ลุ้นรัก...นางร้ายเจ้าเสน่ห์
เขียนโดย ploynin
วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2557 เวลา 10.55 น.
แก้ไขเมื่อ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2557 20.54 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) เรื่องของผมเอง(S)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 1 เรื่องของผมเอง(S)
“คัท! เดย์ ฉากนี้ต้องเต็มเหนี่ยวกว่านี้หน่อยสิ ออมแรงทำไม!” ผู้กำกับติงเรื่องนี้มาสามครั้งแล้ว แต่เพราะนางเอกที่เล่นกับเธอวันนี้เป็นคนขอให้เธอช่วยออมแรงตอนฉุดขึ้นมาแล้วเหวี่ยงไปด้านข้างเพราะเจ็บข้อมือ
“คะ!” หญิงสาวรับคำอย่างลำบากใจ ก่อนมองไปที่นางเอกสาวที่ส่งสายตาเป็นเชิงขอบคุณที่เธอช่วยเหลือ
“เอาใหม่นะ” เป็นอันว่าวันนี้เธอถ่ายแค่ฉากนี้เกือบสามชั่วโมง จนผู้กำกับเห็นว่าคงถ่ายฉากต่อไปไม่ได้แล้วเพราะแสงไม่พอ จึงต้องยกกองไปถ่ายวันหลัง เพราะวันพรุ่งนี้ต้องออกต่างจังหวัดแต่เช้ามืด ทำให้วันนี้ผู้กำกับของเรื่องหัวเสียมากเป็นพิเศษเพราะไม่สามารถปิดงานได้ตามตารางงานที่กำหนด
หลังจากเลิกกอง แต่ละคนต่างแยกย้าย เดย์เองก็เดินกลับมาที่เต็นท์เพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าและเก็บของแล้วกำลังจะออกจากเต็นท์แต่มีเสียงหนึ่งเรียกไว้
“คุณเดย์” หญิงสาวหันไปตามเสียงหวานที่เรียกจึงพบว่าเป็นเกรท นางเอกของเรื่องเดินเข้ามาหา “ขอบคุณมากนะคะ ที่ช่วยเกรทวันนี้ ถ้าไม่ได้คุณเดย์ แขนเกรทต้องบวมแล้วแน่ๆ เลย” เธอกล่าวอย่างขอบคุณแววตาเป็นประกายสำนึกบุญคุณ
“ไม่เป็นไรหรอกคะคุณเกรท มีอะไรก็บอกได้นะค่ะ”
“เกรทขอบคุณจริงๆ นะ ไปก่อนนะค่ะ” พอขอบคุณเสร็จนางเอกสาวก็วิ่งออกจากเต็นท์อย่างรีบร้อน
“ไปสักทีแม่นาง!” เสียงหนึ่งดังขึ้นด้านข้างหลัง เดย์จึงหันไปมองจึงพบว่าเป็น
“พี่แหวว” หญิงสาวเอ่อชื่อของเจ้าของเสียง
“คุยอะไรกับยัยนั่นนักหนาน่ะน้องเดย์ เสียเวลา” แหววทำเสียงไม่พอใจ
“ฟังเหมือนพี่แหววไม่ค่อยชอบคุณเกรทเลยนะค่ะ” เดย์ถามงงๆ เพราะไม่รู้เรื่องอะไรของสองคนนี้เลย แต่ที่รู้แน่ๆ คือ พี่แหววไม่ชอบนางเอกสาวคนนี้นัก
“ชอบไม่ลงหรอกคะ นางเอกลวงโลกคนนั้น” ยิ่งคำตอบยิ่งทำให้เธองง จนความสงสัยแสดงออกไปทางใบหน้า แหววจึงรีบไขความกระจ่าง
“เรื่องมากสุดๆ นางจะเอาอะไรต้องได้ดั่งใจ แล้วขอเตือนนะคะ ชีร้ายแบบแอ๊บแบ๊วมาก” คำตอบนี้ก็ไม่ได้ทำให้เธอกระจ่างสักเท่าไร แต่ที่คิดได้ก็คงเป็นเรื่องระหว่างช่างแต่งหน้ากับนักแสดงที่หลายทีหลายครั้ง เธอเห็นว่ามักไม่ค่อยลงรอยกันสักเท่าไร
“แล้ววันนี้เป็นอะไรค่ะ พี่เห็นน้องเดย์เล่นแบบออมๆ ไม่เต็มที่เลย พี่ได้ยินพี่บึกแกบ่นๆ มา”
“พอดีคุณเกรทเขามาขอให้เดย์ออมแรงตอนกระชากแขนเขาน่ะค่ะ เห็นบอกว่าแขนเจ็บ”
“น้องเดย์!” แหววเรียกเสียงยาว เหมือนไม่สบอารมณ์ทำให้เดย์ยิ่งงงเข้าไปใหญ่ว่าตัวเองทำผิดอะไร
“เชื่อได้ยังไงคะ เห็นมั้ย นางร้ายขนาดไหน ทำให้พี่บึกบ่นน้องเดย์จนได้ แต่ความผิดอยู่ที่นางชัดๆ”
“อะไรกันคะ เดย์งงไปหมดแล้ว” พอได้เปิดปาก แหววเลยไม่คิดปิดบังเพราะอย่างน้อยก็เป็นการบอกคนที่รักเหมือนน้องให้ระวังตัวจากเล่ห์ของคนวงการเดียวกันเอาไว้บ้าง
“ก็นางไม่อยากเล่นฉากต่อไปนะสิค่ะ”
“ทำไมค่ะ”
“พอดีพี่เจอเจ้แหม่มฝ่ายเสื้อผ้า เจ้แกว่า พอแม่นางเห็นชุดแล้วตาแทบถลน บอกว่ายังไงก็ไม่ใส่เด็ดขาด”
“มันอาจจะโป้ไปรึเปล่าพี่แหวว คุณเกรทถึงไม่ชอบอ่ะ”
“แหม น้องเดย์ก็โลกสวยไปนะ เรื่องอะไรที่นางจะไม่ชอบชุดแหวกนั่นเว้านี่ แต่ที่วันนี้ไม่ยอมใส่” แหววขยับเข้ามาใกล้เพื่อกระซิบให้ได้ยินกันแค่สองคน “เพราะตรงคอนางมีรอยคิสมาร์กเต็มเลยสิค่ะ” บอกไขความกระจ่างแล้วยังแถมคาดการณ์ให้ด้วย “สงสัยเมื่อคืนคงจะถึงพริกถึงขิงกับคู่ควงคนใหม่”
“อะไรจะขนาดนั้นค่ะพี่แหวว”
“ว่าไม่ได้นะค่ะ”
สองสาวกันไปเรื่องจากเรื่องซีเรียสเป็นเป็นเสียงหัวเราะคุยกันไปเรื่อยๆ แต่เดย์ก็ไม่ได้สนใจอะไรนางเอกนักจึงฟังเพื่อให้รู้ไว้แค่นั้น เธอคิดว่ายังไงซะก็คงไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเธอมากกว่าแค่เรื่องงาน แต่พอคิดว่าเป็นงานทำให้เธอรู้สึกสลดเหมือนกันที่รู้ว่าผู้กำกับคนเก่งอย่างพี่บึกตำหนิเธอ ด้วยเรื่องการแสดงวันนี้ มันเหมือนทำให้งานเสียอะไรหลายๆ ด้วย
เดย์กับแหววเดินไปคุยกันไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้สนใจรอบข้างเลย ทำให้ไม่รู้ว่าท่ามกลางผู้คนเหล่านั้น มีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องเธออยู่แทบตลอดเวลาหลังจากที่เธอก้าวออกมาจากสวนสาธารณะที่ใช้ในการถ่ายทำ จนเธอขึ้นรถตู้ของบริษัทแล้วรถคันนั้นก็แล่นออกไป
“เฮ่ย! เอส สนใจอะไรนักหนาวะเพื่อน ฉันเห็นแกไม่ค่อยมีสมาธิเลย” เสียงทุ้มขี้เล่นดังขึ้นข้างหูทำให้ร่างสูงหันกลับไปสนใจ
“อะไรไอ้ที มั่วแล้ว สนใจอะไร”
“ปากแข็งนะแก ฉันเห็นแกจ้องแม่นางร้ายนั่นซะไม่วางตาเลย”
“ก็คนเขาสวย มีตานิหว่าก็ต้องเอาไว้มองคนสวยๆ สิวะ ไม่ได้มีตาไว้มองคนหล่อแบบแกนิหว่า”
“หยุดเลย ถ้าจะพูดเรื่องนี้แกหยุดพูดไปเลย แล้วหมอนั่นมันก็ไม่ได้หล่อด้วย ต้องฉันนี่ ถึงเรียกหล่อโว้ย”
ชายหนุ่มยิ้มขำสะใจที่ปิดปากเพื่อนรักไม่ให้สาวเรื่องของเขาได้ เพราะน้อยครั้งเหลือเกินที่ทำให้เพื่อนคนนี้สงบปากได้หากเปิดประเด็น วันนี้วันว่างครับเลยนัดเพื่อนๆ ทั้งแก๊งมากสังสรรค์ แต่ขาดไปหนึ่งซึ่งผมก็พอรู้ว่ามันไปไหน เพราะมันโทรมาเมื่อเช้าขอข้อมูลหวานใจของมันที่กำลังจะเดินทางกลับบ้าน ก็ไม่รู้ว่ามันจะรุกเธอเมื่อไร บอกว่าขอหาจังหวะก่อน ส่วนพวกผมที่เหลือตอนนี้เรามาเบรกกันที่ร้านคอฟฟี่ชอปแถวออฟฟิสของไอ้ทีมัน ส่วนไอ้เอ็มกำลังตามมาทีหลัง ผมเห็นไอ้ทีมันโทรเร่งยิกๆ อยู่
“มันมาแน่น่า ห่วงผัวอยู่ได้”
“ไอ้เอส มึงหยุดไปเลย ถ้ายังไม่หยุดนะ กูจะประเคนโทรศัพท์ใส่หน้ามึง”
“เอ่อๆ ไม่แซวก็ได้ครับ” ผมละนึกขำ ไม่คิดว่าเพื่อนสองคนนี้มันจะกินกันเอง พอผมรู้ก็กะจะบอกไอ้ไอมันเหมือนกัน แต่ถูกไอ้ทีมันยั้งไว้ก่อน เห็นบอกว่ายังทำใจไม่ได้ถ้าไอ้ไอมันรู้ ก็เพราะว่าไอ้ไอนี่แหละครับ เป็นตัวตั้งตัวตีตั้งแต่สมัยเรียนแล้วที่จับคู่ให้ไอ้ทีกับไอ้เอ็มตลอด มันสะใจ! เอ่อ ไม่ใช่ คงมีความสุขไม่น้อยที่ความพยายามของมันสัมฤทธิ์ผล แต่ชั่งมันเถอะครับ วางเรื่องของมันสองคนไว้ก่อน เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องของผม ส่วนของมันสองคนหวังว่าคุณคนก่อเรื่องนี้จะยอมเขียนเรื่องของมันสองคนนะครับ ส่วนใครเป็นอะไรก็ให้คุณๆ นักอ่านเดากันเอาเอง แต่เชื่อว่าคงไม่เกินความสามารถแน่นอน
เรื่องของผมก็ไม่มีอะไร แค่ผมคิดว่าผมเจอคนที่ไอ้ไอเคยบอกกับเพื่อนที่นั่งข้างกันนี้ว่า “ไอ้ที ถ้าถึงวันที่มึงได้เจอใครแค่แว๊บแรกแล้วมึงจินตนาการไปถึงวันที่มีเรา มีเค้า แล้วดวงใจของเราทั้งสองได้ วันนั้นมึงจะรู้ว่ารูปลักษณ์ภายนอกที่เรากินๆ เล่นๆ ทิ้งๆ กันอยู่นี่มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย” ซึ่งผมคิดว่าไอ้ประโยคนี้มันคงไม่มีประโยชน์อะไรกับไอ้ทีอย่างแน่นอน แต่กลับผม ตอนนี้ยอมรับแล้วว่ามันคือความจริง
“เอ่อ! ฉันเอง” โทรศัทพ์เครื่องหรูถูกควักออกมาอย่างเคยมือจากกระเป๋ากางเกงพร้อมต่อสายถึงมือขวาคนสนิท
“...”
“ขอข้อมูลเชิงลึกเลยนะ”
“...”
“ละเอียดที่สุด”
“...”
“รู้ดี เขาอาจจะมาเป็นนายใหม่แกก็ได้”
“...”
“ไม่ต้องล้อ ไปทำงาน”
“...”
“ใช่! ที่โต๊ะ เย็นนี้”
“...”
“เอ่อ” ประโยคท้ายกระแทกเสียงก่อนกดวางสายอารมณ์เสีย
“ไง! คนสนิทไม่คิดจะทำงานตามคำสั่งหรือไงถึงได้อารมณ์เสีย” ทีถามยักคิ้วยั่วหลังจากเห็นเพื่อนรักวางสายแล้ว
“เปล่า แต่แม่งมันปากสว่าง คิดจะไปรายงานแม่กู”
“ก็ว่าทีคนสำคัญของแกไม่ใช่หรอ”
“แต่มันยังไม่แน่นิหว่า”
“หรอ? แต่ฉันว่าคนอย่างแกลองอยากได้ ไม่ว่าคนๆ นั้นจะคบอยู่กับใครหรือมีเจ้าของแล้ว ถ้าแกจะเอา แกก็ต้องเอาให้ได้อยู่ดี"
“ฉันไม่ได้เลวขนาดนั้น อย่าเว่อร์”
“แน่ใจ!” ถามอย่างรู้ไส้กันดี ซึ่งผมก็ได้แต่ยักคิ้วอวดดีให้มันเท่านั้น ไม่นานเพื่อนอีกคนที่รอคอยของพวกเราก็มาพร้อมกับวางเอกสารแฟ้มเบ่อเริ้มลงกลางโต๊ะก่อนนั่งลง ไอ้ทีเพื่อนรักก็แสนจะบริการดีเยี่ยมสั่งเครื่องดื่มให้อย่างรู้งาน
“อะไรนี่” ผมถามงงๆ ถึงจะรู้ว่ามันรับงานเป็นผู้จัดละครแต่ก็ไม่คิดว่ามันจะทำงานยุ่งอะไรมากมาย
“ละครเรื่องใหม่ จะเปิดบวงสรวงอยู่แล้วยังแคสหาตัวนักแสดงได้ไม่ครบเลย”
“อะไร เครียดขนาดนั้นเชียว” ทีถามอย่างสงสัย
“เอ่อ ทางช่องเสนอนักแสดงมาแล้วแต่ละคนไปไม่ได้กับบทเลย”
“แล้วแกมีปัญหาที่ตัวละครตัวไหนบ้างวะ” ผมถามอย่างสงเพราะปกติแล้วเพื่อนผมคนนี้มันไม่ได้เครียดกับเรื่องพวกนี้บ่อยนัก
“บทของตัวร้ายฝ่ายชายนี่แหละ แต่แกดูทางช่องส่งรายชื่อนักแสดงมาให้นะ แล้วดูหน้าแต่ละคนมันเก้งแบ้วๆ ทั้งนั้น นั่นยังไม่ร้ายเท่าตอนไปแคส มันทำบทเจ้าพ่อค้ายาฉันกลายเป็นพ่อค้าขนมหวานแทน มันน่านัก” พูดขึ้นระบายอารมณ์
“แล้วเอาไงต่อ” เพื่อนทีถามอย่างอยากรู้ เพราะรู้ว่าดีว่าถึงแม้เอ็มมันจะบ่นๆ งานอยู่บ่อยๆ แต่มันก็มีทางแก้ของมันอยู่แล้ว
“ฉันปากเร็วไป บอกว่าจะหาเอง ตอนนี้ก็มานั่งกลุ้มใจอยู่นี่ไงว่าจะไปหาที่โมไหน”
“โมไหนก็แล้วแต่แก อย่างน้อยก็รู้ว่าต้องหาที่โมอยู่แล้ว แกก็แค่ไปตะเวนหา ก็แค่นั้น” ผมบอกทางออกให้ก่อนยกแก้วเอสเพรสโซ่ร้อนค่อยๆ จิบอย่างละเมียดละไมเพื่อเข้าถึงรถชาติและอารมณ์ ก่อนจะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศเงียบผิดปกติ รวมถึงรังสีจากการถูกจ้องมองทำให้ต้องละสายตาไปดูก็เห็นเป็นไอ้เอ็มครับที่มันจ้องผมไม่วางตา อย่าจ้องกูนานเดี๋ยวเมียมึงหึง ผมคิดในใจ
“เอส!” มันขึ้นมาละ
“ในฐานะที่แกเป็นเพื่อนฉัน”
“ไม่!” ผมหยุดหัวข้อทันทีเพราะพอเดาสายตาของเพื่อนรักได้
“โธ่! อะไรวะ แค่นี้มึงช่วยกูไม่ได้หรอ” มันเริ่มโวยแล้วครับ
“ฉันไม่ว่าง แกก็รู้ว่าฉันมีงานในบริษัทที่ต้องไปทำ แถมยังต้องเจียดเวลาแวะเวียนไปหาสาวๆ อีก” ผมให้เหตุผลสำคัญของผมซึ่งผมขาดไม่ได้ในชีวิต
“แต่ถ้าแกช่วยฉัน แกจะเจออีกเยอะ แบบสาวๆ สวยๆ มีชื่อเสียงอะไรทำนองนั้นน่ะ รับรองนะโว้ยว่าตามแกเป็นพรวนแน่จากพร็อพของแกน่ะ” มันยังเสนอครับ จริงๆ แล้วข้อเสนอนี้มันก็เสนอผมมาตลอดตั้งแต่ที่รู้จักกัน แต่ดูบทที่มันส่งให้ผมสิ ไม่เจ้าพ่อค้ายาก็ผู้ร้ายโรคจิตหรือไม่ก็ตัวโกงบู้ระห่ำนี่นะ ถ้ามันเสนอบทพระเองหรืออย่างน้อยๆ พระรองมาให้ผมอาจพิจารณาดูบ้าง นี่อะไร ผมออกจะหล่อ น่าตาดี มีฐานะที่อาจจะพูดได้ว่ามหาเศรษฐีเลยก็ว่าได้ เรื่องอะไรจะไปเล่นบทพรรณนั้น ผมได้แต่ส่วยหน้าไม่สนใจก่อนจิบกาแฟของผมต่อไป
“แต่เอส บทนี้เข้ากับลุคแกที่สุดเลยนะ อีกอย่างแกแค่เล่นเป็นตัวเองอะ ไม่ต้องปรับอะไรเลย”
“นี่แกว่าฉันเหมือนเจ้าพ่อค้ายารึไง”
“หรือแกว่าไม่เหมือนวะ ที บอกฉันหน่อยว่าที่มันทำอยู่ทุกวันนี้มันไม่เหมือนยังไงวะ เอาเป็นว่าฉันจะร่ายให้แกฟังนะ แล้วที แกบอกหน่อยว่าไอ้เอสมันไม่เป็นอย่างที่ฉันว่าตรงไหน”
เอ็ม : เอาบุคลิกภายนอกเลยนะ
ที : อืม
เอ็ม : หน้าตาดูดิบเถื่อน
ที : ใช่
เอ็ม : มาดผู้ชายแบดบอย
ที : ใช่
เอ็ม : นิสัยชอบพูดจาหาเรื่อง
ที : ใช่
เอ็ม : ชอบพูดขู่เข็นคนอื่นให้ได้อย่างใจ
ที : ใช่
เอ็ม : ชอบโทรสั่งงานแบบให้ได้อย่างที่ต้องการแบบวางอำนาจสุดๆ
ที : ใช่
เอ็ม : เจ้าแผนการ แถมเจ้าเล่ห์ด้วย
ที : ใช่
เอ็ม : ฐานข้อมูลของกลุ่ม
ที : ใช่
เอ็ม : มาดมาเฟียบ้าอำนาจ
ที : ใช่
เอ็ม : เจ้าคิดเจ้าแค้น
ที : ใช่
“พอๆ พวกแกสองคน พอไอ้ไอไม่อยู่นี่รุมยำกูใหญ่เลย บอกว่าไม่ก็ไม่สิวะ ไม่ว่าง” ตอบปฏิเสธเด็ดขาด
“โธ่! ลุ้นไม่ขึ้นวะ เซ่ง” ไอ้เอ็มมันว่าส่งท้ายก่อนหยิบแก้วกาแฟของมันขึ้นมาซัดอึกใหญ่เหมือนจะช่วยให้ระบายอารมณ์ ซึ่งผมก็ได้แต่หัวเราะหึๆ สะใจในลำคอ
“แล้วไม่มีที่เล็งๆ ไว้เลยหรอเอ็ม” ไอ้ทีถามอย่างนึกเป็นห่วง
“เฮ่ย! สงสัยต้องไปโมแล้ว นี่ก็ว่าจะเอารูปดาราเดิมๆ ที่แต่ละโมส่งมาก่อนหน้ามาดูว่าคนไหนพอจะมีแววบ้าง ต้องดูนางร้ายด้วยเพราะเรื่องนี้นางร้ายกับนายร้ายเขาเข้าฉากด้วยกันบ่อย คงต้องเลือกคนที่ดูแล้วไม่ค่อยฉวยโอกาสกับเขาหน่อย”
“ทำไม เด็กเสี่ยหรอคนนี้” ทีถามเพราะเคยมีเคสแบบนี้บ่อยๆ ในงานของเอ็มเลยทำให้ครั้งนี้ทีมันสงสัย
“เปล่า แต่เป็นเด็กพี่แหวว เด็กดีซะด้วย แกก็รู้ว่าพี่แหววแกเป็นคนยังไง ขี้หวงจะตาย เคยมีพวกเงินหนักตามจีบน้องเขาหลายคน แต่น้องเขาไม่เล่นด้วย ที่มาเป็นดาราก็เพราะช่วยพี่แหววแกเหมือนกัน รวมถึงช่วยตัวเองด้วย เห็นว่าจำเป็นต้องใช้เงินเยอะเรื่องอะไรฉันก็ไม่ได้ถาม”
ผมนั่งฟังสองคนคุยกันไปเรื่อย ในใจก็มีใบหน้าสวยของหญิงสาวที่ผมหมายตาไว้ก่อนหน้าวนเวียนอยู่ในหัว ผมละอยากให้ถึงตอนเย็นเร็วๆ จังวันนี้เพราะผมจะได้ข้อมูลเกี่ยวกับเธอทุกอย่างมาไว้ในมือก่อนหาวิธีเข้าตีสนิท
“ใคร!” ไอ้ทีถามไอ้เอ็ม ส่วนเอ็มมันก็ค้นรูปในแฟ้มออกมาให้เมียมันดู ผมก็ไม่ได้สนใจพวกมันเท่าไรแต่ก็ต้องหันกลับไปมองเพราะรูปที่ไอ้เอ็มมันวางแปะลงบนโต๊ะนั้น และเธอคือหญิงสาวที่รบกวนจิตใจของผมอยู่ตอนนี้
“เฮ่ย!” ไอ้ทีอุทานออกมาพร้อมกับมองมาทางผมแล้วส่ายหน้าไม่เชื่อกับความบังเอิญที่เกิดขึ้น ส่วนผมน่ะหรอ สมองคิดไว้สุดๆ โดยไม่ต้องรอข้อมูลตอนเย็นแล้ว
“ฉันเล่นให้ก็ได้” ผมเสนอ ทำให้ไอ้เอ็มหันมามองผมเหมือนเห็นผมเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นมาได้ ส่วนไอ้ทีมันไม่แปลกใจอะไรได้แต่ยกกาแฟแก้วของมันขึ้นมาดูดทำหน้าเอือมๆ
“ไหงเปลี่ยนใจง่ายงี้วะ เมื่อกี๊ฉันสองคนพยายามโน้มซะสุดแรงไม่เห็นสะทกสะท้าน”
“ตอนนี้ฉันเอียงมาแล้วหรือแกจะไม่ยอมรับ” ผมพูดสงวนที่ที
“อย่าเลยเอ็ม” ไอ้ทีพูดขัดขึ้นมาทำให้ไอ้เอ็มหันกลับไปมองเพื่อขอความเห็น เพราะน้อยครั้งนักที่สองคนนี้มันจะคิดไม่ตรงกัน
“ทำไม”
“ต้องเลือกคนที่ไม่ฉวยโอกาสกับน้องเขามากนัก” ไอ้ทีมันเอาประโยคที่ไอ้เอ็มเคยเน้นหนักเอาไว้ออกมาว่าทำให้ไอ้เอ็มหันมามองผมอีกครั้งพร้อมหรี่ตาลงพิจารณา แต่ก็หันกลับไปขอความเห็นเพิ่มเติมอีก
“ไอ้เอสมันเล็งน้องเขาอยู่ แล้วแกคิดว่าที่มันรับงานนี้น้องเขาจะรอดมือมันมั้ย” ตรงๆ เลยครับเพื่อนทำให้ผมต้องหันไปยิ้มส่งสายตาขอร้องไอ้เอ็มเป็นครั้งแรกกับเรื่องการรับงานแสดง ดูมันนั่งคิดอยู่แล้วสุดท้ายก็ถอนหายใจก่อนตอบตกลง
“แต่แกอย่าลุ่มลามกับน้องเขานะโว้ย ฉันขี้เกียจมีปัญหากับพี่แหวว”
“แน่นอนอยู่แล้ว แกก็รู้ว่าฉันไม่เล่นกับคนที่เขาไม่เล่นด้วย แต่ถ้าเขาเล่นด้วยฉันก็พร้อมสนองเต็มร้อยเหมือนกัน” ผมยิ้มพอใจกับคำตอบ และแผนการในหัว
“สมใจเลยสิ” ไอ้ทีแซวซึ่งผมก็แค่ยักคิ้วส่งให้อย่างสบายใจ
“อย่าให้เสียงงานนะโว้ย อีกอย่าง...” ไอ้เอ็มมันละไว้ครับ แต่หันไปส่งสายตามีความหมายกับไอ้ทีซึ่งไอ้ความหมายนั้นผมก็ไม่รู้กับมันด้วยหรอกเพราะผมไม่ใช่อินเตอร์เฟสระหว่างผัวเมียคู่นี้
จากนั้นผมก็นั่งฟังเรื่องราวคร่าวๆ ของละครเรื่องที่ผมต้องเล่น จากนั้นไอ้เอ็มก็ให้บทผมมาเลยโดยไม่เรื่องมากบอกแค่ว่าท่องบทให้เปรี๊ยะอย่าให้คนอื่นเขาเสียเวลา ส่วนแอคติ้งไม่ต้องเกร็งมากเอาที่ผมเป็นอยู่ทุกวันนี้เป็นใช้ได้ จากนั้นผมก็แยกกับพวกมันเพราะต้องเข้าไปตรวจงานที่บริษัทก่อนกลับบ้านไปนั่งดูบทคร่าวๆ สักรอบ จากที่ตั้งใจว่าวันนี้จะแวะไปตกเด็กที่ผับมานอนด้วยสักคนเห็นทีต้องเลื่อนไปก่อนเพราะตอนนี้มันมีอะไรที่ล่อตาล่อใจผมได้เยอะกว่านั่นเอง
“นายคิดผิดแน่ๆ ที่ให้เอสมันเล่นเรื่องนี้ มันต้องทำงานนายพังแน่” ทีเอ่ยหลังจากที่แยกกันแต่เอ็มต้องไปส่งทีที่บริษัทก่อน
“ไม่แน่ บางทีงานนี้เอสมันอาจจะได้เรียนรู้กับคำว่า ‘รักแทบตาย’ก็เป็นได้”
“นายคิดอย่างนั้นจริงๆ หรอ เพลบอยอย่างไอ้เอสนี่นะ”
“เชื่อสิ น้องเดย์ไม่เหมือนผู้หญิงทั่วไปที่เอสมันเคยเจอมาแน่ๆ”
“น้องเดย์หรอ นายรู้จักเป็นการส่วนตัวกับน้องเขาหรือไง”
“ก็นิดหน่อย แค่แว๊บแรกที่ได้เจอความรู้สึกฉันมันบอกว่าเป็นผู้หญิงที่เล่นด้วยไม่ได้ เขาเก่งนะจากที่พี่แหววเล่าให้ฟัง”
“ฉันชักอยากเจอสักครั้งแล้วสิ”
สองคนมองตากันสื่อความหมาย ก่อนคิดถึงเพื่อนรักของตนตามมุมมองของตัวเอง จากการที่คบกันมาเป็นเวลานานจนรู้ไส้รู้พุงรวมถึงนิสัยใจคอกันดีจนถึงกึ๋น ทำให้สองหนุ่มหัวเราะขำกับคำว่า ‘รักแทบตาย’ ที่เพื่อนรักอย่างเอสจะได้เรียนรู้
つづく.
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ