ลูนาเซีย แห่งอาซาเดีย
เขียนโดย ลมพัดผ่าน
วันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2558 เวลา 15.55 น.
แก้ไขเมื่อ 8 มีนาคม พ.ศ. 2558 16.01 น. โดย เจ้าของนิยาย
บทนำ
แวมไพร์เผ่าพันธุ์ต้องสาป หลายคนเชื่อว่าแวมไพร์มีชีวิตที่เป็นอมตะและสามารถคงความเยาว์วัยไว้ได้ แม้เวลาจะดำเนินผ่านเป็นร้อยปี พวกเขาหรือเธอมีรูปร่างไม่แตกต่างจากมนุษย์ชายหญิงทั่วไป ความงดงามไร้ที่ติคือสิ่งสะกดให้ผู้จ้องมองต้องยอมศิโรราบ แต่สีผิวที่ซีดเผือดเหมือนคนไม่สบายเป็นจุดสังเกตแรกที่แตกต่าง ที่เป็นเช่นนั้นเพราะพวกมันกลัวแสงแดดซึ่งสามารถฆ่าชีวิตอมตะได้ ยามค่ำคืนจึงเป็นเวลาที่พลังของพวกมันแสดงได้มากที่สุด และยังเป็นช่วงเวลาไล่ล่าเหยื่อของพวกมัน ส่วนเหยื่อที่โปรดปรานคือเลือดมนุษย์ โดยใช้ฟันงอกแหลมแทงทะลุผิวเนื้อเพื่อดื่มเลือดจนหมด การกระทำเช่นสัตว์ป่านี้ทำให้ความหวาดกลัวแผ่กระจายไปในเหล่ามนุษย์ เพราะเรี่ยวแรงที่มีมหาศาล ผิวกลายทานทนทำให้มนุษย์ธรรมดายากที่จะต่อกร
ขณะเดียวกันมีคนเล่าว่าเลือดของแวมไพร์เป็นเสมือนยาวิเศษ ไม่ว่าจะเจ็บปวดใกล้ตายแค่ไหนก็สามารถรักษาให้หายขาดได้ในพริบตา ราวกับว่าไม่เคยมีความเจ็บปวดนั้นมาก่อน แต่ก็ต้องแลกด้วยค่าตอบแทนที่สูงยิ่ง ...ชีวิตต้องสาป
ในที่สุดความหวาดกลัวถูกเปลี่ยนเป็นความกล้าหาญ เมื่อมนุษย์กลุ่มหนึ่งหาญกล้าลุกขึ้นมากวาดล้างเผ่าพันธุ์ป่าเถื่อนนี้จนหมดสิ้นนำความสันติสุขกลับคืนสู่มวลมนุษยชาติอีกครั้ง
หนังสือตำนานแวมไพร์ถูกปิดลงเมื่อเด็กสาวอ่านบรรทัดสุดท้ายของเรื่องจบลง ดวงตาคู่สวยปิดลงช้าๆ อย่างผ่อนคลายความอ่อนล้าจากการอ่าน เวลาผ่านไปนานแค่ไหนไม่รู้ที่เธอเอาแต่นั่งอยู่กลางสวนเขียวภายในคฤหาสน์หลังใหญ่ จากไออุ่นยามเช้าแปรเปลี่ยนเป็นแสงจ้าของรอบวัน
ดวงตาสีม่วงลืมขึ้นก่อนสะดุดเข้ากับพุ่มไม้ที่ไหวตัวห่างออกไปด้านหน้า กระต่ายขาวตัวน้อยใช้ดวงตาสีแดงจ้องมองแล้วผลุบหายเข้าไปในพงหญ้าเดิม
“เดี๋ยวสิ”
เด็กสาววางหนังสือเล่มไม่หนาไม่บางลงพื้นข้างตัว แล้วออกวิ่งตามเจ้าตัวน่ารัก ยิ่งวิ่งเข้ามาต้นไม้ที่ขึ้นรายรอบยิ่งดูหนาตาจนแสงส่องลงมาไม่ถึง แถมดูเหมือนจะคลาดกันกับเจ้าตัวเล็กตัวนั้นซะแล้ว
ขนาดที่สายตาสอดส่ายไปทั่วอย่างไม่อยากยอมแพ้ไปง่ายๆ หญิงสาวในอาภรณืสีแดงเลือดที่ขับผิวขาวของเจ้าหล่อนให้ยิ่งสว่างจนดูเหมือนขาวซีดเข้ามาอยู่ในรัศมีสายตาแทน
...สีผิวกลับซีดเหมือนคนไม่สบาย...
บนท่อนแขนเรียวเล็กมีนกตัวน้อยสีสวยเกาะอยู่ เสียงเจื้อยแจ้วเหมือนกำลังบอกเล่าอะไรบางอย่างให้หญิงสาวตรงหน้าฟัง เหมือนเจ้าตัวจะรู้สึกถึงสายตาที่จับจ้องใบหน้าสวยไร้ที่ติแต่ซีดเซียวเช่นผิวกายหันมาประสานสายตาด้วย ความเย็นเชียบแล่นเข้าครอบคลุมร่างเล็ก เด็กสาวเหมือนถูกแช่แข็งด้วยดวงตาคู่สวยที่สบมองกันอยู่
...ความงดงามไร้ที่ติคือสิ่งสะกดให้ผู้จ้องมองต้องยอมศิโรราบ...
“เด็กน้อยผู้น่าสงสาร” หญิงสาวขยับเรียวปากเบาจนไม่น่าจะได้ยิน แต่เสียงเจ้าหล่อนกลับดังราวมายืนกระซิบข้างหู ชัดเจนทุกถ้อยคำ
เหมือนมนต์สะกดจางหาย เด็กสาวก้าวถอยหลังตามสัญชาตญาณ แต่ดวงเนตรเข้มยังไม่อาละออกจากหญิงสาวที่เดินเข้ามาใกล้ขึ้นทุกทีอย่างระแวดระวัง
ผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดา... สัญชาตญาณยังคงกรีดร้องเตือนให้ขาเรียวถอยหลังและวิ่งหนีจากตรงนั้นให้เร็วที่สุด แต่สายตาที่ทรยศกลับไม่ยอมให้เธอได้ทำเช่นนั้น
“หยุดนะ!” เสียงหวานของหญิงสาวร้องขึ้นอย่างตระหนก มือบางยื่นมาเหมือนจะไขว่คว้า แต่ร่างเล็กกลับเสียการทรงตัว พื้นดินที่ควรจะอยู่ใต้ฝ่าเท้ากลับว่างเปล่า ยังไม่ทันที่สมองจะได้ประมวลผลใดๆ ร่างเล็กก็ลอยละลิ้วลงสู่เบื้องล่าง
ความเจ็บปวดที่แทรกเข้ามาทุกประสาทสัมผัสคือสิ่งเดียวที่บอกให้เธอรู้ถึงที่มาของความเจ็บปวดนี้ ผาสูงอยู่เหนือขึ้นไปจากสายตาที่เริ่มพร่าเลือน น้ำเหนียวข้นเริ่มไหลทะลักจากบาดแผลที่มีมากกว่าหนึ่งแห่ง
“ไม่นะ! อย่าตายนะ! ข้าขอโทษเด็กน้อยที่น่าสงสาร” น้ำเสียงร้อนรนดังขึ้นใกล้ๆ ในขณะเดียวกันก็รู้สึกได้ถึงสัมผัสอ่อนโยนจากคนที่ทรุดนั่งลงข้างกาย คำพูดขอความช่วยเหลืออยากจะดังลอดแต่กลับไร้สุ่มเสียงใด มันยากเกินกว่าที่จะเปล่งออกมาเป็นถ้อยคำเมื่อความเจ็บปวดแสนสาหัสนี้ยังเฝ้าโจมตีเธออยู่ร่ำไป
“ข้าจะไม่ให้เจ้าตายเด็ดขาด แม้เมื่อเจ้าฟื้นขึ้นมาแล้วอาจจะรังเกียจสิ่งที่ข้ามอบให้ ...ลูน่า”
เสียงสุดท้ายดังเข้ามาในโสตประสาทที่กำลังจะวูบดับ พร้อมของเหลวอุ่นที่ไหลเข้ามาในปากที่ถูกบีบให้เปิดอ้ารับ รสชาตอเฝื่อนไหลลงลำคอช้าๆ ความทรมานที่ได้รับเหมือนจะเริ่มเบาบาง สุดท้ายความนึกคิดและประสาทสัมผัสทุกอย่างก็ดับลงดั่งกล่องที่ถูกปิดให้เหลือแต่ความมืดมิด
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ