หฤทัยเสน่หา

9.8

เขียนโดย เอเจลิส

วันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2557 เวลา 19.42 น.

  8 ตอน
  12 วิจารณ์
  11.47K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2557 19.51 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) ขอพรจากเซท เทพเจ้าต้องห้าม!

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ตอนที่4 ขอพรจากเซท เทพเจ้าต้องห้าม!

 

                “นี่คิดจะนอนแช่น้ำอยู่ในสระ ไปจนถึงตอนเย็นเลยหรือค่ะ? รัน..”

                “อืมม์..”

                 “เอ๋!?..พูดจริงหรือนั้น! อุตส่าห์เดินทางไกลมาจนถึงอียิปต์ทั้งที แต่จะไม่ออกไปเที่ยวที่ไหนเลยแบบนี้ มันน่าเสียดายออกนะค่ะ..” ส้มโอเอ่ยพูดขึ้นมาอย่างนึกเสียดายโอกาสแทนเพื่อนสาวผู้เป็นรุ่นพี่ของตน ซึ่งขณะนี้กำลังนอนลอยคอแช่น้ำอยู่ในสระน้ำขนาดหย่อม ไม่ยอมออกไปเที่ยวที่ไหน ทั้งที่คนอื่นๆในกลุ่มพากันออกไปตั้งแต่เช้ามืด..

                ..รัตมณีเหลือบสายตามองเพื่อนรุ่นน้องของตน ที่กำลังนั่งทำโปรเจคจบการศึกษาของตัวเอง อยู่ที่โต๊ะหินอ่อนซึ่งอยู่ไม่ห่างจากสระน้ำที่เธอกำลังนอนลอยคอแช่มากนัก อยู่ชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเหนื่อยๆ..

                “เสียดายเหรอ? ไม่เลยสักนิด.. เพราะอย่างไงตั้งแต่แรกฉันก็ไม่ได้ตั้งใจจะมาที่นี่อยู่แล้ว ก็แค่อยากจะไปที่ไหนก็ได้ที่มันอยู่ห่างไกลจากที่เดิมๆที่ฉันเคยอยู่.. แล้วฉันก็ไม่ค่อยถูกกับอากาศร้อน ดังนั้น.. นอนอืดอยู่ที่นี่นะดีแล้วล่ะ! ขืนทะเล่อทะล่าออกไปตะลอนเหมือนกับพวกลุงๆ ป้าๆ มีหวังคงได้กลายเป็นหมูปิ้งอยู่ที่อียิปต์จริงๆล่ะคราวนี้”

                “.......”

                “ว่าแต่เธอเถอะส้มโอ ไม่ออกไปเที่ยวกับพวกลุงกริซหรือไง?”

                “แหม..รันล่ะก็! นี่แกล้งถามกันหรือเปล่าค่ะ? ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่านักศึกษาปีสุดท้ายที่ต้องทำโปรเจคจบนะงานยุ่งพอๆ กับพวกCEOของบริษัทใหญ่เลยนะค่ะ”

                “แต่คงไม่มีCEOบ้าคนไหน..? จะขนงานตัวเองแพ็คใส่กระเป๋า และหนีเที่ยวแบบนี้หรอก!”

                “ฮ่าๆ เอาน่าๆ.. ทุกอย่างมันก็ต้องมีหย่วนกันบ้างสิค่ะ..? รันไม่เคยได้ยินหรือไงค่ะ ที่ศาสนาพุทธเขาบอกว่า.. สายพินตึงเกินไปก็รั้งแต่จะขาด หย่อนเกินไปก็ฟังไม่ไพเราะ..”

                “โทษที.. แต่ฉันนับถือคริสต์ไม่รู้เรื่องของศาสนาพุทธหรอก”

                “เอ๋..จริงหรือค่ะ?”

                “โกหกครึ่งหนึ่งนะ..”

                “.......?”

                “สายพินตึงเกินไปก็รั้งแต่จะขาด หย่อนเกินไปก็ฟังไม่ไพเราะ ต้องไม่ตึงและไม่หย่อนเกินไปถึงจะพอดี หมายถึงการเดินไปในเส้นทางสายกลาง”

                “เอ๋..รู้แบบถึงแกนเลยนี่น่า!”

                “แต่อย่างเธอนะเรียกว่าหย่อนยานสุดๆเลยล่ะนะ..”

                “แหมๆ ก็ว่าไปนั้น..แต่จะว่าไปแล้วถึงรันจะไม่ออกไปเที่ยวตอนกลางวัน แต่สามสี่วันมานี้ตอนช่วงกลางคืน ก็เห็นออกไปกับคุณซาอิดตลอดเลยนี่เนอะ..”

                “ถ้าเธอกำลังคิดว่าฉันออกไปเที่ยวกับเจ้าบ้านั้น.. ขอบอกว่าผิดถนัด!

                “อ้าว..ไม่ใช่หรือค่ะ? แล้วถ้าอย่างงั้นออกไปไหนกันทุกคืนเลยล่ะค่ะ..?”

                “ทำงานนะสิ!..

                “........?”

                “เธอคิดว่าคนอย่างฮิมมาล ซาอิด กลอเฟียเรีย.. จะให้ฉันกับเธอมาพักที่บ้านหรูของมันแบบฟรีๆ หรือไงกัน..? ไม่มีทางซะหรอก! หมอนั้นมันเค็มตัวพ่อเลย แค่อ้าปากบอกว่าจะให้ทางโรงแรมลดราคาที่พักให้กับพวกลุงกริซ แล้วยังให้ฉันกับเธอมาพักที่บ้านหรูของตัวเองอีก ฉันก็รู้แล้วว่าเจ้าบ้านั้นมันต้องหลอกฉันมาใช้งานอย่างแน่นอน เฮ้อ..แต่ก็เอาเถอะ! จะให้อภัยก็ได้ เพราะมีสระน้ำสบายๆ และแอร์เย็นฉ่ำแบบนี้..”

                ..ส้มโอฟังคำพูดของคนเป็นเพื่อนรุ่นพี่ ที่แฝงความไม่สบอารมณ์อยู่เป็นนัยๆ แล้วก็หลุดยิ้มออกมาอย่างนึกขำ ก่อนจะเผลอขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยอย่างนึกสงสัย เมื่อเจ้าตัวรู้สึกสะดุดใจเข้ากับคำพูดบางอย่างของคนเป็นรุ่นพี่ พร้อมทั้งเอ่ยถามขึ้นมา ในขณะร่างสูงโปร่งก็หอบสมุดโน้วตที่ตนเองเขียนคัดลอกข้อความค้างเอาไว้อยู่ พามานั่งคัดลอกต่อที่ริมสระน้ำที่คนเป็นรุ่นพี่ของตนเองกำลังดำผุดดำว่ายอยู่ เพื่อที่จะคุยกับอีกฝ่ายได้สะดวกขึ้น..

                “ที่ว่าทำงานเนี่ยหมายถึงทำงานอะไรเหรอค่ะ?”

                “ก็ผ้าทอที่เป็นกิจการของหมอนั้นไงล่ะ..”

                “เอ๊ะ? แต่ถ้าจำไม่ผิด.. บริษัทเอนเคย์กรุ๊ปที่รันเป็นรองประธานอยู่ ทำธุรกิจเกี่ยวกับงานอสังหาริมทรัพย์ และงานด้านการค้าอัญมณีนี่น่า.. ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยนะว่า เอนเคย์กรุ๊ปเปิดตลาดสินค้าผ้าทอด้วย”

               “ที่ไม่เคยได้ยิน ก็เพราะว่าไม่ได้ทำนะสิ..”

                “.......?”

                “สมัยตอนฉันไปเที่ยวบ้านของซาอิด ฉันเผอิญดันปากมากไปวิจารณ์ ผลงานผ้าทอใหม่ของหมอนั้นที่มันแสนจะภูมิใจเข้านะ!.. หลังจากนั้นก็ไม่รู้ทำไมเลยซวยโดนทั้งเจ้าซาอิด และคนในครอบครัวของเจ้าบ้านั้น โยนงานการตรวจสอบผลผลิตผ้าทอใหม่มาให้อยู่ตลอดเลย แต่ก็ถือเป็นจ็อบที่ไม่เลวเลยล่ะ.. เพราะถึงเจ้าบ้านั้นจะเค็มไปทุกรายละเอียดจนมหาสมุทรเรียกพี่ แต่พอเป็นเรื่องค่าจ้างในการทำงาน กลับจ่ายแพงแบบสุดๆ”

                “นี่แสดงว่าเซ้นท์ด้านการมองผ้าของรัน คงต้องดีเยี่ยมแน่ๆเลยล่ะค่ะ.. ว่าแต่รันเคยบอกว่าตัวเองไม่เคยมาบ้านของคุณซาอิดที่อียิปต์ ไม่ใช่หรือค่ะ?”

                “อืมม์ ก็ใช่นะสิ..”

                “แต่ว่าเมื่อกี้รันพูดว่าไปเที่ยวบ้านของคุณซาอิดนี่น่า?”

                “แล้วฉันบอกเธอตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? ว่าไปเที่ยวบ้านหมอนั้นที่อียิปต์ ฉันไปบ้านหมอนั้นที่อิตาลีต่างหาก..”

                “ฮ่าๆ ก็ว่าอยู่..อย่างรันไม่น่าจะยอมไปเที่ยวเมืองร้อน แต่ครั้งนี้ที่รันเผลอหลวมตัวมาด้วย นับว่าเป็นโชคดีของฉันเลยนะค่ะเนี่ย! เพราะฉันกำลังกลุ้มอยู่เลยว่าจะขอให้ใครเป็นที่ปรึกษาทำโปรเจคครั้งนี้ ได้รองประธานยักษ์ใหญ่อย่างรันมาเป็นที่ปรึกษาให้ ถือได้ว่าโปรเจคนี้ ก้าวหน้าไปถึงห้าสิบเปอร์เซ็นต์เลยนะค่ะ”

                “ตอนนี้ฉันเป็นอดีตรองประธานไปแล้ว”

                 “เอ๊ะ..ลาออกแล้วหรือค่ะ?”

                “ถูกไล่ออกต่างหาก!”

                “เฮ..อย่างรันเนี่ยนะค่ะถูกไล่ออก! อำกันเล่นหรือเปล่าค่ะเนี่ย..?”

                “เรื่องจริง ไม่ใช่ตัวแสดงแทนเลยล่ะ! ตอนนี้ฉันเป็นแค่สาวร่างยักษ์ตกงาน เป็นหมาจรจัดที่ไม่มีใครเอา อาจไม่เหมาะจะเป็นที่ปรึกษาของเธอก็ได้นะ ส้มโอ..” รัตมณีเอ่ยพูดจบประโยคราบเรียบ ก็นิ่งเงียบไปชั่วครู่หนึ่ง เมื่อเห็นรุ่นน้องของตนหลุดเสียงหัวเราะออกมา ราวกับเห็นเรื่องที่เธอพูดออกไปเมื่อสักครู่นี้เป็นเรื่องตลกขำขัน.. ก่อนร่างสูงอวบจะดำลงไปใต้กระแสน้ำอยู่เนิ่นนานพักใหญ่ จนกระทั่งอากาศเริ่มจะหมด ร่างสูงอวบของรัตมณีจึงถึงจะยอมโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ แต่แล้วคิ้วเรียวบนใบหน้าสวยของหญิงสาวก็ต้องเผลอขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เมื่อพบว่าที่ริมขอบสระน้ำขณะนี้ไม่ได้มีแค่ร่างบอบบางของเพื่อนรุ่นน้องเหมือนเคย แต่ทว่ายังมีร่างสูงบึกบื่นของเพื่อนชายของตน ผู้เป็นเจ้าของบ้านพักหรูหราแห่งนี้ ซึ่งไม่รู้ว่าโผล่มาตั้งแต่เมื่อไหร่ กำลังยืนก้มหน้ามองดูแผ่นกระดาษอะไรบางอย่าง ที่เพื่อนรุ่นน้องของเธอกำลังอ่านอยู่..

                “หลวงปู่เขียว เจ้าแม่แห่งวังทอง ศาลพ่อป่า เจ้าพ่อดำ เด็กจุก ศาลเจ้าแม่พุ่มพวง เสาน้ำมันวัดศิริน ศาลเจ้าแม่ศรีสุวรรณ หลวงปู่คำ ทางสามแพร่งวัดโคก เขาทองคำ เออ..นี่มันเอกสารอะไรหรือค่ะรัน?”

                “.......”

                “เป็นเอกสารสำคัญหรือเปล่าค่ะ? คือว่า..ขอโทษนะค่ะ เมื่อกี้ฉันเผลอทำมันโดนน้ำ คือฉันไม่ทันเห็นว่ามันสอดอยู่ในสมุดโน้ตของรัน..”

                “ไม่ต้องขอโทษหรอก เพราะกะจะเผาทิ้งอยู่แล้วล่ะ..” รัตมณีเอ่ยพูด พร้อมกับยื่นมือไปดึงแผ่นกระดาษดังกล่าวมาจากมือของรุ่นน้อง และจุ่มกระดาษแผ่นดังกล่าวลงไปในสระน้ำ ก่อนจะขย่ำเป็นก้อนกลมๆ ในขณะเอ่ยพูดต่อขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “นี่เป็นรายชื่อสถานที่ศักดิ์สิทธิ์นะ..”

               “สถานที่ศักดิ์สิทธิ์? อย่างรันเองก็มีเรื่องที่จะขอกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ด้วยหรือค่ะเนี่ย?”

                “อืมม์! ก็นะ.. ฉันกะว่าจะไปขอแฟนหล่อๆสักคนหนึ่ง เพราะไม่มีปัญญาจะหาเองแล้วนะ”

                เอ๋!..ขอแฟน!!?”

                ..รัตมณีมองเพื่อนรุ่นน้อง และเพื่อนชายของตนที่พร้อมใจกันเปล่งเสียงออกมา แล้วก็นึกอยากกระโดดถีบคนทั้งคู่ให้หายหมั่นไส้สักที โดยเฉพาะเพื่อนชายตัวดีของเธอที่หัวเราะเสียงดังลั่นห้องอาบน้ำ!.. รัตมณีมองพวกเพื่อนของตนอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะก้มมองก้อนกระดาษในมือของตน พร้อมทั้งเอ่ยพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงกึ่งขบขันตัวเอง..

               “คนที่จะใช้คำเรียกขานว่าแฟน ไม่ใช่สิ่งที่จะหากันได้ง่ายๆเลยนะ..”

                “........”

                “ขนาดว่าลงทุนโพสในเน็ตที่เขาว่าเจอคู่รักได้ง่ายดาย แต่คนที่ฉันเจอก็ดันมีแต่พวกบ้ากามตัณหากลับ ทำให้บริษัทรับจ้างสารพัดจะรวยฮือซ่าก็เพราะฉันอยู่แล้ว เลยลองเปลี่ยนวิธีมาสมัครเว็บหาคู่ดู แต่ว่าก็เจอแต่พวกมองเพียงแค่รูปโฉมภายนอกกับทรัพย์สมบัติ หรือไม่ก็เป็นพวกตัณหากลับอยู่ดี สุดท้ายฉันก็เลยหวังจะขอกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ไม่ว่าจะไปขอที่ไหนก็เหลวทุกที..หึหึๆ แถมศาลที่ฉันไปสวดอ้อนวอนขอแฟน ก็ยังมีอันเป็นไปต้องพังลงมาทุกทีด้วยสิ!”

                “ฮ่าๆ ผมว่าพระเจ้าคงอยากจะบอกกับรันจังว่า.. รันจังมีเพื่อนสุดหล่ออย่างผมอยู่แล้ว! ดังนั้น.. จึงไม่มีใครเหมาะจะเป็นแฟนของรันจังได้อีกแล้วอย่างไงล่ะครับ”

                “อ่อเหรอ..งั้นแปลว่าถ้ากำจัดนายออกไปจากชีวิตของฉันได้! พระเจ้าของนายก็คงจะยอมมอบแฟนหล่อๆ ให้ฉันสักคนสินะ..? ตุ๊บ!..” รัตมณีเอ่ยพูดจบประโยค ก็ปาก้อนกระดาษชุ่มน้ำใส่ใบหน้าหล่อๆ ของเพื่อนชายของตนทันที แต่ทว่าเจ้าเพื่อนตัวดีของเธอก็ดันหลบทันสักงั้น แถมยังหัวเราะร่าใส่เธอเป็นการเยาะเย้ยอีก ทำให้รัตมณีฉุนกึกรีบปีนขึ้นมาจากสระน้ำ แล้ววิ่งตามไล่ชกอีกฝ่ายที่วิ่งหนีไปเรื่อย พร้อมกับหันมายั่วแหย่เธอไม่ยอมหยุด แต่ทว่าพอจับตัวร่างสูงบึกบื่นของเพื่อนชายเอาไว้ได้ และกำลังจะเสยสักหมัดให้หายเคือง คำพูดเปรยลอยของเพื่อนรุ่นน้อง ก็กลับทำให้รัตมณีต้องหยุดชะงักหมัดที่กำลังจะประเคนให้กับเพื่อนสนิทของตนทันควัน!

                “จะว่าไปที่อียิปต์ก็มีเทพเจ้าที่ขึ้นชื่อเรื่องความรักนะค่ะ ทำไมรันไม่ลองไปขอกับท่านดูล่ะค่ะ? คราวนี้อาจจะได้ตามที่ขอจริงๆก็ได้นะค่ะ..”

                “เทพเจ้า..? อียิปต์ส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามนี่น่า.. แล้วในศาสนาอิสลามมีเทพเจ้าด้วยหรือ?”

                “ผมคิดว่าคุณส้มโอ คงจะกำลังหมายถึงเทพเจ้าแห่งอียิปต์โบราณมากกว่านะครับรันจัง..”

                “ใช่แล้วค่ะคุณซาอิด..”

                “หืมม์?..ถ้าพูดถึงเทพเจ้าของอียิปต์โบราณ มีเยอะชนิดที่ว่าพื้นที่ภายในห้องนี้ ก็ยังยืนกันไม่พอเลยด้วยซ้ำนะ แล้วแบบนี้ฉันต้องใช้เวลากี่วันกันล่ะ? ถึงจะสวดอ้อนวอนขอแฟนได้ครบหมดทุกองค์..”

                “ฮ่าๆ รันนี่น่าจะไปเอาดีด้านตลกคาแฟ่นะค่ะ ทำฉันฮาได้ตลอดเลยหึหึๆ..ฉันนะไม่ได้ให้รันไปขอกับเทพเจ้าทุกองค์หรอกนะค่ะ แต่ว่าจะให้ขอกับเทพแห่งความรัก ท่านเทพีไอซิสแค่องค์เดียวต่างหากล่ะค่ะ”

                “พูดอะไรของเธอนะส้มโอ..?”

                “เอ๊ะ?”

                “ถึงจะเป็นเทพแห่งความรัก แต่ก็ไม่ได้มีแค่เทพีไอซิสสักหน่อยนะ แต่ว่ายังมีเทพีคาเดช เทพีฮาเธอร์ นอกจากที่ว่ามาก็ยังมีอีกเพียบเลย แล้วอันที่จริงเทพีไอซิสก็เป็นเทพีที่ถูกกล่าวว่า เป็นสัญลักษณ์แห่งความซื่อสัตย์ต่อสามี และเป็นเทพีที่เชี่ยวชาญในด้านเวทมนต์ ไม่ใช่เทพีแห่งความรัก แต่ที่พระนางถูกกล่าวขานในด้านของความรัก ก็มีสาเหตุมาจากความรักของพระนางที่มีต่อเทพโอซิริส ผู้เป็นสวามีของพระนางต่างหากล่ะ..”

                “โห..รู้ละเอียดยิบเลย! รันทำฉันอึ้งอีกแล้วนะค่ะเนี่ย.. ไม่คิดเลยว่ารันที่เกลียดเมืองร้อนอย่างอียิปต์ จะรู้ประวัติศาสตร์ของอียิปต์ละเอียดถึงขนาดนี้ เหลือเชื่อชะมัดเลย นี่ถ้าบอกว่ารันอ่านอักษรโบราณของอียิปต์ อย่างอักษรไฮเออโรกลิฟิคได้ ฉันคงต้องก้มลงกราบงามๆ สักหนึ่งครั้งเป็นแน่เลย”

                “นั่นก็อย่ามัวเสียเวลาอยู่เลย เชิญเธอก้มลงกราบงามๆ สักหนึ่งครั้งได้ตามสบาย ฉันไม่ขัดข้องอยู่แล้ว..”

                 “เอ๋!..เอาจริงดิ?”

                “เคยบอกไปแล้วใช่ไหม? ว่าฉันโดนเจ้าบ้าซาอิดมันกรอกข้อมูลของประเทศนี้ใส่สมอง ชนิดที่ว่าถ้าเป็นคอมพิวเตอร์ก็คงพังไม่เหลือซาก! แล้วเธอคิดหรือว่าเรื่องแค่นี้ หมอนี้มันจะละเว้นฉันหรือไง..?” รัตมณีเอ่ยพูดแล้ว ก็เสยหมัดเข้าที่ตรงหน้าท้องของเพื่อนชาย ซึ่งหัวเราะเสียงดังลั่นขึ้นมา หลังจากได้ฟังประโยคคำพูดของเธอ

                “เอ๋!!คุณซาอิดอ่านอักษรไฮเออโรกลิฟิคได้ด้วยหรือค่ะ?”

                “ครับคุณส้มโอ..”

                “......!!!”

                “คุณปู่ของผม ท่านเป็นนักอียิปต์วิทยา และนักภาษาศาสตร์นะครับ ทำให้ผมได้รับอิทธิพลมาบางส่วน แต่ว่าไม่แตกฉานเหมือนกับรันจังหรอกครับ เพราะรายนี้อัจฉริยะของแท้ครับ สามารถอ่านอักษรยากๆ พวกนี้ได้คล่องแคล้ว จนถึงขนาดว่าคุณปู่ของผมอยากได้เป็นหลานแทนผมเลยล่ะครับ”

                “ฉันไม่ได้อัจฉริยะอะไรหรอก แต่นายมันโง่และขี้เกียจจนเกินเยียวยาต่างหากล่ะ! เจ้าบ้าซาอิด..”

                “โห..รันจังใจร้าย! ผมไม่ได้ขี้เกียจสักหน่อย แต่ตอนที่เรียนตอนนั้นอากาศมันร้อน จนชวนหลับนี่น่า..”

                “หืมม์..ไม่ยอมรับว่าขี้เกียจ แต่ยอมรับว่าโง่สินะนาย?”

                “รันจังปากร้ายจริงๆ คุณส้มโอดูสิครับ!.. รันจังแกล้งผมอีกแล้ว”

                “ฮ่าๆ ทั้งสองคนสนิทกันดีจังนะค่ะ เห็นแล้วน่าอิจฉาชะมัดเลยค่ะ”

                “ถ้าอิจฉาล่ะก็..ฉันยกให้เลย!” รัตมณีเอ่ยพูดพร้อมทั้งผลักร่างสูงบึกบื่นของเพื่อนชาย ไปหาร่างบอบบางของเพื่อนรุ่นน้องของตน แต่ไม่รู้เป็นเพราะออกแรงมากไปหรือเปล่า จึงทำให้คนทั้งสองเสียหลักตกลงไปในสระน้ำด้วยกัน

                ..ตูม! ซ่า!..

                เสียงน้ำในสระที่กระเซ็นขึ้นมาเพราะร่างของคนสองคนที่ตกลงไป ทำให้รัตมณีถึงกับอ้าปากเหวอ ก่อนจะหลุดเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างนึกขำแกมรู้สึกโล่งอก เมื่อเห็นว่าเพื่อนทั้งสองของตน โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำในสภาพเปียกปอนแต่ไร้ซึ่งบาดแผล ก่อนจะยกมือขึ้นโบกไปมาให้กับเพื่อนชายของตน ที่กำลังอยู่ในอาการน็อตหลุดโวยวายใส่เธอเป็นภาษาอิตาเลี่ยน ซึ่งเป็นภาษาบ้านเกิดของเจ้าตัว พร้อมทั้งเอ่ยพูดทิ้งท้าย ก่อนจะเดินออกไปจากห้องอาบน้ำกลางแจ้ง ตรงไปยังห้องนอนส่วนตัวของตน ที่เพื่อนชายของตนเองได้จัดไว้ให้..

               “ขอบใจนะส้มโอ ไว้ฉันจะลองไปขอแฟนกับเทพเจ้าของที่นี้ อย่างที่เธอว่าแล้วกัน ส่วนนาย.. ไว้เจอกันตอนค่ำๆนะซาอิด ช่วงกลางวันมันร้อนตับแลบ ฉันขอไปนอนตากแอร์เย็นๆ ในห้องนอนก่อนแล้วกัน อ่อ!.. และก็ฉันบอกนายไปตั้งหลายครั้งแล้วนะซาอิด ว่าหูของฉันมันไม่กระดิกกับภาษาอื่น ในช่วงที่อากาศร้อนๆ นอกจากภาษาไทยกับอังกฤษเท่านั้น ดังนั้น.. ต่อให้นายแหกปากด่าฉันเป็นภาษาอิตาเลี่ยนไปจนถึงเย็น ฉันก็คงไม่เก็ทกับนายหรอกนะ ไอ้บ้า!”

               “ขนาดว่าไม่เข้าใจนะนั้น..” ซาอิดเอ่ยพูดขึ้นมาอย่างนึกขำเพื่อนสาวคนสนิทของตน ที่ท้ายประโยคเล่นพูดภาษาอิตาเลี่ยนชัดถ้อยชัดคำใส่หน้าคนที่เป็นเจ้าของภาษาอย่างเขา ก่อนจะส่ายหน้าไปมา ในขณะดวงตาคู่คมก็มองตามร่างสูงอวบที่เดินจากไปด้วยแววตายิ้มๆ แต่ว่าคำพูดของหญิงสาวที่กำลังปีนขึ้นไปนั่งขอบสระ ก็ทำให้ชายหนุ่มต้องหันมาสนใจหญิงสาวตรงหน้าของตนเอง

               “คุณซาอิดชอบรันหรือค่ะ?”

               “ต้องบอกว่ารักมากกว่านะครับ”

               “.......”

               “ในฐานะเพื่อน..”

               “เอ๊ะ..ไม่ใช่คนรักหรอกหรือค่ะ?”

               “คุณส้มโอคิดว่า.. รันจังคิดแบบนั้นกับผมอย่างนั้นหรือครับ?”

               “........” แม้จะไม่ได้เอ่ยตอบออกมาเป็นคำพูด แต่ส้มโอก็ส่ายหน้าทันทีให้กับคำถามดังกล่าวของชายหนุ่ม และนั่นก็ทำให้ซาอิดหลุดเสียงหัวเราะดังลั่นออกมา ในขณะที่ปีนขึ้นมาจากสระน้ำ

               “จะให้ผมแต่งงานกับรันจัง ผมก็พร้อมเสมอ ถ้าหากนั้นเป็นสิ่งที่รันจังต้องการล่ะก็นะ.. แต่ในเมื่อรันจังต้องการผมเพียงแค่ในฐานะเพื่อนสนิท ผมก็ยินดีจะเป็นแค่เพื่อนสนิทของเธอ เพราะการได้อยู่กับรันจัง ได้รักเธอไม่ว่าจะในฐานะอะไรก็ตาม ผมก็รู้สึกว่าตัวเองมีความสุขมากที่สุดแล้วล่ะครับ”

               “.......”

               “อาจจะฟังดูงี่เง่าไปสักหน่อยนะครับ คุณส้มโอ.. แต่ผมรู้สึกกับรันจังแบบนี้มาตลอดไม่เคยเปลี่ยนแปลง มาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว..

               “......?” ส้มโอแอบเผลอขมวดคิ้วเล็กน้อย กับคำพูดท้ายประโยคของชายหนุ่ม แต่หญิงสาวก็ให้ข้อสรุปกับตัวเองว่า ชายหนุ่มคงจะหมายถึงช่วงเวลาตอนสมัยเรียน ที่อีกฝ่ายได้พบกับเพื่อนรุ่นพี่ของตน แต่ทว่าหากส้มโอได้มองสบกับดวงตาคู่คมของชายหนุ่มในขณะนี้สักนิดหนึ่ง เธออาจจะต้องเปลี่ยนความคิดของตนเองเสียใหม่ เพราะว่าดวงตาคู่คมของชายหนุ่ม ที่มองออกไปนอกบานกระจกใสของช่องหน้าต่าง มันเหมือนราวกับว่ากำลังเหม่อมองออกไป ยังที่ไกลแสนไกลที่ไม่ใช่ที่แห่งนี้..

 

               ..เวลา 19.21 นาฬิกา..

                “อา..ในที่สุดเวลาแห่งความบันเทิงใจของฉันก็มาถึงได้สักที! อียิปต์ตอนกลางคืน จงเจริญ!..

                “รันนี่ยังกับแวมไพร์เลยนะค่ะ..” ส้มโอเอ่ยพูดขึ้นมาอย่างนึกขำ เมื่อเห็นเพื่อนสาวรุ่นพี่ของตน ซึ่งตลอดช่วงกลางวันที่ผ่านมาอยู่ในท่าทีหมดเรี่ยวหมดแรง แต่ตอนนี้เจ้าตัวกลับเริงร่ายิ่งกว่าปลาได้น้ำ สั่งโน้นสั่งนี้มารับประทานอย่างเอร็ดอร่อย ซึ่งช่างตรงกันข้าม กับกลุ่มเพื่อนต่างวัยคราวลุงคราวป้า ที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆราวฟ้ากับเหว เพราะทางฝ่ายโน้นช่วงกลางวันเริงร่าสุดๆ แต่พอถึงกลางคืนกลับมีท่าทีหงอยเหงาไปถนัดตา ไม่มีแม้แต่อารมณ์ร่วมไปกับอาหารรสเลิศ ที่ตั้งวางอยู่บนโต๊ะแม้แต่น้อย แถมแต่ละคนยังสวมเสื้อผ้ากันหนาว บวกผ้าห่มผืนหนาเพิ่มไปอีกคนล่ะผืน จนทำให้ตอนนี้แต่ละคนดูคล้ายจะกลายเป็นมัมมี่อยู่ร่อมร่อ! ส้มโอเห็นแบบนั้นแล้ว ก็อดหัวเราะเสียงดังขึ้นมาไม่ได้..

               “ฮ่าๆ กลางคืนเป็นช่วงบันเทิงใจของรัน แต่สำหรับคนแก่อย่างพวกลุงกริซ.. คงเป็นช่วงหมดไฟสินะค่ะ? ..ฮ่าๆ”

               “งั้นเหรอ..?” รัตมณีเอ่ยพูดขึ้นมา ในขณะที่ตักปลาย่างราดซอสเข้าปากเป็นคำสุดท้าย พร้อมทั้งยกมือขึ้นกวักเรียกบริกรหนุ่มที่กำลังรับออเดอร์ของลูกค้าที่นั่งอยู่ที่โต๊ะด้านในสุด ก่อนจะยกแก้วน้ำเย็นขึ้นดื่มหนึ่งอึก พร้อมทั้งเอ่ยพูดกับเพื่อนชายวัยกลางคนของตน ซึ่งลุกขึ้นมาจากโต๊ะข้างๆ มานั่งเก้าอี้ตัวข้างๆเพื่อนรุ่นน้องของเธอ.. “อย่างลุงกริซไม่น่าจะหมดไฟง่ายๆหรอกนะ จริงไหมล่ะค่ะ? ลุงกริซ..”

               “ใช่แล้วล่ะครับ! ลุงยังกล้ามฟิตแข็งแรงขนาดนี้ ดังนั้น.. ว่าใครอยู่ในช่วงหมดไฟไม่ทราบครับ? หนูส้มโอ..”

                “แหมๆ นั่นสิว่าใครกันน่า? ว่าแต่ลุงกริซค่ะ.. ชุดนี้เทรนใหม่หรือไงค่ะ? ดูเหมือนมัมมี่เลย..หึหึๆ นี่ถ้าไม่พูดขึ้นมาเนี่ย! หนูคงเผลอนึกว่าโรงแรมนี้เอาร่างมัมมี่มาตกแต่งห้องอาหารสักอีก ฮ่าๆ..โอ๊ย!” ส้มโอเอ่ยพูดแซวเพื่อนชายอายุรุ่นราวคราวลุงของตนอย่างนึกสนุก แต่หญิงสาวก็ต้องเผลอหลุดเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บ เนื่องจากโดนชายวัยกลางคนที่ตนเรียกว่าลุงกริซ เขกกระโหลกเข้าให้หนึ่งที!

                “ว่าแต่ลุง.. หนูส้มโอเองก็ห่อตัวเองจนจะกลายเป็นแหนมมัดอยู่แล้วนะครับ..หึหึๆ”

                “พูดจาแบบนี้ จะชวนตีกันหรือค่ะ? เห็นหนาวๆอย่างนี้.. แต่ส้มโอยังมีแรงเหลือเยอะกว่าลุงกริซเป็นไหนๆ รับรองไม่แพ้อย่างแน่นอน..”

                “จ้าๆลุงเชื่อแล้ว..ว่าแต่หนูรันใส่เสื้อผ้าบางแบบนั้น จะไม่เป็นไรหรือครับ? ระวังจะเป็นหวัดเอานะครับ..”

                “สบายมากค่ะ..” รัตมณีเอ่ยตอบเพื่อนชายต่างวัยของตน ก่อนจะหันไปทางบริกรที่กำลังยืนรอรับออร์เดอร์ของตน พร้อมทั้งเอ่ยพูดสั่งรายการของว่างหลังอาหารมื้อเย็น “..ขอไอศครีมรสชาเขียวชุดใหญ่ กับไอซ์เลมอนที และองุ่นแดงแช่เย็นนะค่ะ”

                “......!?” รายการของว่างที่หลุดออกจากปากของรัตมณี ทำให้บริกรหนุ่มซึ่งทำหน้าที่จดออร์เดอร์รายการอาหาร ถึงกับทำสีหน้าอึ้งอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบผงกศีรษะแล้วเดินกลับไปที่เคาน์เตอร์ เพื่อจัดเตรียมอาหารตามออร์เดอร์ของลูกค้า

                “ลุงเคยแอบคิดนะว่า.. หนูรันอาจจะเป็นมนุษย์จากเมืองหิมะ ที่แอบปลอมตัวมาอยู่กับพวกมนุษย์ธรรมดา”

                “หึหึๆ ดูหนังการ์ตูนมากไปหรือเปล่าค่ะ? ลุงกริซ.. ว่าแต่ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะค่ะ?” รัตมณีเอ่ยแซวชายวัยกลางคนอย่างนึกขำ ก่อนท้ายประโยคจะเอ่ยถาม อย่างนึกสนใจในคำพูดของชายวัยกลางคนขึ้นมา..

                “ก็เพราะว่าทั้งที่ตอนนี้อุณหภูมิอยู่ที่แปดองศาเซสเซียส แต่หนูรันเล่นใส่เสื้อผ้าเหมือนกับตัวเองอยู่ในฤดูร้อนอย่างไงอย่างงั้น แถมยังสั่งของเย็นๆ มากินแบบหน้าตาเฉยอีกนะสิครับ ลุงเห็นแล้วยังรู้สึกหนาวแทนเลย..”

                “หืมม์..ถ้าอย่างงั้นผู้ชายคนที่นั่งอยู่ตรงโน้น ก็คงจะเป็นมนุษย์จากเมืองหิมะ เหมือนกันสินะค่ะ?” รัตมณีเอ่ยพูดพร้อมทั้งบุ้ยปากไปทางชายหนุ่มเจ้าของเส้นผมสีดำยาวสลวย ที่กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะด้านในสุด ซึ่งสั่งรายการของว่างเหมือนกับของเธอเลย ให้ชายวัยกลางคนหันไปมอง ก่อนจะหลุดเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อเห็นชายวัยกลางคนตรงหน้าทำสีหน้าเหวอขึ้นมา ทันทีที่ได้เห็นมนุษย์จากเมืองหิมะอีกคนหนึ่ง นอกเหนือจากเธอ

                “โห..ไม่นึกเลยว่านอกจากรันแล้ว จะยังมีผู้ชายที่เป็นมนุษย์เมืองหิมะอยู่ด้วย! แบบนี้สงสัยว่าต้องเป็นเนื้อคู่กันแน่ๆเลย ไม่ลองเข้าไปทักเขาดูล่ะค่ะรัน..”

                “........” รัตมณีฟังคำพูดของเพื่อนรุ่นน้อง แล้วก็มองตรงไปที่ชายหนุ่มเจ้าของเส้นผมยาวสีดำ ที่กำลังนั่งหันหลังให้กับเธอ ซึ่งอันที่จริงแล้วเธอรู้สึกสะดุดตาชายหนุ่มคนนี้ ตั้งแต่ที่เดินเข้ามาในห้องอาหารแห่งนี้แล้ว และตอนที่หูของเธอบังเอิญได้ยินชายหนุ่มรายนี้ สั่งรายการของว่างซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นของโปรดของเธอทั้งหมด ก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกอยากเห็นใบหน้าของชายหนุ่มคนนี้ขึ้นมาตะหงิดๆ แต่เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายนั่งอยู่คนเดียวที่โต๊ะตลอดครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา ประกอบกับท่าทีที่เหมือนกับอยากอยู่คนเดียว ไม่ต้องการให้ใครทั้งสิ้นเข้ามายุ่มย่ามของอีกฝ่าย จึงทำให้รัตมณีตัดสินใจเลือกที่จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับอีกฝ่าย..

                “ไม่เอาล่ะ..ขี้เกียจ! กินไอศครีมชาเขียวดีกว่า..” รัตมณีเอ่ยพูดตัดบทสนทนา พร้อมกับลงมือรับประทานไอศรีมชาเขียว ที่บริกรนำมาเสิร์ฟให้ทันทีอย่างเอร็ดอร่อย ทว่าเป็นเพราะมัวแต่สนใจไอศครีมที่อยู่ตรงหน้า ทำให้รัตมณีไม่ทันได้สังเกตเห็นเลยว่า ชายหนุ่มผมยาวที่กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะด้านในสุด ผู้ที่ตกอยู่ในหัวข้อสนทนาเมื่อสักครู่นี้ ได้หันมามองทางโต๊ะที่เธอกับเพื่อนกำลังนั่งอยู่..

                ..ดวงตาคู่คมกริบสีดำรัตติกาลของชายหนุ่มผมยาว จ้องมองตรงมาที่ร่างสูงอวบของรัตมณี ที่กำลังรับประทานไอศครีมอย่างเอร็ดอร่อย ด้วยแววตาสั่นระริกไปด้วยความรู้สึกตื่นเต้น ความรู้สึกเศร้าโศก และความรู้สึกปลื้มปิติ ราวกับคนที่ได้พบเจอสิ่งล้ำค่า ที่ตัวเองเฝ้าตามหามานานแสนนาน.. ชายหนุ่มจ้องมองร่างสูงอวบของรัตมณีอยู่เนิ่นนาน และในที่สุดร่างสูงบึกบึ่นก็ตัดสินใจลุกขึ้นจากโต๊ะที่นั่ง เดินตรงมายังโต๊ะของรัตมณี พร้อมทั้งส่งเสียงเอ่ยทักขึ้นมา..

                “หมูน้อยของข้า..

                “รันจัง! ไปกันเถอะครับ.. คนของโรงงานเขาไปรอพวกเราที่โน้นกันหมดแล้วนะครับ”

                “อืมม์ๆ รู้แล้วขอกินไอ้นี้ให้หมดก่อนนะ..” รัตมณีหันไปตอบเพื่อนชายของตน ที่ตระโกนส่งเสียงโหวกเหวกข้ามฟากมาจากโต๊ะทางด้านหลังของเธอ ก่อนหันกลับมาซดไอซ์เลมอนทีจนหมดแก้ว พร้อมทั้งเอ่ยพูดกับเพื่อนสาวรุ่นน้อง และเพื่อนชายต่างวัยคราวลุงของตน ที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกัน “ถ้างั้นไปก่อนนะส้มโอ.. ราตรีสวัสดิ์นะค่ะลุงกริซ พรุ่งนี้ก็เที่ยวให้สนุกเผื่อหนูด้วยนะค่ะ”

                “อ้าว..พรุ่งนี้ก็ไม่ไปกับลุงเหรอครับ?”

                “ไม่ล่ะค่ะ.. หนูไม่ถูกกับอากาศตอนกลางวันของอียิปต์ แล้วอีกอย่างก็รับปากกับซาอิดไปแล้วว่า จะไปดูแบบผ้าทอที่ส่งเข้ามาใหม่ตั้งแต่ตอนเช้ามืดนะค่ะ ดังนั้น.. พรุ่งนี้หนูคงอยู่ที่ฝ่ายการผลิตผ้าทอทั้งวันนะค่ะ”

                “งั้นหรือ? ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวลุงจะซื้อของจากเมืองลุกซอร์ มาฝากก็แล้วกันนะครับ”

                “ขอบคุณค่ะลุงกริซ..” รัตมณีเอ่ยพูดขอบคุณชายวัยกลางคน พร้อมทั้งลุกจากโต๊ะสะพายกระเป๋าเป้ขึ้นบนแผ่นหลังของตน และเดินตรงเข้าไปหาเพื่อนชายของตน ซึ่งยืนคอยอยู่ที่ประตูทางเข้าห้องอาหาร ก่อนจะพากันเดินออกไปจากโรงแรม โดยไม่ทันได้สังเกตเห็นเลยว่าเบื้องหลังของเธอนั้น มีชายหนุ่มร่างสูงบึกบื่น เจ้าของเส้นผมยาวสลวยสีดำ กำลังยืนกัดฟันกรอดมองมาด้วยท่าทีหงุดหงิด..

 

                “จะใช่พระนางจริงๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ? ฝ่าบาท..”

               เสียงพูดของใครบางคน ที่ดังมาจากทางเบื้องหลัง ทำให้ชายหนุ่มร่างสูงเจ้าของเส้นผมยาวสีดำ ที่กำลังทำสีหน้าหงุดหงิด เพราะคนที่ตัวเองอยากจะพูดคุยด้วย ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงเรียกของตัวเขาเลย จำต้องเหลือบหางตาคมไปมองผู้ที่ยืนอยู่ในเงามืดชั่ววูบหนึ่ง ก่อนจะหันเหสายตาคมกริบ กลับมามองยังถนนเบื้องหน้าของตน ที่หญิงสาวกับเพื่อนชายของเจ้าหล่อนเดินจากไป พร้อมทั้งเอ่ยพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แฝงความเย็นชาอยู่เป็นนัยๆ..

               “ข้าเองก็ไม่รู้.. แต่คนที่ทำให้ข้ารู้สึกหงุดหงิด และรู้สึกอยากกอดเอาไว้แน่นๆ ในคราเดียวกันนั้น ในโลกนี้มีเพียงแค่.. รัตมณีหมูน้อยของข้าเท่านั้น!”

               “ในตอนนั้นเทพผู้ก่อบาปสีเลือด ได้ตรัสรับสั่งเอาไว้ว่า.. อิสตรีผู้ที่ไม่กลัวเกรงตนเอง และมีตราสัญลักษณ์แห่งตนประทับอยู่บนเรือนร่างส่วนใดส่วนหนึ่ง ก็คือ.. ผู้ที่พระองค์เฝ้าถวิลหาอยู่ทุกเวลา ถ้าหากผู้หญิงคนนี้เป็นพระนางรันจริงๆล่ะก็.. จะต้องมีตราสัญลักษณ์ของเทพเซท อยู่ที่ไหนสักแห่งบนร่างกายของนางนะพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท..”

               “แล้วเจ้ารู้หรือว่า.. สัญลักษณ์แห่งเทพเซทมีหน้าตาเป็นแบบไหน?”

               “คือว่าเรื่องนั้น..”

               “เพราะไม่มีใครรู้.. เขาถึงได้กล้าบอกกับข้าอย่างไงล่ะ!”

               “ฝ่าบาท..”

               “ช่างเถอะ! เรื่องเจ้าเทพงี่เง่านั้นจะเป็นอย่างไง? ข้าไม่สนใจมาตั้งนานแล้ว.. เพราะต่อให้เจ้านั้นเอาหมูน้อยไปซ่อนไว้ใต้ดิน ข้าก็จะตามไปเอาหมูน้อยของข้า กลับคืนมาจากเจ้านั้นให้จงได้!”    

               “พ่ะย่ะค่ะ.. พวกกระหม่อมเองก็ได้ให้สัตย์สาบานไว้ตั้งแต่วันนั้น ว่าจะติดตามฝ่าบาทไปทุกแห่งหน ไม่ว่าจะเป็นสวรรค์หรือแดนนรก พวกข้ากระหม่อมก็ยินดีจะติดตามข้ามผ่านไป เพื่อตามหาพระนางรันอันเป็นที่รักของพระองค์ และของพวกกระหม่อม ให้พบจงได้!”

 

                ทางด้านรัตมณี.. หลังจากออกมาจากโรงแรม ก็กระโดดขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปกับเพื่อนชายของตน มุ่งหน้าไปยังโรงงานผ้าทอของอีกฝ่ายที่อยู่ทางฝั่งอียิปต์ตอนใต้ ซึ่งใช้เวลาไม่นานมากนัก คนทั้งคู่ก็มาถึงยังโรงงานทอผ้าดังกล่าว..

                “หนาวหรือเปล่าครับ? รันจัง..”

                “ฉันว่าคำถามนี้นายน่าจะถามตัวเองมากกว่านะ ซาอิด..” รัตมณีเอ่ยพูดพลางส่ายหน้าไปมาอย่างเอือมระอาเพื่อนชายของตน ที่ดันทำมาดแมนถอดเสื้อตัวนอกของตัวเอง มาสวมใส่ให้กับเธอ ทั้งที่ตัวเองนั้นกำลังหนาวสั่นเป็นเจ้าเข้าแท้ๆ!.. รัตมณีนิ่งมองเพื่อนชายของตน ที่ปกติมักจะพูดมากจนลิงหลับ แต่ทว่าตอนนี้เจ้าตัวกลับหนาวสั่นจนฟันทุกซี่กระทบเข้าหากันจนพูดไม่ออก แล้วก็อดขำขึ้นมาไม่ได้ ก่อนจะตัดสินใจปลดเสื้อตัวนอกของอีกฝ่าย ที่คลุมอยู่บนไหล่ของตน ส่งคืนให้กับอีกฝ่าย พร้อมกับดึงผ้าพันคอของอีกฝ่าย มาพันรอบลำคอของตนเอาไว้แทน ก่อนจะเอ่ยพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆเหมือนเคย “ของฉันแค่นี้ก็พอ! นายใส่ไปเถอะเดี๋ยวหนาวตายอยู่ตรงนี้ ฉันขี้เกียจห่ามศพนายไปทิ้งแม่น้ำไนล์..”

               “รันจังยังเป็นคนที่ใจดีมากๆ เหมือนกับสมัยก่อนไม่เปลี่ยนไปเลยนะครับ ในบรรดาเพื่อนๆของผมทุกคน ผมนะชอบรันจังที่สุดเลยนะครับ”

               “อ่อเหรอ..ฝันร้ายชัดๆเลยนะเนี่ยที่นายมาชอบฉัน!..หึหึๆ” รัตมณีเอ่ยพูดแล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อเห็นเพื่อนชายของตนแกล้งทำสีหน้างอนใส่ตน ก่อนจะหันไปสนใจแบบผ้าทอที่ตั้งกองอยู่บนโต๊ะ ในขณะริมฝีปากก็ขยับเอ่ยพูดต่อขึ้นมา “แต่ว่าก็ขอบใจนะซาอิด ที่ชอบฉัน..”

               “.......”

               “นายเป็นเพื่อนที่ดีของฉันคนหนึ่งเลยล่ะ! ถึงจะพูดมากจนบางครั้งนึกอยากฆ่าทิ้งก็เถอะนะ..”

               “หึหึๆ ถึงแม้รันจังจะปากร้าย แต่ผมก็รู้ดีว่ารันจังใจดี และแข็งแกร่งยิ่งกว่าใครๆ”

               “.......”

               “ทุกคนถึงได้พากันชอบรันจังอย่างไงล่ะครับ”

               “.......”

               “ว่าแต่รันจังมาอียิปต์ ทำไมไม่พาสตีเฟ่นมาด้วยล่ะครับ..? ได้ยินว่าหมอนั้นก็อยู่ที่ไทยแลนด์เหมือนกันนี่น่า.. หรือว่าไอ้หมอนั้นมันมัวแต่ทำงานจนลืมเพื่อนลืมฝูงไปแล้ว ถ้าเป็นแบบนั้น.. ผมจะโทรไปว๊ากหมอนั้นเดี๋ยวนี้เลย!”

               “อย่านะซาอิด!” รัตมณีเอ่ยพูด พร้อมทั้งยื่นมือไปกระชากโทรศัพท์มือถือมาจากมือของซาอิด ที่กำลังกดต่อสายถึงสตีเฟ่นมากดตัดสายทิ้ง ก่อนที่คนทางปลายสายจะได้รับ..

               “รันจัง..?”

               “สตีเฟ่นไม่รู้หรอกว่าฉันมาที่นี่..”

               “......?”

               “ฉันเขียนจดหมายบอกหมอนั้นไว้แค่ว่า.. จะไปเที่ยวที่ไกลๆ แต่ไม่ได้บอกว่าจะมาอียิปต์”

               “ทำไมล่ะ?”

               “.......”

               “รันจัง..”

               “ฉันไม่อยากให้สตีเฟ่นมาเห็นฉันอยู่ในสภาพสิ้นหวังแบบนี้ รวมทั้งนายด้วย! ซาอิด..”

               “.......”

               “ไม่อยากให้ใครต้องมาเป็นห่วงฉันไปมากกว่านี้อีกแล้วล่ะ..”

               “รันจัง..

               “.......”

               “ฮ่าๆๆ มุกนี้เด็ดมาก!.. ทำเอาผมถึงกับฮากลิ้งเลยนะเนี่ย!

              “......?” รัตมณีมองเพื่อนชายของตนที่หัวเราะเสียงดังลั่นห้อง แล้วก็ถึงกับกลอกลูกตาในเบ้าตาไปมาด้วยความรู้สึกงุนงงสงสัย ว่าตนไปกระตุกเส้นหัวเราะของอีกฝ่ายเข้าหรือไงกัน อีกฝ่ายถึงได้หัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังแบบนี้ แต่แล้วชั่วครู่ต่อมา รัตมณีก็กลับต้องนิ่งอึ้งไปกับคำพูดของคนตรงหน้า ที่เอ่ยพูดขึ้นมาด้วยท่าทีจริงจัง แตกต่างไปจากทุกทีที่มักจะพูดไปเรื่อยเปื่อย..

              “คุณอาจจะไม่รู้ตัวก็ได้นะครับ รันจัง.. แต่ว่าคุณนะเป็นคนที่ไม่เหมาะกับคำว่าสิ้นหวัง ยิ่งกว่าใครๆ ในโลกนี้แล้วล่ะนะ..”

               “........”

              “เพราะอะไรนะหรือ? ก็เพราะคุณเป็นแสงแห่งความหวัง ที่ไม่ว่าจะเป็นเวลาใด.. ก็จะส่องแสงเจิดจ้าไปยังผู้คนรอบข้างอยู่เสมออย่างไงล่ะครับ”

               “.......”

              “ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าผมในขณะนี้.. ไม่ว่าจะเป็นเมื่อก่อน หรือว่าตอนนี้ เธอก็ไม่มีคำว่ายอมแพ้ คำว่าสิ้นหวัง หรือคำว่าเป็นไปไม่ได้อยู่ในหัวของเธอเลยแม้แต่น้อย..”

               “.......”

              “หากต้องการสิ่งใดแล้ว เธอก็จะคว้ามันมาด้วยมือของตัวเองให้จงได้ หากชิงชังสิ่งใดขึ้นมา เธอก็จะทำลายไม่ให้เหลือแม้แต่ซาก นี่แหละคือตัวตนของรัตมณี อังเคย์เคล.. หญิงสาวผู้แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มเพื่อนรักของผม!”

               คำพูดจริงจังของซาอิด ทำให้รัตมณีถึงกับนิ่งอึ้งไปพักใหญ่ ก่อนจะหลุดเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ พร้อมทั้งยกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นมาปิดดวงตาของตัวเอง เพื่อบดบังน้ำใสๆ ที่เอ่อล้นออกมาจากขอบดวงตาของตน ในขณะริมฝีปากบางก็ขยับเอ่ยพูดพึมพำขึ้นมาเบาๆ

                “หึหึๆ ใช่!..ฉันคือรัตมณี อังเคย์เคล คนที่ไม่รู้จักคำว่ายอมแพ้ หรือสิ้นหวัง แม้แต่คำว่าเป็นไปไม่ได้ ก็ไม่มีอยู่ในพจนานุกรมของฉัน..”   

                “.......”

               “ขอบคุณนะซาอิด”

               “ไม่เป็นไรครับ.. จะให้พูดแบบนี้อีกสักกี่ครั้ง? ผมก็ยินดีจะพูดให้คุณฟังเสมอครับ” ซาอิดเอ่ยพูดยิ้มๆ พร้อมทั้งยกมือขึ้นตบลงที่ไหล่ของเพื่อนสาวเบาๆ ก่อนจะเดินออกไปนอกห้อง และหยุดยืนอยู่ที่ริมประตู มองดูเพื่อนสาวคนสนิทของตน ที่กำลังตั้งใจดูตัวอย่างแบบผ้าทออย่างขะมักเขม้น แล้วก็ลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะคลี่รอยยิ้มบางเบาออกมาที่มุมปาก พร้อมทั้งเอ่ยพูดพึมพำขึ้นมา ก่อนจะเดินถอยห่างไปจากบานประตูดังกล่าว ไปยังห้องทำงานของตนเองที่อยู่อีกฟากหนึ่ง..

               “ไม่ว่าเกิดใหม่อีกกี่ชาติ? ข้าก็จะขอให้ได้มาพบกับเจ้า และรักเจ้าเช่นนี้ตลอดไป เจ้านางรัน..

 

                 รุ่งสางของเช้าวันใหม่..

                ..ร่วงสูงอวบของรัตมณีที่นอนคุ้ดคู้ซุกตัวอยู่ใต้โต๊ะทำงาน โดยใช้เศษผ้าทอที่เป็นผ้าตัวอย่าง มาห่มร่างกายของตัวเองเอาไว้ ค่อยๆขยับตัวมุดออกมาจากใต้โต๊ะด้วยท่าทีงัวเงีย พร้อมกับลุกขึ้นยืนยืดเส้นยืดสาย สะบัดศีรษะของตนไปมาเล็กน้อยเพื่อคลายความง่วง ก่อนจะเปิดตาขึ้นเต็มที่เพื่อมองนาฬิกาที่ติดอยู่บนฝาผนังของห้อง..

                “หาว..ยังไม่เช้าหรอกหรือเนี่ย? ถึงว่าไม่เห็นแสงพระอาทิตย์..” รัตมณีเอ่ยพูดพึมพำเบาๆกับตัวเอง ก่อนจะเหลือบสายตาไปมองตัวอย่างผ้าทอที่กองอยู่ใต้โต๊ะ ซึ่งตนลากเอามันมาใช้ห่มแทนผ้าห่มเมื่อคืนนี้ รัตมณีมองตัวอย่างผ้าทอดังกล่าวอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะก้มลงรวบตัวอย่างผ้าทอ ขึ้นมาตั้งวางบนโต๊ะทำงาน ที่มีแฟ้มเอกสารที่เธอโหมทำจนเสร็จตั้งวางอยู่ แต่ทว่าพอเก็บตัวอย่างผ้าทอทั้งหมดขึ้นมาตั้งบนโต๊ะ จึงทำให้รัตมณีเห็นว่า ด้านในลึกสุดของใต้โต๊ะกว้างตัวนี้ มีร่างสูงบึกบึ่นของเพื่อนชายของตน กำลังนอนคุ้ดคู้หลับสนิทอยู่..

                “มานอนตั้งแต่เมื่อไหร่กันล่ะเนี่ย? เฮ..ซาอิด! งานที่นายให้ฉันช่วยเสร็จแล้วนะ ฉันจะกลับไปนอนที่บ้านนายแล้ว เฮ..ตื่นสิซาอิด! ซาอิด! เฮ้อ..ช่างเถอะ! ปล่อยให้นอนอีกสักหน่อยก็แล้วกัน” เมื่อปลุกเพื่อนชายจอมขี้เซาของตนไม่สำเร็จ รัตมณีจึงเลือกที่จะเดินไปเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้า และเดินออกไปนอกออฟฟิค ที่เป็นส่วนหนึ่งของโรงงานทอผ้า..

                “อรุณสวัสดิ์ครับคุณรัตมณี  ตื่นเช้าจังเลยนะครับ..”

               ..รัตมณีหันไปมองยามรักษาการณ์ ที่เอ่ยพูดทักทายตน แล้วก็คลี่ยิ้มให้กับอีกฝ่าย พร้อมทั้งเอ่ยพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสุภาพ..

               “อรุณสวัสดิ์ค่ะ.. พอดีว่าอากาศมันเย็นก็เลยทำให้ตื่นเร็วนะค่ะ ตอนนี้ก็เลยกะว่าจะออกมาเดินเล่นแถวนี้ เพื่อฆ่าเวลาระหว่างที่รอซาอิดตื่นนะค่ะ”

               “ถ้าอย่างงั้นไม่ลองไปที่วิหารของเทพีไอซิสดูล่ะครับ”

               “วิหารเทพีไอซิส เข้าไปดูได้หรือค่ะ.. ไม่ใช่ว่าที่นั้นห้ามเข้าหรอกหรือค่ะ?”

               “ครับ..ปกติก็ห้ามอยู่ครับ อนุญาตให้ถ่ายรูปได้แค่ด้านนอกวิหารเท่านั้น แต่คุณรัตมณีมาได้ถูกจังหวะเลยล่ะครับ เพราะว่าสัปดาห์นี้ เป็นช่วงที่หมู่บ้านในละแวกนี้ เขาจัดงานเทศกาลพืชผลประจำปีของหมู่บ้านนะครับ และวันนี้ก็จะมีการเปิดวิหารเทพีไอซิสให้เข้าไปขอพรนะครับ ป่านนี้ที่นั้นพวกนักท่องเที่ยวสาวๆ คงจะมายืนอ่อกันเต็มแล้วล่ะครับ”

               “เอ๋..ไม่จริงมั่งค่ะ? นี่มันยังไม่เช้าเลยนะค่ะ..”

               “เรื่องจริงเลยครับ..ได้ยินว่าวิหารเทพีไอซิสศักดิ์สิทธิ์มากเลยครับ ขออะไรก็ได้โดยเฉพาะเรื่องความรัก แต่เพราะว่าปีหนึ่งจะเปิดวิหารเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ทำให้วันนี้ของทุกๆ ปี คนแน่นขนัดตั้งแต่เช้ามืดเลยล่ะครับ บางรายก็ถึงกับมานอนกางเต้นท์รอเลยก็มีนะครับ”

               “แหม..โม้กันหรือเปล่าค่ะ? แบบนี้เห็นทีฉันคงต้องไปพิสูจน์ด้วยตาของตัวเองแล้ว ถ้าไม่จริงจะกลับมาให้คุณยามเลี้ยงมื้อเช้าซะเลย!..” รัตมณีเอ่ยพูดแล้วก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะโบกมือให้ยามรักษาการณ์ผู้มีอัธยาศัยดี ที่รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าถ้าตนพูดไม่จริงล่ะก็ จะเลี้ยงข้าวเช้าเธออย่างแน่นอน ซึ่งเธอก็ไม่ได้คิดว่าอีกฝ่ายจะพูดโกหกหรอก แต่ก็ไม่คิดว่าคนมันจะเยอะเว่อร์อย่างที่อีกฝ่ายพูด แต่ทว่าพอเดินเข้าไปในระยะใกล้บริเวณวิหารเทพีไอซิส รัตมณีก็ต้องอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง เมื่อเห็นฝูงชนมากมายกำลังยืนออกันอยู่หน้าวิหาร

               “เอาจริงดิ..” รัตมณีเอ่ยพูดพึมพำออกมาเบาๆ อย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาของตัวเอง แต่ในที่สุดหลังจากตกตะลึงกับจำนวนคนมหาศาล ร่างสูงอวบของรัตมณี ก็แอบไปต่อแถวเข้าวิหารเทพีไอซิสกับเขาด้วยคน..

               ..แต่ทว่ารอแล้วรอเล่า จนกระทั่งดวงตะวันขึ้นสู่บนท้องฟ้า ส่องแสงจ้าลงมายังพื้นดินแล้ว รัตมณีที่ยืนต่อแถวก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะได้เข้าไปในวิหารเทพีไอซิสเลยแต่อย่างใด และยิ่งแสงแดดจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ รัตมณีซึ่งมีศัตรูเป็นแสงพระอาทิตย์มาตั้งแต่เด็ก เริ่มสอดส่องมองหาร่มเงาให้กับตัวเอง และทันใดนั้นดวงตาคู่คมสีฟ้าเข้ม ก็เหลือบไปเห็นซากวิหารหินที่อยู่ถัดไปจากวิหารของเทพีไอซิสพอสมควร ซึ่งไม่มีใครเดินเข้าไปเลยแม้แต่คนเดียว..

               รัตมณีเหลือบมองซากวิหารดังกล่าวอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ซึ่งเธอสังเกตเห็นว่าภายในซากวิหารปรักพังนั้น มีรูปปั้นของเทพเจ้าองค์หนึ่งตั้งตะหง่านอยู่ด้วย ก่อนจะหันเหสายตากลับมามองยังวิหารเทพีไอซิส ที่ตนกำลังต่อคิวเข้าแถวอยู่ แต่แถวที่ว่านั้นเหมือนจะไม่ได้ขยับเขยื้อนเคลื่อนที่มาเป็นชั่วโมงแล้ว และเพราะอากาศที่เริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ บวกกับร่างกายของตนที่เริ่มจะโงนเงนไปมาเพราะอาการลมแดด ทำให้รัตมณีตัดสินใจพาตัวเองเดินออกจากแถวที่ต่อคิวอยู่ และเดินตรงไปยังซากวิหารปรักพังที่อยู่ถัดไป โดยที่ไม่ได้รู้เลยว่าซากวิหารปรักพังดังกล่าว นอกจากเธอแล้ว ก็ไม่มีใครอื่นอีกที่มองเห็น!..

 

               “อย่างไงก็เทพเจ้าเหมือนกัน ถ้างั้นก็ขอกับเทพองค์นี้ก็แล้วกัน..” รัตมณีเอ่ยพูดพึมพำ ในขณะที่เดินตรงไปยังซากวิหารปรักพังที่ตนเห็นอยู่เบื้องหน้า แต่ทว่าพอเดินเข้ามาใกล้ๆ รัตมณีจึงได้รู้ว่าตนมองพลาดไปถนัดตา เพราะสถานที่แห่งนี้ไม่ใช่ซากวิหารอย่างที่เธอคิด แต่น่าจะเรียกว่าเป็นสุสานมากกว่า เพราะภายในซากปรักพังที่เธอคิดว่าเป็นวิหารนั้น ดันมีโลงหินผุพังตั้งอยู่ใจกลางห้องกว้าง ณ.เบื้องหน้ารูปปั้นของเทพเจ้าองค์หนึ่ง ที่เธอมองเห็นมาจากที่ไกลๆเมื่อสักครู่นี้..

               “เอาเถอะ!..จะสุสานหรือวิหารก็ไม่ต่างกันหรอก ว่าแต่เทพองค์นี้ชื่ออะไรกันหว่า?” ท้ายประโยครัตมณีเอ่ยถามตัวเองเบาๆ ในขณะที่เดินเข้าไปใกล้รูปปั้นขนาดมหึมาตรงหน้า และการจะเข้าไปถึงตัวรูปปั้นได้ ร่างสูงอวบจำต้องปีนขึ้นไปยืนบนโลงหินที่ตั้งวางอยู่เบื้องหน้ารูปปั้นดังกล่าว แต่จะเป็นเพราะน้ำหนักที่มากพอตัว หรือเพราะฝาโลงหินผุไปตามกาลเวลาหรือเปล่าก็ไม่อาจรู้ แต่พอร่างสูงอวบของรัตมณีขึ้นไปยืนบนฝาโลงหิน ฝาโลงหินก็มีอันแตกออกจากกัน

               ..เปรี๊ยะ..โครม!..

               “โอ๊ย..เจ็บๆ ฝาโลงบ้าทำจากหินแท้ๆ ก็น่าจะทนหน่อยสิ! แล้วนี่มันอะไรล่ะหว่า..เศษมัมมี่หรือไง?” รัตมณีเอ่ยพูดกับตัวเองอย่างงุนงงสงสัย เมื่อภายในโลงหินที่เธอลงไปกลิ้งอยู่ พบว่าภายในนั้นไม่ได้มีร่างมัมมี่ แต่มีแค่เศษผ้าลินินที่เหมือนเคยใช้พันห่อศพ ตั้งกองอยู่ภายในโลงหิน ในลักษณะที่ทำให้ชวนคิดไปว่า..เจ้าของเศษผ้าลินินพวกนี้สลัดผ้าที่พันตัวเองเอาไว้ และออกไปเดินเล่นข้างนอกอย่างไงอย่างงั้น!

               “เราเนี่ยก็แอบคิดอะไรที่ชวนสยองเหมือนกันแหะ ..หึหึๆ” รัตมณีเอ่ยพูดแล้วก็หัวเราะขำตัวเอง แต่ชั่วครู่ต่อมาหญิงสาวก็ต้องหยุดหัวเราะไปโดยอัตโนมัติ เมื่อสายตาคมกริบเหลือบไปเห็นอักขระข้อความที่อยู่ก้นโลงหิน ที่ถูกกองผ้าลินินบดบังเอาไว้..

               “..ขอให้หลับชั่วนิรันทร์ จงลืมสิ้นถึงทุกสิ่งทุกอย่าง ทิ้งหัวใจอันน่าชิงชังไว้ในหัตถ์ข้าเถิด เจ้าจงกลายเป็นความว่างเปล่าที่ไม่มีผู้ใดพบเห็น เทพเจ้าเซท ลูกรักของข้า.. เทพเจ้าเซทเหรอ? นั่นรูปปั้นนี้ก็คือเทพเจ้าเซทนะสิ!” รัตมณีเอ่ยพูดพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองรูปปั้นหินขนาดมหึมาตรงหน้าทันที ด้วยความตื่นเต้นที่จะได้เห็นเทพเซท ที่ถูกกล่าวว่าเป็นเทพชั่วร้ายของอียิปต์

               “อึ้งเลยนะเนี่ย! ไม่คิดว่าจะเป็นคนหล่อขนาดนี้..” รัตมณีถึงกับหลุดปากพึมพำออกมา เมื่อได้มองดูรูปปั้นตรงหน้าอย่างพินิจพิจารณา แต่ชั่วครู่ต่อมา หญิงสาวก็ต้องเผลอขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย เมื่อเจ้าตัวเกิดรู้สึกขึ้นมาว่ารูปปั้นของเทพเจ้าเซทที่อยู่ตรงหน้า ช่างดูคล้ายคลึงกับใครบางคนที่เธอเคยเห็นมาก่อนหน้านี้ แต่ไม่ว่าจะนึกเท่าไหร่รัตมณีก็นึกไม่ออก และในที่สุดเจ้าตัวก็ถอนหายใจออกมา ก่อนจะลุกออกจากโลงหิน ไปยืนที่พื้นสุสานเบื้องหน้ารูปปั้นของเทพเจ้าเซท พร้อมทั้งพนมมือในขณะที่เอ่ยพูดขึ้นมา..

               “ถึงแม้ว่าท่านจะเป็นเทพชั่วร้าย แต่ท่านหล่อเหลาสักขนาดนี้ ดังนั้น.. ฉันตัดสินใจจะขอพรกับท่านก็แล้วกันค่ะ ฉันไม่ขออะไรมากหรอกค่ะ อยากขอแค่ได้พบคนรักหล่อๆ หน้าตาดีอย่างท่านสักคนหนึ่ง ฉันไม่ได้ขอมากไปใช่ไหมล่ะค่ะ?” รัตมณีเอ่ยพูดแล้วก็นิ่งเงียบไป ในขณะดวงตาคู่คมสีฟ้าเข้มก็เหม่อมองไปโลงหิน พร้อมทั้งเอ่ยพูดพึมพำขึ้นมาเบาๆ “เฮ้อ..เรานี่ถ้าจะบ้าแหะ! ถ้าขอแล้วได้ง่ายๆ ก็คงไม่มีคำว่าขึ้นคาน หรือคนไม่มีใครรักหรอก..”

               ‘ถ้าเจ้าตั้งใจจริง ข้าอาจจะให้ตามที่เจ้าขอก็ได้นะ สาวน้อย..’

               “เอ๊ะ..เมื่อกี้หูแว่วเหรอ?” รัตมณีเอ่ยพูดพึมพำขึ้นมาเบาๆ เมื่อรู้สึกว่าตัวเองได้ยินใครพูดอะไรบางอย่าง แต่ความเงียบงันที่เกิดขึ้นรอบตัวเอง ก็ทำให้รัตมณีถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองรูปปั้นหินที่อยู่เบื้องหน้าของตน พร้อมทั้งยืนนิ่งเงียบมองรูปปั้นหินดังกล่าว ด้วยรอยยิ้มเศร้าๆอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะเอ่ยพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง..

               “ฉันกับท่าน เราอาจจะเหมือนกันมากเลยก็ได้นะค่ะ เพราะว่าฉันเองก็ไม่มีใครรักเลย ไม่ได้หมายถึงพวกเพื่อนๆของฉันหรอกนะ เพราะพวกเขายังคงรัก และเป็นห่วงฉันอยู่เสมอ แต่คนที่ฉันหมายถึงนะ คือคนที่รักฉันแม้ว่าฉันจะตายไปแล้วก็ยังคงรักฉันอยู่ หึหึๆ แต่ว่าคนแบบนั้นมันไม่มีอยู่เลยสินะ? ฉันนะ.. อยากพบกับคนที่รักฉันจริงๆสักครั้งหนึ่งก็ยังดี.. แต่ว่าก็ช่างมันเถอะ.. เพราะตอนนี้ฉันเองก็พอทำใจได้แล้วล่ะสำหรับเรื่องนั้น และก็ตัดสินใจแล้วด้วยว่า ความรักที่อยู่ภายในหัวใจนี้ของฉัน จะมอบให้เพียงคนเดียว ถ้าหากไม่ได้พบชั่วชีวิต ก็จะขอจากไปพร้อมรักที่เปี่ยมล้นนี้..”

               ‘ข้าจะถือว่านั้น เป็นคำสาบานระหว่างเจ้ากับข้าก็แล้วกันนะ สาวน้อยผู้ไม่กลัวเกรงข้า..’

                “เอ๊ะ? เมื่อกี้..” รัตมณีเอ่ยพูดพึมพำขึ้นมา พร้อมทั้งหันมองซ้ายมองขวา เพราะคราวนี้เธอแน่ใจแล้วว่าเสียงพูดของใครบางคนที่เธอได้ยินนั้น ไม่ได้เกิดจากอาการหูแว่วอีกต่อไป เพราะเสียงดังกล่าวมันชัดแจ๋ว และดังก้องกังวานมาก แต่รัตมณีก็ยังไม่ทันจะได้รับคำตอบของความสงสัย เจ้าตัวก็ต้องขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย เมื่อได้ยินเสียงแปลกๆ บางอย่างดังแทรกขึ้นมา..

                ..เปรี๊ยะ!..

                “เสียงเหมือนอะไรแตกออกจากกันเลยแหะ..เอ๊ะ? ล้อเล่นใช่ไหมเนี่ย!!!” ท้ายประโยครัตมณีเอ่ยพูดขึ้นมาสุดเสียง เมื่อก้มหน้าไปเห็นว่าพื้นที่ตนยืนอยู่ กำลังผลิแตกออกจากกัน และไม่ทันที่ร่างสูงอวบจะขยับวิ่งหนี พื้นสุสานที่ยืนอยู่ก็พังทลายพาร่างสูงอวบร่วงสู่ความมืดเบื้องล่างอย่างฉับพลัน!

               

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา