ปมลิขิตรัก
เขียนโดย ลันตนา
วันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2558 เวลา 09.51 น.
แก้ไขเมื่อ 17 เมษายน พ.ศ. 2562 19.56 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) คนโรคจิต !!!
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ1/1
ฝุ่นควันของท่อไอเสียฟุ้งกระจายทั่วทุกหนแห่งบนถนนในย่านใจกลางเมือง บรรเลงด้วยเสียงแตรรถดังแข่งกันระงมบนถนนสายหลักของ ‘กรุงบราซิเลีย’ ยานพาหนะสี่ล้อและสองล้อหลากหลายยี่ห้อรอคอยสัญญาณแห่งการปลดปล่อย อากาศร้อนอบอ้าวในเวลาเที่ยงตรงบวกกับการจราจรแน่นหนาทำให้รถสามารถขยับได้เพียงทีละคืบนั้นสร้างความหงุดหงิดให้แก่ผู้ใช้รถใช้ถนนไม่น้อย
มือบอบางขาวเนียนทำหน้าที่แทนพัดชั่วคราวโบกสะบัดไปมาเพื่อบรรเทาความร้อนและปาดเช็ดหยดเหงื่อที่ชุ่มชื่นบนใบหน้าไปพร้อมกัน ส่วนมืออีกข้างที่ยังว่างเกาะยึดกับห่วงที่ห้อยลงมาจากเพดานของรถเมล์เนื่องจากเก้าอี้ทั้งหมดเต็มและความแออัดรอบกายทำให้เธอแทบกลายเป็นกล้วยทับ
‘ถ้าป๊าไม่ทำแบบนั้นสาไม่ทำแบบนี้หรอกค่ะ ขอโทษนะคะ’ ใบหน้ารูปไข่สลดลงอย่างสำนึกผิดเมื่อคิดถึงสาเหตุของการมาที่นี้ เธอนึกคิดอย่างเศร้าใจในความหวังดีของพ่อต้องทำให้เธอกลายเป็นลูกอกตัญญู เธอยอมทำตามทุกสิ่งอย่างที่ป๊าร้องขอแต่ยกเว้นเรื่องนี้เรื่องเดียวที่ไม่สามารถยอมได้จริงๆ
ในตอนนั้นร่างสูงใหญ่ของใครบางคนเดินขึ้นมาบนรถโดยสารประจำทางเพื่อโดยสารไปยังจุดมุ่งหมายพร้อมทั้งหวังหลบไอร้อนแสงแดดแรงกล้าจากข้างนอก ดวงตาคมหันมองซ้ายมองขวาเพื่อหาที่นั่งแต่ไม่มีเก้าอี้ว่างเขาจึงเดินไปที่ห่วงเพื่อหวังยึดเกาะ
เอี๊ยด...ดด
ชายหนุ่มขึ้นรถได้ไม่ถึงนาทีรถโดยสารประจำทางที่ตนโดยสารติดสัญญาณไฟจราจรเคลื่อนตัวออกได้เพียงคืบแล้วเบรกอย่างรวดเร็วเพราะเกรงจะชนคันข้างหน้า ส่งผลให้ร่างสูงใหญ่เสียการทรงตัวเซเข้าหาร่างบางของหญิงสาวที่ยืนข้างหน้า
“แก! แกจับก้นฉัน” ญาณิศาตะหวาดใส่หน้าชายหนุ่มนิรนามในชุดเสื้อยืดสีน้ำเงินกับกางเกงยืนสีซีดขาดแหว่งเป็นช่วงพร้อมยกมือขึ้นชี้หน้าคนลวนลาม ใบหน้าสวยหยักงอมาถึงบราซิลได้หนึ่งวันโดนทักทายเสียแล้ว
ผู้โดยสารทั้งคันรถหันมาสนใจจุดเกิดเหตุกันเป็นตาเดียวและยังมองไปที่คนถูกชี้หน้าเหมือนกับจะพูดว่าไอ้โรคจิตแต่ทุกคนได้แค่มองไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่งเกี่ยว คนก่อเหตุลวนลามยังทำหน้านิ่งจนคนถูกลวนลามโกรธจัดเมื่อเจอปฏิกิริยาเหมือนทองไม่รู้ร้อนของอีกฝ่าย
เอี๊ยด...ดด
รถเมล์เจ้ากรรมคันเดิมยังคงเคลื่อนที่เช่นเคยร่างสูงโผเข้าหาร่างเล็กตามจังหวะการเบรกของรถ จมูกโด่งเฉียดแก้มใสเพียงแค่เซนติเมตรมือใหญ่เผลอปล่อยจากห่วง
“ไอ้บ้า! แกจับหน้าอกฉัน ผัวะ!” ดวงกลมตาโตเบิกกว้างพร้อมฟาดกำปั้นน้อยบนแก้มหยาบของไอ้โรคจิตเต็มแรง พวงแก้มใสสองข้างแดงจัดเพราะความโกรธ ส่วนอีกฝ่ายที่ถูกหมัดยังคงมีปฏิกิริยาเช่นเดิมมีเพียงแววตาแข็งกร้าวเท่านั้นที่ส่งมา แต่คนโกรธจัดไม่สนใจแววตานั้น
สงครามประสาทเกิดขึ้นอย่างเงียบๆ ระหว่างชายหนุ่มแปลกหน้าชาวบราซิลใบหน้าของเขาเปื้อนหวดเคราและสาวน้อยนักท่องเที่ยวชาวไทยเชื้อสายจีนกำลังยืนส่งสายตาดุดันให้กับชายแปลกหน้า
“อย่างคุณน่ะมีให้จับเหรอ” หนุ่มนิรนามสำรวจร่างตรงหน้าอย่างพิจารณาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า “เอ๊ะ นี้คุณยืนหันหน้าเหรอ” ชายหนุ่มเหยียดยิ้มบาง สายตายังสำรวจและจินตนาการสัดส่วนใต้ร่มผ้า
“ไอ้บ้า ปากเสีย” ญาณิศาดึงกระเป๋าเป้ข้างหลังมาไว้ข้างหน้าเพราะสายตาโลมเลียไม่น่าไว้ใจของอีกฝ่าย
“เรื่องที่คุณต่อยผมเมื่อกี้ผมไม่เอาเรื่องก็แล้วกัน คุณเป็นนักท่องเที่ยวควรท่องเที่ยวอย่างสนุกและสบายใจ” เขายิ้มกริ่ม
“ทุเลศ! แกเป็นคนลวนลามฉันยังมีหน้ามาพูดแบนี้อีกเหรอ” นักท่องเที่ยวสาวจ้องใบหน้าเปื้อนหนวดอย่างเดือดจัด เธอไม่คิดเลยว่าผู้ชายพูดจาไร้มารยาทยังคงมีในโลก
“แค่อุบัติเหตุอย่าจริงจังนักสิ” เขายักไหล่ข้างเดียวอย่างไม่ยี่หระพร้อมกระชับเป้สะพายหลัง
“พูดได้สิแกไม่ใช้คนเสียหาย” เรียวปากสวยเหยียดยิ้ม “ฉันจะแจ้งตำรวจจับแก”
“ขอให้โชคดี” ชายหนุ่มนิรนามก้าวเดินลงจากรถเมื่อถึงที่หมายทิ้งให้นักท่องเที่ยวสาวยืนอ้าปากหวองงเป็นไก่ตาแตก
[สถานีตำรวจ]
“ฉันขอแจ้งความค่ะ” ญาณิศาพุ่งพรวดเข้ามาในสถานีร้องทุกข์ของประชาชน
“เชิญครับคุณผู้หญิง” นายตำรวจหนุ่มพูด
“ฉันโดนโจรโรคจิตลวนลามค่ะ”
นายตำรวจพยักหน้าพร้อมยิ้มรับ “ผู้ต้องหาละครับอยู่ไหนพามาด้วยหรือเปล่า คุณมีพยานไหมครับ”
“เอ่อ...” หญิงสาวครุ่นคิด “มันหนีไปแล้วส่วนพยาน...” พยานคือผู้โดยสารทั้งคันรถแล้ว เธอจะพามาจากไหนละ “ไม่มีพยานค่ะ” นักท่องเที่ยวสาวทำหน้าเจื่อนพร้อมส่ายศีรษะน้อยๆ นายตำรวจถอนหายใจและยิ้มบางๆ
เมื่อไม่มีพยานและผู้ต้องหาคุณตำรวจจึงให้ผู้เสียหายลงบันทึกประจำวันไว้เพื่อเป็นหลักฐานในการร้องทุกข์ พร้อมทั้งสอบถามรูปพรรณสัณฐานของโรคจิตตามที่ผู้เสียหายบอก
“ถ้ามีอะไรคืบหน้าเราจะแจ้งไปอีกทีครับ”
“ขอบคุณค่ะ” ผู้เสียหายยิ้มให้กับนายตำรวจก่อนขอตัวกลับ
‘ฮึ ไอ้โรคจิตแกโดนจับแน่!!’ ญาณิศาให้คำมั่นในใจ สองขาเรียวก้าวฉับๆเดินไปหารถประจำทางเพื่อโดยสารไปที่พัก
เหตุการณ์เมื่อวานยังคงตามหลอกหลอนไม่จางหายทั้งที่พยายามไม่นึกถึงอีก
‘เป็นบ้าอะไรของเธอเนี่ยยัยสาถูกลวนลามแล้วยังนึกถึงอยู่ได้’ ญาณิศานึกคิดอย่างหงุดหงิดใจ และด้วยเหตุเพราะความเครียดจึงทำให้นักท่องเที่ยวสาวต้องออกมาเดินเล่นกินลมชมทัศนียภาพของเมืองที่เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมอันทันสมัยของอาคารบ้านเรือน
สถานที่แรกในวันนี้คือพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ ตัวอาคารออกแบบเป็นรูปโดมขนาดใหญ่สีขาวทางเข้าออกแบบเป็นสะพานซีเมนต์ยาวสีขาว ภายในบอกเล่าเรื่องราวประวัติความเป็นมาของกรุงบราซิเลียตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและสิ่งของเครื่องใช้โบราณ
เท้าคู่สวยหุ้มด้วยรองเท้าผ้าใบสีน้ำเงินยี่ห้อยอดนิยมพาเจ้าของเดินเข้ามาอีกสถานที่ต่อมานั้นคือโบสถ์คริสต์ (The Cathedral of Brasilia) ซึ่งเป็นโบสถ์ประจำเมือง ถ้าหากมองเพียงผิวเผินไม่ทราบแน่ว่านี้คือศาสนสถานเพราะการออกแบบของสถาปนิกที่ออกแบบโบสถ์แห่งนี้ให้มีลักษณะคล้ายคบเพลิงภายในตกแต่งแบบโบสถ์คริสต์ทั่วไป รอบๆภายในตกแต่งด้วยรูปมนุษย์ปั้นสีขาว บนเพดานตกแต่งด้วยโมเสกสีฟ้ากับรูปปั้นนางฟ้าที่โบยบินราวกับมีชีวิตจริง
สถานที่ต่อมาซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากโบสถ์ประจำเมืองคืออาคารรัฐสภา (The National Congress of Brazil) ถ้าหากเป็นอาคารธรรมดาญาณิศาคงไม่คิดจะมาเยี่ยมชม แต่อาคารรัฐสภาที่นี่ถูกออกแบบให้เป็นตึกคู่ขนานสูงสง่าตั้งอยู่ระหว่างโดมคว่ำและหงาย หากมองดูแล้วมีลักษณะคล้ายจานสีขาวขนาดใหญ่และญาณิศาก็ไม่ลืมที่จะบันทึกภาพนี้ไว้เป็นที่ประทับใจ
ขณะนั้นบริเวณทางออกของตึกมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่ง กลุ่มคนตรงนั่นมีทั้งสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีแต่งกายด้วยชุดสูทสีสุภาพแบบสากล ญาณิศาคาดเดาว่าน่าจะเป็นผู้ที่มีตำแหน่งบริหารประเทศ ด้วยความที่เธอไม่เคยเห็นญาณิศาจึงยืนมองการให้สัมภาษณ์สดของสื่อมวลชนที่กำลังสัมภาษณ์คนกลุ่มคนตรงนั้นที่คาดว่าอายุอาจจะมากกว่าห้าสิบและภาพเบื้องหน้านั้นได้ถูกบันทึกลงในกล้องถ่ายภาพดิจิตอลส่วนตัวของเธอ กล้องถ่ายภาพคู่กายถ่ายภาพรถหรูยี่ห้อดังที่เรียงแถวรอรับผู้มีตำแหน่งบริหารประเทศ
ทันใดนั้นดวงตากลมโตสบเข้ากับชายร่างสูงใหญ่ผิวกร้านแดดสองคนในชุดเสื้อยืดสีดำกับกางเกงยืนหลบอยู่หลังต้นไม้ ถ้าหากเป็นคนทั่วไปเธอคงไม่ให้ความสนใจมากแต่ชายหนึ่งสองคนถือปืนยาวสีดำขลับส่วนอีกคนถือเครื่องมือสื่อสารแนบหู หลังจากชายคนหนึ่งเสร็จจากคุยธุระทางโทรศัพท์จึงสงสัญญาณให้กับชายอีกคน ตอนนั้นเองปลายอาวุธทรงกระบอกค่อยๆ ยกขึ้นเล็งไปยังกลุ่มคนดังกล่าวเบื้องหน้า
“ระวัง!!” นักท่องเที่ยวสาวตะโกนสุดเสียงเรียกความสนใจจากทุกคนมองมาที่เธอเป็นตาเดียว
ปัง!!
กรี๊ด..ดด!
“นายเรียกฉันมาเพราะเรื่องนี้” ชายหนุ่มร่างสูงทรุดร่างลงนั่งอย่างเหนื่อยใจ เรียวคิ้วเข้มขมวดแทบชนกัน
“โธ่ นายช่วยฉันหน่อยเถอะฉันไม่มีที่พึ่งแล้วจริงๆ” นายตำรวจหนุ่มแทบจะทรุดกายลงนั่งแทบเท้าเพื่อนหนุ่ม อดีตตำรวจที่สุดแสนใจแข็งไม่ยอมรับคำร้องขอ
“บ้านพักพยานของตำรวจละเมื่อไหร่จะปรับปรุงเสร็จ”
“อีกสักพักและตอนนี้กำลังหาที่ใหม่” นายตำรวจทรุดร่างลงนั่งบนเก้าอี้ข้างกายเพื่อน
“ทำไมต้องเป็นไร่ฉันละ” ชายหนุ่มใบหน้าเปื้อนเคราขยี้ศีรษะตัวเองจนยุ่งเหยิงไร่กาแฟแสนสงบดังสวรรค์ของเขาต้องมีเรื่องให้ปวดหัวเสียแล้ว
“เพราะไร่นายสงบ น่าอยู่ ปลอดภัยและวันนี้เป็นวันที่นายกลับจีเรสด้วย” นายตำรวจให้เหตุผลอย่างเอาใจเพื่อน
“เควินอย่าลืมสิว่าคดีนี้เกี่ยวข้องกับพ่อของนาย” นายตำรวจว่าจริงจังเพราะผู้ที่ถูกกล่าวถึงตอนนี้บาดเจ็บสาหัสและมือปืนยังลอยนวล
“และอีกอย่างท่านสารวัตไว้ใจนาย ท่านจึงติดต่อนายให้นายช่วยดูแลพยาน” เดฟบอก ก่อนคาร์ลอสจะลาออกจากการเป็นตำรวจคาร์ลอสได้รับหน้าที่ผู้คุ้มครองพยาน พอคาร์ลอสลาออกหันไปทำไร่กาแฟอย่างเต็มตัวท่านผู้กำกับยังคิดต่อขอให้คาร์ลอสช่วยดูแลพยานอีกด้วย
“แต่ฉันไม่ได้เป็นตำรวจแล้ว ฉันดูแลพยานไม่ได้” ชายหนุ่มพยายามหาข้อปฏิเสธ
เดฟปล่อยลมหายใจออก “ฉันเชื่อว่านายทำได้” เดฟยกมือขึ้นแตะไหล่เพื่อนหนุ่ม “ได้โปรดเถิด คิดเสียว่าทำเพื่อพ่อของนาย” นายตำรวจหนุ่มเว้าวอน คาร์ลอสผ่อนลมหายใจยาวตามองไปทางอื่น
“แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว”
คาร์ลอสปล่อยลมหายใจออกแรง “เพศอะไรละ” เจ้าของไร่กาแฟเอ่ย นี่คือครั้งแรกในการคุ้มครองพยานหลังจากลาออกจากราชการ นายตำรวจเดฟเผยยิ้มออก
“อยากรู้ก็ตามมาสิแต่ฉันขอบอกอย่างหนึ่งว่าเธอน่ารักมาก” นายตำรวจหนุ่มทำหน้าเคลิ้มฝัน ชายหนุ่มเจ้าของไรเคราเปื้อนใบหน้าพอจะเดาได้ว่าคือผู้หญิงแต่เป็นหญิงจริงหรือปลอมต้องเห็นตัวจริง
นายตำรวจหนุ่มเดินนำเพื่อนเข้ามาในห้องห้องหนึ่งเมื่อเปิดประตูเข้าไปเห็นร่างหนึ่งนั่งหันหลังให้กับประตู ตรงหน้าของชายหนุ่มทั้งสองคือร่างสูงเพรียวของหญิงสาวคนหนึ่งเจ้าเรือนผมดัดลอนสีช็อกโกแลตยาวถึงกลางหลังดึงดูดสายตาให้ชวนมองยิ่งนัก ยามเรือนผมต้องกับแสงไฟทำให้สีผมเปล่งประกายงดงามชวนหลงใหล
“คุณครับผู้ที่จะทำหน้าที่คุ้มครองคุณมาแล้วครับ” นายตำรวจหนุ่มเอ่ยอย่างสุภาพ หญิงสาวผู้ถูกกล่าวถึงค่อยๆยันร่างลุกยืนก่อนจะหันมาประจันหน้ากับชายหนุ่มเบื้องหลังทั้งสองคน
1/2
“คุณครับผู้ที่จะทำหน้าที่คุ้มครองคุณมาแล้วครับ” นายตำรวจหนุ่มเอ่ยอย่างสุภาพ หญิงสาวผู้ถูกกล่าวถึงค่อยๆ ยันร่างลุกยืนก่อนจะหันมาประจันหน้ากับชายหนุ่มเบื้องหลังทั้งสองคน
ร่างบางในชุดลำลองเสื้อยืดกางเกงยีนหันมาประจันหน้ากับสองหนุ่ม ใบหน้ารูปไข่ขาวเนียนปกปิดด้วยกรอบแว่นกันแดดสีชาดวงตากลมโตใต้กรอบแว่นหนามองผ่านเลนส์สีชา เธอทราบว่าร่างของชายคนหนึ่งคือนายตำรวจที่เธอเพิ่งพบเมื่อสักพักก่อนหน้านี้และร่างสูงอีกร่างคือผู้ที่จะคุ้มครองเธอ คันแว่นถูกดึงออกช้าๆ เพื่อต้องการมองชายหนุ่มคนใหม่ให้ชัดเจนมากขึ้น
‘ไม่จริง ฉันตาฝาดใช่มั้ย!’ พยานสาวสะบัดศีรษะขับไล่ภาพเบื้องหน้าที่อยู่ในสายตาแต่พอตั้งใจมองอีกครั้งภาพนั้นยังคงเหมือนเดิมและชัดเจน
‘นี้มันอะไรกันวะเนี่ย’ ผู้คุ้มครองพยานถอนหายใจหนักหน่วงจนเพื่อนตกใจ นายตำรวจหนุ่มรู้สึกอึดอัดกับสายตาของคนทั้งสอง
“เอ่อ คุณญาณิศาครับนี้คือคุณคาร์ลอส มาร์วิลสัน เขาจะเป็นผู้คุ้มครองคุณครับ เควินนั้นคือคุณญาณิศา พิพัฒนาเมธี พยานปากสำคัญในคดีที่นายจะต้องเป็นผู้คุ้มครอง” นายตำรวจหนุ่มแนะนำให้ต่างคนได้รูจักกันเสร็จจึงยิ้มให้ทั้งสองคนเพื่อเป็นการผ่อนคลายความตึงเครียดซึ่งในขณะนี้พยานสาวและผู้คุ้มครองพยานไม่มีการทักทายซึ่งกันและกัน
“คุณตำรวจคะฉันขอแจ้งความนายคนนี้แหละที่เป็นคนลวนลามฉันเมื่อวาน”
เหตุการณ์กลับตาลาปัดเมื่อพยานสาวขอแจ้งความจับผู้คุ้มครอง นายตำรวจหนุ่มจึงนึกได้ว่าเธอเคยมาแจ้งความเมื่อวานแต่ไม่สามารถจับคนร้ายได้และให้เธอลงบันทึกประจำวัน มาวันนี้โจรโรคจิตเปลี่ยนสถานะเป็นผู้คุ้มครองพยานเสียแล้ว คนถูกข้อหาโจรโรคจิตยืนนิ่งเหมือนต้นไม้ใหญ่ไม่สนใจสภาพแวดล้อม วันนี้เป็นวันดวงซวยแห่งชาติของคาร์ลอสหรือเปล่า
“เดฟ ฉันก็ขอแจ้งความข้อหาถูกทำร้ายร่างกาย” ชายหนุ่มเจ้าของนามคาร์ลอส มาร์วิลสันแจ้งหน้าตายดวงตาแข็งกร้าวจ้องมองหญิงสาว นายตำรวจชื่อเดฟออกอาการน้ำท่วมปากเมื่อต่างคนต่างแจ้งความใส่กัน
“เอาอย่างนี้นะครับ คุณญาณิศาเรื่องการแจ้งความของคุณเราดำเนินการแน่นอน ส่วนนายเควินเมื่อวานนายถูกแจ้งข้อหาลวนลามเพราะฉะนั้นนายจะต้องถูกดำเนินคดีแต่จะได้ลดโทษเพราะนายเป็นผู้คุ้มครองพยานให้กับเรา” นายตำรวจเดฟพูดยืดยาวซึ่งทำให้ญาณิศาเบาใจลงบ้างแต่ถ้าไอ้โรคจิตถูกยัดเข้าตารางมันจะสะใจเธอมากกว่านี้
“เรื่องที่ฉันลวนลามเธอมันเป็นอุบัติเหตุฉันไม่ได้ตั้งใจ” คาร์ลอสโต้กลับอย่างเชื่อมั่นในตัวเอง แต่เพื่อนตำรวจไม่ปักใจเชื่อและคิดว่านั้นคือข้อแก้ตัวของผู้ต้องหา
“ยังไงนายต้องถูกดำเนินคดีแต่ลดจากติดคุกเป็นจ่ายค่าปรับ ส่วนคุณญาณิศาคุณทำร้ายเขายังไงครับ” หญิงสาวเสมองไปทางอื่น
‘ติดคุก’ คาร์ลอสได้แต่ถามตัวเองในใจ อดีตที่เลวร้ายมันยากเหลือเกินที่จะลบทิ้งต่อให้ผ่านมาแล้วเนิ่นนาน
“ต่อยหน้ามัน” ญาณิศาตอบห้วนสั้นแล้วยังสะบัดดวงตาหวานวาวโรจน์ไปยังผู้ต้องหา ‘ชิ! แค่จ่ายค่าปรับเหรอมันน่าจับยัดตารางซะให้เข็ด’ ผู้หญิงคนเดียวในห้องได้แต่โววายในใจแต่ตาจ้องนายโรคจิตเขม็ง
เดฟจึงได้ข้อสรุปและพาทั้งสองไปดำเนินคดีตามกฎหมาย คาร์ลอสจ่ายค่าปรับเป็นเงินจำนวนหนึ่งและญาณิศาก็ต้องจ่ายค่าปรับเช่นกัน
“อย่าลืมพาเธอมาตามที่ตำรวจนัดด้วยนะครับ” นายตำรวจเดฟกำชับ เพื่อนหนุ่มพยักหน้าแทนคำพูด
“คุณจะไปไหน” คาร์ลอสถามเมื่อหญิงสาวก้าวขาขึ้นรถของโรงพักซึ่งจะพาเธอไปส่งจุดหมายปลายทาง
“กลับโรงแรมสิ” ญาณิศาตอบเสียงสะบัดก่อนกระแทกเท้าขึ้นรถตามมาด้วยเจ้าของชื่อคาร์ลอสก้าวขาขึ้นรถตาม
“อย่าเบียดฉันเซ่” มือเรียวดันแขนของชายหนุ่มห่างออก
“หึ คิดว่าผมอยากเบียดคุณนักหรือไง ที่นั่งมีนิดเดียวอดทนหน่อยสิ” ญาณิศาหมุนลูกกะตาสำรวจที่นักพบว่ามีนายตำรวจร่างท่วมนั่งปิดประตูอีกฝั่งทำให้ที่นั่งที่เคยกว้างแคบลงทันตา ญาณิศาเห็นดังนั้นจึงไม่ปริปากพูดสิ่งใดกลับทำได้เพียงแบะหน้าใส่คนตัวสูงจนกระทั่งถึงที่พัก
“ไม่ต้องทำหน้าที่ผู้คุ้มครองมากนักหรอก” พอลงจากรถเธอรู้สึกถึงเสียงฝีเท้าที่เดินตามหลังเธอจึงหันไปแว๊ดใส่
“คุณคิดว่าผมอยากทำนักเหรอ ผมยอมเป็นผู้คุ้มครองคุณเพราะคดีนี้มันเกี่ยวกับพ่อของผม” ชายหนุ่มมองดวงหน้าเล็กนิ่ง เขาเหนื่อยที่จะต้องดูแลคุ้มครองพยานปากสำคัญ เกลียดการตามติด เกลียดการที่ต้องคุ้มครองคนสำคัญ
“ถึงที่พักของฉันแล้ว ฉันจะไปเก็บของส่วนนายจะไปไหนก็ไปเถอะ” เมื่อไม่มีอะไรจะพูดต่อญาณิศาจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาแต่ยังวางท่ามาดมั่น สิ่งที่เขาพูดเป็นความจริงหากเป็นเธอคงจะทำเช่นนี้เหมือนกัน
“จะให้ผมไปไหน ถึงที่พักของผมเหมือนกัน” ญาณิศาหันรีหันขวางซ้ายมือคือซุปเปอร์มาเก็ตส่วนขวามือคือสวนสาธารณะ
“อ้อ...เหรอ ฉันคิดว่านายนอนในสวนสาธารณะ” ญาณิศาเชิดหน้ากอดอก
“ถ้าผมนอนในสวนสาธารณะคุณคงนอนห้องน้ำสาธารณะสินะ”
ประโยคยียวนของชายหนุ่มชวนให้ระบบประสาทมันโมโห ญาณิศาอยากกดเล็บขยุ้มหน้าผู้คุ้มครองจริงๆ ผู้ชายอะไรปากร้ายเหลือทน นี้หรือคำพูดที่ใช้กับสุภาพสตรี
“ผมให้เวลาคุณห้านาทีในการเก็บกระเป๋าถ้าภายในห้านาทีคุณยังเก็บไม่เสร็จผมทิ้งคุณแน่” เสียงเข้มว่าจริงจัง จบประโยคขาเพรียวยาวก้าวฉับๆ เข้าลิฟต์เพื่อไปยังห้องพักของตนเอง คล้อยหลังนั้นเป็นร่างเล็กที่วิ่งตาม
“นายกะล่อนห้านาทีไม่พอหรอกยะ” เธอแย้ง ห้านาทีของเธอยังเก็บของได้เพียงครึ่งเดียวคาร์ลอสยังคงยืนฟังคนเสียงแหลมนิ่งเฉยจนกระทั่งถึงที่หมายเขาจึงก้าวขาออกจากห้องสี่เหลี่ยมโลหะตามหลังด้วยร่างระหงษ์ที่ซอยเท้าวิ่งตาม
“ห้านาทีคือห้านาที อ้อ...ผมชื่อคาร์ลอสกรุณาเรียกให้ถูกด้วย” ชายหนุ่มกำชับเสียงเข้มก่อนเสียบคีย์การ์ดและเปิดประตูเข้าห้อง ญาณิศาอ้าปากจะคัดค้านแต่ช้าไปเสียแล้ว
‘ห้านาทีเหรอ เชอะ!’ เจ้าของใบหน้ารูปไข่เชิดใส่บานประตูห้องของผู้คุ้มครองที่ปิดสนิท แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งเมื่อเธอสังเกตเห็นและนึกเอะใจเมื่อมองบนบานประตู
“ห้องนายนั้น9410 ห้องของฉัน 9409” มือเล็กยกป้องปาก หัวใจดวงน้อยแทบหลุดลงไปกองที่ตาตุ่ม ญาณิศาคิดว่าถ้าเธอมีแรงเท่าซุปเปอร์แมนเธออยากจะยกโรงแรมทั้งตึกคว้างออกนอกโลก นายโรคจิตอยู่ใกล้จมูกแท้ๆ แต่เธอไม่รู้ตัวเลย ‘ฮึ่ย เจ็บใจนัก!’ สาวน้อยสบถในใจก่อนสาวเท้าเข้าห้องตัวเอง
เจ้าของห้อง410 ทิ้งร่างสูงใหญ่ลงบนโซฟากำมะหยี่สีน้ำตาล สมองขบคิดถึงพยานสาวที่เขาต้องทำหน้าที่คุ้มครอง หญิงสาวที่เขาได้พบเจอในครั้งแรกบนรถโดยสาร เธอทั้งชี้หน้าและตบเขาในที่สาธารณะ ผ่านมาอีกหนึ่งวันเขาพบเธอในฐานะพยานปากสำคัญ
“ถึงเวลาแห่งความวุ่นวายแล้วสิ” คาร์ลอสทำใจรับชะตากรรม ชายหนุ่มหยัดร่างลุกยืนเต็มความสูงก่อนจะเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า
เจ้าของห้อง409 ทิ้งร่างแบบบางลงบนเตียงกว้าง ร่างกายนอนเหยียดยาวสงบนิ่งมีแต่หัวใจและสมองเท่านั้นที่ยังทำงาน เมื่อกฎหมายลงโทษเขาไม่สาสมแก่ใจเธอจึงคิดหาทางเอาคืนด้วยตัวเอง สมองน้อยขบคิดหาวิธีหลายนาทีคำตอบเพียงหนึ่งเดียวที่ได้
ญาณิศาทำได้เพียงมุ่ยหน้าเพราะคิดอะไรไม่ได้ แต่ยังมีอีกสิ่งหนึ่งซึ่งแล่นเข้ามาในความคิดนั่นคือสถานะที่เปลี่ยนไปในขณะนี่มันกะทันจนเธอตั้งตัวไม่ทันและอีกใจหนึ่งรู้กลัวเพราะไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรกับสถานะที่แสนกดดันนี้บ้าง
ก๊อกๆๆ... กริ๊งๆๆ...
กำปั้นใหญ่รัวเคาะประตูห้อง409 สลับกับกดกริ่งนานเป็นนาทีแต่ไร้ซึ่งเสียงตอบกลับจากภายใน เสียงหน้าประตูแล่นเข้าสู้โสตประสาทของคนในห้องทำให้หญิงสาวต้องลุกออกจากเตียงด้วยความงัวเงีย
“ทำไมเปิดประตูช้าทำอะไรอยู่” เสียงเข้มพูดห้วนจัด ดวงตาคมเฉี่ยวสองคู่สำรวจร่างบางตรงหน้าตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
“ฉันทำจะอะไรมันก็เรื่องของฉัน” ญาณิศาตอบเสียงสะบัดดวงตากลมโตจ้องมองผู้มาเยือนอย่างเย่อหยิ่ง
“คุณเก็บกระเป๋าเสร็จหรือยัง” คาร์ลอสถามเสียงเรียบและแอบมองผ่านเข้าไปในห้องของเธอ ญาณิศาเงียบพร้อมนิ่งคิดเธอมองหน้าเขาสะลับกับมองเข้าไปในห้องอย่างอึกอักก่อนตอบ
1/3
“คุณเก็บกระเป๋าเสร็จหรือยัง” คาร์ลอสถามเสียงเรียบและแอบมองผ่านเข้าไปในห้องของเธอ ญาณิศาเงียบพร้อมนิ่งคิดเธอมองหน้าเขาสะลับกับมองเข้าไปในห้องอย่างอึกอักก่อนตอบ
“ใกล้แล้ว” พยานสาวตอบเสียงห้วนจัดก่อนกลับหลังหันและปิดประตูแต่ชายหนุ่มไวกว่าเขาดันบานประตูไว้ก่อนสอดร่างเข้าไปยืนตัวตรงในห้อง409 ทำเอาเจ้าของห้องอ้าปากค้าง
“เสียมารยาทนายถือสิทธิ์อะไรมิทราบ” สาวน้อยแหวดเสียงแหลมใส่คนตัวสูงที่กำลังหันซ้ายหันขวาสำรวจห้องจนสายตาสบกับกระเป๋าเดินทางใบใหญ่เปิดอ้าอยู่ข้างตู้เสื้อผ้า
“สิทธิ์ของผู้คุ้มครอง ไหนละที่บอกว่าใกล้เสร็จ” สายตาคมกริบตวัดมาหาพยานสาวที่กำลังยืนทำหน้าไม่รู้ร้อน
“ใครบอกนายละว่าฉันใกล้เสร็จฉันใกล้เริ่มต่างหาก” ว่าจบพยานสาวสะบัดร่างไปทางตู้เสื้อผ้า เท้าเล็กไม่ทันก้าวได้ก้าวแรกมือหนาคว้าต้นแขนเล็กกระตุกนิดเดียวร่างเล็กเซถลาชนกับแผงอกกว้าง จนญาณิศาต้องยกมือขึ้นลูบหน้าผากปอยๆ
“ปล่อย ฉันเจ็บ!” เธอตวาดใส่เพราะฝ่ามือหนาบีบรัดต้นแขนเธอจนปวดระบม ญาณิศาพยายามแกะฝ่ามือเหนียวหนึบออกเท่าไหร่เขายิ่งบีบแรงขึ้นเท่าตัว ดวงตาคมกริบจับจ้องดวงหน้าหวานแข็งกร้าวจนคนถูกจ้องตัวสั่นน้อยๆ
“ผมไม่ใช่เพื่อนเล่นของคุณอยู่ในฐานะใดกรุณาทำตามคำสั่งเสียด้วย” เสียงแข็งกร้าวว่าจบผลักร่างบางลงบนเตียงกว้างตามมาด้วยร่างหนาของผู้คุ้มครองขึ้นมาทาบทับ ญาณิศาเริ่มไม่ไว้วางใจกับอาการของผู้คุ้มครอง ในตาสีน้ำตาลสั่นระริก หญิงสาวเตรียมตัวตั้งหลักถอยหนีแต่มือคู่เล็กถูกรวบด้วยมือใหญ่ข้างเดียวไว้เหนือศีรษะ
“ถ้าไม่ทำตามอย่าหาว่าผมไม่เตือนนะสาวน้อย” ใบหน้าคมโน้มต่ำลงมาใกล้ใบหน้าหวานเรื่อยๆ ญาณิศาหลับตาปี๋สัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นรดรินข้างแก้มที่ใกล้เข้ามาจนเกือบสัมผัสผิว ทันใดนั้นชายหนุ่มถอนใบหน้าออกเพราะสิ่งหนึ่งในใจร้องเตือน ภาพอดีตที่ทำให้เขาต้องกลายเป็นคนผิดไปเพียงข้ามคืน
“รีบเก็บของซะผมต้องไปโรงพยาบาลต่อ” เขาปรับสีหน้าให้เรียบขรึมและหันหน้าไปอีกทาง หญิงสาวงวยงงกับอาการที่เขาเป็น อะไรของเขาเดี๋ยวดุเดี๋ยวเงียบ
“ยังไม่รีบไปอีกหรือจะรอให้ผมช่วยเก็บ” ร่างสูงกระเถิบเข้าใกล้คนตัวเล็กที่กำลังปั้นหน้างงกับอะไรบางอย่างแต่แล้วญาณิศาต้องกระเด้งตัวลุกขึ้นยืนเมื่อร่างสูงที่กระเถิบเข้าใกล้ เธอแลบลิ้นใส่เขาทีหนึ่งก่อนจะวิ่งไปเก็บของ
อากับกิริยาที่ของเธอนั้นทำให้หัวใจของเขาเต้นแปลกไป ‘มันคือความรู้สึกอะไร มันมาจากไหน’ นั้นคือคำถามที่คาร์ลอสคิดในใจแต่ยังหาคำตอบไม่ได้ เขาต้องรีบปัดมันทิ้งเพราะกลัวความใจอ่อนและหวั่นไหวของตัวเองจะครอบงำทำให้หลงผิด
ชายหนุ่มมองเจ้าของแผ่นหลังเล็ก คาร์ลอสคอยเฝ้าสังเกตว่าเธอแอบอู้หรือไม่ พร้อมกันนั้นพิจารณารูปร่างสมส่วนของหญิงสาววัยประมาณยี่สิบสี่ ส่วนเว้าส่วนโค้งที่แอบซ้อนอยู่ใต้ร่มผ้าของเสื้อยืดคอวีสีชมพู ยามเธอเขย่งเท้าขึ้นหยิบเสื้อผ้าในตู้ชายเสื้อข้างหลังโผล่พ้นขอบกางเกงยีนรัดรูปขับให้เห็นส่วนโค้งเว้าของเอวเล็กคอดทางด้านหลังได้อย่างชัดเจน ผิวขาวเนียนดุจน้ำนมทำให้เขาต้องกลืนน้ำลายลงคออย่างห้ามไม่ได้ ผิวสีน้ำนมตรงหน้าสามารถตรึงสายเขาให้อยู่แต่พิกัดเดิมนานเท่าไหร่มิอาจทราบได้ และสะโพกกลมกลึงได้สัดส่วนภายใต้กางเกงยืนรัดรูปสีเข้มเคลื่อนไหวไปมาตามจังหวะการเดินดูดีไม่น้อยเช่นกัน
“มองอะไร” เจ้าของเรือนร่างที่คาร์ลอสแอบสำรวจแผดเสียงแหลมใส่เมื่อหันกลับหลังหันจากเก็บของเสร็จพบว่าเขามองเธออย่างไม่วางตา เสียงแหลมทำให้เขาหลุดออกจากภวังค์ คาร์ลอสแสร้งมองไปทางอื่นทำไม่รู้ไม้ชี้
“อย่างคุณน่ะมีอะไรให้มองด้วยเหรอ” ชายหนุ่มว่าอย่างไม่แยแสเท่าไหร่ทั้งที่เมื่อครู่น้ำมันแทบไหลจากตาทั้งสองข้าง คนฟังถลึงตาโตใส่
“แบนๆ ทื่อๆอย่างคุณคงจะเป็น...” คาร์ลอสเว้นระยะดวงตาสำรวจร่างงามตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า “ผู้ชายแปลงเพศสินะ ไม่น่าละท่าทางดูถึงเก่งก้าง ถึกๆ” คาร์ลอสว่ายิ้มเยาะ เขาพยายามขับไล่อารมณ์บางอย่างที่กำลังก่อตัวขึ้นเงียบๆ ในสมอง ญาณิศาหายใจเข้าเต็มปอด สองมือน้อยอยากประเคนหมัดใส่ใบหน้าคมเข้มอีกสักครั้งให้หายแค้น
‘ฮึ ฉันน่ะซ่อนรูปนะยะ’ เธอขบกรามพูดในใจ เรียวปากโค้งได้รูปเหมือนคันสรบิดขึ้นเล็กน้อย “ไอ้โรคจิต” ว่าจบเท้าคู่สวยที่หุ้มด้วยรองเท้าผ้าใบเดินกระแทกพื้นปึงปังออกนอกห้องทันทีโดยไม่หันกลับไปมองคนข้างใน
คาร์ลอสชายหนุ่มเจ้าของไร้กาแฟใหญ่ติดอันดับต้นๆของประเทศต้องคุมคนงานในไร้กว่าร้อยชีวิต ควบคุมธุรกิจการผลิตและส่งออกกาแฟทั้งในประเทศและต่างประเทศทั้งหมด ไม่มีใครคนไหนในความควบคุมกล้าพูดล้อเล่นกับคนเอาจริงเอาจังทุกเรื่องอย่างเขา คาร์ลอสแค่ปรายดวงตาคมกริบมนุษย์ในความควบคุมทั้งหมดถึงกับเสียวไปถึงกระดูกสันหลังชั้นใน แต่กับหญิงสาวคนนี้เธอไม่สะทกสะท้าน
ทันทีคาร์ลอสและญาณิศาเช็คเอาท์จากโรงแรมจึงมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาทที่พ่อของคาร์ลอสเข้าพักรักษาตัวหลังจากเหตุการณ์ถูกลอบยิงเมื่อช่วงเที่ยง
เดวิด มาร์วิลสันวัยหกสิบตอนต้นมีชีวิตอยู่ในวงการการเมืองมากกว่าสามสิบปี ชายผู้มีอุดมการณ์ในการมุ่งมั่นสงเสริมอุตสาหกรรมการผลิตกาแฟ มีอยู่ช่วงหนึ่งเขาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ เขาได้เข้าไปขัดขวางการโกงราคากาแฟจากพ่อค้าคนกลางรายใหญ่รายหนึ่งที่กดราคาลงต่ำจนผู้ขายส่วนใหญ่ต้องออกมาประท้วงและหลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้ชีวิตของเขาต้องถูกปองร้ายมาโดยตลอด
คาร์ลอสตัดสินใจนำตัวบิดาไปพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลในจีเรส อย่างน้อยเขาก็อุ่นใจที่ท่านได้อยู่ใกล้หูใกล้ตา เสร็จจากทำเรื่องขอย้ายตัวผู้ป่วยผู้คุ้มครองหนุ่มและพยานสาวเดินทางไปยังจีเรส
ด้ามของอาวุธสังหารถูกฟาดเข้าที่ขมับของร่างสูงใหญ่ผิวคล้ำแดดจนเซล้มลงไปนอนกองกับพื้นอย่างหมดท่า
“ทำงานประสาอะไรวะของง่ายๆ แค่นี้ยังพลาด” เสียงทรงอำนาจและพลังตะหวาดใส่มือปืนรับจ้างที่กำลังยันร่างลุกขึ้นนั่งมือข้างหนึ่งจับศีรษะข้างที่รู้สึกเจ็บแปลบและมีของเหลวสีแดงสดไหลซึม
“นายครับมันเกือบสำเร็จแล้วนะครับแต่ไม่รู้มีผู้หญิงมาจากไหนมาขัดจังหวะ” มือปืนรับจ้างเอ่ยกับ ‘เจ้านายใหญ่’ ในตอนนั้นขณะที่มือปืนหนึ่งในสองกำลังยกปากกระบอกอาวุธขึ้นเล็งก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นรบกวนสมาธิจนทำให้พลาดเป้าและพวกเขาพยายามยิงหญิงสาวแต่ถูกหน่วยรักษาความปลอดภัยไล่ล่า เจ้านายใหญ่ฟาดหมัดเข้าใบหน้าคล้ำกร้านแดดหนักหน่วง
“เพื่อนแกอีกคนอยู่ไหน”
“มันหนีไปแล้วครับนายมันกลัวนายจะฆ่าก็เลยหนี”
“แกไม่กลัวฉันฆ่าเหรอ” ชายหนุ่มหยักยิ้มข้างเดียว
“กลัวแต่ผมอยากได้เงินผมจะมาขอเงินครึ่งหนึ่งจากค่าจ้าง”
“ทำงานไม่สำเร็จแต่อยากได้เงินครึ่งหนึ่งเหรอ...ครึ่งเดียวจะพอยาไส้อะไรฉันให้หมดเลยดีมั้ย”
มือปืนหนุ่มยิ้มเหยเกพร้อมพยักหน้าแม้รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยกับคำพูดของเจ้านายซึ่งต่างผู้จ้างวานคนอื่นแต่เขาไม่คิดใส่ใจเพราะตอนนี้มีเงินอย่างเดียวที่อยู่ในความคิด ทันใดนั่นซองสีน้ำตาลถูกโยนมาหล่นตรงหน้า เขารีบคว้ามันมาและบอกขอบคุณอย่างเร่งร้อน ร่างสูงวิ่งพ้นบานประตูไปได้ไม่ไกลก็ล้มฟุบนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น
“ทำความสะอาดซะ” เสียงเจ้านายใหญ่ออกคำสั่ง ทันใดนั่นลูกสมุนของเขาก็จัดการพาร่างไร้วิญญาณไปจัดการอย่างที่เคยทำ
“นายใหญ่จะทำยังไงต่อครับ” อาซิสสมุนมือขวาหนุ่มมองร่างไร้วิญญาณก่อนถาม
“ไอ้หมอนั้นบอกว่าคนเห็นเหตุการณ์เป็นผู้หญิงฉันคิดว่าเธอน่าจะเป็นพยาน บางทีฉันอาจมีโอกาสได้เห็นหน้าเธอ” เจ้านายใหญ่ยิ้มกรุ่มกริ่ม ลูกน้องมือขวารู้ดีว่าเจ้านายใหญ่กำลังคิดอะไร
“ตามหามือปืนอีกคนให้พบก่อนตำรวจและนายไปสืบให้ฉันว่าพยานเป็นใคร” ลูกน้องหนุ่มผู้ซึ่งเป็นมือขวาของนายให้ยิ้มและโค้งรับคำสั่งก่อนเดินออกไป
นกเหล็กยักษ์ลำใหญ่บรรทุกผู้โดยสารเต็มลำลงจอดสู่ท่าอากาศยานท้องถิ่นของจีเรสทันใดผู้โดยสารต่างทยอยออกจากเครื่อง คาร์ลอสและญาณิศาหนึ่งในผู้โดยสารในเที่ยวบินนี้ก็เช่นกัน ขาเพรียวยาวใต้กางเกงยีนส์พอดีตัวก้าวยาวๆไปทางชายหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังยืนโบกมือหยอยๆ และเขาไม่คิดสนใจหญิงสาวข้างหลังที่กำลังกึ่งวิ่งกึ่งเดินตาม
ตุ้บ!
“นี่นายถ้าหยุดเดินก็บอกกันบ้างสิ” เสียงหวานแผดใส่คนตรงหน้า มือขาวเนียนยกขึ้นลูบหน้าผากปอยๆ ก่อนจะส่งสายตาเขียวปัดแต่ต้องหยุดลงเพราะคนตรงหน้าไม่ใช้ผู้คุ้มครอง
รูปหน้าสามเหลี่ยมภายใต้กลุ่มผมสีดำสนิทตัดเป็นทรงทันสมัย นัยน์ตาสีเดียวกับสีผมแลดูเข้มแต่อ่อนโยน จมูกโด่งเป็นสันกับริมฝีปากบางได้รูป ชายหนุ่มคนนี้เป็นใครกันหนอ
“ขอโทษค่ะ” หญิงสาวยกมือขึ้นไหว้ขอลุกแก่โทษใบหน้าเล็กก้มงุดหนี ชายหนุ่มแปลกหน้ายิ้มจางๆ กับอากัปกิริยาของหญิงสาวหน้าหวานผิวพรรณขาวเนียนประดุจน้ำนม
“ไม่เป็นไรครับว่าแต่คุณจะรีบไปไหน” ชายหนุ่มถามเธอเป็นภาษาอังกฤษเพราะเดาว่าเธอน่าจะเป็นชาวต่างชาติเพราะสีผิวโดดเด่นกว่าคนท้องถิ่นและเค้าโครงใบหน้าที่เป็นไปไม่ได้ว่าจะเป็นชาวอเมริกาใต้ ญาณิศาเงยหน้าขึ้นแล้วหันไปทางที่ผู้คุ้มตรองหนุ่มเดินหายไป เรียวปากบางสีกุหลาบบิดขึ้นอย่างเจ็บใจ
“รีบวิ่งตามคนบ้าน่ะสิคะ ” ญาณิศายกแขนขึ้นกอดอกเรียวปากได้รูปยังคงหยักงอ ชายหนุ่มแปลกหน้าอมยิ้มกับความน่ารักของสาวแปลกหน้า
คนบ้าเนี่ยใครครับ” เขาถามอย่างใคร่รู้และอีกอย่างคืออยากชวนเธอคุย
“ไอ้คนบ้าลามกไอ้คนหน้าเดียว” สาวชาวต่างชาติตอบทั้งยังกอดอก หายใจฟึดฟัด
‘เธอเป็นใครกันนะ’ เขาคิดในใจ “คุณกำลังจะไปไหน” เขาถามอย่างเป็นมิตรกับสาวชาวต่างชาติพร้อมส่งรอยยิ้มหวานให้เธอ รอยยิ้มที่เหมือนกับเชื่อติดต่อที่ใครได้รับแล้วต้องเป็นตามความมากน้อยของเชื้อ
**************************************************
นิยายเรื่องนี้แต่งขึ้นจากจินตนาการผู้เขียน เพื่อทำความฝันของ นัก(อยาก)เขียน
ให้สำเร็จ ด้วยการลงมือเขียน เขียนแล้วอยากแบ่งปันให้เพื่อนๆ นักอ่าน
เพื่อสร้างความสนุก ความบันเทิงให้กับนักอ่านที่น่ารักทุกคน
ทั้งนี้...มิได้มีเจตนาพาดพิงผู้ใดโดยมิได้ตั้งใจ ตัวละครมิได้มีตัวตนอยู่จริงๆ
และบุคคลในภาพก็มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับงานเขียนชิ้นนี้
หากชื่อตัวละครชื่อพ้องกับชื่อผู้ใด ทางผู้เขียนก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ
ขอขอบพระคุณในการติดตาม ^^
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ