลกศีรษะ ก่อนที่ร่างไร้วิญญาณนั้นจะล้มลงไปนอนกองกับพื้นอย่างรวดเร็ว ลาอ้อนใช้มือทั้งสองพยายามยันตัวขึ้น แต่กลับพบว่าร่างกายของตนนั้นเสียหายเป็นอย่างมาก ทำให้เขาไม่สามารถที่จะลุกได้แม้แต่น้อย เขาจึงหันมองไปทางเอดจ์ที่กำลังตรวจเช็คกระสุนปืนในแมกกาซีนของปืนแมกนัมนั้น

                “ชั้นคงจะลืมบอกนายไปนะ..ถึงนายจะวางปืนหรือไม่วางปืนลง” เอดจ์พูดพร้อมกับเดินเข้ามาหาลาอ้อนที่นอนอยู่ “ชั้นก็จะยิงหัวนายให้เป็นรูอยู่ดี”

                เอดจ์ยกมือขึ้นจับมือลาอ้อน แล้วดึงตัวเขาขึ้นมา ลาอ้อนที่สภาพบาดเจ็บสาหัสรุนแรงไม่แม้ต่จะมีแรงจะยืนด้วยขาของตนเอง

                “นี่เพื่อน..ชั้นยืนไม่ไหวว่ะ” ลาอ้อนบอกกับเพื่อนของตนที่พยุงร่างของเขาอยู่ “ทิ้งชั้นไว้ตรงนี้ก่อนก็ได้..แล้วไปช่วยเพื่อนของชั้นก่อนเถอะ”

                “ไม่จำเป็นหรอกเพื่อน!!! ชั้นเอาเจ้านี่มาด้วย” เอดจ์ล้วงเข้าไปในกระเป๋าของเสื้อโค้ตหนัง แล้วจึงหยิบเซรุ่มที่ดูคล้ายกับที่ผู้คุมจอนเคยใช้รักษาบาดแผลตนเอง แต่สีของมันกับแดงดั่งโลหิตต่างจากของจอนโดยสิ้นเชิงทำให้ลาอ้อนไม่ค่อยมั่นใจนัก

                “นั่นมันอะไรน่ะ!” ลาอ้อนอุทานออกมา ในขณะเดียวกันนั้นเอง ดวงตาของเขากลับได้เห็นฉลากที่เขียนไว้บนหลอดเซรุ่มนั้นซึ่งมันเขียนว่า ‘เซรุ่มฟื้นฟูสภาพ + ดึงสัญชาตญาณป่าเถื่อนหื่นกระหาย’

                “ไม่ต้องห่วง..เดี๋ยวนายก็จะหายดีแล้ว” เอดจ์พูดออกมาอย่างดีใจ ในขณะที่ลาอ้อนมองไปที่เซรุ่มนั้นอย่างหวาดหวั่น

                ‘เจ้าพวกเอสซีพีมันทำของพวกนี้ไปทำไมกันฟร่ะเนี่ย’ ลาอ้อนคิดอยู่ภายในใจ แต่เขากลับนึกขึ้นได้ว่าตัวเขาจำเป็นต้องรีบบอกเอดจ์ให้รู้ถึงความสามารถอีกอย่างของเซรุ่มนี้เสียก่อน “เฮ้ย! เอดจ์นี่ไม่ใช่เซรุ่มรักษา นีมัน..อั้ก!!!”

                ลาอ้อนยังไม่ทันที่จะเตือนเอดจ์ให้ทราบ เขากลับถูกฉีดเซรุ่มเข้าไปในลำคอเสียก่อน เมื่อน้ำยานั้นถูกฉีดเข้าไปในกระแสเลือดของเขาจนหมดหลอด ศีรษะของลาอ้อนก็ตกลงทันที ไม่นานหลังจากนั้นมือที่แบออกกลับกำด้วยแรงที่มหาศาล บาดแผลฉกรรจ์ต่างๆที่อยู่ล้อมร่างของเขาทั้งภายในและภายนอกถูกฟื้นฟูและรักษาอย่างรวดเร็ว โดยใช้เวลาเพียงไม่ถึงสองวินาทีเท่านั้น ลาอ้อนแผดเสียงคำรามออกมาดั่งสัตว์ร้าย ดวงตาของเขาขาวโพลนคล้ายคนเสียสติ ก่อนที่เขาจะเคลื่อนที่ดั่งสัตว์ร้ายเข้าไปหาเหล่าศัตรูอย่างดุดัน เอดจ์ที่เห็นลาอ้อนหึกเหิมจึงยิ้มภูมิใจ

                “ยาเค้าดีจริงนะเนี่ย..วันหลังคงต้องหยิบมาใช้บ้างแล้วแหล่ะ” เอดจ์ยิ้มออกมา ก่อนจะถอดหน้ากากออกมา “ว่าแต่นี่มันยาฟื้นฟูประเภทไหนกันเนี่ย..ทำไมเพื่อนเราคึกขนาดนี้”

                เอดจ์ที่ไม่รู้เรื่องจึงหยิบหลอดเซรุ่มขึ้นมาอ่าน ซึ่งตรงฉลากนั้นมีเขียนไว้ว่า ‘เซรุ่มฟื้นฟูสภาพ + ดึงสัญชาตญาณป่าเถื่อนหื่นกระหาย’ เอดจ์ที่ได้เห็นสรรพคุณอีกอย่างของเซรุ่มนี้ถึงกับเบิกตากว้าง ก่อนจะเริ่มอ่านต่อไป โดยเนื้อหาข้างล่างนั้นมีเขียนไว้ว่า ‘เซรุ่มนี้จะช่วยทำให้ผู้ใช้ฟื้นฟูสภาพร่างกาย จิตใจ และวิญญาณถีงระดับสูงสุด และอาจทำให้ผู้ใช้กลายเป็นพวกสัญชาตญาณดิบเป็นเวลา 10 วินาทีแรก หลังจากที่ฤทธิ์ปลุกสัญชาตญาณดิบหมดลง จะทำให้ผู้ใช้โรคจิต อนาจาร ลามก หื่นกามทั้งกาย วาจา ใจอย่างสมบูรณ์เป็นระยะเวลา 10 วินาทีก่อนจะกลับสู่สภาวะปกติ ควรได้รับการดูแลจากเจ้าหน้าที่พนักงานดูแลความปลอดภัยในระดับสูงซึ่งเป็นเพศเดียวกันกับผู้ใช้เป็นจำนวน 10 ถึง 100 คนตามความอันตรายและความเหมาะสม’

                เอดจ์ทิ้งหลอดเซรุ่มนั้นลงกับพื้นทันที พร้อมกับแสดงใบหน้าที่แต้มรอยยิ้มแหย ในขณะที่สายตาของเขาได้มองไปที่ร่างของเพื่อนตนที่กำลังอาละวาดอยู่เบื้องหน้า แต่แล้วเขาก็ยักไหล่แล้วพูดออกมา

                “คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง..ปกติเจ้านั่นก็หื่นอยู่แล้วนิ” เอดจ์ยิ้มที่มุมปากก่อนจะเปลี่ยนปืนแมกนัมเป็นปืนกล LMG แทน เพื่อเข้าไปช่วยเหลือเหล่าเพื่อนพ้องครีปปี้พาสต้าที่กำลังเดือดร้อนอยู่

                นิน่าที่มีความสามารถในการเคลื่อนที่ในท่าทางที่มีลีลาและท่าทางมากมาย เพราะในขณะที่เธอยังคงเป็นคนปกตินั้นเธอเคยเป็นนักฟรีรันนิ่งระดับสูงประจำกลุ่ม อีกทั้งยังเป็นนักยิมนาสติกฝีมือดี และเป็นนักเต้นฮิพฮอพและสตรีตแดนซ์มือฉมัง นั่นทำให้เธอมีท่าทางในการเคลื่อนที่ที่อ่อช้อยงดงามและไร้ขีดจำกัดทางด้านการใช้สัดส่วนต่างๆ อีกทั้งยังมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงต่อการรับน้ำหนัก และความว่องไวในการเคลื่อนที่ ถือเป็นอีกคนหนึ่งในครีปปี้พาสต้าที่เร็วที่สุด หากไม่นับพวกที่มีความสามารถวาร์ปและฮีโร่บรายผู้ทรงพลัง

                เธอใช้ความสามารถของเธอวาดร่างกายไปตามอากาศธาตุหลบหลีกกระสุนไปมาอย่างง่ายดาย ก่อนจะเข้าไป กระโดดหมุนตัวเตะก้านคอใส่ศัตรูอย่างรุนแรง อีกทั้งการหลบหลีกของเธอยังทำให้ผู้คุมบางคนถึงกับทิ้งปืนลง และใช้มีดเข้าต่อสู้กับเธอแทน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เธอลำบากขึ้นแม้แต่น้อย แต่มันยังจะทำให้เธอเคลียร์ศัตรูของเธอได้ง่ายขึ้นอีก

                ต่างจากแฟนหนุ่มของเธอที่แทบไม่มีทักษะในการต่อสู้และหลบหลีกเลย ทำให้เหล่าผู้คุมที่ต่อสู้กับเขาไม่หวั่นเกรงและหยิบมีดขึ้นมาเพื่อโจมตีเขาในระยะประชิด แต่พวกเขากลับไม่รู้เลยว่าชายเบื้องหน้าของเขานั้นมีทักษะพลังบางอย่างที่น่ากลัวและน่าสยดสยองกว่าใครอื่น กลิ่นเหม็นดั่งศพที่เน่าตายมาหลายวันส่งกลิ่นออกมาจากร่างกายของอายเลส แจ็ก เหล่าผู้คุมที่รู้สึกไม่ดีนั้นรีบพุ่งตัวหนีออกมาจากบริเวณนั้นทันที แต่ก็มีบางคนที่ยังคงวิ่งเข้าไปโจมตีใส่อายเลส แจ็ก

                แต่ในขณะที่ใบมีดกำลังจะถูกฟันใส่ กรงเล็บสีดำได้พุ่งเข้ามาตัดคอของผู้คุมเหล่านั้นจนขาดสะบั้นในเสี้ยววินาที สายโลหิตพุ่งออกจากลำคอที่ไร้หัวออกมาเป็นห่าฝนโลหิต อายเลส แจ็กใช้มือข้างที่ยังปกติอยู่เลื่อนหน้ากากสีน้ำเงินไปด้านหลัง เผยให้เห็นถึงใบหน้าของชายหนุ่มที่ดูหิวกระหายไปอันมาก ฟันทั้งสามสิบสองถูกเปลี่ยนเป็นเขี้ยวสีดำแหลมคมน่าสยดสยอง โลหิตสีดำซึ่งเป็นกรดฤทธิ์กัดกร่อนสูงไหลทะลักออกมาจากดวงตาและปากของเขา พื้นถนนที่โดรกรดเหล่านี้ถูกกัดกร่อนจนเป็นรูโหว่อย่างรวดเร็ว ร่างกายของเขาพุ่งเข้าไปกัดศพไร้หัวเพื่อกัดกินเนื้อมนุษย์ ไตและดวงตาทั้งสองข้างอย่างตะกละ

                “นี่มันเวนดิโกชัดๆ!!!” ผู้คุมตะโกนออกมาอย่างหวาดกลัว ก่อนที่ผู้คุมที่ดีดตัวออกมานั้นจะหยิบปืนที่บรรจุกระสุนไฟ หรือระเบิดไฟออกมาใช้งาน ซึ่งมีผลต่อเวนดิโกเป็นอย่างมาก “ตายไปซะ..ไอ้ปีศาจ!”

                ระเบิดเพลิงถูกปาออกมาจำนวนมากจนพื้นที่บริเวณนั้นแทบเต็มไปด้วยกองเพลิง เหล่าผู้คุมใช้ปืนของตนไร้ยิงใส่อายเลส แจ็กในร่างของเวนดิโกผู้หิวกระหายอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยความเร็วที่เคลื่อนที่ในหนึ่งหน่วยวินาทีนั้นเร็วเกินกว่าความเร็วของกระสุนปืน แม้ว่าทุกการเคลื่อนที่นั้นจำเป็นต้องหยุดเคลื่อนที่ลงทุกเสี้ยววินาที แต่ก็ถือว่าเร็วมากเกินกว่าที่เหล่าผู้คุมจะเข้าไปต่อสู้ได้ นั่นทำให้สุดท้ายแล้วอายเลส แจ็กก็เข้าไปประชิดตัวเหล่าผู้คุมและใช้เล็บสีดำแหลมคมตัดศีรษะของผู้คุมจนขาดสะบั้น แล้วจึงเริ่มทำการผ่าเอาไตทั้งสองขึ้นมากินอย่างหิวโหยอีกครั้ง เมื่อเขากินไปพอสมควรจึงกลับสภาพมาอยูในร่างปกติ

                “ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ..ที่ต้องทำให้พวกคุณต้องตายเพราะความหิวโหยในตัวผม” แจ็กเอ่ยกล่าวออกมาแล้วจึงวิ่งไปช่วยคนอื่นๆ

                ส่วนทางโฮมมิไซเดิล ลูว์ที่มีความสามารถในการฟื้นคืนชีพตัวเองยังคงถูถผู้คุมรุมกระทืบต่อไป โดยที่ทางลูว์ได้ตะโกนออกมาเสียงดังลั่น

                “ช่วยตรูด้วยยย!!!” เขาตะโกนออกมาอย่างโหยหวน พร้อมกับเสียงแสดงอาการเจ็บปวดที่ตามมามากมาย

                ในขณะที่ทางฮู้ดดี้และมาสกี้ที่ไม่มีทักษะความสามารถในการต่อสู้และหลบหลีกใดๆ จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากทหารต่างมิติผู้เป็นเพื่อนของลอสต์ โดยผู้คุมทั้งหมดนั้นประเคนกระสุนส่อย่างไม่หยุดหยั้ง ทหารต่างมิติได้เพียงสร้างโล่พลังงานขึ้นมาเป็นกำแพงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ขึ้นมาป้องกนพคนที่อยู่ด้านหลัง แต่มันก็ทำให้เขาไม่สามารถโจมตีสวนกลับไปได้เช่นกัน ทำให้ทั้งสามกำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบาก

                ...เพราะไม่มีเก้าอี้ให้นั่ง

                “แป้กโว้ยยย!!!” เสียงของลอสต์ดังขึ้นอย่างไร้ที่มา พร้อมกับหายไปอย่างไม่มีใครใส่ใจฟัง

                แต่ในเวลาเดียวกันนั่นเอง ลาอ้อนในสภาพบ้าคลั่งนั้นได้พุ่งเข้ามากระโจนเข้าใส่เหล่าผู้คุมที่กำลังโจมตีใส่ทหารมิติอย่างป่าเถื่อน เหล่ากระสุนที่พุ่งเข้าใส่ร่างของเขา กลับไม่สามารถเจาะผ่านชั้นผิวหนังได้แม้แต่น้อย ทำได้เพียงบี้แบนติดผิวของชายหนุ่ม

                ชายผมทองง้างหมัดต่อยใส่ศีรษะของผู้คุม จนหัวของคนทั้งหมดในแถวเดียวกันนั้นฉีกขาดและกระเด็นไปด้านหลังทันใด แล้วลาอ้อนจึงจับขาทั้งสองของผู้คุมคนหนึ่งก่อนจะเริ่มเหวี่ยงร่างของผู้คุมผู้โชคร้ายเข้าไปฟาดใส่เพื่อนของตนจนได้รับบาดเจ็บและหมดสติ ในทางกลับกันเมื่อจำนวนของผู้คุมบริเวณนั้นหมดลงในเวลาไม่ถึงสามวินาที เขาก็ทุ่มร่างของผู้คุมที่ได้ถูกชีร่างกวัดแกว่งฟาดใส่เพื่อนพ้องของตนลงบนพื้นอย่างรุนแรง ก่อนจะถูกลาอ้อนยกเท้าขึ้นกระทืบซ้ำที่หน้าอกจนเลือดไหลทะลักออกมาจากหน้ากากและตายพร้อมกับรอยเท้าที่โหว่กลางหน้าอกของผู้คุมคนนั้น

                ลาอ้อนที่หมดธุระกลับตรงจุดนั้นจึงได้ดีดตัวออกมาจากบริเวณนั้นและเข้าไปโจมตีใส่กลุ่มที่กำลังรุมทำร้ายลูว์อย่างหนักหน่วง โดยชายหนุ่มผู้บ้าคลั่งนั้นไม่ได้โจมตีรุนแรงอะไรมากเกินความจำเป็น เขาเพียงแค่พุ่งเข้าไป พร้อมกับใช้มือที่กางนิ้วออกจนตึงปาดลำคอของศัตรูรอบวง ทำให้ลำคอของคนจำนวนหนึ่งถูกตัดจนขาดวิ่นและล้มลงไปนอนกองตามระเบียบ ส่วนคนอื่นๆก็ได้หยิบอาวุธของตนเองออกมาทั้งปืนและมีด แต่ก็ได้ถูกลาอ้อน จับหักนิ้วและยัดกระบอกปืนไรเฟิลใส่ปากและเหนี่ยวไกอย่างรวดเร็ว

                เพียงไม่ถึงสามวินาทีคนในบริเวณนั้นที่มีกว่าเกือบยี่สิบคนถูกฆ่าตายลงอย่างง่ายดาย แต่ความบ้าคลั่งของชายหนุ่มนั้นยังไม่จบลง เขาเคลื่อนที่ไปมาและฆ่าเหล่าผู้คุมไปทั่วด้วยพลัง Reality Bender สุดโกง ทำให้เขาฆ่าคนอย่างไม่ยากเย็นนัก จนในที่สุดก็เหลือเพียงสามคนสุดท้าย

                อายเลส แจ็กวิ่งเข้าไปหานิน่าเพื่อตรวจดูถึงความบาดเจ็ด ส่วนมาสกี้และฮู้ดดี้ได้เข้าไปช่วยลูว์ที่ถูกอัดจนน่วมกลายเป็นซากศพที่ลุกไม่ขึ้น และเอาแต่บ่นพึมพำว่า ‘กระทืบตรูอย่างนี้..ไม่ฆ่าตรูให้ตายไปซะเลยล่ะ’ ส่วนทางเอดจ์และทหารต่างมิติได้จ่อปืนไปที่ผู้คุมสามคนสุดท้าย โดยพวกผู้คุมทั้งหมดที่เหลือนั้นได้ยอมจำนนลง แต่เมื่อทั้งสองผู้ใช้ปืนเดินเข้าใกล้ผู้คุมสองคนหน้า พวกเขากลับหยิบลูกระเบิดขนาดเล็กพลัง แต่มีทำลายล้างสูงพอๆกับระเบิดปรมาณูชนิดควบคุมโดยรีโมทขึ้นมา

                “พวกแกถอยออกไปเดี๋ยวนี้..ไม่อย่างนั้นยัยนี้กับพวกแกได้เละเป็นโจ๊กแน่” ผู้คุมผู้ถือรีโมทควบคุมระเบิดได้ขู่เอดจ์และทหารต่างมิติไว้ไม่ให้ยิงพวกเขา โดยมีตัวประกันคือเจนในร่างมนุษย์ แต่ไม่ทันที่ทั้งสองมือปืนของกลุ่มจะทิ้งปืนลง ลาอ้อนกลับพุ่งเข้ามาใส่ชายผู้ถือระเบิด แล้วบีบหัวจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ นั่นทำให้ชายผู้ถือรีโมทหวาดกลัว จนเผลอกดรีโมทไป ทำให้ระเบิดลูกนั้นเริ่มจะระเบิดออก ซึ่งนั่นทำให้เกิดแสงที่ล่อตาของลาอ้อนมาก เขาจึงหยิบระเบิดขึ้นมาแล้วใส่เข้าไปในปากอย่างรวดเร็ว

                เพียงเสี้ยววินาทีนั้น ระเบิดที่มีพลังทำลายล้างมากพอที่จะทำให้พื้นที่เกือบครึ่งของเมืองนี้หายไปจากแผนที่ได้ กลับทำได้เพียงสร้างควันออกมาจากปากชายผู้บ้าคลั่งคนนี้เท่านั้น ทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นที่ตกใจว่าระเบิดนั้นจะฆ่าทุกคนทิ้งไปกลับนิ่งอึ้งตะลึงงัน ยกเว้นเพียงแต่เอดจ์ที่หัวเราะออกมา

                “คิดได้ไงเนี่ยถึงกินระเบิดปรมาณูเข้าไปน่ะ..ลาอ้อน” เอดจ์ขำไม่หยุดก่อนจะล้มตัวลงไปกับพื้นและขำต่อไป ส่วนผู้ถือรีโมทระเบิดถึงกับทำอะไรไม่ถูกเช่นเดียวกันกับผู้คุมที่อยู่ด้านหลังของเขา

                ส่วนลาอ้อนที่ได้ลิ้มรสความเอร็ดอร่อยของระเบิดทำลายล้างสูงก็ได้หันไปหาผู้คุมผู้ถือรีโมท แล้วจึงยกมือขึ้นสูงก่อนจะทิ้งดิ่งลงมาสับศีรษะของผู้คุมคนนั้นจนผ่าร่างกายออกเป็นสองซีกอย่างรวดเร็ว เมื่อชายผู้คุมได้ตายลง เขาก็หันไปหาผู้คุมคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ ก่อนจะยกมือขึ้นอย่างช้าๆ

                “ขอร้องล่ะ..อย่าฆ่าชั้นเลยนะ ได้โปรด” เสียงของหญิงสาวอายุไม่ถึงยี่สิบปีดังออกมาจากชุดเกราะ ซึ่งมันกลับไม่เป็นผลกลับลาอ้อนแต่อย่างใด แต่ในระหว่างนั้นเอง ร่างของลาอ้อนกับหยุดชะงักลงไปเกือบสองวินาที เอดจ์เกิดสงสัยขึ้นมาทันที และเขาก็ฉุดนึกขึ้นได้ว่า ‘มันผ่าน 10 วินาทีแห่งความป่าเถื่อนไปแล้ว และต่อไปจะเป็นสิบวินาทีแห่ง...’

                “รีบวิ่งหนีไปให้เร็วที่สุด..ยัยผู้คุม” เอดจ์ตะโกนออกมาทันที แม้ว่าเขาจะเห็นผู้หญิงคนนั้นเป็นศัตรู แต่ถ้าหากสิ่งที่เธอจะได้รับต่อไป มันเจ็บปวดและทุกข์ทรมานยิ่งไปกว่าความตายนัก “ก่อนที่เธอจะได้รับความเจ็บปวดที่มากซะยิ่งกว่าความตาย”

                ผู้คุมสาวที่ฟังในคำพูดของเอดจ์นั้นเตรียมจะหนีไป แต่เธอกลับหนีไปไม่ทัน ชายหนุ่มผมทอง แสดงแววตาสีแดงก่ำอันน่าสะพรึง ก่อนจะใช้มือที่ยกค้างไว้จับที่หมวก แล้วจึงสลายมันออก เผยให้เห็นใบหน้าของหญิงสาวที่อยู่ภายใต้หน้ากาก ใบหน้าของเธอดูสวยกว่ามนุษย์ทั่วไปเกือบเท่าตัว อีกทั้งยังมีดวงตาฟ้าใสดั่งท้องนภาและแวววาวเป็นประกายกว่ามนุษย์ทั่วไป ใบหูของเธอแหลมคล้ายพวกเอลฟ์ ปอยผมสีเหลืองทองยาวสลวยถึงกลางหลัง ลาอ้อนมองไปได้ไม่ถึงวินาที เขากลับง้างมือเตรียมโจมตีใส่หญิงสาวที่ไร้ทางสู้ แต่แล้ว...

                มือของลาอ้อนพุ่งเข้าไปจับหน้าอกขนาด F-Cup อย่างนุ่มนวล ทำให้หญิงสาวผู้คิดว่าตนจะถูกฆ่าต้องหยุดชะงัก ก่อนที่ใบหน้าของเธอจะแดงระเรื่อ แล้วใช้มือข้างตบไปที่ใบหน้าของลาอ้อน พร้อมกับกรีดร้องออกมา แต่การตบใบหน้าใส่ลาอ้อนในสภาพนี้ยิ่งทำให้เขาเกิดความหื่นกระหายขึ้น แล้วผลักร่างของเอลฟ์สาวให้ล้มลงที่พื้นแล้วเขาก็เข้าไปนั่งค่อม และเริ่มทำอนาจารมากขึ้น ส่วนเพื่อนๆของลาอ้อนก็ยืนมองอย่างอภิรมณ์โดยเฉพาะพวกผู้ชาย ยกเว้นเอดจ์ นิน่า และฮู้ดดี้ที่เริ่มเป็นห่วงเอลฟ์สาวคนนั้น

                “เฮ้ย!!! อย่าพึ่งมาลามกเอาตอนนี้สิฟร่ะ..รีบๆมาช่วยกันหน่อย” เอดจ์เตือนสติให้ทุกคนกลับมาสู่สภาวะปกติ ส่วนมาสกี้ที่รู้สึกตัวขึ้นก่อนทิ้งลูว์ลงพื้นแล้วรีบวิ่งไปช่วยเอลฟ์สาว ซึ่งทุกคนที่เป็นห่วงเธอนั้นต่างก็วิ่งเหยียบร่างของลูว์ไปอย่างไม่ใยดี

                “แม่ครับ..ผมเกิดมาเพื่อเป็นตัวตลกของนิยายเรื่องนี้สินะครับ” ลูว์บ่นพึมพำกับตนเอง

                ในขณะนั้นเอง หญิงสาวที่กำลังถูกลาอ้อนกระทำชำเรา โยเริ่มร่วงเกินถึงระดับเขตหวงห้าม แม้ว่าฝ่ายหญิงจะขัดขืนอย่างไร แต่ชายหนุ่มกลับใช้พลังของเขาทำให้ร่างของเธอเป็นอัมพาตทั้งร่าง ยกเว้นส่วนศีรษะ เพื่อนๆของเขารีบพุ่งเข้ามาห้ามลูว์ทันที

                “หยุดนะ..ไออ้อน” เอดจ์ตะโกนออกมา ก่อนจะใช้เครื่องช็อตไฟฟ้า สัมผัสเข้าที่ร่างกายของชายหนุ่ม แต่กลับไม่สะทบสะท้านแต่อย่างใด เพียงแต่ทำให้เขาหยุดชะงักและหันมาสนใจพวกเขาไปชั่ววินาทีหนึ่งก่อนจะหันกลับไปเช่นเดิม

                ทหารต่างมิติรีบจับตัวของลาอ้อนแล้วลากตัวเขาออกมา พร้อมกันกับที่ทุกคนวิ่งเข้าไปจับตัว ของลาอ้อนให้แยกจากหญิงสาวผู้ประสบเคราะห์ แต่พวกเขายั้งได้ไม่กี่วินาทีก็ถูกลาอ้อนสร้างคลื่นกระแทกทั่วร่าง ทำให้ทุกคนกระเด็นออกไปจากบริเวณร่างของเขา และลอยไปทับร่างของลูว์

                “ทำไมต้องเป็นตรูด้วยยย!!!” ลูว์ตะโกนออกมาดังลั่น

                ในวินาทีที่เหลืออยู่นั้น ลาอ้อนพุ่งเข้าไปนั่งค่อมร่าง แล้วจึงใช้สันมือของตนเองตัดผ่าเสื้อผ้าของหญิงสาวจนขาดวิ่นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ก่อนที่จะจับหน้าอกทั้งสองของหญิงสาวอย่างหนักแน่น แต่ก่อนที่เขาจะได้เริ่มทำอะไรต่อไป ร่างของลาอ้อนก็ได้หยุดชะงักอีกครั้ง เขาปิดตาลงพักหนึ่ง ก่อนจะเปิดขึ้นอีกครั้งเมื่อสติของเขากลับมาอย่างสมบูรณ์ ภาพแรกที่ชายหนุ่มเห็นคือภาพของหญิงสาวหูแหลมผู้มีดวงตาสีฟ้าใสอันสวยงามกำลังแสดงหน้าตาจะร้องไห้ออกมา อีกทั้งยังรู้สึกถึงบางอย่างที่นุ่มนิ่มบนมือทั้งสอง เขาจึงหันลงไปมองสิ่งเขาสัมผัส จึงได้รู้ต้นเหตุของความนุ่มนิ่ม ...นั่นก็คือหน้าอกขนาดใหญ่ของสตรีผู้สง่างามเบื้องหน้านั่นเอง ลาอ้อนนั้นตกใจมาก จึงดีดตัวออกมาทันที

                “กว่าจะรู้สึกตัวนะ..เจ้าลามก” เอดจ์เดินเข้ามาสัมผัสที่บ่าของชายหนุ่ม ทำให้ลาอ้อนต้องหันไปหาเขา แล้วถามถึงสิ่งที่เกิดขึ้น

                “มันเกิดอะไรขึ้นน่ะ..ทำไมชั้นตื่นมาจับหน้าอกคนแปลกหน้าได้ล่ะ” ลาอ้อนถามด้วยความสงสัย ในขณะที่คนอื่นๆกำลังเดินเข้ามาหาเขา ยกเว้นลูว์ที่ยังคงนอนแน่นิ่งอยู่ที่เดิม

                “คงจะเป็นเพราะฤทธิ์ยาล่ะนะ ฮ่าฮ่าฮ่า” เอดจ์ยักไหล่ขึ้นลง “นายเลยกำจัดพวกผู้คุมทั้งหมดใน 10 วินาที และลวนลามสตรีท่านนั้นในอีก 10 วินาทีต่อมา”

                “ว่าไงนะ!!!” ลาอ้อนมองไปที่มือของตัวเองอย่างไม่เชื่อสายตา

                “ไม่ต้องมาดีใจเลย..สักวันนายก็จะทำอย่างนั้นกับริกะอยู่แล้วนี่เนอะ” เอดจ์พูดชวนคิดลึก ซึ่งลาอ้อนกลับหันหน้ามาหาเขาด้วยสีหน้าเอือมระอาเล็กน้อย

                “ชั้นไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น” ลาอ้อนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ก่อนจะมองไปที่มือของตนเองด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย “ชั้นหมายถึงว่าชั้นฆ่าพวกนั้นเกือบทั้งหมดภายใน 10 วินาทีเนี่ยนะ..อะไรมันจะเทพปานนี้”

                เอดจ์ถึงกับหน้านิ่งไปในทันที เขาเดินออกไปจากจุดนั้นอย่างไม่พูดไม่จา ก่อนจะเดินเข้าไปหาหญิงสาวชาวเอลฟ์ที่เปลือยเปล่าที่กำลังนอนอยู่ เธอน้ำตาไหลออกมาเพราะถูกผู้ชายแปลกหน้าที่พยายามจะฆ่าเธอทำอนาจาร อีกทั้งยังขยับตัวไม่ได้อีกต่างหาก เอดจ์ที่เห็นดังนั้นก็หันไปหาลาอ้อน

                “ไออ้อน..ช่วยคลายพลังนายหน่อยดิ” เอดจ์พูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น ลาอ้อนที่ได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าตอบรับ ไม่นานนักร่างกายของหญิงสาวเอลฟ์ก็ลุกขึ้นมาได้ เอดจ์ที่เห็นว่าเธอกำลังตกใจกลัวและอยู่ในสภาพที่อับอาย เขาจึงถอดเสื้อโค้ตหนังออกมาสวมให้กับเธอ เอลฟ์สาวมองหน้าเขาด้วยใบหน้าที่ยังคงมีคราบน้ำตา ชายหนุ่มขี้เล่นกับเพื่อน แต่มีความเป็นสุภาพบุรุษลงไปนั่งยองก่อนจะปาดน้ำตาเธอออกไป

                “เป็นอะไรมั้ย..สาวน้อย” เอดจ์ถอดหน้ากากของตนเองออก เผยให้เห็นใบหน้าของชายหนุ่มผมสีชานมมองด้วยแววตาเป็นห่วง เขายื่นมือไปให้เธอเพื่อแสดงความเต็มใจ หญิงสาวจึงยื่นมือเข้าไปจับอย่างไม่ลังเล เธอลุกขึ้นยืนพร้อมกับเอดจ์

                “เธอชื่ออะไรน่ะ..” เอดจ์เอ่ยถามหญิงสาวต่างเผ่าพันธุ์อย่างสุภาพ พร้อมทั้งแสดงใบหน้าที่อ่อนโยนจนทำให้หญิงสาวเบื้องหน้าเกิดความรู้สึกแปลกๆในจิตใจ

                “ถ้าเป็นบนโลกของคุณล่ะก็..ชื่อของชั้นคือสกาย” หญิงสาวเอ่ยออกมาอย่างเขินอายจนต้องเบือนหน้าหนี “แล้วคุณล่ะค่ะ..”

                “ชั้นชื่อเอดจ์..พอสทัล เอดจ์ ยินดีที่รู้จักนะ” เอดจ์ยิ้มอย่างอ่อนหวาน ก่อนจะหันหลังแล้วเดินไปหาเพื่อนของเขา แต่เขาก็ต้องหยุดลง เมื่อรู้ว่าสกายไม่ยอมเดินตามเขามา “ไม่ต้องกลัวไปหรอก..สกาย ตามชั้นนะ มานะ”

                “มานะนี่ใครเหรอคะ..” หญิงสาวพูดด้วยความซื่อจนทำให้เอดจ์ที่แสดงใบหน้าเท่เข้มต้องหัวทิ่มกับพื้นทันที “เอดจ์..คุณเป็นอะไรมั้ยคะ”

                “มะ..ม่ายเปนไร” เอดจ์ใช้มือลูบหัวของตน พร้อมยิ้มให้กับความใสซื่อของเธอ “เราไปกันเถอะ”

                ทั้งสองเดินไปจนถึงกลุ่มของพวกเขา โดยลาอ้อนนั้นหัวหน้าไปทางสกาย ทำให้เธอต้องเข้าไปหลบอยู่ด้านหลังของเอดจ์ทันที เอดจ์ที่เห็นดังนั้นจึงเริ่มพูดคุยกับลาอ้อน

                “นายต้องขอโทษเธอนะ..ถึงนายจะทำในช่วงที่นายไม่รู้ตัวก็เถอะ” เอดจ์พูดออกมาอย่างจริงจังจนแทบไม่เหมือนกับเอดจ์ที่ขี้เล่นที่เขาเคยรู้จักแม้แต่น้อย ชายหนุ่มผมทองจึงทำตามที่เพื่อนของเขาบอก

                “นี่ๆ ยัยเอลฟ์ผมเหลืองตาฟ้า ชั้นขอโทษนะ...อั้ก!! อ๊ากกก!!!” เอดจ์จิ้มตาของชายหนุ่มทันใด

                “นี่มันการขอโทษของโลกไหนกันฟร่ะ..” เอดจ์ตะโกนออกไปใส่ลาอ้อนที่แสดงท่าทีเจ็บปวดดวงตา

                “แล้วทำไมถึงต้องจิ้มตาตรูด้วย” ลาอ้อนแสดงท่าทีเจ็บปวด “ถ้าตรูตาบอดไป..ใครจะรับผิดชอบ”

                “ช่างมันเถอะน่า..ไกลจากหัวใจจะตายไป” ชายหนุ่มผมสีชานมพูดตัดบทของลาอ้อน ทำให้เขาต้องมองมาที่เพื่อนชายของตนทันใด

                “ช่างมันได้ไงล่ะ..ไอบ้าเอดจ์” ลาอ้อนเริ่มโวยวายออกมา ส่วนเอดจ์ที่เบื่อหน่ายกับความบ้าบอของลาอ้อนก็ได้พลอยโวยวายตาม ส่วนครีปปี้พาสต้าคนอื่นๆกลับฉงนงงงวยทำอะไรไม่ถูกกับเรื่องนี้ ในขณะที่สกายนั้นกลับยิ้มน้อยใหญ่ขึ้นมา

                “ไม่ต้องทะเลาะกันแล้วล่ะค่ะ..ชั้นหายโกรธแล้วล่ะค่ะ” สาวเอล์ฟยิ้มกว้างให้ทั้งสอง ทำให้เอดจ์ที่หงุดหงิดกับการกระทำของลาอ้อนต้องยิ้มตาม

                “หายโกรธแล้วจริงหรา” ลาอ้อนที่กำลังยกมือขึ้นไปสัมผัสศีรษะของเธอ กลับถูกเจ้าตัวปัด แล้ววิ่งหนีไปหลบด้านหลังเอดจ์เช่นเดิม โดยเธอนั้นยิ้มอย่างเก้อเขิน

                “เค้าหายโกรธจริงๆนะ” เอล์ฟเบือนหน้าออกไปเพราะความเขินอาย “แต่เค้ายังไม่หายกลัวอ่ะ”

                “อ้าว! กรรม” ลาอ้อนตบหน้าผากตนเองทันที แต่แล้วเสียงหนึ่งก็ดังลั่นขึ้นมา

                “นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย!” เจนที่ได้สติกลับมา ตกใจกับสภาพร่างกายของเธอในตอนนี้มาก เพราะเธอกลายเป็นเหมือนเมื่อ 2 ปีก่อนที่จะมากลายเป็นครีปปี้พาสต้า “ทำไมร่างกายของชั้นถึงกลับมาเป็นอย่างนี้ได้ล่ะ”

                นิน่ารีบเข้าไปหาเจนที่กำลังสับสนอยู่ ก่อนจะปลอบโยนให้เธอกลับมาตั้งสติให้ได้เช่นเดิม เมื่อสำเร็จ เธอก็พาเจนเข้ามาสมทบ แล้วเริ่มพูดคุยกัน

                “เอาเป็นว่าพวกเราต้องรีบกลับที่คฤหาสน์กันก่อน” ชายหนุ่มผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มได้พูดขึ้น “สกาย ว่าแต่เธอมาจากไหนกันเหรอ..โลกเราไม่น่ามีเอลฟ์นี่นา ถ้าไม่นับเจ้าเบน”

                “ชั้นก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ” เอล์ฟสาวตอบกลับมา “ชั้นจำได้แค่ว่ากลุ่มคนแปลกกลุ่มนึงจับตัวชั้นมาจากบริเวณใกล้หลุมศพ พวกเขาจับชั้นมาในฐานะของหนูทดลอง โดยพวกเขาเรียกพวกเราว่า ‘D-Class’ แต่ด้วยเหตุการณ์การต่อสู้ในเมืองครั้งหนึ่ง ทำให้พวกเขาสูญเสียผู้คุมฝีมือดีไปมาก เขาเลยดึงพวก ‘D-Class’ ทั้งที่เป็นพวกคนคุกและพลเรือนปกติมาเป็นกองทัพให้กับพวกเขา โดยชั้นก็เป็นคนหนึ่งที่ถูกกลุ่มคนพวกนั้นเปลี่ยนมาเป็นคนที่พวกคุณเรียกว่า ‘ศัตรู’ น่ะค่ะ”

                “น่าจะเป็นตอนที่เจฟกับโทบี้ไปบ้าระห่ำในดงตีงแน่ๆ” อายเลส แจ็กสันนิษฐานก่อนที่เขาจะสรุปออกมา “เอาเป็นว่าเอดจ์กับสกาย เธอไปกบดานก่อนนะ”

                ทั้งสองพยักหน้าตอบรับ ก่อนจะหันหลังกลับ แต่อายเลส แจ็กกลับยั้งพวกเขาไว้เสียก่อน ทำให้เขาทั้งสองต้องหันกลับมา

                “เอลฟ์น่ะเป็นสายพันธุ์ที่สายดี หูไหว และเป็นพวกย่องเบาเก่ง ช่วนฝึกฝนพรสวรรค์ของเผ่าพันธุ์เธอด้วยนะ..เอดจ์” อายเลส แจ็ก พูดพร้อมกับยิ้มออกมา ชายหนุ่มที่ได้ยินยกนิ้วหัวแม่มือขึ้นมา พร้อมกับยิ้มที่มุมปาก เกิดประกายแสงแวววาวที่ฟันทันใด

                “ลาอ้อนคุง..ตรูไปล่ะนะ ถ้าอยากคึกอีกก็บอกชั้นมาละกัน” เอดจ์คนเดิมพูดกับลาอ้อนด้วยใบหน้าแสดงความกวนบาทาอย่างสุดติ่ง แต่ลาอ้อนนั้นกลับยิ้มขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ ก่อนที่ทั้งสองจะแยกทางกันไป 

                “พวกเราก็กลับกันเถอะ..” อายเลส แจ็กบอกกล่าวกับทุกคน แล้วจึงเดินเข้าไปในป่าสเลนเดอร์ทันทีโดยจำไม่ได้แม้แต่น้อยว่าเขาได้ลืมบางสิ่งไปเสียสนิท

                “ไม่มีใครสนตรูเลยเหรอ” ลูว์น้ำตาตก เมื่อพบว่าเพื่อนของเขาได้เดินออกห่างไปโดยไม่หันกลับมาแม้แต่น้อย ชายผู้โชคร้ายที่มีความสามารถในการคืนชีพและฟื้นฟูอวัยวะภายใน แต่ไม่ได้มีความสามารถในการฟื้นฟูระบบกล้ามเนื้อแต่อย่างใด “นี่เรากลายเป็นตัวตลกไปจริงๆสินะ..ฮึกฮึก”

                ในอีกด้านหนึ่งของเมือง ภายในองค์กรเอสซีพีไซต์-217 ซึ่งเป็นไซต์ที่ดูคล้ายกับโกดังขนาดใหญ่ที่ถูกทิ้งร้างเอาไว้ ภายในนั้นเป็นสถานที่ที่ปีศาจทั้งสาม ผู้ได้โค่นล้มเหล่าครีปปี้พาสต้าลงและจับตัวเอาไว้ได้กบดานอยู่

                เจฟ เดอะ คิลเลอร์, ทิกกิ โทบี้, คล็อกเวิร์ค, ลาฟฟิ้ง แจ็ค, บุชเชอร์ ชาย และผู้แข็งแกร่งอย่างฮีโร่บรายได้ถูกจับไว้ในลูกแก้วสีใสซึ่งส่องสว่างภายในความมืด ชายทั้งสาม แม็ค จูเนียร์ และคราโอติคกำลังคุกเข่าลงให้กับชายเบื้องหน้า

                “พวกเราได้จัดการพวกผู้ต่อต้านได้กลุ่มนึงแล้วครับท่านแบล็ก” ครายพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่จริงจัง “แต่ถ้าหากไม่มีเจ้าคนที่ชื่อคาอินนั่นมายุ่ง เราคงไม่ต้องหนีมาขนาดนี้หรอกครับ”

                เมื่อแบล็คได้ยินนามของชายผู้นั้นก็ยิ้มขำออกมา ก่อนจะพูดออกมาทั้งที่ยังคงยิ้มอยู่

                “เจ้านั่นน่ะ..เจ้าไม่ต้องไปยุ่งกับมันน่ะดีแล้ว” แบล็คพูดออกมา “แม้แต่ข้าก็ไม่สามารถถอนคำสาปของพระเจ้าได้ ถึงแม้ว่าข้าจะฆ่าพระเจ้าได้อย่างง่ายๆเลยก็ตามแต่”

                “เจ้าคาอินนั่นน่ะ.. เจ้าไม่ต้องไปกลัวมันหรอก” ชายในเงามืดพูดออกมา “คนที่พวกเจ้าควรหวาดกลัวน่ะคือ..เจ้าลอสต์ ซีเคร็ต ไอคนที่มีพลังจะทำสิ่งใดตามใจปรารถนา แทนที่จะใช้พลังมาร่วมกันปกครองพลังอันมหาศาลแห่งอนันตกาล แต่กลับมาช่วยเหลือและยุ่งเกี่ยวกับพวกมนุษย์และเจ้าพวกมหาจักรพรรดิ์งี่เง่านั่น”

                “เอาเป็นว่าเจ้าทำได้ดีมากแล้ว..” แบล็ดกล่าวชื่นชม ทั้งหมดจึงใช้ท่อนแขนประคบหน้าอกแล้วกล่าวขอบคุณอย่างพร้อมเพรียง

                “แล้ววันพรุ่งนี้จะทำอย่างไรกันต่อครับท่าน” แม็คเอ่ยถามแบล็คผู้อยู่เหนือพวกเขา

                “พรุ่งนี้คงต้องเริ่มแผนต่อไปที่พวกเราวางกันไว้แล้ว” แบล็คพูดขึ้น ก่อนจะแหงนขึ้นไปมองร่างของฮีโร่บรายที่กำลังนอนอยู่ภายในลูกแก้วใส “ข้ารู้มานานแล้วล่ะนะ..ฮีโร่บราย”

                “ว่าเจ้านั้นคือหนึ่งในมหาจักรพรรดิ์ ผู้มีพลังแห่งชีวิต ผู้ร่างกฏเกณฑ์ และเป็นจ้าวแห่งธรรมชาติทั้งปวง นามของเจ้าคือมหาจักรพรรดิ์แห่งการพิทักษ์สรรพชีวิต เดอะ การ์เดี้ยน”

สกาย เอลฟ์สาวหลงทาง

รูปภาพ : https://anime.desktopnexus.com/wallpaper/1782857/

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.4 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา