"เสด็จพ่อเพค่ะ ลูกนำพวงมาลาดอกมะลิมาถวายเพค่ะ"
เสียงน้อยของพระธิดาวัย7ชันษาเอ่ยขึ้น เมื่อจะขึ้นเฝ้าพระราชบิดาและพระมารดาพร้อมด้วยมาลัยพวงน้อยในมือเล็กๆของเด็กหญิงผู้มีเค้าโครงใบหน้าสวยคมถอดมาจากจิตราสูรพระราชบิดาแห่งพระองค์ แต่มีเพียงดวงพระเนตรเท่านั้นที่อ่อนโยนและเข้มแข็งเหมือนสุวรรณรัศมี ผู้เป็นแม่
"แก้วกุสุมา นี่ลูกร้อยเองรึ??"
เสียงเอ่ยถามของพระราชบิดาทำให้ธิดาน้อยมุ่นหน้าด้วยความน้อยพระทัย
"เสด็จแม่เพค่ะ เสด็จพ่อไม่เชื่อในฝีมือลูก"
แก้วกุสุมาทรงเอ่ยถามผู้เป็นมารดา ทำให้สุวรรณรัศมีถึงกับอดยิ้มในความน่ารักน่าชังของบุตรีไม่ได้ ดูเหมือนว่ายิ่งเจริญชันษาเพียงใด พระราชบุตรีก็ยิ่งช่างเจรจายิ่งนัก
"พ่อก็แค่ตรัสถามด้วยด้วยความประหลาดใจที่ไม่เคยเห็นพวงมาลาพวงไหนสวยงามกว่าพวงมาลาของลูกเท่านั้นเอง"
องค์จิตราสูรทรงตรัสแก่พระราชบุตรี ก่อนจะทรงใช้พระหัตถ์อุ้มพระธิดามาประทับที่พระเพลา ท่ามกลางเสียงหยอกล้อตามประสาพ่อ แม่ ลูก ท่ามกลางสายตาอาฆาตแค้นและชิงชังของโฉมสุรางค์!! หารู้ไม่ว่าช่วงเวลาแห่งความสุขกำลังของทั้งสามกำลังจะหมดไป
ยามทิวากาลผันเปลี่ยนเป็นราตรี ราชธิดาน้อยยืนมองดวงจันทราที่สุกสกาวท่ามกลางดวงดาวนับร้อยพันอยู่บนแผ่นฟ้าสีดำสนิทคล้ายกับทักทายกัน
"คิดอะไรอยู่เหรอเพค่ะ พระธิดา"
วิชุตาเอ่ยวาจาถามร่างน้อยเมื่อเห็นพระธิดายังไม่บรรทมสักที
"เปล่าคิด"
แก้วกุสุมาตอบก่อนจะเดินมายังเตียงเพื่อบรรทม ทางด้านวิชุตาเมื่อรู้ว่าพระธิดาทรงบรรทมแล้ว จึงนำความไปกราบทูลสุวรรณรัศมี เมื่อคนเป็นแม่เมื่อรู้ว่าลูกหลับแล้วจึงค่อยๆเข้ามายังเตียงที่พระธิดานอนอยู่
"แก้วกุสุมา ลูกเปรียบดั่งน้ำทิพย์ชโลมใจแม่ ถ้าแม่ขาดลูกไป แม่คงอยู่ไม่ได้แน่"
สุวรรณรัศมีเอ่ยกับเด็กน้อยที่นอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียง ไม่รู้ทำไมนางถึงกล่าวเช่นนั้น สุวรรณรัศมีมองร่างน้อยด้วยใจห่วงหาอาทรเหมือนว่าแก้วกุสุมากำลังจะจากไป
'นี่เราเป็นไรไปนี่ คิดมากทำไม แก้วกุสุมาไม่หายไปไหนหรอก'
สุวรรณรัศมีกล่าวก่อนจะเดินออกจากห้องของพระธิดาน้อยไป
เมื่อเห็นพระมารดาเสด็จออกจากพระตำหนักแล้ว ราชธิดาจอมซนก็แอบหัวเราะด้วยดีพระทัย ก่อนจะเสด็จลงจากแท่นบรรทมแล้วดำเนินไปยังหน้าพระแกล (หน้าต่าง) เพื่อที่จะกระทำการบางอย่าง ก่อนที่ร่างน้อยจะนึกย้อนไปเมื่อ2วันก่อนที่สุวรรณรัศมีพาพระราชบุตรีประพาสยังสระอโนดาตพร้อมด้วยนางกำนัลจำนวนหนึ่ง
2วันก่อน
'เสด็จแม่เพค่ะ ที่นี่คือที่ใดเพค่ะ'
แก้วกุสุมาเอ่ยถามผู้เป็นมารดาในขณะที่สายตาทอดมองไปยังสระน้ำใหญ่ที่มีพันธุ์ไม้นานาชนิดขึ้นบริเวณรอบสระ ทำให้แสงของดวงอาทิตย์ไม่สามารถสาดแสงส่องลงมาได้
'ที่นี่คือสระอโนดาต สระที่ไม่ถูกแสงอาทิตย์ส่องให้ร้อนไงเล่า แก้วกุสุมา'
'ถ้าเป็นเช่นนั้นน้ำในสระอโนดาตก็ไม่ร้อนสิเจ้าค่ะ งั้นลูกขอลงเล่นน้ำนะเพค่ะ เสด็จแม่'
'จ้ะ ลูกลองชวนวิชุตาไปด้วยสิ'
แก้วกุสุมาเมื่อคิดถึงการประพาสในครั้งนั้นก็อยากไปเห็นสระอโนดาตในครารัตติกาลบ้าง ว่าจะมีบรรยากาศเป็นเช่นไร
ยักษณกินรีน้อยกางปีกนกสีขาวนวลขลิบทองก่อนจะโผบินออกสู่นอกพระแกลยามราตรี
#เกร็ดความรู้
สระอโนดาด
---พระจันทร์และพระอาทิตย์ เมื่อโคจรผ่านทางทิศทักษิณหรือทิศอุดร ก็โคจรผ่านไปตามระหว่างภูเขา ส่องแสงไปในที่นั้น แต่เมื่อโคจรไปตรงๆ ก็ไม่ส่องแสง เพราะเหตุนั้นนั่นแหละ สระนั้นจึงเกิดบัญญัติชื่อว่า
สระอโนดาด แปลว่า
พระอาทิตย์ส่องไปไม่ถึง.ที่สระอโนดาดนั้นมีท่าสำหรับอาบน้ำ มีแผ่นศิลาเรียบน่ารื่นรมย์ใจ ไม่มีปลาหรือเต่า มีน้ำใสดังแก้วผลึก เป็นของอันธรรมชาติตกแต่งไว้ดีแล้ว เป็นที่ๆ พระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระขีณาสพ พระปัจเจกพุทธเจ้าและฤาษีผู้มีฤทธิ์ทั้งหลายสรงสนาน เทวดาและยักษ์เป็นต้นก็พากันเล่นน้ำ ทั้ง ๔ด้านในสระนั้น มีมุขอยู่ ๔ มุข คือสีหมุข หัสดีมุข อัศวมุข พฤษภมุขอันเป็นทางที่แม่น้ำทั้ง ๔ สายไหลไป.
---ที่ฝั่งแม่น้ำด้านที่ไหลออกทางสีหมุข มีราชสีห์อยู่มาก.
---ที่ฝั่งแห่งแม่น้ำด้านที่ไหลออกทางหัสดีมุขเป็นต้น มีช้าง ม้าและโคอุสภะอยู่มาก.
---แม่น้ำที่ไหลออกจากทิศตะวันออก ไหลเวียนขวาสระอโนดาด ๓ เลี้ยว แล้วเลี่ยงแม่น้ำอีก ๓ สาย ไหลไปยังถิ่นที่ไม่มีมนุษย์ ทางป่าหิมวันต์ด้านทิศตะวันออก และทางป่าหิมวันต์ด้านเหนือ แล้วไหลลงสู่มหาสมุทร.
---แต่แม่น้ำที่ไหลออกทางทิศตะวันตกและทิศเหนือ ก็เวียนขวาเช่นนั้นเหมือนกัน ไปยังถิ่นที่ไม่มีมนุษย์ ทางป่าหิมวันต์ด้านทิศตะวันตกและป่าหิมวันต์ด้านเหนือ แล้วไหลลงสู่มหาสมุทร.
แต่แม่น้ำที่ไห
ลออกทางมุขด้านใต้ เวียนขวาสระอโนดาดนั้น ๓ เลี้ยวแล้วก็ไหลตรงไปทางทิศเหนือ เป็นระยะทาง ๖๐ โยชน์ ไปตามหลังแผ่นหินนั่นแหละ ปะทะภูเขาโลดขึ้นเป็นสายน้ำ โดยรอบประมาณ ๓ คาวุต ไหลไปทางอากาศ เป็นระยะ ๖๐ โยชน์ แล้วตกลงที่แผ่นหินชื่อว่าติยัคคฬะ แผ่นหินก็แตกไป เพราะความแรงแห่งสายน้ำ.
---ในที่นั้นเกิดเป็นสระใหญ่ ชื่อว่าติยัคคฬะขนาด ๕๐ โยชน์.
---กระแสน้ำพังทำลายฝั่งสระ แล้วไหลเข้าแผ่นหินไประยะ ๖๐ โยชน์.
---ต่อแต่นั้นก็เซาะแผ่นดินทึบเป็นเป็นอุโมงค์ไป ๖๐ โยชน์ แล้วปะทะติรัจฉานบรรพต ชื่อว่าวิชฌะ แล้วกลายเป็น ๕ สาย ประดุจนิ้วมือ ๕ นิ้วที่ฝ่ามือฉะนั้น.
---ในที่ๆ สายน้ำนั้นเลี้ยวขวาสระอโนดาด ๓ เลี้ยวแล้วไหลไป เรียกว่าอาวัตตคงคา.
---ในที่ๆ ไหลตรงไป ๖๐ โยชน์ ทางหลังแผ่นหิน เรียกว่ากัณหคงคา.
---ในที่ไหลไปทางอากาศ ๖๐ โยชน์ เรียกว่าอากาสคงคา.
---ในที่ที่หยุดอยู่ในโอกาส ๖๐ โยชน์ บนแผ่นหินชื่อว่าติยัคคฬะ เรียกว่าติยัคคฬโปกรณี.
---ในที่ที่เซาะฝั่งเข้าไปสู่แผ่นหิน ๖๐ โยชน์ เรียกว่าพหลคงคา.
---ในที่ที่ไหลไป ๖๐ โยชน์ ทางอุโมงค์เรียกว่าอุมมังคคงคา.
---ก็ในที่ที่สายน้ำกระทบติรัจฉานบรรพต ชื่อวิชฌะแล้วไหลไปเป็นสายน้ำ ๕ สาย ก็ถือว่าเป็นแม่น้ำทั้ง ๕ คือ คงคา ยมุนา อจีรวดี สรภู มหี.
---พึงทราบว่า แม่น้ำใหญ่ ๕ สายเหล่านี้ย่อมไหลมาแต่ป่าหิมวันต์ด้วยประการฉะนี้.
ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะค่ะ
ท่านสามารถติชมนิยายเรื่องนี้ได้ที่กล่องคอมเม้นท์ด้านล่างนะค่ะ