Miracle Of Pet มหัศจรรย์รักนายสัตว์เลี้ยงซาตาน

10.0

เขียนโดย PimZPank

วันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2558 เวลา 16.23 น.

  2 ตอน
  2 วิจารณ์
  5,354 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 12 มีนาคม พ.ศ. 2558 16.38 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) สุนัข

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

          

1

            สวัสดีครับเพื่อนๆชาวโซเชี่ยวแคม= = ก็ไม่มีไรมากแค่อยากจะบอกว่า..ผมชื่อฟอนครับ ฟอนที่แปลว่าลูกกวาง หรือสีน้ำตาลแกมเหลือง พ่อตั้งให้เพราะผมมีสีผมน้ำตาลแกมเหลือง ผมอายุ 22 เรียนจบแล้วกำลังหางานทำครับ สถานะ  โสดสนิทชนิดที่เรียกว่าหมายังไม่มอง เรื่องนั่นช่างมันเถอะ ยิ่งพูดยิ่งจี๊ด เพื่อนมันมีแฟนกันหมดเหลือไว้แค่ผมคนเดียว TT

                จบเรื่องประวัติ(ไม่)ส่วนตัวไป ตอนนี้ผมกำลังหางานทำอยู่ แน่นอนเรียนจบก็ต้องหางานทำดิ คงไม่นอนอยู่บ้านให้พ่อแม่เลี้ยงหรอก ไม่อยากแย่งสมบัติกับพี่น้องที่น่ารักของผม ผมเป็นลูกคนกลางของประธานบริหารบริษัทยักใหญ่ ซึ่งผมจะทำงานที่นั่นก็ได้แต่ผมไม่ทำไง มันน่าเบื่ออ่ะเข้าใจป่ะ ผมเคยลองฝึกงานที่นี่อยู่ครั้งหนึ่งตอนที่ยังเรียนอยู่ แล้วเป็นไงน่ะเหรอก็น่าเบื่อไง ถูกหาว่าใช้เส้นเข้าทำงานจากพนักงานคนอื่นๆ ต้องมานั่งหลังขดหลังแข็งทำงานอยู่หน้าจอคอม มันไม่ใช่แนวผมอ่ะ ผมเลยออก ก็นะ คนมันมีสไตล์เป็นของตัวเอง

                หลังจากนั้นผมก็ออกจากงานนั่นมาตั้งใจเรียนเหมือนเดิม คณะที่ผมเรียนพ่อคิดว่ามันไม่มีทางใช้หาเลี้ยงชีพ แต่ผมก็ไอด็อนแคร์ ไอฟอนคนนี้ยอมอดตายดีกว่าเลือกทำงานที่น่าเบื่อนั้น จะว่าไปผมพล่ามเรื่องงานไปหลายบรรทัดแล้วนะ = =

                กลับมาปัจจุบัน ผมกำลังเดินถือซองเอกสารไปตามบริษัท ไม่สิ สำนักพิมพ์ต่างๆ ครับ ผมจบคณะอักษรศาสตร์เอกภาษาไทย ผมอยากเป็นนักเขียนครับ หรือไม่ ก็อะไรก็ได้ที่มันใช้ความคิดในการเขียน ไม่มีการจำกัดว่าจะเขียนอะไร ทำนองนั้นอ่ะนะ ผมพยายามเอางานของผมไม่ส่งสำนักพิมพ์ต่างๆเช่น แจ่มแจ๋ว อินเลฟ สยามคัมมอน วิบูรณ์กุล เพื่อฝากตัวเองเป็นศิษย์ในสำนักแต่ท่านเจ้าสำนักกลับไม่รับข้าน้อยเป็นศิษย์เพียงเพราะผลงานของข้าน้อย..ไม่มีอารมณ์!! เหตุผลสุดอเมซิ่ง คือนิยายของตูมันไม่มีอารมณ์ตรงไหนวะครับ มีทั้งฉาก ตบ จูบ บู้ แอคชั่น ระเบิดภูเขา เผากระท่อม ซ้อมเด็ก เจ๊กหรี่โดนกระทืบ พระเอกต่อสู้กับผี นางเอกเอากับหมี พั่บๆลั่นกระท่อม มันไม่มีอารมณ์ตรงไหนครับท่านตอบ!!?

                แล้วสุดท้ายผมก็ต้องหิ้วซองเอกสารที่ใส่นิยายของผมเดินกลับบ้านอย่างหมดอาลัยตายอยากบวกกับความคับแค้นใจ นี่ผมยังสงสัยอยู่นะที่เขาว่านิยายผมมันไม่มีอารมณ์ตรงไหน ผมอ่านมันก็สนุกดีนะ สนุกมากด้วย ผมว่ามันน่าจะขายได้ดีพอๆกับแฮเรอร์ พอตตี้ ของเจเค รุ่งริ่งนะ ชิ พวกนั้นตาต่ำจริงๆที่ไม่รับงานผมชิๆ

                ระหว่างเดินกลับบ้านผมก็ต้องสะดุดเมื่อเห็นหมาน้อยพันธุ์ไซบีเลียนฮัสกี้ตัวหนึ่งกำลังโดนเด็กอายุประมาณสิบกว่าปี 3-4 คนรุมกระทืบอย่างรุนแรง โดยที่หมาตัวนั้นได้แต่โอดครวญอย่างน่าสงสาร ขนสีขาวตรงท้องของมันกำลังชุ่มด้วยเลือดสีสดจากปากมัน

                เมื่อผมเห็นแบบนั้น ผมก็รีบเดินตรงไปทางเด็กหนุ่มพวกนั้นพร้อมกระชากคอเสื้อหนึ่งในนั้นอย่างแรงจนเจ้าตัวต้องถอยมาโดนตัวผม แล้วทั้งหมดก็หยุดการกระทำนั้นลงเมื่อเห็นผม

                “ไปแกล้งมันทำไมมันไปทำอะไรให้?” ผมบอกเสียงเย็นพร้อมมองไปหน้าทั้งหมดอย่างเย็นชา ผมแผ่รังสีอำมหิตปกคลุมทุกพื้นที่ในตอนนี้จนเด็กพวกนั้นตัวสั่นด้วยความกลัว

                “มะ..มันมาแย่งขนมพวกผมครับ” เด็กที่ผมกระชากคอเสื้อมาพูดเสียงสั่นด้วยความกลัว

                “แล้วมันทำร้ายพวกนายรึยังถึงได้ไปทำมันขนาดนี้ ขนมน่ะแบ่งให้มันกินหน่อยไม่ได้เหรอ ไม่สงสารมันเหรอไง ไม่นึกเหรอว่ามันอดข้าวมากี่วันแล้ว แล้วพวกนายก็ยังไม่กระทืบมันแบบนี้อีก ถ้ามันตายพวกนายจะมีบาปไปชั่วชีวิต แล้วถ้ามันตายมันจะเป็นผีมาหลอกนาย ไม่กลัวเหรอห๊ะ?” ผมว่ากล่าวตักเตือนเด็กพวกนั้นยาวยืดราวกับเป็นพ่อแม่มาเอง พร้อมขู่ให้พวกนั้นกลัวจนไม่กล้าทำอีก

                “กะ..กลัวครับ” เด็กพวกนั้นพูดออกมาพร้อมด้วยความกลัวจากใจจริง

                “ดี ทีหลังก็อย่าทำอีกล่ะกัน อ่ะพี่ให้เป็นค่าขนมที่เจ้าตูบมันแย่งขนมพวกนายกินล่ะกัน” ผมพูดยิ้มๆที่เห็นเด็กพวกนี้เชื่อฟังพร้อมควักเงินให้เด็กพวกนั้นจำนวนหนึ่ง

                “ขอบคุณครับ พี่หน้าสวย” เด็กคนหนึ่งพูดขอบคุณด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เอ๊ะ? แต่เดี๋ยวนะ เมื่อกี้เด็กนี่ว่าไงนะ อะไรสวยๆ แต่ ช่างมันเถอะๆ

                “ไม่เป็นไร อย่าลืมนะอย่าทำอีก” ผมย้ำอีกครั้งพลางเอื้อมมือไปยีหัวเด็กนั้นเบาๆ เด็กพวกนั้นเลยยิ้มกว้างให้ผมอย่างไร้เดียงสา

                “เอาล่ะ กลับบ้านไปได้แล้ว นี่เริ่มเย็นแล้วเดี๋ยวพ่อแม่เป็นห่วงนะ” ผมพูดพลางยิ้มให้เด็กพวกนั้น

                “ครับผม สวัสดีครับ” เด็กพวกนั้นพูดพร้อมกันแล้วยกมือไหว้ผมก่อนที่จะวิ่งกลับบ้านไปเหลือแต่ผมกับเจ้าตูบที่นอนหมดแรงจมกองเลือด

                ผมค่อยๆเดินเข้าไปหามันช้าๆ ผมยื่นมือไปใกล้มันช้าๆ ก่อนที่มันจะลืมตาขึ้นมาแล้ววิ่งไปอยู่ตรงมุมตึกพร้อมส่งเสียงขู่ผม ตัวมันสั่นด้วยความกลัว มันคงกลัวว่าผมจะไปทำร้ายมันอีกคนล่ะมั้ง

                “ใจเย็นๆนะ ชั้นไม่ทำอะไรแกหรอกนะ ชั้นมาช่วยแก” ผมพูดพร้อมเดินไปหามันช้าๆ แต่มันก็ยังส่งเสียงขู่พลางแยกเขี้ยวใส่ผม มันเดินถอยหลังจนติดกับกำแพงนั้น แต่มันก็ยังคงขู่ผมอย่างหวาดกลัว

                “ชั้นไม่ทำอะไรแกหรอก เชื่อชั้นนะชั้นมาดี” ผมพูดพร้อมส่งยิ้มหวานให้มัน ตอนนี้ผมนึกว่าตัวเองบ้านะคุยกับหมาเนี่ย แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกว่ามันฟังผมรู้เรื่อง

                หมาตัวน้อยค่อยๆเดินออกจากมุมตึกนั้นช้าๆ ผมนั่งยองๆพลางเอื้อมมือไปทางมัน หมาตัวน้อยค่อยเดินเข้ามาในอ้อมแขนของผมช้าๆ แล้วมันก็ทิ้งตัวลงนอนในอ้อมแขนของผม ผมค่อยๆอุ้มมันขึ้น ก่อนที่จะพาไปหาสัตว์แพทย์ ไม่รู้ทำไม ผมถึงรู้สึกผูกพันกับหมาตัวนี้จัง..

                ตอนนี้ผมกำลังรอเจ้าตูบที่กำลังนอนอยู่ในห้องผ่าตัด คิดดูสิว่ามันหนักขนาดไหนต้องผ่าตัดเนี่ย เด็กพวกนั้นคงมือหนักตีนหนักเกินเด็ก หรือไม่ก็ไอหมานี้คงใจเสาะไป หรืออาจจะเป็นทั้งสองอย่าง จะว่าไปหมานี่ก็หน้าสงสารเหมือนกันนะ ยังเล็กอยู่เลยดันมาเร่ร่อนแบบนี้ คงถูกเจ้าของทิ้งหรือไม่ก็หลงมา

                ระหว่างที่ผมรอไม่นานคุณหมอก็ออกมาจากห้องผ่าตัด พร้อมอุ้มเจ้าตูบที่กำลังหลับพริ้มอย่างสบายอารมณ์

                “สุนัขของคุณปลอดภัยแล้วนะครับ ระวังแค่อย่าให้แผลโดนน้ำโดยตรงก็พอ แล้วก็เชิญไปรับยาที่ช่องสามนะครับ ตอนนี้หมอขอตัวก่อนนะครับ” หมอบอกอย่างเป็นมิตรพร้อมยิ้มกว้างให้ผม ก่อนที่จะยื่นหมาตัวน้อยส่งให้ผม ซึ่งผมก็รับไว้ เจ้าตูบถูกพันไปด้วยผ้าพันแผลรอบท้องของมัน คาดว่าน่าจะเป็นแผลที่หมอผ่าตัด

                “ขอบคุณครับ” ผมพูดพลางยิ้มส่งให้หมอเป็นการขอบคุณ ผมอุ้มเจ้าตูบไปที่ช่องรับยาอย่างที่หมอบอก ก่อนที่จะรับยาแล้วจ่ายเงิน จากนั้นก็อุ้มเจ้าตูบเดินกลับบ้าน

                ผมตัดสินใจแล้วครับว่าผมจะเลี้ยงมันไว้เองจนกว่าจะตามหาเจ้าของมันเจอ แต่ตอนแรกผมต้องรักษามันให้หายดีก่อนแล้วค่อยตามหาเจ้าให้มัน ถ้าไม่เจอผมก็เลี้ยงมันไว้นั่นแหละ ผมสามารถครับ ไม่ต้องห่วง ยังไงผมก็ดูแลมันได้ เชื่อสิ

                ผมอุ้มเจ้าตูบเข้าบ้านโดยมีแม่บ้านของตระกูลมาเปิดประตูให้พร้อมวางสิ่งที่อยู่ในอ้อมกอดของผมไม่วางตา

                “สุนัขใครเหรอคะคุณหนู?” ป้าแม่บ้านถามขึ้นเมื่อเห็นหมาที่อยู่ในอ้อมอกของผม เฮ้อ แล้วเมื่อไหร่ป้าเขาจะเลิกเรียกผมว่าคุณหนูซักที

                “หมาผมครับ ผมเจอมันโดนทำร้ายเลยเอากลับมาเลี้ยง แล้วป้าครับเลิกเรียกผมว่าคุณหนูได้แล้วนะครับ บอกแม่บ้านทุกคนเลยนะครับ” ผมว่าก่อนที่จะเดินเข้าไปภายในตัวบ้าน ทิ้งให้ป้าเขายืนนิ่งให้ลมพัดหนังเหี่ยวๆนั่นกระเพิ่มเล่น = =

                “นั่นหมาใครหนะ? เอาเข้าบ้านมาทำไม? สกปรก” เสียงแหลมสูงจนแสบแก้วหูดังขึ้นเมื่อผมก้าวเข้าบ้าน เฮ้อ ยัยนั่นอีกแล้ว

                “หมาของพี่ แล้วมันก็ไม่ได้สกปรกด้วย” ผมไปมองที่เชิงบันไดที่ที่น้องสาวของผมยืนกอดอกอยู่

                “สกปรกสิ แล้วอีกอย่างเราก็มีหมาอยู่ตั้งหลายตัวแล้ว สวยๆทั้งนั้น พี่จะไปเอาหมาเน่านี่เข้ามาทำไมอีก” ปากสีชมพูที่ถูกแต่งด้วยลิปสติกขยับเบาพลางส่งสายตาเหยียดหมาในอ้อมกอดผม

                “พี่ไม่ชอบหมาพวกนั้น เพราะพี่ชอบเจ้านี่มากกว่าชัดเจนนะ แล้วไม่ต้องพูดอะไรอีกทั้งนั้น เพราะพี่เป็นคนเลี้ยงไม่ใช้เธอ เฟาล” ผมพูดเสียงเรียบ ก่อนที่จะอุ้มเจ้าตูบขึ้นห้องโดยผ่านตัวน้องสาวคนเล็กไป

                ผมเดินไปทางห้องของผมโดยผ่านแม่บ้านที่เข้าไปทำความสะอาดห้องพี่ฟอซ พี่ชายคนโต แม่บ้านก็โค้งให้ผมทีละคน จนสุดทางเดินนั่นก็คือห้องของผม

                “อะไรกัน กลับบ้านมาไม่คิดจะเข้าไปทักพี่ที่ห้องเลยเหรอ?” จู่ๆก็มีเสียงทุ้มนุ่มดังมาจากหลังของผม เมื่อผมหันไปก็พบกับพี่ชายที่กำลังยืนยิ้มอย่างอ่อนโยนให้ผม

                “ผมไม่อยากกวนพี่นี่ครับ” ผมตอบพลางยิ้มให้เขา พี่เขาเหมือนพ่อครับ ใจดี อบอุ่น แต่เมื่อโกรธ จากเทพบุตรก็กลายเป็นซาตานทันที แต่พี่เขาก็เป็นอีกคนหนึ่งที่เข้าใจผมมากที่สุดรองจากแม่..

                “กวนอะไรกัน เราเป็นพี่น้องกันนะ พี่อยากคุยกับเรานะ”  เสียงทุ้มที่คล้ายกับพ่อดังออกจากปากของพี่ผมอีกครั้ง มือเรียวโอบไหล่ของผมก่อนที่จะส่งยิ้มให้อีกครั้ง

                “ครับ” ผมตอบเบาๆก่อนที่จะเดินตามร่างสูงเข้าไปที่ห้องของเขา

                ห้องของพี่เป็นห้องที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาสามพี่น้อง จึงมีห้องทำงานในตัว ภายในห้องถูกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สีขาวที่ตัดกับผนังและเพดานที่เป็นสีดำกับเทา มีกำแพงกั้นระหว่างห้องทำงานและห้องนอน ห้องทำงานมีทั้งโต๊ะเก้าอี้ทำงานสีเข้ม และ ชั้นวางหนังสือที่ใหญ่พอจะวางหนังสือได้ซักพันเล่ม ไม่สิ ซักห้าพันเล่ม เพราะผมอ่านมันมาหมดแล้ว ส่วนห้องนอนมีเตียงเดี่ยวสไตล์โมเดิร์นตั้งตระหง่านอยู่กลางห้อง แล้วมีตู้เสื้อผ้ากับห้องน้ำในตัว จะว่าไปผมก็ไม่ได้เข้าห้องพี่มาหลายวันแล้วนะตั้งแต่เรียนจบเนี่ย ผมมาเข้ามานั่งเล่นนอนเล่นในห้องนี่มาตั้งแต่เด็ก มาอ่านหนังสือทั้งห้าพันเล่ม บางเล่มผมก็อ่านซ้ำมาหลายรอบแล้ว ผมชอบเข้ามาอ่านหนังสือตอนที่พี่เขาทำงาน พี่ฟอซกับผมอายุห่างกันสิบปี ใช่ครับ คุณฟังไม่ผิดหรอกสิบปีจริงๆ ส่วนเฟาลอายุน้อยกว่าผมห้าปี ซึ่งตอนนี้ก็ 17 อยู่ม.ปลายเรียนก็ไม่วันๆ ไม่เหมือนพี่ฟอซ พี่เขาทำงานตั้งแต่อายุ 15 ปี ทั้งทำงานและเรียนไปด้วย พี่ผมเก่งใช่ไหมล่ะ ตั้งแต่ตอนนั้นผมก็สนิทกับพี่เขามาตลอด จนถึงตอนนี้ก็..17ปีแล้วครับ นานเนอะ อ่า นี่ผมพล่ามมาหลายบรรทัดแล้วนะ

                “ไงเรา หางานได้ไหม จะว่าไปนั่นหมาใครอ่ะ?” เสียงนุ่มของพี่ฟอซปลุกให้ผมหลุดออกจากภวังค์ก่อนที่เขาจะนั่งลงเก้าอี้ตรงโต๊ะทำงานในท่าทางสบายๆอย่างที่พนักงานในบริษัทไม่เคยเห็น

                “ไม่ได้ครับ ส่วนนี่หมาผมที่เก็บมาเลี้ยง” ผมตอบพลางเดินไปนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามพี่เขา

                “อ้อ ทำไมไม่ได้ล่ะ “ เขาถาม

                “เขาบอกว่างานผมมันไม่มีอารมณ์ บอกอย่างนี้ทุกสำนักเลย” ผมว่าพลางทำปากจู๋

                “จริงเหรอแย่จัง เดี๋ยวคืนนี้พี่ขออ่านงานเราหน่อยนะว่ามันไม่มีอารมณ์ตรงไหน” พี่ฟอซพูดพร้อมยีหัวผมแรงๆ หัวยุ่งหมดแล้วครับพี่ ลืมบอกว่าพี่ฟอซเป็นที่ปรึกษาของผมในเรื่องนี้ด้วยนะครับ เพราะเราชอบการทำแบบนี้เหมือนๆกัน เพียงแต่ว่าพี่เขาชอบอ่านมากกว่าเขียนเท่านั้นเอง

                “ได้ครับ” ผมตอบรับพลางยิ้มหวานให้เขา

                “แล้วจะเลี้ยงเจ้านี้จริงๆเหรอ บ้านเรามีหมาเยอะแล้วนะ” พี่ฟอซว่าพลางชี้มาทางเจ้าตูบที่หลับสบายในอ้อมอกของผม

                “ครับ ผมสงสารมัน มันยังเล็กเลยอยากเลี้ยงไว้อ่ะครับ” ผมตอบพร้อมก้มหน้ามองแล้วลูบหัวมัน

                “งั้นก็เลี้ยงดีๆล่ะกัน อย่าให้มันไปใกล้หมาของเฟาลนะ เจ้านั่นตัวใหญ่กว่าเยอะเลย” พี่ฟอซเตือนด้วยความเป็นห่วงก่อนที่จะลุกขึ้นไปหยิบหนังสือเล่มหนึ่งมาให้ผม จะว่าเป็นหนังสือหนึ่งในห้าพันเล่มก็ไม่ใช่เพราะผมไม่เคยเห็นแล้วก็พี่เขาหยิบออกมาจากลิ้นชักโต๊ะทำงานของเขา

‘มหัศจรรย์รักเจ้าชายซาตาน’ ไม่ค่อยจะโปรโมตเลย= =[เป็นชื่อเรื่องที่ไรท์ยังไม่เปิดนะคะ ขอดูกระแสของเรื่องนี้ก่อน : ไรท์ ]

                 ผมรับหนังสือเล่มนั้นมาแล้วมองด้วยความสงสัย

                “พี่เห็นว่ามันสนุกดีเลยให้เราอ่านมันอาจจะเป็นแรงบันดาลใจให้เราได้มีไอเดียที่ไม่เหมือนใครก็ได้หรือไม่ก็มีเพียงเราคนเดียวที่ทำได้” พี่ฟอซบอกพร้อมยิ้มอ่อนโยนให้

            ผมคุยกับพี่ซักพักแล้วค่อยขอตัวกลับห้องเนื่องจากตอนนี้มันค่ำแล้ว ผมควรจะกลับห้องแล้วอาบน้ำแล้วเอาเจ้าตูบลงไปกินข้าวด้วย ตอนนี้ประมาณทุ่มกว่าๆแล้ว ผมอุ้มเจ้าตูบกลับห้องล็อกประตูอย่างที่เคยทำก่อนจะวางเจ้าตูบลงบนเตียงนุ่มแล้วคว้าผ้าขนหนูเข้าห้องน้ำเพื่อชำระร่างกายหลังจากที่เหนื่อยมาทั้งวัน

..

..

..

                หลังจากที่ผมอาบน้ำเสร็จผมก็พันผ้าขนหนูไว้รอบเอวแล้วค่อยเดินออกมาจากห้องน้ำ ผมกะว่าจะมาเล่นกับเจ้าตูบแต่มันไม่ได้อยู่บนเตียงของผมแล้ว มันหายไปไหนไม่รู้ ตาเรียวของผมมองกวาดไปทั่วห้องหาเจ้าตูบของผม

                “มองหาผมอยู่เหรอ?” เสียงทุ้มดังมาจากด้านหลังของผม เมื่อผมหันไปก็เห็นชายร่างสูงผิวขาว จมูกโด่งเป็นสัน หุ่นนักกีฬาแล้วเขาไม่ใส่เสื้อผ้า!

                แต่เรื่องนั้นผมไม่ซีเรียสหรอก แค่สงสัยว่าเขาเข้ามาได้ยังไงแล้วหมาผมไปไหน ผมว่าผมล็อกห้องอย่างดีแล้วนะ

                “นายเป็นใคร แล้วเข้ามาในห้องชั้นได้ยังไงเนี่ย??” ผมว่าพลางเดินถอยพร้อมตั้งการ์ดมองหน้าคนตัวสูงที่กำลังยิ้มหวานไม่วางตา

                “ก็คุณอุ้มผมเข้ามา” เขาบอกพลางขยับมาหาผมช้าๆ บ้าและ ตัวอย่างควายใครมันจะอุ้มไหว ที่กูอุ้มมามันมีแต่หมาเฟ้ย

                “ชั้นจำได้ว่าชั้นอุ้มหมาเข้ามาไม่ใช่นาย” ผมว่า

                “ผมนี่แหละหมาที่คุณอุ้มมา” เขาบอกพลางกระดิกหางที่สะโพกอย่างน่ารัก ใช่! คุณฟังไม่ผิดหรอก เขากำลังกระดิกหาง แล้วผมก็พึ่งสังเกตเห็นว่าเขามาหูหมาด้วย!!!!

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา