10 Events เหตุลึกลับ

-

เขียนโดย Penandnote

วันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2558 เวลา 18.24 น.

  2 chapter
  1 วิจารณ์
  4,685 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 13 มีนาคม พ.ศ. 2558 18.38 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) ผีผู้อำนวยการ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ผีผู้อำนวยการ

               

                เสียงของโทรทัศน์ในโรงพยาบาลดังลั่นกระจายเสียงทุกทั่วสาระทิศ...

                เด็กสาวน่าตาจิ้มลิ้มเดินมาอย่างเศร้าหมอง  แต่งตัวน่าเอ็นดูมิดชิด ผมยาวประบ่า เธอกรอกสายตาไปมา  สุดท้ายในหัวเธอต้องตัดสินใจเดินเข้าไปถามที่เคาท์เตอร์พยาบาล  ดูแล้วเหมือนนางพยาบาลที่ประจำเวรอยู่ดูจะไม่ค่อยสนใจเธอเท่าไร  แต่เธอก็ต้องเรียกร้องจนได้

                “ขอโทษนะคะ  นายกันตกร  นวฤาพลาย  พักอยู่ห้องไหนคะ?”  เธอถามเสียงใส  นางพยาบาลฟังแล้วก็เปิดดูเอกสารผู้ป่วยที่เข้ามารักษาบำบัดที่โรงพยาบาลนี้

                “คุณกันตกรพักอยู่ที่อาคารเจ็ดห้องที่ห้าศูนย์สี่ค่ะ”  นางพยาบาลตอบ

                “ขอบคุณค่ะ”  อย่างน้อยเธอก็ไม่ลืมที่จะกล่าว  เธอเดินตรงไปเป้าหมายที่ได้มา  สายตามองไปที่โทรทัศน์ตอนนี้ปรากฎเป็นข่าวเรื่องการเกิดฆาตกรรมผู้อำนวยการ  พ่อของเธอ  ดูนางพยาบาลจะให้ความสนใจกับข่าวนี้เป็นพิเศษ

                ระหว่างนั้นเพื่อที่จะไปเฝ้าแฟนหนุ่มของเธอ ในหัวฉายภาพลำดับเหตุการณ์  เรื่องการตายของพ่อ ทำให้เธอต้องพยายามกั้นน้ำตาที่พยายามจะไหลออกมา  พ่อเธอไม่อยู่ต้องเข้มแข็งไว้  พ่อเธอสอนไว้อยู่เสมอว่าถึงแม้จะไม่ได้เกิดมาเป็นชาย  แต่เกิดมาสามารถควบคุมตัวเองได้  ผู้หญิงก็สามารถมีความเป็นชายในใจได้ในยามคับขันและอ่อนแอ  อาจจะดีกว่าผู้ชายบางคนเสียอีก 

               

                เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์  2558

                ชนกเดินทางกลับบ้านเองตามความต้องการของพ่อ  เพราะสามารถดูแลตัวเองได้แล้วในวัยนี้  ชนกนั่งรถกลับบ้านเองทุกวันจนเป็นนิสัย  แต่ตอนไปส่งที่โรงเรียน พ่อของเธอจะเป็นคนไปส่งอยู่ทุกวัน  ทว่าทุกวัน ๆ จะไม่เหมือนเดิม  เมื่อพ่อของเธอจากไปแล้ว  

                เย็นหลังเลิกเรียน...

                เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น...  ชนกหยิบมันขึ้นมา  หน้าจอโทรศัพท์เผยว่าเป็นพ่อ ที่โทร.  มาหาเธอในตอนเย็นหลังเลิกเรียน ชนกมองมัน เพราะเธอเพิ่งจะผิดใจกันเรื่องแม่เลี้ยงจนพ่อของเธอ ตบฉาดไปที่หน้าจนเป็นรอยแดงที่แก้มอันเปล่งปลั่ง ตอนนี้ดูแสนเจ็บปวดและเจ็บใจ  แม่ของเธอเสียไปตั้งแต่เธอยังเล็กมากนัก  ตอนเด็กๆเธอจึงคุ้นเคยกับโรงพยาบาลบำบัดทางจิตบ่อยเป็นพิเศษ  เข้าใจในภาษาของคนที่เป็นแบบเดียวกับเธอ  ถึงแม้ว่าเธอจะมีอาการโรคซึมเศร้า  แต่ความจริงแล้ว  สิ่งที่กระทบจิตใจเธอมากที่สุดคือ  การแต่งงานใหม่ของพ่อเธอ         

                แม่เลี้ยงคนนี้จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้ดีอะไรมากนักหรอก  แต่สิ่งที่เธอเกลียดที่สุดคือ  การเก็บรูปภาพแม่ของเธอออกจากบ้าน  โดยมีข้ออ้างว่าต้องการอยากมีชีวิตใหม่โดยไม่สนใจ ไม่ไปยุ่งกับเรื่องที่ผ่านมานานนม  จนปัจจุบันในบ้านของเธอก็ไม่มีรูปแม่ของเธอแม้แต่ใบเดียว  ความจริงคือพ่อของเธอรู้สึกผิดต่างหาก  ที่ช่วยแม่ของเธอจากอาการโรคประจำตัวไม่ทันท่วงที  พ่อของเธอจึงเลือกที่จะทิ้งแล้วเริ่มชีวิตใหม่

                ชนกมองที่หน้าจอโทรศัพท์  เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ของมันยังจนดูน่ารำคาญในเวลานี้  สุดท้ายชนกจึงตัดสินใจกดวางสาย  โดยเธอไม่รู้เลยว่านี่อาจจะเป็นสายสุดท้ายที่พ่อจะพูดคุยสนทนากับเธอ   นักเรียนเดินลงจากอาคารเรียนเรียงรายเหมือนรังมดที่มีหยุดน้าตกลงใส่แล้วรังแตกเดินไปคนละทางกัน  ชนกหันไปมองภายในโรงเรียนอีกครั้ง  แล้วหันกลับมาเหมือนเดิม  ชนกเดินออกมาจากโรงเรียนด้วยฝีเท้าเบาแนบกับอิฐปูพื้นสีแดง  ไม่นานรถแท็กซี่ก็มา  เธอเห็นแล้วจึงรีบโบกเพื่อให้รู้ว่าเธอต้องหารใช้บริการ

                ชนกหยุดนึกถึงเรื่องที่ผ่านมาแล้วหันหน้าเข้ามาสู่ปัจจุบันอีกครั้ง  เพียงเธอเผลอคิดเพียงครู่เดียวก็ลืมรับสายจากเจ้าหน้าที่ตำรวจเสียอย่างนั้น  คงจะให้เธอมาสอบปากคำอีกเหมือนเคย  สอบปากคำแล้วแต่ก็ไม่เห็นได้ตัวคนร้ายสักที  เธอถูกสอบปากคำมาสองรอบแล้วนี่คือรอบที่สามของเธอ  เธอจึงตัดสินใจรับสายจนได้

                “สวัสดีค่ะ”

                “สวัสดีครับ  วันนี้ผมมีสอบปากคำเพิ่มเติมอีกครับ”  เจ้าหน้าที่ตำรวจเรียนสายพูดถึงเธอด้วยเสียงที่ปั้นกำลังใจให้กับเธอ เพื่อให้มีความสุขต่อการดำเนินชีวิต

                “ค่ะ  แต่คุณตำรวจก็สอบปากคำหนูหลายรอบแล้วนะคะ”  เธอถามกลับไป

                “ต้องขออภัยด้วยนะครับ  แต่ตอนนี้ทางตำรวจต้องการบุคคลที่มีความสัมพันธ์กับผู้ตายมาสอบถามด้วยกันครับ”

                “ได้ค่ะ”  ชนกกล่าวกลับไปทำสีหน้าเบื่อหน่ายเพราะความยุ่งยาก  ทว่าเธอก็มีคนที่สงสัยในใจว่าคนนี้อาจจะเป็นคนที่ฆาตกรรมพ่อเธอ 

                ไม่มีใครคอยรับคอยส่งอีกเหมือนเคย  การเดินทางมันดูลำบากมากขึ้น  ความจริงเธอสามารถโทร.  บอกแม่เลี้ยงให้มารับเธอไปที่สถานีตำรวจก็ได้  ทว่าเธอไม่อยากจะรบกวนและใกล้เคียงด้วย  ความรู้สึกเวลาอยู่ใกล้มันดูอึดอัดจนไม่อยากจะพูดคุย 

                ชนกเดินมาที่ห้องสี่เหลี่ยมมิดทึบมีแสงไฟจากหลอดไปที่ดูเก่าๆ  แสงให้ความสว่างไม่เต็มที่  โต๊ะเป็นโต๊ะยาวเกือบสองฟุต  มีเก้าอี้อยู่ทั้งสามตัวตอนนี้มันว่างหนึ่งตัวโดดอีกฝั่งตองผู้ต้องสงสัยและผู้ให้ปากคำ จิต แพทย์สาวทำตัวสงบเสงี่ยมถามคำตอบคำกับสารวัต  พยายามทำให้ทุกอย่างภายในห้องดูน่าขนลุกมากขึ้น เมื่อเธอมองผ่านกระจกและมีผู้บันทึกเสียงการสนทนาระหว่างการสอบปากคำ

                ชนกผลักประตูเข้าไปภายในห้องสอบสวน  มีเก้าอี้ตัวหนึ่งว่างอยู่  เพียงพริบตาเดียวเธอก็เจอสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น  พ่อของเธอทำสายตาเหมือนจะเคียดแค้นใครบางคน  แล้วพ่อของเธอก็ดูขยับเขยื่อนเหมือนเป็นสัญญาณหน้าจอโทรทัศน์ก่อนจะหายไป เธอชะงักเมื่อเธอเห็นจนจิตแพทย์สาวจับพิรุธได้  เธอพยายามทำตัวให้เป็นปกติให้ได้มากที่สุด  ก่อนที่สารวัตผู้ดูแลคดีของพ่อเธอจะผายมือให้เชิญนั่ง  เธอจึงนั่งตามคำเชิญ

                “พี่สารวัตคะ  พี่ให้หนูมาสอบปากคำรอบที่สามแล้วนะคะ  ไม่เห็นมีอะไรคืบหน้าบ้างเลย”  เธอกล่าวออกมาแล้วรู้สึกเบื่อหน่าย

                “หมอเข้าใจค่ะ  ว่าหนูต้องการให้จับตัวคนร้ายให้เร็วที่สุด”  จิตแพทย์สาวเอ่ยกับคนไข้ของเธอ  ชนกเคยเป็นคนไข้ของเธอ ล่าสุดที่เพิ่งไปตรวจและบำบัดก็เมื่อห้าวันที่ผ่านมา

                “พี่แนน  ไม่เรียกตัวเองว่าหมอได้ไหมคะ  มันดูห่างเหินเกินไป”  ชนกพูดกล่าวกับจิตแพทย์สาว  ตอนนี้กำลังอมยิ้มใส่เธออยู่

                “ก็ได้จ๊ะ  เดี๋ยวอีกครู่เดียวแม่ของหนูก็จะมาแล้ว  รับรองไม่ห่างเหินแน่นอนจ๊ะ”  จิตแพทย์สาวกล่าวแล้วกุมมือเธอคอยให้กำลังใจอยู่เสมอ    ชนกฝืนยิ้มแต่เธอก็คงถูกจับจุดจี้ใจดำจนได้

                “มีอะไรกับแม่ของคุณรึเปล่าครับ  คุณชนก”  สารวัตจับจุดจนเธอดิ้นไม่หลุด  เธอต้องกั้นมันแต่เธอก็ทนไม่ไหว

                “มีอะไรก็พูดออกมาเถอะ  พี่เข้าใจนะ”  จิตแพทย์สาวกล่าวให้ความออกมาเพราะดูสีหน้าจากชนกแล้ว  ชนกคงอัดอั้นมานานน่าดู  ถึงเวลาเปิดอกให้ฟังได้แล้ว

                “ในชีวิตหนู  หนูไม่เคยยอมรับว่าแม่เลี้ยงหนูเป็นแม่เลยสักครั้ง  ในชีวิตหนูมีอยู่สามคนที่หนูรักมาก  คือ พ่อ กันต์ แล้วก็พี่แนนค่ะ  สามคนนี้คือสิ่งหนูเหลืออยู่  พอพ่อหนูจากไป  หนูก็หวังว่าจะมีกันต์คอยให้กำลังใจ  แต่คราวนี้กันต์กลับมาเจอเรื่องร้ายๆ  กระทบจิตใจ  หนูก็อดห่วงไม่ได้  พี่แนนต้องช่วยหนูนะคะ  หนูไม่เหลือใครแล้ว  มีแต่พี่แนนที่ช่วยหนูได้”  ชนกลั่นร้องไห้ออกมาจนจิตแพทย์สาวต้องลุกจากเก้าอี้มาปลอกเธอถึงที่  เธอเข้าใจในสิ่งที่ชนกกล่าวออกมา  ถ้าเป็นเธอ  เธอคงจะระบมใจมาก  มันทรมานมากถ้าชนกไม่ได้เปิดอกบอกกล่าวกัน

                “ไม่เป็นไรนะ  พี่จะช่วยให้สุดกำลังของพี่เลย”  จิตแพทย์สาวกล่าวออกมาพร้อมความสงสารและเห็นใจ  เธอลูบศีรษะของชนกเบาๆ  ทว่าชนกกลับร้องไห้หนักกว่าเดิมแล้วโอบกอดเธอจนแน่นเพราะสิ่งที่ชนกได้ระบายออกมามันสุดจะเกินว่าวัยรุ่นอย่างชนกจะสามารถต้านทานได้

 

                ชนกและจิตแพทย์สาวเดินออกมาจากห้องสอบสวน  โดยมีแนนเป็นคนประคองชนกให้มานั่งกับเก้าอี้ที่หน้าห้องห้องสอบสวน  ตอนนี้ชนกดีขึ้นจากการระบายมากพอแล้ว   ถึงเวลาที่ชนกจะปฏิบัติตัวสอบปากคำให้เต็มที่ที่สุดแล้ว  แต่ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่เธอยังเก็บไว้ในใจ  สายตาเธอมันฟ้อง  โดนจิตแพทย์สาวจับได้อีกครา

                “มีอะไรที่อยากจะระบายอีกไหม?” 

                “มีค่ะ...  แต่หนูไม่รู้ว่าพี่แนนจะพร้อมรับฟังหนูไหม?”

                “จะเรื่องอะไรต่างๆ  พี่พร้อมจะรับฟังอยู่แล้ว  หนูนี่เหมือนเป็นน้องสาวของพี่เลยนะ   แต่จริงพี่ก็มีเคยมีน้องชายนะ  แต่เขาจากไปแล้ว  พี่เป็นคนรักเด็ก  เห็นบอกว่าเดี๋ยวนี้ไม่มีคนไปรับไปส่ง  เดี๋ยวพี่จะไปส่งหนูทุกวันเลยดีไหม?”   จิตแพทย์สาวกล่าวไปด้วยรอยยิ้มพร้อมใช้มือพาดบ่าของชนก

                “จริงเหรอคะ?” ชนกท่าทางดีอกดีใจ

                “แต่มีข้อแม้... ว่าน้องสาวของพี่คนนี้จะต้องพูดสิ่งที่ยังติดใจอยู่อีกเรื่องนะ”  จิตแพทย์สาวยื่นข้อเสนอ  ชนกเองก็พยายามจะปริปากพูดออกมา

                “คือหนูเจอพ่อข้างในห้องสืบสวนค่ะ  เหมือนกำลังโกรธใครอยู่”   ชนกบอกกับจิตแพทย์สาวด้วยสีหน้าดูไม่ค่อยมั่นใจ   ระหว่างการสนทนาระหว่างชนกกับจิตแพทย์สาว   แม่เลี้ยงของชนกก็มาแทรกในวงสนทนา  ทั้งสองหยุดสนทนากันชั่วขณะแล้วมองมาที่แม่เลี้ยงของชนก  ตอนนี้เธอมีสีหน้ายิ้มแย้ม  ผิดหูผิดตา

                “คุยอะไรกันคะเพลินปากเชียว?” 

                “ก็คุยผ่อนคลายค่ะ  บรรยากาศดูค่อนข้างกดดัน  ชนกอาจจะสอบปากคำไม่ค่อยตรงกับเหตุนะค่ะ”  เธอเสริม  แม่เลี้ยงได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มให้แก่แพทย์สาวแล้วหันมามองชนกเพียงครู่หนึ่งก่อนจะเดินเข้าไปในห้องสอบสวน   ตอนนี้ชนกเหมือนมีอะไรในใจอีกเรื่องที่เธอไม่ได้บอกจิตแพทย์สาว   เธอต้องหาทางพิสูจน์ด้วยตนเอง

                “วันนี้หนูไปพักก่อนนะ  เดี๋ยวพี่ไปส่ง”  แนนอาสา ดูว่าตอนนี้ชนกคงดูไม่ดี  เมื่อเธอมองจากสีหน้าของชนก  อาชีพจิตแพทย์  หมอทุกคนไม่สามารถจะมองคนได้ทะลุปรุโปรงได้ถาวร  แต่การเป็นจิตแพทย์คือการดูพฤติกรรมมากกว่ามาจับดูสีหน้าของผู้ที่ถูกเพ่งมอง  และหยั่งเชิงว่าคนนั้นกำลังคิดอะไรหรือปิดบังอะไรบางอย่างไว้  ทว่าเธอพลาด 

                “พี่แนนกำลังทำงานอยู่นะคะ  เปลี่ยนจากไปส่งหนูให้ไปจับพฤติกรรมของคนที่อยู่ในห้องสอบสวนดีกว่านะคะ  หนูไปเองมาเองได้  อย่าเอาหนูมาเสียเวลาเลย  พ่อรู้คงจะเสียใจ”  ชนกตอบกลับไป  ทั้งสองสบตากันเพียงไม่กี่วินาทีสารวัตก็เรียกเชิญให้เอมาเป็นผู้ช่วยสืบสวนต่อ  ก่อนจากกันจิตแพทย์สาวลูบหัวอย่างแผ่วเบา ก่อนจะเข้าไปในห้องสืบสวนอีกที  โดยผ่านสายตาของชนก  พอจิตแพทย์สาวเข้าไปภายในห้องเรียบร้อยแล้ว  เธอจังลุกจากเก้าอี้  เอากระเป๋าสะพายไว้บนบ่าไหล่ มีท่าทีว่าจะไปโบกรถแท็กซี่กลับบ้านเหมือนเคย

                ทว่ามีสายตาบางคนกำลังจ้องมองเธออยู่และอาจจะตามเธอกลับไปด้วยอย่างแน่นอน...

 

                ชนกเดินทางกลับโดยรถแท็กซี่อย่างเคย  ตอนนี้ตรงหน้าของเธอคือบ้านของตัวเอง  ดูว่างเปล่า  เคว้งคว้าง  ไร้สิ่งมีชีวิตใด ๆ  ตัวเธอมีกุญแจบ้านติดตัวไว้อยู่เสมอ  เวลาพ่อเธอออกไปประชุม  เธอมักจะอยู่บ้านกับแม่เลี้ยงบ่อยครั้ง  เมื่อนึกถึงสิ่งที่เธอทำครั้งนั้นดูไม่น่าให้อภัยกับแม่เลี้ยงเสียด้วยซ้ำ

 

                เสียงตะโกนโวยวายลั่นบ้านสนั่นไปถึงเพื่อนบ้านใกล้เคียง  เสียงร้องไห้ของเธอดังจนสามารถปกปิดเสียงเอะอะโวยวายได้จนเสียงของชนกกลายเป็นจุดเด่นของเพื่อนบ้านใกล้เคียง  เธอในชุดเดรสสีฟ้ามีกระเป๋าสะพายเตรียมพร้อมที่จะไปเรียนพิเศษในวันสุดสัปดาห์  แก้มอันนวลเปล่งปลั่งของเธออาบไปด้วยน้ำใส ๆ ที่ออกมาจากดวงตา 

                “พ่ออย่าทำแบบนี้”  เสียงของเธอตอนนี้ดูอ่อนแรงทันที  เมื่อเห็นรูปภาพแม่ของเธอกำลังถูกไฟเผาไหม้จนเกรียม  เธอรั้งมือที่ข้างซ้ายมีรูปภาพแม่ของเธออยู่เป็นปึก  มืออีกข้างหนึ่งมีไฟแช็กที่ตอนนี้มีเปลวเพลิงพ่นออกมา  “พ่อไม่รักแม่แล้วเหรอ?   พ่อไม่รักหนูแล้ว  พ่อหลายใจ   คนเห็นแก่ตัว  พ่อเป็นแบบนี้เพราะเมียใหม่ของพ่อนั่นแหละ!”  เธอต่อว่าเพราะอย่างสุดกำลัง สุดที่จะอดทนมานานมากแล้วกับการแต่งงานใหม่ของพ่อเธอ  พ่อได้ยินอย่างนั้นก็ละมือจากการจุดเผาไหม้ แล้วหันหน้ามาด้วยสีหน้าเกรี้ยวโกรธแล้วตบฉาดไปที่ใบหน้าของชนกจนหน้าของเธอหันมาอีกทาง

                “คนเลว”  ชนกตอบโต้ด้วยคำพูดออกไปอีกคำ  มันเป็นคำที่ลูกทุกคนไม่สามารถพูดกล่าวออกมาใส่ผู้ให้กำเนิดมา  พ่อของชนกตบฉาดไปที่ใบหน้าของเธออีกข้างจนหน้าหันไปอีกที  แต่ครั้งนี้แม่เลี้ยงที่ยืนดูเหตุการณ์ก็ทนเห็นไม่ไหวจนต้องไปปรามให้เหตุการณ์ยุติลง  เพื่อนบ้านที่มุงดูอยู่ประตูรั้วก็สอดส่องเข้ามา  จนมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ออกมาจากปากเพื่อนบ้าน 

                “ลูกแท้ๆ  ทำอย่างนี้ได้ไง”  ตามไปด้วยเสียงอีกหลายๆคนที่ตะโกนต่อว่าพ่อของชนก  ตอนนี้ทุกอย่างดูแย่ลง  พ่อของชนกน้ำตาอาบแก้ม  ทุกคนรวมทั้งแม่เลี้ยงก็ไม่ต่างอะไรจากชนก  แต่เธอคงรู้ว่าพ่อของเธอจะทำไปเพื่ออะไร...  การมีลืมเรื่องอดีตแล้วมีคนใหม่ไงล่ะ

                “ชนก  หยุดคิดได้แล้ว  เรื่องมันผ่านไปแล้วก็ปล่อยมันไปเถอะ”  ชนกตบไปที่แก้มของเธอเบา ๆ บอกกล่าวกับตัวเอง  แล้วไขกุญแจเปิดเข้าไปในบ้านอย่างเฉื่อยช้า

 

                กลับมาที่ห้องสืบสวนเหมือนเดิม  ภายในห้องนั้นดูเงียบกริบ  สร้างความกดดันสำหนับแม่เลี้ยงเป็นอย่างมาก  เธอพยายามกั้นความเสียใจเอาไว้ ไม่ให้คนอื่นหาว่าเธออ่อนแอเหมือนเด็ก  ถ้าเสียใจต้องเสียใจแค่ครั้งเดียว  ไม่มีรอบสอง  ตรงหน้าเธอมีสารวัต  มีหนวดเคราขึ้นจนรกใบหน้า  หน้าตาดูคมคายไร้ความอ่อนโยน  จิตแพทย์สาวก็มองมาที่เธออย่างไม่ละเลิก  จะมองอะไรกันนักกันหนา

                “สรุปคุณวารีจำอะไรตอนเกิดเหตุได้บ้างครับ?”  สารวัตราคินถามซ้ำไปอีกครั้ง

                “ก็... ก็มีเหมือนใครวิ่งหนีไปที่ไหนสักแห่ง  ตอนนั้นฉันประชุมผู้ปกครอง  แต่แปลก... ปกติจะมีผู้อำนวยการเป็นคนเปิดพิธีแล้วแจ้งเนื้อหาให้ผู้ปกครองทราบด้วยตนเองนะคะ  แต่วันนั้นกลับบอกว่ามีภารกิจ  มันตรงกับวันที่สามีฉันมีภารกิจเหมือนกัน” 

                “คุณวารีจะบอกว่าคุณปิยพงศ์  ผอ. โรงเรียนที่น้องชนกเรียนอยู่เป็นผู้ต้องสงสัยหรือคะ?”  จิตแพทย์สาวถามเพื่อความแน่ใจ  “แล้วคุณวารีแน่ใจแค่ไหนหรือคะว่าคุณปิยพงศ์เป็นคนร้าย?”  จิตแพทย์สาวถามซ้ำ

 

                ชนกเข้ามาภายในบ้าน  เธอยอมที่จะเสี่ยงดีกว่ามานั่งมานอนอยู่เฉย  เธอต้องหาหลักฐานเพิ่มเติม  ไขทุกสิ่งที่เป็นไปได้  ความจริงเธออยากจะหาสาเหตุการตายของพ่อเธอ  แต่สิ่งนี้ที่ทำให้ทุกอย่างดูพิลึกชอบกล  พ่อของปรากฏตัวให้เธอเห็น  มันเป็นสิ่งที่ทำให้เธอรู้ว่าคดีพ่อของเธอไม่ใช่แค่คดีธรรมดา  

                “เริ่มต้นที่โต๊ะทำงานของพ่อ” 

 

                ในขณะที่ชนกกำลังหาหลักฐานเพิ่มเติม  ทางจิตแพทย์สาวก็กำลังสืบสวนปากต่อปาก  เบื้องหน้าวารีจะพยายามเปิดปากแงะมันออกมา  ทว่ามันนึกไม่ออก  บอกไม่ถูก  เธอคิดกับหลักความเป็นไปได้เท่านั้น  มันอาจจะเป็นไปได้

                “คุณปิยพงศ์เขาก็เป็นเพื่อนรักกับสามีคุณไม่ใช่หรือครับ?  เขาจะทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไร?”  ราคินจ่อจงถามไปที่วารี  ตอนนี้เธอมีสีหน้าที่เหมือนมีอะไรกังวลอยู่  จิตแพทย์สาวรับรู้ได้เมื่อมองจากสายตาและสีหน้าที่บ่งบอกอาการ

                “ฉันขอตัวนะคะ  ดิฉันก็กังวลเผื่ออาจจะเป็นคนใกล้ชิดของสามีฉัน”  วารีลุกจากลาอย่างรวดเร็วโดยที่ราคินยังไม่ได้ออกคำสั่งให้จบการสอบปากคำ

                “เดี๋ยวสิครับคุณวารี”  ราคินห้ามไว้อย่างทันควัน  “ถ้าคุณออกไป  แสดงว่าคุณเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมครั้งนี้”

                “ฉันขอร้องเถอะ  คุณพาฉันออกจากห้องนี้ที”  วารีจ้ำเท้าอยู่กับที่เหมือนมีเรื่องเร่งด่วนที่สำคัญ  เธอดูเหมือนกลัวอะไรบางอย่างด้วย  “เขาอยู่ที่นี่  ฉันไม่ไหวแล้ว”  วารีใช้มือปิดหน้าปิดตาตัวสั่นสะท้านไปหมด  มืออันซีดขาวทั้งสองข้างพรุ่งพรวดจ่อมาที่คอของเธอ  ความหนาวเหน็บยิ่งทวีคูณมากขึ้น  โคมไฟห้อยจากเพดานก็สั่นระรัวติด ๆ ดับ ๆ จนห้องทั้งห้องมืดสว่างสลับกันไป

                ราคินเห็นว่าเหตุการณ์นี้มันยิ่งดูแย่ลงจนต้องสั่งให้คนภายนอก  เจ้าหน้าที่ที่อยู่ภายนอกมาช่วยควบคุมสติของวารี  ตอนนี้เธอดูเหมือนคนจิตไม่ปกติเต็มที  จิตแพทย์สาวรีบปรามแล้วพยายามเกลี้ยกล่อมวารีที่ตอนนี้สติเตลิดเปิดเปิงไปหมด  เธอเหมือนไม่ใช่คนเก่า  วารีดูระแวงอยู่ตลอดเวลา

                “ผมขออนุญาตเรียกคุณแนนนะครับ  คุณแนนพาคุณวารีไปที่โรงพยาบาลที่คุณประจำการที่นั่นเลยนะครับ  เดี๋ยวทางนี้ผมจะจัดการเอง”  สารวัตออกคำสั่งให้กับจิตแพทย์สาว  แนนรีบรับคำสั่งก่อนจะรีบพาวารีนำตัวส่งโรงพยาบาลทันที  “ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ได้นะ”  ราคินครุ่นคิด ใช้มือเท้าคางไว้  แล้วเขาก็เริ่มจากเข้าห้องรวบรวมหลักฐานทันที

                สารวัตรีบมุ่งหน้าไปยังห้องที่บันทึกเสียงสนทนาการสอบปากคำไว้  เขารีบวิ่งไปหาทันทีเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ไม่ใช่การเกิดเหตุการณ์โดยบังเอิญแน่  สารวัตหนุ่มผลักประตูเปิดเข้าไปภายในห้อง  ตอนนี้ดูเหมือนว่าตำรวจที่เข้ามาควบคุมการบันทึกเสียงคงจะตื่นกลัวน่าดู  ตำรวจที่ควบคุมกำลังจิตตกเพราะเขาไม่ได้ตาฝาดไปแน่ๆ  เมื่อเห็นสารวัตมานายตำรวจก็วิ่งเข้าไปกอดจนแน่นทันที

                “สารวัตครับ”  นายตำรวจพูดออกมาเสียงหลง

                “พอเถอะจ่า  ผมขอดูการบันทึกการสอบปากคำเมื่อกี้หน่อย”  ราคินอึดอัดเมื่อนายตำรวจมากอดเพราะความกลัวเสียแน่น  ทำให้เขาหายไปไม่เต็มท้อง  นายตำรวจจึงคลายกอดแล้วกลับไปดูเหตุการณ์เมื่อกี้  ที่เกิดขึ้นมาเมื่อกี่นาทีที่แล้ว

                ภาพวีดิโอตรงหน้าของสารวัตหนุ่มตอนนี้ภาพดูเหมือนปกติ  เกิดการสนทนา ตอนนั้นตอนที่ชนกสอบปากคำกับเขาอยู่  มีมุมห้องใกล้กับสารวัต  มันมีเสียงซ่าเข้ามาแทรก  ดูน่ารำคาญ  แต่สารวัตก็ไม่ได้เอะใจตัดสินใจอะไรไปเพื่อดูความเป็นไปก่อน  คราวนี้สารวัตหนุ่มกดรีย้อนกลับไปตอนเริ่มต้นอีกครั้ง 

                ประตูห้องสืบสวนถูกผลักเข้ามา  ชนกเดินเข้ามาในห้องอย่างเก้ ๆ กังๆ  แล้วสารวัตหนุ่มก็เจอพฤติกรรมแปลกๆของชนก  เธอค้างไปหลายวินาที  ภาพตรงหน้านี้คือ... คุณปพน  พ่อของชนก  เขามาในรูปแบบเสียงเหมือนสัญญาณติดๆขัด  แต่เพียงแวบเดียวเขาก็จากไปกับอากาศธาตุ  เหลือไว้เพียงเก้าอี้ว่างเปล่า  แล้วสารวัตในวีดิโอก็ผายมือเชิญให้เธอนั่งเหมือนเดิม

                การสนทนายืดเยื้อไปหลายนาที  ราคินต้องการดูเหตุการณ์ที่เพิ่งจะเกิดเพียงไม่ช้านี้  ลางสังหรณ์มันบอก  เขามีเรื่องแบบนี้ทีเชื่ออยู่เพียงลึกๆ  และสัญชาตญาณก็บอกเขาแบบนั้นว่าไม่ใช่เรื่องธรรมดา  สีหน้าของราคินดูคิดหนักแสดงถึงการใช้ความคิดเป็นอย่างมากในเวลานี้

                “ไปตอนที่คุณวารีเข้ามาสิ”  ราคินสั่งนายตำรวจ ซึ่งตอนนี้หลบอยู่หลังราคินแต่พอคำสั่งม้าขาก็ไปนั่งเก้าอี้แทนที่สารวัตที่ลุกออกจากหน้าจอมอนิเตอร์ 

                นายตำรวจมีฝีมือชำนาญมากกว่าเขาในด้านแบบนี้  เขาจึงให้นายตำรวจที่รู้เรื่องกว่าเข้ามาช่วยแทนเพื่อหาคำตอบได้อย่างรวดเร็วกว่าการที่เขามานั่งเรียนรู้ในสิ่งที่เขาไม่ถนัดไปอย่างเดียว  นายตำรวจก็จ้องมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ตอนนี้ดูเหมือนว่ามันกำลังจะเข้าสู่เหตุการณ์นั้นที่ได้เกิดขึ้นมา

                ภาพในหน้าจอมอนิเตอร์ตอนนี้มันมาสู่เหตุการณ์นั้นแล้ว  วารีเดินผลักประตูเข้ามาภายในห้องสืบสวน  เธอนั่งลงอย่างสบายท่าของตัวเอง  เพียงเข้าเรื่อง  วารีก็ประหม่าไม่เป็นตัวของตัวเอง  สิ่งนี้อาจจะกลายให้เธอเป็นผู้ต้องสงสัยก็เป็นได้   จิตแพทย์สาวยิงคำถามเข้าไปอย่างตรงเป้า  สุดท้ายเธอก็ไม่ยอมตอบ  จนถึงคราที่ราคินยิงคำถามเข้าตรงเป้าและจุดกลางของลูกดอก  จี้ใจดำเธอเหลือเกิน  แล้วเพียงเธอหันไปมองมุมห้องทางด้านที่จิตแพทย์สาวนั่งอยู่  ปพนปรากฏตัวอย่างรวดเร็ว  ลุดพรวดออกจากเก้าอี้  เดินจ้ำเท้าทางประตูของห้องสืบสวน  คราวนี้สารวัตเจรจาได้ไม่นาน  เธอก็กล่าวกับเขาไปว่า “ฉันขอร้องเถอะ  คุณพาฉันออกจากห้องนี้ที” 

                ไฟทั้งห้องก็ดับพรึบพรับตั้งตนตั้งสติแทบไม่อยู่  เธอกรีดร้องออกมา  แล้วมีการปรากฏตัวของปพน  ที่พุ่งเข้าหาร่างของวารีโดยมีมือใกล้เข้าถึงตัววารีก่อน

                “ผีมีจริง”  ราคินประหลาดใจ

 

                ชนกเปิดประตูเข้าไปภายในห้องทำงานของปพน  ตอนนี้มันดูสะอาดตาพ่อของเธอเป็นคนที่มีระเบียบ  เจ้าสะอาดและแพ้ฝุ่นอยู่บ่อยครั้งจนต้องทำความสะอาดครั้งละหนึ่งอาทิตย์เป็นประจำ  ห้องเป็นพื้นไม้มันวาว  ไม่มีรอยเท้าเข้าออกห้องมานาน  นอกจากเธอที่เพิ่งจะเดินย่างกรายเข้ามาภายในห้องทำงานของพ่อเธอ  มีตู้เอกสารรอบตัวที่มีโต๊ะทำงานและมีคอมพิวเตอร์อยู่หนึ่งเครื่องตั้งอยู่บนโต๊ะ เป็นศูนย์กลางของห้องทำงาน  เอกสารถูกจัดไว้เป็นระเบียบเป็นสัดส่วน 

                “เริ่มจากตรงไหนก่อนดี?”  ชนกมองสอดส่องไปทั่วห้องจุดที่เด่นที่สุดในห้องนี่คือโต๊ะทำงาน  ที่มีคอมพิวเตอร์รุ่นแม็คหน้าจอใหญ่บางเฉียบ  “เริ่มจากตรงนี้ก่อน”  ชนกพูดคุยกับตัวเองแล้วเดินฝีเท้าไปที่โต๊ะทำงานของพ่อเธอ  ชนกล้วงกระเป๋ากางเกงของเธอ  เพื่อความปลอดภัยชนกจึงเตรียมถุงมือยางเอาไว้สะดวกในการรื้อค้นและป้องกันการเกิดรอยนิ้วมือ   ชนกบรรจงใส่ถุงมือยางอย่างถนัดมือทั้งสองข้าง  แล้วจึงค่อย ๆ กดปุ่มเปิดคอมพิวเตอร์อย่างแผ่วเบา

                คอมพิวเตอร์ถูกเปิดขึ้น  คราวถึงเวลาที่ได้จับตัวคนร้ายให้ถูกคนไม่จับแพะ  แต่เธอต้องการจะจับแกะให้ถูกต่างหาก  เธอเลื่อนลูกศรไปที่ My Computer  มันเป็นแหล่งข้อมูลของบนคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง  หรืออาจจะเป็นเซิร์ฟอื่น ๆ ที่เปิดให้ใช้บริการบนคอมพิวเตอร์ของคนทั่วโลก  ชนกดับเบิลคลิ๊กเข้าไปสอดส่อง  ปรากฏมีแต่ไฟล์งานทั้งหมด  ไม่มีเรื่องส่วนตัวเลย  ส่วนใหญ่จะเป็นงานทางโรงเรียนและข้าราชการ  มีไฟล์หนึ่งที่ไม่เกี่ยวกับงาน  “คนสองคน”  เธอพูดออกมา

                “ทะเบียนการกู้เงิน  สัญญา”   ชนกไล่อ่านไปทีละบรรทัด  มันเหมือนเค้าโครงการจัดทำสัญญาโดยมีผู้เซ็นรับทราบและลายเซ็นของผู้จัดทำ  เธออ่านไปถึงลายเซ็นของพ่อเธอแล้วบรรทัดถัดมาคือ...  เสียงกดกริ่งดังมาจากหน้าบ้านของเธอ    ชนกหยุดอ่านเลิกสายตามองไปยังหน้าต่าง  ซึ่งตอนนี้คนที่ยืนอยู่หน้าบ้านคือปิยพงศ์  เพื่อนพ่อของเธอที่เธอมักจะคอยระบายเรื่องที่ปพนไม่เข้าใจเธอให้ปิยพงศ์ฟังและคอยช่วยให้เธอและปพนปรับความเข้าใจกันใหม่โดยไม่มีการทะเลาะเบาะแว้งอยู่เสมอ    ชนกกด Ctrl+P สั่งปริ้นท์ใบสัญญานี้  ไม่นานเครื่องถ่ายเอกสารขนาดย่อมก็ปริ้นท์มันออกมา  เธอพับเก็บใส่กระเป๋าโดยไม่ได้ใส่กระเป๋าสะพายของเธอ  แต่ใส่กระเป๋ากางเกง

                ปิยพงศ์ยืนคอยเก้ออยู่ที่หน้าบ้าน  ไม่นานก็เห็นชนกเดินออกมา   ปิยพงศ์ยิ้มให้เมื่อมีคนออกมา   เขานึกว่าจะไม่มีใครอยู่บ้านเสียแล้ว  เขาเกือบจะแล่นรถกลับบ้านไป  ชนกเดินออมาเปิดประตูบ้านด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มผิดกับวารีและปพน ที่เธอไม่ค่อยได้ยิ้มให้กันและกันเลย

                “น้าปิยะ มาหาน้าวารีหรือคะ?”  ชนกถามแล้วเปิดประตูไปด้วย

                “เปล่าหรอก...  พอดีน้าเห็นว่าปพนเพิ่งจะเสียไป  เลยมาเยี่ยมจะพาออกไปกินข้าวนอกบ้านด้วย”  ปิยพงศ์ตอบกลับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม  เขาต้องให้บรรยากาศสดชื่นเอาไว้  ไม่งั้นเสียบรรยากาศไปหมด

                “ขอบคุณนะคะ   ถ้าน้าปิยะมาช้าอีกเดี๋ยวเดียว  หนูก็อาจจะชงมาม่าถ้วยกินไปก่อนแล้วก็ได้ค่ะ”  เธอตอบแล้วก็เจื่อนยิ้มให้  “แต่หนูก็เกรงใจ  หนูก็ทำกับข้าวเป็นแล้ว  งั้นวันหลังหนูทำให้กินเป็นมื้อเย็นก็ได้ค่ะ  ถือซะว่าตอบแทนที่พาหนูออกมากินข้าวนอกบ้าน”  เธอยิ้มตอบให้

                “ได้สิแม่ครัวหัวป่า”  ปิยพงศ์ล้อชม

                “แม่ครัวหัวกะทิต่างหากค่ะ  เดี๋ยวหนูไปปิดบ้านก่อนนะคะ  เตรียมสตาร์ทรถรอไว้ได้เลยค่ะ”  ชนกตอบออกมาท่าทางคงจะดีใจมาก ๆ  เพราะนาน ๆ  ที  ครอบครัวของเธอมักจะพาไปทานอาหารนอกบ้านไม่ค่อยบ่อย  ส่วนใหญ่ติดงาน ธุระ  จนพ่อของเธอมักจะจ้างสั่งอาหารที่บรรจุในปิ่นโตแล้วมาทานกับข้าวที่เธอหุงด้วยหม้อหุงข้าวไฟฟ้า  ไม่นานชนกเดินเดินออกมาพร้อมกระเป๋าสายเดี่ยวใบเล็กกะทัดรัด  ก่อนจะปิดประตูบ้านแล้วขึ้นรถออกไปพร้อมกับปิยพงศ์  เธออาจจะทานอาหารมื้อนั้นเป็นมื้อสุดท้ายก็ได้  ใครจะไปรู้

 

                กันต์นั่งอยู่บนเตียงดูโทรทัศน์ไว้บนผนังเหนือศีรษะขึ้นไป  เพื่อให้ดูโทรทัศน์โดยไม่มีสิ่งรบกวน  บังทรรศนาการดูโทรทัศน์อย่างไม่ขัดอารมณ์  และยังช่วยให้สายตาไม่เสีย  ดูสบายตาอีกด้วย  ตอนนี้กันต์พอจะรู้แล้วว่าใครเป็นใคร  เขาเป็นไบโพล่าห์  เพราะเขามีตราบาปที่ทำให้คนในชมรมของเขาต้องตายเพราะความประมาทของเขา  และต้องมาเจอเหตุการณ์ รีสอร์ท  โรคจิตที่ต้องการให้เขามาเป็นเครื่องเซ่นไหว้อีก 

                เสียงเคาะประตูดังขึ้น  ไม่นานคนที่ใส่ชุดกาวน์  ดูยังไงก็เป็นหมอ  คิดอะไรให้เลอะเทอะ  เขาไม่ได้เป็นคนปัญญาอ่อน  แต่เขาเป็นคนอารมณ์แปรปวน  จิตแพทย์สาวมองมายังเขา ตอนนี้เขาก็มองไปที่จิตแพทย์สาว  สายตาจิตแพทย์ตอนนี้ไม่สามารถมองดูที่ว่าแววตาเขาสื่อถึงอะไร  มันว่างเปล่า

                “ชนกไม่ได้มาด้วยเหรอครับ?”   กันต์ถามจิตแพทย์สาว  “ท... ทำไมชนกไม่เป็นห่วงเป็นใยผมบ้าง  ผมก็แสดงให้ชนกเห็นว่าผมรักเธอจริงตอนที่เธอมีอาการซึมเศร้า  พอผมเป็นทำไมไม่ให้ความใส่ใจกันบ้างเลย”  กันต์พูดเสียงหลง  ราวกับว่าเขาจะร้องไห้

                “กันต์  หายใจเข้าลึก ๆ นะ  อย่าเอาอารมณ์ตัวเองมาเป็นตัวตัดสิน  ทุกคนเขาก็มธุระกันทั้งนั้น  งั้นเดี๋ยวพี่จะลองโทรถามดูนะว่าชนกอยู่ไหน”  แนนมาประคบประหงมเพื่อให้กันต์ได้ใจเย็น 

                จิตแพทย์สาวกดโทร.  ออกไป  ปลายทางนั้นคือชนก  หวังว่าเธอคงจะรับ  เพราะเมื่อช่วงสายเธอก็กำลังจะมากันต์แล้วแต่ดันถูกเรียกตัวไปสอบสวน  เลยไม่ได้มาหากันต์  กันต์ก็คงจะน้อยใจตามอาการโรคที่เขากำลังเป็นอยู่

                “ใช่สิ  ใครๆก็กลัวผมทั้งนั้น  ผมมันเป็นตัวอันตราย  เป็นคนทำให้ทุกคนตายแบบนี้  ชนกคงกลัวผมเหมือนกัน  เลยไม่อยากจะมาหาผม”  กันต์ตอนนี้ร้องไห้อาละวาดอย่างหนัก  แต่พอได้ยินเสียงการสนทนาระหว่างแนนกับชนก  เขาก็เงียบลง  และอยากได้ยินคำตอบว่าทำไมชนกถึงไม่ได้มาเยี่ยมมาหาเขา

 

                ร้านอาหารสไตล์ดูเก๋ไก๋น่ารักในตัวห้างสรรพสินค้าชื่อดัง  อาหารตรงหน้าดูน่าทานและสวยงามมากเป็นพิเศษ  ชนกมองมันแล้วก็ชม  วันนี้ปิยพงศ์ดูใจดีผิดปกติ  เขาบอกกับเธอว่า  สั่งได้เต็มที่ไม่ต้องเกรงใจ  แถมยังบอกอีกว่าจะซื้อของที่เธออยากได้ทุกอย่าง   ชนกหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจากกระเป๋าสะพายสายเดี่ยว  แล้วเล็งกล้องหาจุดโฟกัสของภาพแล้วถ่าย  ก่อนจะนำลงเฟสบุ๊ก  ไม่นานเสียงเตือนจากผู้ติดตามก็ดังขึ้น   เธอกดไปรูปภาพของเธอตอนนี้มีผู้แสดงความคิดเห็น

                Fah Weerawaan : “อยากกินบ้างอ่ะ  ฉันย้ายไปโรงเรียนใหม่เหมือนดีเกินหน้าเกินตาเลยนะ”

                Chanok  Guntakorn : “แกก็ย้ายมาอยู่โรงเรียนเดิมสิ  จะได้กิน” เธอพิมพ์ตอบกลับไป

                Fah Weerawaan : “คงไม่ได้แล้วล่ะฉันมีเพื่อนใหม่แล้ว  ไม่ลืมแกหรอก”

                เธอทำสีหน้าดูน้อยใจเมื่อได้เจอข้อความอักษรนี้  ไม่นานปิยพงศ์ก็เดินมานั่งลงพร้อมกับกล้องโพลาลอยด์  รุ่นที่เธออยากได้มานาน  ชนกวางมือลงจากโทรศัพท์พร้อมกับค่อย ๆ ลูบไล้กับของขวัญอันใหม่จากปิยพงศ์  ไม่รู้ว่าเขาประสงค์ดีหรือประสงค์ร้ายกันแน่

                “รุ่นใหม่ล่าสุดด้วย  ขอบคุณนะคะน้าปิยะ”  เธอมองกล้องตาลุกวาวก่อนพร้อมจะลงมือทานอาหารโดยไม่รู้ว่าในนั้นได้ใส่อะไรลงไปหรือไม่  ปิยพงศ์รอโอกาสนี้มานาน  ส้อมจิ้มลงไปในสเต็กเนื้อชุ่มซอสบาร์บีคิวแล้วเธอค่อยๆบรรจงตัดชิ้นเนื้อสเต็กเข้าปากไปหนึ่งชิ้น  ปิยพงศ์จ้องเป็นจดเป็นจ่ออย่างตั้งใจว่าเธอจะทานเนื้ออย่างไม่ติดขัดอะไรไปหรือไม่

                “อร่อยมากเลยค่ะ”  ชนกตอบหน้ายิ้มแป้นมีความสุขจนล้น  เพียงเธอกำลังจะใช้ส้อมจิ้มเนื้อสเต็กที่ถูกหั่นอีกชิ้น  เสียงโทรศัพท์ก็ดังขั้น  เกิดการสนทนาระหว่างเธอกับแนน  โดยมีชื่อปรากฏอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์มือถือ  เธอจึงตัดสินใจรับสาย   “สวัสดีค่ะพี่แนน”

                “ชนก  เธอกันต์เรียกหา  อาละวาดใหญ่เลย  จะมาหากันต์เขาไหมจ๊ะ?”  จิตแพทย์สาวถามมาผ่านทางปลายสาย

                “ได้ค่ะ  หนูลืมไปเยี่ยมกันต์  เขาคงงอนหนูแน่ๆ  เดี๋ยวหนูรีบไปนะคะ”  ชนกตอบตกลงก่อนจะกดวางสาย  เลืกสายสายตามองมาที่ปิยพงศ์  ตอนนี้สีหน้าเขาดูผิดหวังอะไรบางอย่าง  ชนกสังเกตได้จากการผิดปกติ  เธอจึงเอ่ยถามไป

                “น้าปิยะเป็นอะไรรึเปล่าคะ?” 

                “เปล่าหรอก  จะทานต่อหรือไป...  เยี่ยมแฟนก่อนดี?”  ปิยะถามให้ชนกตัดสินใจ  แต่จริงๆแล้ว  เขาอยากให้ชนกเลือกอย่างแรกมากกว่า!

                “หนูว่าไปหาแฟนหนูก่อนดีกว่าค่ะ  วันนี้หนูลืมไปสนิทเลย  เขาคงโกรธหนูแน่ๆเลย”  ชนกพูดไปแล้วสีหน้าเธอดูไม่ค่อยดี  เธอเข้าใจในหมวดหมู่นี้  เธอเคยเป็น แต่ในกรณีของกันต์ถือว่าเป็นหนักกว่าเธอเกือบหลายเท่า  โรคที่เธอเป็นอยู่ยังพอสามารถที่จะหาที่ระบายอารมณ์ได้  แต่กันต์น่ะสิ  มีแต่โทษตัวเองว่าเขาเป็นผิด เป็นคนที่อันตราย  เธอไม่อยากจะเก็บเรื่องราวแบบนั้นไปคิดในสมอง  เธออยากจะป้อนความทรงจำดี ๆ ให้กับกันต์เพื่อตอบแทนกันต์ที่เคยดูแลและอดทนกันมาร่วมถึงสองปี

 

                จิตแพทย์สาววางสายจากการสนทนาระหว่างเธอกับชนก  ข้างกายเธอคือกันต์ที่ตอนนี้คราบน้ำตาแห้งเกรอะเป็นคราบ  ดูแล้วเหมือนเด็กขี้แย  แต่โรคที่เขาเป็นมีสภาวะทำร้ายร่างกายตัวเอง  อารมณ์ขึ้นลง จะมีความสุขก็จะมีความสุขที่สุดแต่เมื่อมองดูจากสภาวะแย่ๆ  สามารถมองออกได้เลยว่ามันหนักมากกว่าการเป็นโรคซึมเศร้าเสียอีก  สายตาของกันต์มองมายังจิตแพทย์สาวเพื่อรอคำตอบจากปากของเธอ

                “กำลังมา  คิดมากน่ะ  เป็นผู้ชายก็อย่าทำตัวเป็นคนอ่อนแอสิ”  จิตแพทย์สาวตอบไป  กันต์เองก็เหมือนจะกลับมาสู่สภาวะปกติ  แต่อย่าลืมเรื่องแบบนี้มันยังไม่จบได้ง่าย  ต้องใช้ระยะในการรักษายาวเลยล่ะ  “งั้นเดี๋ยวพี่ขอไปทำงานก่อน  อย่าคิดมากนะ  ถ้าคิดมากก็ต้องใช้เหตุผลมาชโลมใจ  ให้เหตุผลกับตัวเองเยอะๆ  อย่าทำร้ายตัวเอง  อย่าโทษตัวเอง”  จิตแพทย์สาวยิ้มให้อย่างเป็นกำลังใจ  ภายในใจไม่รู้ว่าเขาจะคิดอย่างไร  ไม่นานจิตแพทย์สาวก็เดินออกจากห้องไปโดยไม่ลืมปิดประตูห้องให้  ห้องพักของกันต์จึงเงียบเหมือนเดิม 

                สิ้นเสียงการสนทนา  โดยที่เขาไม่รู้เลยว่ากำลังจะมีคนมาฝากไข้ไว้กับเขาอีกหน  กำลังจะมาในไม่ช้า  อีกคนที่ยังรอดชีวิตแต่ต้องมาเจอกับเรื่องที่ไม่น่าให้อภัย  เขาต้องเจออะไรอีกมากมาย  เขาต้องเข้มแข็งและยอมรับปรับตัวกับมัน 

                เสียงเคาะประตูดังมาอีกหน  คราวนี้อาจจะเป็นที่กันต์รู้จักดี  ในชมรมของเขาไม่ใช่ว่าเขาเหลือเพียงอยู่แค่หนึ่งชีวิต  แต่สองชีวิตต่างหาก  เพื่อนหนึ่งในชมรมของกันต์ที่ไม่ได้ไปเที่ยวเหมือนกับเขาเดินเข้ามาอย่างเรียบเฉย  กันต์เหล่ตาไปมองบุคคลที่เข้ามาภายในห้องพักของเขา

                “มีอะไรมาต่อว่าฉันล่ะ?”  กันต์เปิดตัวในแง่ลบขึ้น  โดยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายไปเจออะไรมา

                “น...นายเป็นไงบ้าง  ฉันมาเยี่ยมนาย”  บีมถามเสียงหลง

                “ยังเห็นว่าฉันเป็นเพื่อนอยู่อีกเหรอ?  นายคงเกลียดฉันมากสินะที่ทำให้คนอื่นตาย!”  กันต์เริ่มเสียงหลงออกมาราวกับว่าจะร้องไห้

                ตรงหน้าของกันต์ตอนนี้บีมก็ไม่ต่างอะไรจากเขา  สีหน้าบีมดูแปลก  อาจจะเป็นคนที่เข้ากันได้ก็ได้  แต่ไม่ใช่...  ไม่ใช่เลยแม้แต่น้อย

                “ฉันเลือกทางผิดหวะ ฉันพลั้งมือ  ฉันไม่ได้ตั้งใจเว้ย!”  บีมร้องไห้ออกมาอย่างคนใจออก  แต่ในเมื่อเขาเหลือคนในชมรมแค่คนเดียว เขาต้องหาที่พึ่ง  ไม่อย่างนั้นเขามีสิทธ์ ไม่สามารถออกมาใช้ชีวิตอย่างคนปกติได้  ”แกยังเป็นเพื่อนฉันอยู่รึเปล่าวะ?”  บีมถามไปอีกคำถาม เขาไม่มั่นใจว่าอีกฝ่ายจะตอบเขาอย่างไร

                “พวกเราหัวอกเดียวกัน  จะให้ฉันไปเป็นเพื่อนกับคนตายหรือยังไง?”  กันต์ตอบ แต่สายตายังมองไปยังบรรยากาศผ่านระเบียงไปภายนอก

                “นายต้องช่วยฉัน  ตั๊มไดรฟ์ ฉันเอาไว้กับนาย”  เขายื่นตั๊มไดรฟ์ขนาดย่อมไว้ในฝ่ามือของกันต์ ทว่าสายตาของกันต์เลือนลอยไปยังนอกหน้าต่าง  “มันเป็นเรื่องที่สำคัญมาก  นายเก็บไว้ให้ดีอย่าเอาไปใครเล่นๆล่ะ”  บีมบอกกล่าวก่อนจะออกไปจากห้องพักอย่างแผ่วเบา ปล่อยให้กันต์ส่องมองกระจกสะท้อนตัวเองอยู่ภายใต้จิตใจ

 

                บีมปิดประตูแง้มแผ่วเบาอยู่ภายนอก  เมื่อประตูเข้าที่เขาจึงปล่อยไป  แล้วหันหลังเดินให้กับชนก โดยที่เธอไม่รู้ว่าใคร มีอะไรเกี่ยวข้องกับกันต์  เธอไม่อยากจะระแวงมากเกินไป  แต่จะให้ไม่ระแวงได้ไงเมื่อเขาเองก็ทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ เธอเดินมายังทางยาว เพียงพริบตาเดียวเขาก็หายไปแล้ว  สายตาเดียวกับเธอ      ปิยพงศ์ก็มองบีมอยู่จนเขาลงลิฟต์ไป ตามหลังจากชนก  ไวจนไม่รู้จะว่าอย่างไร หันมาอีกทีก็อยู่หน้าห้องของกันต์แล้ว

                “เป็นอะไรรึเปล่าคะ?”  ชนกจับสังเกตเขา

                “เปล่าๆ  เข้าห้องกันเถอะ”

 

                จิตแพทย์สาวเอนตัวพิงอยู่แผนกหน้าเวร  เธอเหมือนรอใครบางคนมาถึง  ปรากฏว่าคนๆ นั้นก็คือราคิน สารวัตหน้าตาคมคาย เดินมาจากทางลิฟต์  เมื่อเธอเห็นทั้งสองคนจึงยิ้มเพื่อประกาศคนอื่นว่าเขาคนนี้เป็นมิตร ไม่ใช่ศัตรู

                “ว่าไงครับคุณหมอ  มีอะไรพิเศษรึเปล่า ?”  สารวัตถามหน้านิ่ง

                “จะเรื่องอะไรที่ไหนละคะ ?  ก็พอดีฉันเจอคุณปิยพงศ์ขึ้นลิฟต์มาพร้อมกับชนก น่าจะไปเยี่ยมกันต์อยู่น่ะ”  จิตแพทย์สาวพูดออกมาชัดถ้อยชัดคำ

                “ตกใจหมด  ผมนึกว่าเรื่องอื่นเสียอีก  ว่าแต่คุณวารีเป็นยังไงบ้าง ?” ยังไม่ทันที่สารวัตหนุ่มถาม  ปิยพงศ์ก็เดินออกมา...  ไม่มีใครนอกจากเขาคนเดียว! เขาเดินมาก่อนจะพบว่าเขากลายเป็นผู้ต้องสงสัยไปเสียแล้ว

                “อ้าว... คุณหมอ” เขาทัก

                “สวัสดีค่ะ  มาเยี่ยมกันต์เหรอคะ ?  ทำไมรีบไปรีบกลับเชียว”  จิตแพทย์สาวถาม

                “อ้อ  ผมเห็นว่าสองคนนั้นเขาเป็นแฟนกัน  ผมเลยไม่อยากอยู่เป็นก้างขวางคอเขาน่ะ”  เขาให้เหตุผล

                “เดินทางกลับดีๆ นะคะ”

                “ขอบคุณครับ”

 

                ปิยพงศ์เดินลงลิฟต์ไปชั้นล่าง  ไม่นานสารวัตก็เดินออกมาจากบังเกอร์เคาท์เตอร์ออกมาจากการหลบซ่อนตัว  เพราะถ้าปิยพงศ์รู้เข้า  เขาอาจจะรู้ตัวทัน  โดยมีจิตแพทย์สาวเป็นแนวหน้าให้ เห็นว่าเป็นคนคุ้นกันดีอยู่

                สารวัตหยิบวิทยุสื่อสารขั้นมาก่อนจะประกาศผ่านวิทยุสื่อสารในนั้น

                “การ์ด ว2”

                “ว2 ครับสารวัต”  อีกฝ่ายตอบผ่านมาทางวิทยุสื่อสารของสารวัต

                “เป้าหมายลงไปแล้ว บางส่วน ว15 โรงจอดรถ”

                “ว2 ว8 ครับสารวัต”

                “ว61 ครับทุกคน”

                จิตแพทย์สาวไม่เข้าใจในสิ่งที่สารวัตประกาศออกไปทางวิทยุสื่อสาร  แต่ก็พอจับใจความได้  เขามองว่าสารวัตคนนี้น่าจะเตรียมตัวอยู่ตลอดเวลา 

                “เดี๋ยวคุณรีบไปดูแลชนก  อย่าให้เธอได้รับอันตราย” เขากล่าวกับจิตแพทย์สาว 

                เธอพยักหน้ารับ 

                ก่อนที่ราคินจะรีบลงไปโดยใช้ลิฟต์  ส่วนเธอก็ต้องไปทำหน้าที่  ถึงแม้ไม่ใช่หน้าที่เธอก็ยอมที่จะทำให้โดยไม่หวังผลตอบแทน  จู่ๆ เธอก็ได้ยินเสียงสัญญาณที่ผู้ป่วยตอบรับ  เธอจึงรีบไปมอง พบกับว่ามีไฟสีแดงติดที่ห้อง 504 มันตรงกับห้องของกันต์ที่พักฟื้นอยู่!

                “พี่แนนคะ  เดี๋ยวพวกหนูไปช่วยนะคะ”

                “ได้จ้ะ”  นางพยาบาลอีกคนรวมถึงจิตแพทย์สาวต่างวิ่งกึ่งเดินไปยังห้องที่กันต์อยู่

                ภายในห้องถูกรื้อค้นกระจัดกระจาย  แจกันดอกไม้แตก ดอกกุหลาบที่เสียบอยู่ในแจกันระเนระนาด  น้ำที่อยู่ในแจกันก็ไหลนองไปทั่วห้อง  โดยมีกันต์ถูกสายน้ำเกลือมัดไว้อยู่ที่ขาเตียง  ส่วนชนกนอนสลบอยู่ห่างจากกันต์ไม่ไกล

                กันต์เป็นคนเรียกกดสัญญาณให้นางพยาบาลรับรู้  นางพยาบาลวิ่งเข้ามาแก้สายน้ำเกลือที่มัดข้อมือเขาไว้  ส่วนจิตแพทย์สาวก่อนไปเช็คความแน่ใจว่าชนกจะไม่ได้รับอันตรายจริงๆ  สุดท้ายเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นจนได้   เมื่อจิตแพทย์สาวพบกับขวดเซรุ่มที่บรรจุน้ำยาไว้หล่นอยู่ใกล้ตัวเธอ

                “พิษจากงูทะเล”  เธอกล่าวออกมา  “น้องปลา พาตัวน้องเข้าห้องฉุกเฉินด่วนเลย”

                “ค่ะ”  ตอนนี้กันต์ถูกปลดจากพันธนาการเขาเป็นคนอุ้มชนกไปยังห้องฉุกเฉิน!

 

                บนท้องถนน  เกิดการอาละวาดใหญ่ป่วนเมือง เหมือนว่าปิยพงศ์จะรับรู้ในการจับกุมครั้งนี้  ก็ตั้งแต่ที่อยู่ที่โรงพยาบาลตั้งแต่ตอนนั้นแล้วล่ะ

.........................................................................................................................................................

                ชนกเชื้อเชิญให้ปิยพงศ์เข้ามาภายในห้อง...

                กันต์แววตาเลื่อนลอย  พอเห็นชนกเดินเข้ามาเข้าก็ดีอกดีใจจนบอกไม่ถูก  แต่พอกันต์เห็นบุคคลที่ตามมาด้วยเขาก็หน้าหงอยลง  ราวกับว่าเขาไม่ต้อนรับอย่างไงอย่างนั้น  ความจริงเขาอยากให้มีแต่ชนกคนเดียงเข้ามาเยี่ยมคนได้  ไม่ต้องการให้คนแปลกหน้าหรือคนที่ไม่คุ้นชินเข้ามาแม้แต่น้อย

                “กันต์เป็นไง  สบายดีไหม?”  ชนกถามในขณะที่กำลังจัดเตรียมอาหารว่างให้เขาอยู่

                “คิดถึงแทบแย่  นึกว่าจะไม่มาเยี่ยม”  เขาตอบในขณะที่เขาเขม่นตาให้กับปิยพงศ์

                “วันนี้น้าปิยะซื้อปากหม้อไทยมาฝาก  เจ้านี้อร่อยมากๆเลยนะ”  ชนกพูดพร้อมเดินมากับจากที่มีขนมปากหม้อไทยเรียงรายอยู่

                “ไม่กิน”  กันต์กล่าวออกไปแบบนั้น  พร้อมหันหลังให้กับชนก  เหมือนว่ากันต์จะงอนเธออยู่

                “ไม่เป็นไร...  งั้นเดี๋ยวเรามาเซลฟี่กันดีไหม ?” ชนกคุกเข่าเข้ามาหาเขา   ยิ่งเธอง้อแบบนี้  เขายิ่งใจอ่อนรู้ไหม            “ก็ดีนะ” เขาตอบเพียงสั้นๆ  แต่ที่จริงเขาไม่อยากให้ปิยพงศ์เข้ามาด้วยเลย  ขัดอารมณ์! 

                แต่เพียงที่เธอหาโทรศัพท์ในกระเป๋าสะพายสายเดี่ยวไม่เจอ  เธอก็ต้องเปลี่ยนมาล้วงกระเปากางเกงยีนส์แทน  “เจอแล้ว”  เธอพูดเบาๆ  แต่มีบางสิ่งติดมาด้วย  กระดาษที่พับเป็นสี่เหลี่ยมติดมากับโทรศัพท์  มันก็คือใบสัญญาแจ้งหนี้ของปิยพงศ์  พ่อเธอเซ็นรับ  ปิยพงศ์ก็เซ็นรับทราบด้วยเช่นกัน

                “หลักแสนเลยเหรอเนี่ย ?”  พอเธออ่านอีกที่ก็มีดอกจันทน์เอาไว้ ‘หากเจ้าผู้ถูกยืมเสียชีวิตไป  หนี้ทั้งหมดจะถูกเป็นโมฆะทั้งหมด’  เธออ่านแล้วถึงกับไม่เข้าใจในเจตนารมณ์ของปพนและปิยพงศ์เลยแม้แต่น้อย  ยังไม่ทันที่จะถามเหตุผล ปิยพงศ์ก็ดูกระดาษนี้จากมือเธอ

                “หมายความว่ายังไงคะ?”  ชนกถามไปแบบซึ่งๆ หน้า

                “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับหนู  มันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่!” ปิยพงศ์กระแทกเสียงใส่เธอ

                “ผู้ใหญ่ทุกคนเขามีปัญญาจัดการได้แค่นี้เองหรือคะ?  น้าถึงได้ฆ่าพ่อหนู เพื่อตัดปัญหาหนี้!” เธอก็ตะคอกเสียงออกมาอย่างคนใจออก  แต่ดูว่าปิยพงศ์ดูว่าดุดันมากขึ้นกว่าเมื่อกี้ที่เป็นคนดูแสนใจดีมีเมตตา  ตอนนี้มันต่างกันอย่างสิ้นเชิง  ปิยพงศ์เดินเข้สมาใกล้เธอมากเรื่อยๆ  เธอที่นั่งคุกเข้าอยู่ก็ค่อยๆถอยห่างไปเหมือนกัน  กันต์เห็นว่าเหตุการณ์ดูแย่ลงเรื่อยๆ  เขาก็อยากให้มันสงบลงด้วยเช่นกัน

                “แกจะทำอะไร ?!”  ทว่าปิยะไม่สนใจเขาเลยแม้แต่น้อย “ฉันถามว่าแกจะทำอะไร?!”  กันต์เลือดขึ้นหน้าจนไม่สามารถควบคุมอะไรได้  เขาเหมือนคนบ้า

                “กันต์ ช่วยด้วย...”  ชนกร้องห่มร้องไห้ตนนี้เธอเหมือนหนูจนตรอก  กลายเป็นลกไก้ในกำมือ

                “ฉันมีแผนสอง  ถ้าฉันฆ่าแกไม่ได้  ฉันก็จะให้แกตายไม่มีวันได้ผุดได้เกิด  ตายอย่างทรมาน  เพราะแกรู้เรื่องฉันมากเกินไปแล้ว!”  ปิยพงศ์พูดออกมาพร้อมขบฟันอย่างห้ามไม่ได้

                “น้าจะทำอะไรหนู?”  เธอถาม

                “ก็... อย่างว่านะ  ใครรู้มาก... ก็ตายไว” กันต์ลุกผึงจากเตียงมากักกันไม่ให้เขาทำอะไรกับคนที่เธอรัก กันต์สูงกว่าปิยะเพียงนิดเดียว  แต่แรงเขาก็ไม่เท่าวัยหนุ่มเต็มตัวอย่างปิยะไปได้ ปิยะคลายจากพันธนาการ ก่อนจะกระแทบหมัดไปที่ใบหน้าของกันต์จนล้มคว่ำ ไปพาดพิงกับโต๊ะหัวเตียงนอนที่มีแจกันดอกกุหลาบ จนล้มคว่ำลงไป แจกันตกลงมาแตกจากที่สูง น้ำนองซึมไปทั่วห้อง

                กันต์รู้สึกสายตาพร่า มองอะไรเห็นไม่ค่อยชัด เขาเห็นสายน้ำเกลือที่ยังไม่ได้ใช้ เขาเลยนำมันมาเป็นตัวพันธนาการไว้กับกันต์ กันต์ถูกมัดไว้กับเตียงนอนทั้งสองข้าง  กันต์รู้สึกว่ามีสิ่งที่นอกเหนือจากการชุลมุนครั้งนี้  เขาเห็นปพน ปพนอยู่ที่นี่! เพียงครูเดียวสายสัญญาณที่มีปุ่มสีแดงตกลงมา  แต่มันไกลจากตัวเขาเกินไป  แต่เขาก็ต้องพยายามเจ็บตัวเพื่อไปกดมัน เรีกให้คนมาช่วยแล้วจับฆาตกรตัวจริง  ไม่ใช่เลยที่วารีจะฆ่าคนที่รักได้

                ปิยะหยิบสลิงค์ออกมาพร้อมกับเซรุ่มพิษจากสัตว์ทะเลออกมา  เขารอเวลานี้มานานแล้ว แต่เพื่อให้เหยื่อไว้ใจและเชื่อใจคนอย่างเขา  ทุกอย่างก็จะจัดการได้อย่างง่ายดาย  ปลายเข็มถูกเจาะดูดสารที่เป็นอันตรายต่อร่างกายขึ้นมา  เขาอย่างให้มันทรมาน  เขาเกลียดพวกนี้ ที่ขี่เหนียวใจดำ  เขาเคยขอความช่วยเหลือแต่ก็ไม่เคยได้อะไรกลับคืนมาเลยแม้แต่น้อย  เขาอุตส่าห์ช่วยพ่อมันจากการเกิดอุบัติเหตุหลายครั้งหลายหน แต่ก็ไม่เคยได้อะไรกลับคืนมา

                ไม่นานนัก เข็มก็ถูกฉีดเข้าไปภายในร่างกายของชนก  มันมีฤทธิ์กล่อมประสาทแล้วก็ค่อยๆทำลายภูมคุ้มกันร่างกาย  ทำให้ตายช้าๆ ถึงพิษจะไม่รุนแรง แต่ก็สามารถทำให้คนตายได้เพียงภายในหนึ่งชั่วโมง  เขาขอโอกาสนี้เพื่อหนีรอด  แต่เขาก็ทิ้งหลักฐานไว้  เพียงแค่ตรวจลายนิ้วมือ

                เขาเดินออกมาจากห้องแล้วหยุดเดินอยู่หน้าห้อง ปรับแต่งตัวให้สุภาพอีกครั้ง  ตอนนี้เขาต้องปั้นหน้าให้เหมือนปกติทุกอย่าง  ไม่อย่างนั้น  เขาจะกลายเป็นผู้ต้องสงสัยไปได้  เขาสูดลมหายลึกเข้าออก  ก่อนจะเดินออกมาด้วยสีหน้าปกติอีกครั้ง  ไม่นึกเลยว่าจะเจอกับหมอแนนได้

                “อ้าว... คุณหมอ” เขาทัก

                “สวัสดีค่ะ  มาเยี่ยมกันต์เหรอคะ ?  ทำไมรีบไปรีบกลับเชียว”  จิตแพทย์สาวถาม

                “อ้อ  ผมเห็นว่าสองคนนั้นเขาเป็นแฟนกัน  ผมเลยไม่อยากอยู่เป็นก้างขวางคอเขาน่ะ”  เขาให้เหตุผล

                “เดินทางกลับดีๆ นะคะ”

                “ขอบคุณครับ”

 

.........................................................................................................................................................      

เบื้องหน้านั้นมีจราจรติดขัด...

                เขาเห็นว่าตอนนี้ไปจราจรตอนนี้มันกำลังเปลี่ยนเป็นสีแดง  เขาเลยเหยียบจนสุดฝีเท้าเพื่อให้หลุดจากการจับกุมตัว 5… 4… 3… 2… 1...  กลายเป็นสีแดง  แต่เขาว่าเสี่ยงผ่าไฟแดงก็ดีกว่าจะติดคุกไปตลอดชีวิต

                ข้างหน้าเขา... รถแท็กซี่  เขาตกใจสุดขีดรีบเบรกหักพวงมาลัย  ชนกับรถแท็กซี่ที่ตอนนี้มันสไลด์เป็นรอยยาง เป็นสัญลักษณ์บนท้องถนน  ส่วนรถของเขาก็แหกโค้งผ่านเด็กชายที่ยืนอยู่ตรงป้ายรถเมล์  เฉียดเด็กชายไปอย่างหวุดหวิด  เผลออีกนิดเดียว เด็กคนนั้นอาจจะกลายเป็นศพไปแล้ว

                แต่เป็นเขาเองที่กลายเป็นศพแทน...

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา