The last Blood.สายเลือด นิทรา [BL , Yaoi]

9.0

เขียนโดย เฟรล่าฟลอเร

วันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2557 เวลา 18.47 น.

  24 ตอน
  0 วิจารณ์
  26.04K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2557 19.00 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

15)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น ปลุกเด็กสาวที่กำลังหลับให้เงยหน้าขึ้นมาด้วยอาการง่วงงุน

 

     ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าตอนนี้เธอกำลังโมโหอย่างมาก!

 

     เธอเป็นแวมไพร์มาหลายวันจนรู้ว่าแวมไพร์เองก็ง่วงเป็น เธอไม่ได้เกลียดความง่วง แต่การเกลียดการนอนหลับไม่เต็มอิ่ม ไหนจะเรื่องชุดที่ต้องถอดเข้าๆ ออกๆ เพื่อไม่ให้ตัวเองถูกอบด้วยอุณหภูมิร้อนสูง แต่มันดูเป็นทางออกเดียวสำหรับการสัญจรในเวลากลางวัน

 

     คนในร้านโค้งให้เธอก่อนออกไป คนหนี่งยื่นตั๋วเครื่องบินที่เธอสั่งให้ซื้อตั้งแต่เนิ่นๆ แน่นอนว่านั่นย่อมไม่ใช่เงินจากกระเป๋าของนักธุรกิจคนใดคนหนึ่งแน่ๆ แต่มันเป็นเงินของคุณนายท่าทางมีฐานะที่โชคร้ายมาทำผมในวันนี้ต่างหาก

 

     “มีใครมีรถไหม”

 

     เธอขี้เกียจออกไปโบกแท็กซี่เต็มทนแล้ว

 

     เจ้าของร้านทำผมยกมือขึ้นพร้อมชูกุญแจรถมอเตอร์ไซค์เป็นหลักฐาน เขาเดินนำเธอไปยังลานจอดรถ เตรียมพร้อมจะนำเธอไปยังสนามบิน

 

     เสียงฝีเท้าวุ่นวายระคนเสียงเอะอะของผู้คนเรียกความสนใจจากเมอยาสก้า เธอตกใจเมื่อรู้ว่าใครเป็นต้นเหตุ เช่นเดียวกับที่พวกเขาสังเกตเห็นเธอ

 

     “นั่นไง! อยู่ตรงนั้น!”

 

     “จะอยู่ให้พวกนั้นมาจับฉันหรือไง รีบไปเร็วเข้า!”

 

     เสียงเจ้ามังกรเหล็กคำรามยิ่งใหญ่ ก่อนจะพุ่งทะยานไปด้วยความเร็วสูงสุดจนเครื่องแทบพัง คะเนได้เลยว่ารถมอเตอร์ไซค์คันนี้ต้องผิดกฎจราจรไปมากกว่าสิบข้อจากการปาดหน้าปาดหลัง ทะลุสัญญาณไฟจราจร พ่วงด้วยการขับรถเร็วเกินกำหนด เมอยาสก้ากอดเอวสารถีแน่นด้วยความกลัวปลิว หรืออย่างน้อย ถ้าเธอจะปลิว เขาก็ต้องปลิวไปพร้อมกัน!

 

     เธอเหลือบมองเสียงรถสายตรวจที่ขับตามมาเล็กน้อย ช่างปะไรเล่า เธอเป็นแค่คนซ้อน

 

     จากร้านทำผมถึงสนามบินปกติต้องใช้เวลานานเกือบชั่วโมง แต่เวลานั่นถูกพับลงครึ่งหนึ่งด้วยความเร็วมหาศาลที่ห้อตะบึงมา เธอตวัดขาลงแล้ววิ่งขึ้นเครื่องไป ทิ้งคนที่กำลังโดนสายตรวจดุไว้เบื้องหลังอย่างไม่ใส่ใจ

 

    

 

     ฮิโรชิเปิดโทรศัพท์หาข้อมูลสำหรับการท่องเที่ยว ยอดเยี่ยมทีเดียวสำหรับอาหารและสถานที่น่าสนใจ เขานึกสนใจหาดทรายสีขาวและน้ำทะเลใสแจ๋วที่อยู่ในภาพโฆษณา ถ้าทริสทรี่คือคนรักตามปกติ เขาคงไม่พลาดชวนอีกฝ่ายไปอาบแดด สัมผัสหาดทรายสายลมและแสงแดด แต่แดดแรงยามบ่ายอย่างนี้คงไม่ดีต่อผิวสวยๆ แสนซีดนั่นแน่นอน

 

     ‘คงต้องวางแผนกันหน่อย’

 

     สำหรับการท่องเที่ยวที่ไม่ใช่คลับบาร์ การหาสถานที่เที่ยวสวยๆ ยามราตรีนับเป็นเรื่องยาก แต่คงไม่เกินความสามารถสำหรับประเทศที่โดดเด่นด้านการท่องเที่ยวเป็นอันดับต้นๆ

 

     เด็กสาววัยรุ่นกลุ่มหนึ่งเดินผ่านพวกเขาไป “...ฉันบอกได้เลยว่า Movie เรื่องนี้คริสหล่อโฮกล่ะ ฉันว่าจะ Diner แล้วค่อยไปดู เฮ้ย! เปรี้ยว ว่าไง ไปเปล่าๆ”

 

     “แกเลี้ยงรึเปล่าล่ะ”

 

     “ถ้าไปฉันก็เลี้ยง”

 

     “งั้นโอเค!”

 

     ถึงจะฟังศัพท์ส่วนใหญ่ไม่เข้าใจเพราะไม่ใช่ภาษาสากล แต่เขาพอจะจับศัพท์อังกฤษบางตัวได้จากบทสนทนา เขาดีดนิ้วดังเป๊าะเมื่อนึกไอเดียดีๆ ได้ เขาพาไปตระเวนเปิดหูเปิดตาตามย่านร้านค้าและภัตตาคารเสียมาก แต่ทริสทรี่ก็ชอบดูภาพยนตร์เหมือนกัน ในห้างสรรพสินค้าไม่มีแสง แถมดูตอนกลางคืนยังได้ ไม่มีอะไรสะดวกกว่าห้างสรรพสินค้าอีกแล้ว

 

     ‘อืม สะพานนี้บรรยากาศโรแมนติคดีแฮะ ค้างกันสักคืนก่อนออกต่างจังหวัดไปเที่ยวทะเลน่าจะดี’

 

     แต่ตอนกลางวันอย่างนี้ เห็นทีเขาต้องเพิ่มพลังงานด้วยการนอนพักผ่อนเสียก่อน อะไรจะน่าเศร้าไปกว่าการหลับใส่ระหว่างอยู่ในสถานการณ์โรแมนติคกัน เขาไม่อยากตื่นขึ้นมาเจอหน้าสวยๆ แฝงความผิดหวังหรอก

 

     ทริสทรี่หันรีหันขวางมาตั้งแต่เมื่อครู่ ฮิโรมิน่าจะขึ้นเครื่องมาแล้ว แต่เครื่องของเธอจะมาถึงเมื่อไหร่ การหาคนในสนามบินที่วุ่นวายออกอย่างนี้เป็นเรื่องยาก แล้วถ้าอาณาเขตขยายไปเป็นประเทศทั้งประเทศ มิยิ่งยากเข้าไปใหญ่หรอกหรือ ฮิโรชิรอดตัวไปได้ในนาทีสุดท้ายทุกที เขาควรจะช่วยเธอเหมือนกัน

 

     ฮิโรชิหันมามองคนที่ชะงักฝีเท้าเสียดื้อๆ “มีอะไรเหรอ”

 

     “ข้า...” ทริสทรี่ก้มหน้ามองพื้นเหมือนจะขอเวลาคิด “...ข้าอยากรู้ว่าทำไมเราไม่มากับคนอื่นเหมือนคราวก่อนๆ ล่ะ”

 

     คนทั่วไปชอบนั่งเครื่องบินส่วนตัวเพราะความเป็นส่วนตัวและความสะดวกสบายของมัน คำถามของทริสทรี่จึงชวนให้คิดว่าเขาแค่สงสัยเฉยๆ หรือเขากำลังจะบอกว่าชอบการบริการของชั้นเฟิร์สคลาสและความครึกครื้นของกลุ่มคนมากกว่ากันแน่ ถ้าเป็นอย่างหลัง ฮิโรชิคิดว่าตนควรบรรจุสถานที่ท่องเที่ยวที่มีผู้คนเยอะๆ ลงไปในรายการด้วย

 

     แต่สำหรับคำตอบ จะบอกว่าเลี่ยงฮิโรมิที่หนีบเอาวาเลนเซียพ่วงมาด้วยก็ไม่ได้ เขาส่งยิ้มบริสุทธิ์ “สะดวกดีน่ะ แถมยังเป็นเครื่องของคนรู้จักฉันเอง เราจะได้ไม่ต้องเสียเวลาจองตั๋วกับรอขึ้นด้วยไงล่ะ เธอชอบอยู่กับคนเยอะๆ หรือ”

 

     “เปล่า... ใช่!” ทริสทรี่เปลี่ยนคำตอบกะทันหัน “ข้าชอบคนเยอะๆ ข้าอยากอยู่ที่นี่”

 

     ฮิโรชิมองไปรอบๆ ลำพังเสียงจ้อกแจ้กที่น่าจะเกินแปดสิบเดซิเบลก็ชวนให้หนวกหูพออยู่แล้ว สนามบินที่มีแต่ที่นั่ง คนนั่งรอยืนรอและสัมภาระ มันน่าสนใจอย่างไรในความรู้สึกของทริสทรี่กันหนอ

 

     “ถ้าง่วง เจ้าเดินทางไปที่พักก่อนก็ได้ ข้าจะรออยู่ที่นี่เอง” ทริสทรี่ส่งสายตาขอร้อง “ข้าไม่หลงทางหรอก”

 

     ฮิโรชิเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยช้าๆ “ก็ได้ งั้นคืนนี้เจอกัน แบบนี้ดีไหม”

 

     ทริสทรี่พยักหน้า

 

    

 

     หลังสอบถามเจ้าหน้าที่ ทริสทรี่นั่งมองผังการบินขาเข้าอยู่ตลอดเวลาแทบจะนับวินาทีได้เลยทีเดียว และเมื่อกำหนดเวลามาถึง เขาเดินไปยังจุดที่เจ้าหน้าที่แจ้งว่าเป็นจุดรับผู้โดยสารขาออก เขาเหลือบๆ มองป้ายของบางคนที่เขียนเป็นภาษาที่ไม่รู้จัก สลับกับป้ายที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษ เขาไม่แน่ใจ แต่คิดว่ามันคงเป็นชื่อ เพราะเขาได้ยินคนกลุ่มนั้นเรียกผู้โดยสารที่ปรากฏตัวขึ้นด้วยชื่อบนป้าย

 

     ทริสทรี่มองสองมือของตนอย่างเกร็งๆ มันอาจเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ แต่เขาจะไปหาป้ายแบบนั้นได้จากไหน

 

     ระหว่างความสับสนวุ่นวายของเขา เสียงคุ้นหูได้ดังขึ้น

 

     “นายท่าน!”

 

     ทริสทรี่เงยหน้ามองต้นเสียงด้วยความตื่นเต้น นัยน์ตาของเขาเต็มเปี่ยมด้วยความยินดีเช่นเดียวกับนัยน์ตาสีแดงคู่นั้น

 

     วาเลนเซียวิ่งเข้าหาเจ้านายอันเป็นที่รัก หากไม่ติดว่าสีหน้าของเขาเปลี่ยนไป ทั้งยังสั่งให้เธอยืนหยุดอยู่ตรงนั้น เธอปฏิบัติตามคำสั่งเขาเสมอ หากไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย แต่สิ่งที่เธอสงสัยคือทำไมเธอจึงถูกสั่งห้ามไม่ให้เข้าใกล้

 

     ฮิโรชิสวมหมวกปิดหน้าปิดตาไว้ เขายืนอยู่ด้านหลังทริสทรี่มาตั้งแต่เขาละสายตาจากผังขาเข้ามายังจุดรับ “ถูกต้อง ทริสทรี่ที่รัก ถ้าวาเลนเซียเข้ามาอีกก้าวเดียว คนของฉันที่ซุ่มอยู่ได้ลั่นไกแน่”

 

     หากทริสทรี่เป็นคนในยุคปัจจุบันคงทราบว่าเขาโกหก การพกอาวุธหรือประทุษร้ายผู้อื่นในสนามบินนับเป็นความผิดใหญ่หลวง แต่สำหรับฮิโรชิ การจะหลอกใครสักคนที่ไม่รู้อะไรสักอย่างเกี่ยวกับโลกที่ตนยืนอยู่ช่างง่ายดายนัก

 

     นัยน์ตาสีชาดของทริสทรี่สบตากับนัยเนตรสีนิลคู่นั้น “ยกเลิกการมุ่งร้ายวาเลนเซียเสีย”

 

     เขาพยายามละการใช้สิ่งนี้มาตลอด รวมไปถึงคำขู่ครั้งแรก นั่นเพราะเขาเข้าใจว่าวาเลนเซียอยู่ที่คฤหาสน์ และเพราะให้เกียรติแก่อายาซาชิผู้เป็นที่รัก แต่ถ้าต้องรักษาชีวิตของแวมไพร์สาวเอาไว้ เขาสามารถใช้มันได้โดยไม่ลังเล รอให้เขากลับถึงคฤหาสน์เมื่อไหร่ค่อยบอกให้ฮิโรมิทำลายการสะกดนี้

 

     น่าเสียดายเหลือเกิน ถ้าฮิโรชิอยู่ที่โรงแรงระหว่างที่เขากลับไปพร้อมวาเลนเซีย แล้วมอบหน้าที่เกลี่ยกล่อมแก่ฮิโรมิ เขาคงไม่ต้องใช้วิธีกับบุคคลที่ครั้งหนึ่งในอดีตชาติเคยได้ชื่อว่าเป็นคนรักกันมาก่อน

 

     ฮิโรชิฝืนดึงดันที่จะจักษุสีเลือดคู่นั้นต่อไปราวกับไม่เกรงกลัว รอยยิ้มของเขาเปี่ยมความมั่นใจอย่างล้นเหลือ “ไม่ได้ผลหรอก อย่าลืมสิ อะไรที่อายาซาชิรู้ ฉันก็รู้เหมือนกัน คอนแท็คเลนส์ใสในยุคของเธอคงยังไม่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาสินะ มันเป็นตัวกั้นระหว่างดวงตาของเธอและฉันยังไงล่ะ”

 

     ในอดีต ทริสทรี่เคยทดลองสะกดจิตอายาซาชิตามคำชักชวน เพราะอีกฝ่ายอยากทดสอบพลังและสัมผัสความรู้สึกของเหยื่อที่โดนสะกดจิต สำหรับเขาแล้ว พลังนี้สมควรใช้เพียงเวลาเดียวคือตอนที่เขากำลังดื่มเลือดของเหยื่อที่นอนหลับนิทราลึก ซึ่งการสะกดจิตประเภทนี้ยากจะปลุกให้ฟื้นขึ้นได้ ต่างจากการสะกดจิตประเภทล่อลวงหรือใช้งานที่ยังเหลือส่วนเสี้ยวให้เรียกสติขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อมันเป็นคำขอร้องของอายาซาชิ เขาตัดสินใจลองทดสอบมัน

 

     หลังจากนั้น ดูเหมือนอายาซาชิจะไล่ตามหาวิธีปิดกั้นความสามารถนี้อยู่พักใหญ่ ทริสทรี่ไม่อยากคิดว่าอีกฝ่ายกำลังกังวลว่าโดนพลังนั่นบังคับเอาหรือไม่ แต่ในที่สุด อายาซาชิก็พบว่าหากมีสิ่งกีดกั้นระหว่างนัยน์ตา ความสามารถนี้จะไม่เป็นผล

 

     “นายท่าน” วาเลนเซียขมวดคิ้ว เธอได้ยินเสียงของชายที่ยืนอยู่ด้านหลังทริสทรี่พึมพำบางอย่างท่ามกลางเสียงจ้อกแจ้กที่ดังเกินปกตินี้ ถ้าไม่มีเสียงรบกวนขนาดนี้ เธอคงได้ยินคำพูดเหล่านั้นชัดเจน “เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า”

 

     “บอกเธอให้กลับคฤหาสน์ไป หรืออยากให้ลูกน้องฉันลงมือจริงๆ”

 

     เขาเคยบอกอีกฝ่ายแล้วว่าอย่าดูถูกเผ่าพันธุ์แวมไพร์ โดยเฉพาะ แวมไพร์ที่อยู่มานานกลายร้อยปี

 

     ทริสทรี่หันกลับไปยังวาเลนเซีย “มาหาข้าให้เร็วที่สุด!”

 

     เพียงพริบตาเดียว แวมไพร์สาวปรากฏร่างอยู่ข้างกายทริสทรี่ เธอยังใช้เพียงมือเดียวกดร่างฮิโรชิลงกับพื้นอย่างไม่ปรานีปราศรัย และล็อกแขนข้างหนึ่งของเขาไว้ ทริสทรี่จับแขนเขาไว้อีกด้านหนึ่งพลางสอดส่ายสายตาไปมา ถ้ามีใครลั่นไก คนคนนั้นย่อมไม่สนใจเลยว่าเจ้านายของตนกำลังโดนจับเป็นตัวประกันอยู่

 

     “เจ้าคือตัวอันตรายสินะ!” วาเลนเซียเห็นชัดเจนว่าทริสทรี่ดูมีปฏิกิริยาแปลกๆ กับเขา คิ้วของเธอขมวดเข้าหากันเมื่อจับสังเกตบางอย่างได้ “เดี๋ยวก่อน กลิ่นนี้ เจ้าคือคนที่บุกเข้าไปลักพาตัวนายท่าน!”

 

     เจ้าหน้าที่สนามบินกรูกันเข้ามาเตรียมแยกทั้งสองฝ่าย หากแต่ฮิโรมิเดินเข้าควบคุมสถานการณ์เสียก่อน เธอจับไหล่วาเลนเซียด้วยสีหน้าจริงจัง “ยังไม่ลืมสินะ ข้อตกลงของเรา”

 

    

 

To be continue.

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา