Eternal Night The second of heartbeat.
เขียนโดย Rafael
วันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2558 เวลา 02.50 น.
แก้ไขเมื่อ 28 มีนาคม พ.ศ. 2558 02.58 น. โดย เจ้าของนิยาย
12) HEART BEAT second 12
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความHEART BEAT second 12
Raf Rafael
หลังจากเรากลับมาถึงห้องพี่บลัดก็ทิ้งตัวลงบนโซฟาอย่างเหนื่อยล้า ผมได้แต่ขมวดคิ้วอย่างไม่สบายใจพลางมองพี่ชายที่กำลังใช้แขนปิดดวงตาไว้
ผมทิ้งตัวลงที่โซฟาเดี่ยว ได้แต่จ้องเรือนผมสีเงินตรงหน้าเอาไว้ ความรู้สึกเก่าๆโถมเข้ามาในใจ ภาพวันวานที่ได้แต่มองพี่ชายนั่งตัวสั่นงันงก เด็กตัวเล็กที่เอาแต่เม้นริมฝีปากแน่นพร้อมกับหยาดน้ำตาที่คลอเบ้า ผมพยายามสลัดภาพนั้นออกไปจากหัว
“โกโก้มั้ยพี่”
“...”
ผมจ้องมองพี่ชายอยู่เนิ่นนาน จนในที่สุดก็ได้รับการพยักหน้าตอบกลับมา
ผมเดินเข้าไปในครัวด้วยใจที่หนักอึ้ง ยิ่งใกล้วันเกิดของพี่ชายก็ยิ่งร้อนใจ มันควรจะเป็นวันที่ต้องยินดีไปกับพี่บลัด ไม่ใช่มาทำท่าอมทุกข์อยู่แบบนี้นะ ผมพยายามพร่ำบอกตัวเองอยู่ในใจ
ชักจะเป็นห่วงอีกเรื่องหนึ่ง...ควรจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ลูคัสกับลอเรนรู้ด้วยดีรึเปล่า ดูท่าลอเรนไม่สบายใจอย่างหนัก บรรยากาศรอบตัวหม่นหมองจนสัมผัสได้
ระหว่างวางแก้วโกโก้ร้องลงบนโต๊ะกระจกด้านหน้าโซฟาตัวยาว ผมตัดสินใจนั่งลงที่ปลายโซฟาอีกด้านหนึ่ง แต่ไม่สามารถนั่งพิงพนักได้เพราะขาพี่ชายพาดยาวกินพื้นที่โซฟาไปทั้งตัว
ผมถอนหายใจหนักๆก่อนจะถามออกไปด้วยความเป็นห่วง
“ช่วงนี้เห็นอะไรมั้ยพี่” พี่บลัดสะดุ้งกับคำถามที่ไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ผมเหลือบสายตามองลอบสังเกตท่าทางของพี่ชาย พี่บลัดยกมือกุมเสื้อไว้แน่นจนเสื้อยืดในมือเป็นรอยยับยุ่ง
“มีอะไรบอกผมกับพี่เรย์ให้เร็วที่สุดดีกว่านะ”
“ไม่เป็นไร เคลน” รอยยิ้มเศร้าหมองถูกคลี่ออกบนใบหน้าของพี่ หลังจากนั้นพี่บลัดก็ขยับตัวลุกขึ้นนั่งพลางยกแก้วโกโก้ขึ้นจิบ
ให้มันไม่เป็นอะไรจริงๆเถอะ
“เล่าให้ลอ...”
“ฉันไม่อยากพูดถึง เคลน”
ผมหุบปากลงทันทีที่พี่บลัดพูดขัดขึ้นมา ผมหลุบนัยน์ตาสีฟ้าลงพลางถอนหายใจอย่างหนักอก
ผมว่า...เราเจอปัญหาใหญ่ระหว่างพี่เราทั้งสองคนซะแล้วละ
รู้สึกว่าวันนี้เหนื่อยเป็นพิเศษ เหนื่อยกว่าวันที่ต้องวิ่งทำงานหลายๆที่ซะอีก แต่ที่เหนื่อยอาจจะไม่ใช่กาย อาจจะเหนื่อยใจซะมากกว่า ตอนนี้ผมได้แต่นั่งกดรีโมทเปลี่ยนช่องไปเรื่อยเปื่อย พยายามให้ตัวเองสนใจสิ่งอื่นจะได้ไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องราวสมัยก่อนขึ้นมา
“ซะหน่อยมะ” เคลนยื่นซูชิหน้าอิคุระมาให้ ผมไม่ปฏิเสธคว้ามาใส่ปากพลางกดรีโมทต่อไป เมื่อเห็นผมกดไม่หยุด เคลนก็ดึงรีโมทออกไปจากมือเปิดช่องภาพยนตร์ช่องหนึ่งขึ้นมา ผมนั่งนิ่งๆสายตาจ้องมองทีวีไม่กระพริบ แต่กลับไม่รู้เรื่องเลยว่าหนังเกี่ยวกับอะไร
นั่นสินะ...ตั้งแต่ลอเรนเข้ามาในชีวิต ผมลืมไปสนิทว่าตัวเองเคยเอาแต่หลบอยู่ในมุมมืดเพื่อหลบเลี่ยงเหล่าผู้คนที่เข้ามาใกล้ ตั้งแต่เด็กจำได้เพียงใบหน้าของผู้คนที่หวาดกลัวต่อดวงตาสีแดงคู่นี้ แล้วถ้าหากลอเรนก็เป็นคนหนึ่งที่กลัวผมขึ้นมาละก็...
น่าแปลกนะ...เมื่อเรากลายเป็นนักดนตรีขวัญใจผู้ชมเมื่ออยู่บนเวที เป็นที่จับจ้องจากทุกสายตาโดยที่ไม่รู้สึกแย่ แต่เมื่อออกมาจากแสงสีแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับคนธรรมดาคนหนึ่ง ที่สำคัญผมกลับไม่ชอบให้ใครมอง ไม่ว่าจะมองให้แง่บวก หรือลบก็ตาม ผมถอนหายใจออกมาอย่างปลงตก
ผมอดที่จะกุมหน้าอกตัวเองไม่ได้ สุดท้ายก็ดึงสร้อยเส้นยาวออกมาจากด้านในเสื้อ พลางใช้เรียวนิ้วลูบจี้ที่มีทรงคล้ายดาบตะวันตก ปลายดาบมีปีกคู่เล็กๆยื่นออกมามองผ่านๆแล้วคล้ายกางเขน แต่ตัวดาบกลับเป็นสีใสจนสามารถมองทะลุเห็นผ้ายันต์ที่ถูกม้วนไว้ด้านใน
ทำได้เพียงทอดสายตาจ้องมองมันไว้แน่นิ่ง
“กลับไปหาคุณโทไดบ้างดีมั้ยพี่”
ผมส่ายหน้าให้เคลนแทนคำตอบ
“คุณโทไดเป็นห่วงอยู่นา เมื่อก่อนพี่ต้องเปลี่ยนยันต์ทุกปี เดี๋ยวนี้เซ้นส์ไม่พัฒนาแล้วเรอะ”
ผมได้แต่นิ่งเงียบ พอเคลนพูดถึงเจ้าอาวาสศาลเจ้าที่บ้านของเราก็รู้สึกเป็นห่วงท่านขึ้นมา ตั้งแต่ย้ายเข้ามาเรียนในเมือง ไม่ได้กลับบ้านเป็นปีได้แล้วละมั้ง ท่านเป็นคนหนึ่งที่ช่วยเหลือผมมาตั้งแต่ยังเด็ก บางวันที่สติกระเจิดกระเจิงก็มักจะได้ท่านเป็นคนช่วยเอาไว้ รวมถึงจี้ในมือของผมตอนนี้ท่านก็เป็นคนให้เอาไว้ เพื่ออะไรน่ะหรือ...
ผมหมุนจี้ในมือเล่นพลางหลุบนัยน์ตาลง ราวกับอดีตกำลังย้อนกลับมาในความทรงจำ ทั้งๆที่ตัดสินใจทิ้งมันไปแล้วแท้ๆ
“ไม่เป็นไร” ผมลุกขึ้นหมายจะเดินเข้าห้องนอน เคลนจ้องมองผมอยู่เนิ่นนาน นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนแสดงถึงความเป็นห่วงเป็นใยออกมาจนรับรู้ได้ ผมจ้องมองน้องชายนิ่งเงียบก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วนี่นะ สายตาแบบนี้เห็นมาตั้งแต่จำความได้ เคลนไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้ว่าตอนนี้ผมจะตัวสูงกว่ามันแล้ว
“ไม่เป็นไรน่า” ผมเดินเข้าไปลูกศีรษะน้องชายเบาๆ เคลนถึงได้คลี่ยิ้มออกมา แต่นัยน์ตาของน้องไม่ได้คลายความกังวลลงเลยสักนิด ผมไม่ได้พูดอะไรต่อเพียงแค่เดินเข้าห้องนอนไปเงียบๆเท่านั้น
ผมพยายามข่มตานอนพลางซุกใบหน้าลงกับตุ๊กตาตัวเดิม ความทรงจำหลายๆอย่างกำลังกลับมาหลอกหลอน ผมบิดตัวไปมาอยู่บนเตียง ไม่ว่าจะพยายามข่มตานอนท่าไหนก็ไม่สามารถหลับตาลงได้เลย สุดท้ายก็เด้งตัวขึ้นนั่งบนเตียง ก่อนจะเหลือบมองนาฬิกาบนโต๊ะ
ตีสองกว่าแล้ว
ผมยกมือขึ้นขยี้เรือนผมจนยุ่งเหยิง ก่อนจะก้าวขาลงมาจากเตียงหยิบหมอนและผ้าห่มขึ้นพาดบ่า หลังจากนั้นก็คว้าตุ๊กตาตัวเดิมออกไปด้วย
ผมเดินออกจากห้องตัวเองไปเคาะประตูห้องตรงข้ามสองสามครั้งโดยไม่รอให้เจ้าของห้องออกมาเปิดประตูหรือเอ่ยปากอนุญาต ถือวิสาสะเดินเข้าไปด้านในห้องหน้าตาเฉย
“นอนไม่หลับรึไง...” เสียงงัวเงียของเจ้าของห้องดังขึ้น เคลนปิดไฟในห้องจนมืดตื๋อ ผมปรับสายตาให้ชินกับความมืดอยู่พักหนึ่งก่อนจะเดินไปข้างเตียงของเคลนพลางโยนหมอนผ้าห่มลงไปจัดที่นอนของตัวเอง
“วันนี้ฝนไม่ตกสักหน่อย” เคลนพูดกลั้วหัวเราะล้อเลียน ผมแกล้งทำหูหวนลมทิ้งตัวนอนข้างๆมัน เคลนหัวเราะออกมาเบาๆก่อนจะพลิกตัวนอนตามเดิม
เข้าใจละนะ ว่ายังทำตัวเป็นเด็ก แต่เมื่อมีคนนอนอยู่ข้างๆ หนังตาก็เริ่มหนัก ไม่นานนักสติก็เริ่มเลือนราง
ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วนี่นะ...ที่เราสองพี่น้อง มีกันอยู่แค่นี้
เช้าวันต่อมาผมตื่นขึ้นมาด้วยสภาพที่ไม่ค่อยน่าดูเท่าไหร่ เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับจนเวียนหัวไปหมด เคลนลุกออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่นะ
ผมหอบข้าวของทั้งหมดขึ้นมาก่อนจะเปิดประตูตรงเข้าห้องตัวเองตามเดิม
จะทำหน้ายังไงตอนเจอเรนกับลุคดีนะ พยายามรื้อคำพูดทั้งหมดที่คิดได้ออกมาจากหัว จะทักทายเหมือนปกติดีไหมนะ จะเล่าให้เธอฟังยังไงดีนะ ระหว่างนั้นก็เปิดฝักบัวใช้น้ำเย็นๆล้างหัวซะบ้างจะได้เลิกฟุ้งซ่านซะที
ผมทำใจอยู่หน้าประตูห้องนอนพักใหญ่ ตอนนี้ลุคกับเรนน่าจะทานข้าวอยู่ที่โต๊ะ หายใจเข้าลึกๆเอื้อมมือออกไปบิดลูกบิดประตู เอาละ...ทักทายตามปกติแล้วกัน
เมื่อประตูถูกเปิดออก ผมกลับอ้ำอึ้งไปต่อไม่เป็นเมื่อสาวน้อยกำลังจ้องมองมาด้วยดวงตาใสแป๋ว
“อรุณสวัสดิ์”
“อะ...อรุณสวัสดิ์” นัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเลกำลังหรี่ลงส่งยิ้มให้เหมือนเช่นทุกที ผมรู้สึกโล่งใจอย่างประหลาด ความหนักอึ้งและกังวลใจหายไปจนเกือบหมด ทั้งเรนและลุคยังพูดคุยเหมือนปกติ ราวกับเรื่องที่ผมกังวลใจอยู่เป็นเพียงความกังวลของผมอยู่ฝ่ายเดียว
ผมกลับเข้ามาในห้องนอนอีกครั้งหลังทานอาหารเช้าเสร็จเพื่อหยิบกระเป๋าและแต่งตัวให้เรียบร้อยเตรียมออกไปเรียน ระหว่างหยิบนาฬิกาเรือนหรูขึ้นมา เรนก็โผล่เข้ามาในห้องพอดิบพอดี
“บลัดเสร็จรึยัง” ผมส่งยิ้มไปให้เรนบางๆก่อนจะเดินเข้าไปหาเธอพร้อมนาฬิกาเรือนสวย ผมวางนาฬิกาข้อมือลงบนฝ่ามือของเรน ก่อนจะยื่นข้อมือของตัวเองส่งไปให้
“ใส่ให้หน่อย” เธอหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่นานนักนาฬิกาก็ถูกล็อกลงกับข้อมือเรียบร้อย ผมจ้องมองใบหน้าของเธอนิ่งงันราวกับกำลังจดจำรอยยิ้มของเธอไว้
“เรียบร้อย”
“ขอบคุณครับ” ยังไม่ทันที่เรนจะเงยหน้าขึ้นมา ผมก็ชิงก้มลงไปหอมแก้มเธอหนักๆ กลิ่นแชมพูอ่อนๆ กับกลิ่นโคโลญหอมๆลอยเข้ามากระทบปลายจมูก ยังไม่ทันที่สมองจะได้สั่งการ ร่างกายก็เอื้อมมือออกไปรวบร่างของสาวน้อยตรงหน้าเข้ามากอดไว้แน่น
“บลัด..” เธอขานชื่อแผ่วเบา ผมยิ่งกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นราวกับกำลังเรียกร้องขอกำลังใจจากร่างตรงหน้า ผมกอดเธออยู่พักหนึ่งจนเมื่อรู้สึกว่าตัวเองชักจะฉวยโอกาสมากเกินไปแล้ว ถึงได้ค่อยๆคลายอ้อมกอดออก แต่ยังไม่ทันที่แขนจะหลุดออกจากร่างบาง
ฝ่าน้อยๆกลับยกขึ้นลูบแผ่นหลังของผมเบาๆเป็นเชิงปลอบใจ หลังจากนั้นมือหนึ่งของเรนกอดร่างของผมไว้นิ่งแต่กลับใช้มืออีกข้างหนึ่งเอื้อมขึ้นมาลูบศีรษะแผ่วเบา ผมกระชับอ้อมกอดเข้ามาอีกครั้งพลางซุกใบหน้าลงกับข้างศีรษะเธอนิ่งๆ
ไม่อยากคลายอ้อมแขนนี้ออกเลย อยากให้เวลาหยุดลงอยู่ตรงนี้อีกสักนิดก็ยังดี อบอุ่น และโล่งใจจนไม่อาจสรรหาคำใดมาบ่งบอกความรู้สึกในอกตอนนี้ได้
ผมขยับตัวเบือนหน้าไปหอมแก้มเธออีกฟอดใหญ่ก่อนจะผละตัวออกมา
“ไปเถอะ เดี๋ยวสายนะ” เรนหันมาคลี่ยิ้มพร้อมแก้มนวลที่ขึ้นสีแดงเรื่อ ผมคลี่ยิ้มตอบเธอกลับไป พร้อมวางฝ่ามือลงบนศีรษะกลมมนพลางลูบเรือนผมสีวอลนัทอย่างเบามือ
แม้จะไม่ได้กล่าวอะไรเลยสักคำ แต่เธอกลับทำให้ผมสบายใจราวกับเรื่องหนักใจทั้งหมดถูกยกออกไปจากภายในอกเรียบร้อยแล้วละ
“เรน” ฉันเบนสายตาออกจากวิวนอกหน้าต่างของขบวนรถไฟขบวนเดิมที่เราใช้กลับบ้านกันอยู่ทุกวัน ก่อนจะหันไปสบนัยน์ตาสีแดงที่กำลังมองตรงมา
“วันอาทิตย์ว่างมั้ย” ฉันพยักหน้าตอบ
“ไปงานวันเกิดกับฉันนะ” เขาส่งรอยยิ้มสดใสมาให้ เหมือนเขากำลังอ้อนอยู่กลายๆ ฉันจ้องมองรอยยิ้มนั้นอยู่พักหนึ่ง แกล้งทอดสายตามองรอยยิ้มของเขาราวกับกำลังคิดหนัก เวลาบลัดยิ้มน่ะ น่ารักมากนะ สุดท้ายฉันก็ตอบตกลง
“จัดงานที่ไหนหรอ”
“คลับจิลเวอร์รี่” คลับของคุณซินเซียร์น่ะหรอ คุณซินเซียร์ถึงกับจัดงานวันเกิดให้เขาเชียว พวกเขาเป็นพนักงานชั่วคราวเองนะ
“พี่อาโอเป็นเจ้ามือ” ท่าทางเจ้ามือจะทุนหนาไม่เบา ได้ไปแสดงในคลับแบบนี้ต้องซ้อมร้องเพลงให้ดีที่สุดแล้วละ!
หลังจากกลับมาถึงบ้านปุ๊บ ฉันก็รบเร้าให้ลูคัสฝึกร้องเพลงด้วยกัน เย็นนี้พวกเขาไปทำงานที่คลับ ฉันก็ซ้อมได้อย่างสบายใจไม่ต้องห่วงว่าจะมีใครแอบมาได้ยินเข้า เพื่อที่จะสามารถร้องเพลงเป็นของขวัญให้เขาอย่างดีที่สุด ฉันต้องซ้อมแบบเอาจริงเอาจังบ้างแล้ว ลอเรนสู้ๆ!
พอมีอะไรทำแล้วรู้สึกว่าเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เผลอแป๊บเดียวก็ถึงวันแสดงจริงแล้ว ตื่นเต้นนิดหน่อยแฮะ
เช้านี้ฉันกับลุคก็ไปนั่งอยู่ในห้อง 801 เหมือนอย่างเคย แต่วันนี้น่าแปลกตรงที่เคลนตื่นสายจนอาหารเช้าของพวกเราเหลือแค่ขนมปังปิ้งกับสารพัดแยมให้เลือก ฉันเหลือบสายตาไปมองเคลนที่ยังนั่งฟุบหลับที่โต๊ะอาหารที่นั่งประจำของเขาโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาแตะขนมปังปิ้ง
เมื่อคืนพวกเขากลับมาเกือบเช้า เคลนบอกว่าฉลองวันทำงานวันสุดท้ายกันเต็มที่ไปหน่อย เช้านี้ก็เลยมีสภาพดูไม่จืด สุดท้ายเขาก็ทนความง่วงไม่ไหว ขอตัวเข้าไปนอนในห้อง ฉันกับลุคได้แต่มองตากันตาปริบๆ เคลนที่ปกติมักจะแจ่มใสตั้งแต่เช้ายังเป็นขนาดนี้ แล้วคนที่ไม่เคยสัมผัสอากาศยามเช้าอย่างบลัดจะอยู่ในสภาพไหนกันเนี่ย
ฉันไม่รอให้ตัวเองได้สงสัยนานก้าวเข้าไปในทางเดินเล็กๆตามความเคยชิน ก่อนจนหยุดลงตรงหน้าประตูบานหนึ่ง
“บลัด...ฉันเข้าไปนะ” ฉันว่าเขายังไม่ตื่นแน่ๆ เคาะประตูอีกสองสามครั้ง ก่อนจะหมุนลูกบิดเข้าไปด้านใน ภายในห้องมีแสงไฟสีส้มสลัวส่องออกมาจากบริเวณหัวเตียงเหมือนปกติ แสงแดดลอดออกมาตามซอกของผ้าม่านเล็กน้อย แต่ก็ไม่อาจทำให้ร่างที่หลับพริ้มอยู่บนเตียงสะทกสะท้านกับแสงตะวัน
ฉันทิ้งตัวนั่งลงข้างเตียง เขามีรอยช้ำใต้ตานิดหน่อย สงสัยคงฉลองกันเต็มที่จริงๆ ฉันอดหัวเราะออกมาไม่ได้ ทั้งๆที่วันนี้เป็นวันเกิดตัวเองแท้ๆดันไปฉลองล่วงหน้าซะจนหมดสภาพ
ฉันค้อมตัวลงไปใกล้เขาอีกนิดเพื่อที่จะได้เห็นใบหน้าของเขาชัดๆอีกสักหน่อย ก่อนจะปัดปอยผมที่ปรกใบหน้าของเขาออกอย่างเบามือ ดูไร้เดียงสาดีเหมือนกันนะ ยิ่งได้มองใกล้ๆยิ่งรู้สึกราวกับความสามารถในการควบคุมร่างกายหายไป เผลอไล้หลังมือลงบนแก้มของเขาเบาๆ คนขี้เซาก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะตื่นขึ้นมา
หลังจากจ้องใบหน้าด้านข้างของเขาอยู่อีกพักใหญ่ ฉันก็ค้อมตัวลงไปใกล้มากกว่าเดิม ก่อนจะจุมพิตลงที่แก้มของเขาเบาๆ
“สุขสันต์วันเกิดนะ...บลัดเทีย”
“อือ” ฉันสะดุ้งสุดตัวเมื่อร่างตรงหน้ามีปฏิกิริยาตอบกลับ เขารู้ตัวไหมเนี่ย หลับอยู่จริงรึเปล่า หรือเห็นฉันทำอะไรน่าอายรึเปล่านะ หัวใจเต้นระรัวจนจับจังหวะไม่ได้ หวังว่าเมื่อกี้เขาจะไม่รู้ตัวนะ
แต่แล้วก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อเขาเพียงพลิกตัวนอนตะแคงหันมาทางฉันเท่านั้น ดวงตาสีแดงยังซ่อนอยู่ใต้แพขนตาอย่างไม่มีทีท่าจะแสดงตัวขึ้นมา ฉันจ้องดวงหน้าของเขานิ่ง ดูจากความอ่อนล้าของเขาแล้วควรจะให้เขาได้นอนพักสินะ ฉันค่อยๆพยุงร่างตัวเองลุกขึ้นแต่ยังไม่ทันพ้นจากข้างเตียง ร่างก็เซอย่างหนักเพราะแรงฉุดที่ข้อมืออย่างแรง
ฉันทรงตัวไม่อยู่ล้มลงนอนบนเตียงไม่เป็นท่าพร้อมถลึงตาใส่ผู้ต้องหาทันที ผู้ต้องหารายนี้ไม่รู้สึกผิดเลยสักนิด ยังส่งยิ้มพร้อมแววตาเจ้าเล่ห์ นัยน์ตาสีแดงคู่นั้นหรี่ลงจ้องมองเข้ามาในนัยน์ตาของฉันตรงๆ แถมข้อมือของฉันยังโดนเขาจับไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
“บลัด!” ฉันปรามเขาอย่างไม่พอใจ นัยน์ตาสีแดงยิ่งหรี่ลงอย่างอารมณ์ดีตอบรับอาการไม่พอใจของฉันไปในทางตรงกันข้าม
“วันเกิดฉันต้องตามใจเจ้าของวันเกิดสิ” เขาพูดกลั้วหัวเราะ นิสัยเสียขึ้นมาทันทีเลยนะนายเนี่ย!
“ขอบคุณครับ” เขาชันตัวขึ้น จุมพิตที่แก้มของฉันเบาๆ ใบหน้าแดงร้อนขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ หลังจากขโมยจูบแก้มเป็นที่เรียบร้อย เขาทิ้งตัวนอนลงที่เดิมพลางฉีกยิ้มกว้างเต็มใบหน้าดูมีความสุขจนล้นปรี่ นายตื่นตั้งแต่แรกแล้วสินะ บลัดเทีย!
“อารมณ์ดีเชียวนะ” ฉันอดแซวเขาออกไปไม่ได้ บลัดหัวเราะตอบเบาๆ
“ง่วง...” มือหนาที่จับข้อมืออยู่เริ่มแทรกลงไปใต้ร่างของฉัน ส่วนอีกแขนหนึ่งก็ไม่ได้น้อยหน้า ยกขึ้นมาก่ายร่างของฉันไว้ หลังจากนั้นเขาก็กอดร่างเล็กไว้แนบอก ก่อนจะหลับตาพริ้มเปลี่ยนฉันเป็นตุ๊กตาส่วนตัวของเขาอย่างหน้าตาเฉย
“บลัด!” ฉันทำเสียงดุใส่เขา ลูคัสกับเคลนอยู่ข้างนอกนะ ถ้าน้องๆเข้ามาเห็นจะเป็นยังไง หื้อ! แต่ยิ่งดุเท่าไหร่ บลัดก็ยิ่งกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น รู้ว่านายไม่ได้หลับ ยิ้มไม่หุบแบบนั้นน่ะ! ฉันพองแก้มใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์
“บลัดเทีย!”
“หื้อ” ยังจะมาหืออีก ปล่อยเลยนะ
“บลัด...” ฉันเรียกชื่อเขาอย่างอ่อนใจ ไม่มีทีท่าว่าอ้อมกอดนี้จะคลายตัวลงเลย ฉันถอนหายใจออกมาอย่างยอมแพ้พลางซบใบหน้าลงกับอกของเขา ได้ยินเสียงหัวใจของเขาเต้นระรัวเลย หัวใจเต้นแรงจัง...
ลมหายใจของเขากลับมาเป็นจังหวะสม่ำเสมอ แต่เสียงหัวใจที่ดังอยู่ข้างหูยังดังก้อง ในเมื่อเขาไม่ยอมปล่อย งั้นก็ขอลอบฟังเสียงหัวใจของเขาอยู่แบบนี้แล้วกัน
เนื่องจากพื้นหลังเรื่องนี้อยู่ในประเทศญี่ปุ่นครับ เพราะฉะนั้นจึงอยากฝากเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆไว้สำหรับให้ผู้อ่านทุกคนสามารถทำความเข้าใจเนื้อเรื่องได้ง่ายขึ้นครับ ส่วนใหญ่เกร็ดความรู้จะเขียนมาจากประสบการณ์ตรงของไรเตอร์เอง อาจจะมีข้อมูลบางส่วนที่อาจแตกต่างกันไปตามแต่ละพื้นที่ของประเทศนะครับ
- ศาสนาในญี่ปุ่น = คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ไม่ยึดถือศาสนาตายตัวครับ แต่มีความเชื่อหลากหลาย สามารถแต่งงานแบบคริสต์หรือพุทธก็ได้ แต่ส่วนใหญ่พิธีศพจะประกอบพิธีแบบศาสนาพุทธครับ หากถามว่า คุณนับถือศาสนาอะไรในประเทศญี่ปุ่น ส่วนใหญ่จะตอบว่า ไม่ได้ถือศาสนาใด เป็นส่วนใหญ่เลยครับ
อาทิตย์นี้มาอัพเดทตรงเวลา // เฮ้
พรุ่งนี้ไรเตอร์ต้องส่งส่วนแรกของโปรเจคแล้วครับ //น้ำตาไหล
ขอบคุณทุกคนที่แวะเวียนเข้ามานะครับ
Raf Rafael
(58/09/06)
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ