คำสาปแห่งไตรเดชา

7.7

เขียนโดย Penandnote

วันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 เวลา 17.49 น.

  2 chapter
  1 วิจารณ์
  4,704 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 18.30 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) สะพรึงกังวล

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

[สะพรึงกังวล]

            หลังจากการรับประทานอาหารเย็นสิ้นสุดลงก็หนังท้องหนังตาหย่อน แยกย้ายตามเกาะกลุ่มผู้ชายและผู้หญิง ตุ๊กตาก็เป็นส่วนหนึ่งในนั้น แล้วนั่งคุยสนทนาตามประสาพี่ๆน้องๆ ไม่แปลกใจว่าทำไมคนในกลุ่มนี้แต่ละคนรู้สึกเบื่อหน่าย เพราะเสียงเจี๊ยวแจ้วของแจ่มนั่นเอง เหมือนเสียงนกกระจอกกำลังฟักไข่

                “วันนี้น่ะ ร้อนอบอ้าวจริง คุณน้องวรรณเป็นเหมือนพี่หรือเปล่า?” เสียงแจ่มเหมือนเติมอารมณ์ความวี๊ดว้ายวัยสาวเข้ามา

                “จริงค่ะ ตอนครอบครัวของน้องเดินทางมาที่นี่ ลงจอดรถแวะพักที่ปั้มก็แดดจัดเหมือนกันค่ะ” วรรณตอบ

                “พี่ว่านะรู้สึกหลานสาวคนดีของป้าคงฟังป้าพูดไม่ถูกหูสักเท่าไร เงียบเชียว” แจ่มพูดหยอกพูดแซว

                “เปล่าค่ะ...หนูแค่ไม่รู้จะคุยเรื่องอะไร”  ตุ๊กตาตอบแก้เคล็ด ไม่อยากจะคุยด้วยซ้ำไป

                “มีสิจ้ะ ว่าแต่หลานตุ๊กตาจะเรียนต่ออะไร ยังไม่รู้ข่าวคลากัน” แจ่มพูดถึงหัวข้อใหม่ขึ้น ลดความน่ารำคาญเสียงตัวเอง แจ่มรู้ดี

                “เรียนแพทย์ค่ะ” ตุ๊กตาตอบสั้นๆ

                “จริงสิ เพื่อนของป้ามีลูกชาย เรียนต่อคณะเดียวกันกับหลาน ทั้งหล่อทั้งรวย...แล้ว” แจ่มยังไม่ทันพูดต่อตุ๊กตาจึงขอตัวออกจากวงสนทนาโดยไม่บอกกล่าว เป็นที่ไม่พอใจของแจ่ม แต่คนเป็นแม่รู้ดีว่าตอนนี้ลูกต้องการอะไร?...ความสงบ

                กลุ่มสนทนาของผู้ชายวีรบุรุษก็ยังคงพบปะคุยกันอย่างราบเรียบ ไม่มีการสะดุดคอกัน ไม่มีการขัดใจกัน และไม่มีคำว่ามารยาท เพราะพวกเขาตั้งวงดื่มของมึนเมา ยกเว้นแต่ชาร์ญและชัชวาลที่ยังคงจิบๆกับพวกของมึนเมาดูความเป็นผลลัพธ์ของฝ่ายตรงข้าม ซึ่งกำลังเต้น ร้องคาราโอเกะอยู่ตรงหน้าของพวกเขา ที่กำลังนั่งจิบของมึนเมาและพูดความเป็นหัวอกคนเดียวกัน

                “ชาร์ญ ธุรกิจของน้าพานเป็นอย่างไรบ้าง รุ่งโรจน์บ้างหรือเปล่า?” ชัชวาลตอบ

                “ก็ปกติน่ะครับ ลูกค้ามาส่วนมากก็เพราะโปรโมชั่นเท่านั้น แล้วนนท์ล่ะเป็นอย่างไร” ชาร์ญเรียกชื่อเล่นของเขา

                “ช่วงนี้ก็พักบ้างครับ แต่ผมยังไม่รู้ว่าจะกลับไปขอเริ่มทำงานทำตอนไหน” นนท์ตอบ

                “แล้วนนท์ขอเขาพักกี่เดือน?”

                “สองสามเดือนน่ะครับ เพราะทุกปิดเทอมของลูกๆหลานๆแบบนี้ คนที่นั่นเขารู้ดีว่าผมต้องไป” ทั้งสองกำลังคุยอย่างเพลินก็มีเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นถึงสองสามครั้ง ทั้งสองมองไปพร้อมกัน ก่อนที่ประตูจะเปิดออกมา นั่นคือตุ๊กตา “พ่อคะ หนูขึ้นไปนอนแล้วนะคะ”

                “อืม...ราตรีสวัสดิ์”

                “เช่นกันค่ะ” แล้วประตูก็ปิดลง  ตุ๊กตาเดินไปยังลิฟต์อย่างช้าๆ เพราะด้วยความอ่อนเพลียจากการเดินทางมาที่คฤหาสน์ทั้งวัน เธอรูสึกถึงการระแวงอีกครั้ง เมื่อเห็นเงาตะคุ่มเหมือนเงาคนวิ่งผ่านไปมา รู้สึกเป็นเงาของคนตัวเล็กๆ น่าจะเป็นเด็ก เธอหยุดเดินแล้วหันซ้ายหันขวาและมองไปด้านหลังก็พบแต่ความว่างเปล่า พอเธอหันกลับมาอีกครั้ง เธอเห็นเป็นเด็กชายก้มหน้าอยู่ เธอยังคาดเดาไม่ออกว่าเป็นใคร แต่เสื้อของเด็กคนนั้นกับเปื้อนเลือด

                ตุ๊กตาถอยห่างไปประมาณหลายก้าว แต่ระหว่างถอยห่างนั้นเธอก็ยังจับจ้องเด็กคนนั้นอย่างไม่คาดสายตา จนเธอเดินถอยหลังจนชิดพนัง เด็กคนนั้นกลับหันหลังและค่อยๆเดินจากไป เธองงไปหมดแล้ว เธอต้องสืบหาความจริง ก่อนที่เธอจะค่อยเดินตามเด็กคนนั้นไป

                ตอนนี้เธอเห็นเด็กเดินริบหรี่ไปทางลิฟต์ ตุ๊กตาจึงเดินตามไปอย่างแวดระวังโดยไม่คำนึงถึงผลลัพธ์ที่ตามมา มันไม่เหมือนละครที่นางเอกต้องเจอแต่กลับรอดมาได้อย่างปฏิหารย์ นี่คือชีวิตจริงไม่ใช่นิยาย พอเธอเดินมายังลิฟต์ก็ไม่เจออะไรนอกจากความว่างเปล่า แต่เมื่อกี้เธอเห็นจริงๆ เธอไม่ได้ตาฟาดไป เธอจึงละจากความพยายาม ก่อนที่เธอจะเดินเข้าลิฟต์ไป พบว่ามีเด็กชายอยู่ในลิฟต์กับเธอ เหมือนเธอไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย ลิฟต์ก็ขึ้นไปบนชั้นสี่ที่เธออยู่ ส่วนห้องของพ่อและแม่เธออยู่ที่ชั้นสาม

                เมื่อใกล้จะถึงชั้นสี่จู่ๆประตูลิฟต์ก็เปิดพบว่าเจอเด็กผู้ชายคล้ายๆกับกฤตแต่เธอคงยังไม่รู้ว่าเด็กที่แอบเธออยู่ด้านหลังเธอนั้นคือน้องแฟมนี่เอง ก่อนที่น้องแฟมจะเผยตัวตนออกมาทางด้านหลังของเธอ ทำเอาตุ๊กตาตกใจไม่หายเลย หลังจากนั้นตุ๊กตาและสองพี่น้องจึงเดินไปที่ห้องของพี่น้องจอมแสบ

                “พี่ตุ๊กตา ลืมอะไรไปรึเปล่า?” น้องแฟมทัก

                “อะไร? พี่ลืมอะไร?” ตุ๊กตาทวนคำถาม

                “ของฝาก” กฤตพูดขึ้นพร้อมยื่นมือมาขอ ทำให้ความจำของตุ๊กตากลับมาหลังจากที่เจอกับความกดดันของเหตุการณ์แปลกๆที่เธอได้เผชิญมา

                “รออยู่นี่ละกัน เดี๋ยวพี่จะเอาของฝากจากห้องพี่ก่อนนะ”

                “รับทราบ”

               

                ตุ๊กตาเดินออกจากห้องพร้อมกับใบหน้าที่เหนื่อยล้า แสดงถึงการตั้งตัวโดนเด็กหลอกแกล้งทำเป็นผีมาเตือนความจำว่าเธอลืมอะไรบางอย่าง ตอนนี้เธอคลายกังวลเพราะสองพี่น้องจอมแสบ เตือนกันแบบนี้รักตายเลยเพียงแค่เธอนึกในใจ จิตสำนึกของใครบางคนก็ทักทายอย่างไม่ลังเล

                “ตาย”

                “อะไรอีก?” เธอสบถกับตัวเอง ความคิดบ้าๆพวกนี้จู่ๆก็ผุดขึ้นมา

                “ตาย ระวัง” เสียงมันชัดจนเธอได้ยิน เพียงแค่เธอได้ยินก็แทบจินตนาการไม่หยุดไม่หย่อน เธอเลิกคิดเรื่องบ้าๆพวกนี้ ก่อนที่เธอจะเดินไปยังลิฟต์เพื่อไปเอาของฝากบนห้องเธอ

 

                ณ กรุงเทพมหานคร เมืองแห่งสีสันและหลากหลายวัฒนธรรม มีสถานที่เที่ยวต่างๆมากมาย รวมไปถึงสถานที่ที่เป็นแหล่งมั่วสุมของยาเสพติด สถานที่นั้นคือพับบาร์ ซึ่งมีผู้คนนั้นเต้นไปตามเพลงอย่างครื้นเครง บางคนก็นั่งที่เคาทเตอร์เครื่องดื่ม หญิงคนนั้นกำลังดื่มเครื่องดื่นพร้อมโยกตัวไปตามจังหวะเพลงขณะที่ถือเครื่องดื่มเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นพร้อมกับสั่นอยู่ตรงหน้าเธอ ก่อนจะปรากฏชื่อว่าเป็นแม่ของเธอนั่นเอง

                “ฮัลโหล…”

                “อยู่ไหนกัน? นี่มันจะสี่ทุ่มแล้วนะแพรวา” แม่เธอเอ่ยทัก

                “อ๋อค่ะ…เดี๋ยวหนูจะกลับแล้ว” เธอพูดเหมือนสำเนียงมึนนิดหน่อย

                “อย่ามากนะลูก ถึงเขาจะทิ้งแพรวาไป แม่ก็ยังรักเสมอ”

                “ขอบคุณค่ะแม่…ว่าแต่พรุ่งนี้ออกเดินทางตอนกี่โมงคะ?” เธอถาม

                “ช่วงสายๆนะลูก รีบกลับบ้าน แม่เป็นห่วง”

                “ค่ะแม่” ก่อนจะตัดสายทั้งไป เธอชำระค่าเครื่องดื่มเรียบร้อยก่อนจะเดินออกจากพับบาร์ ไปที่โรงจอดรถ แล้วเธอก็เปิดโทรศัพท์พร้อมหาเลขเบอร์ใครบางคนก่อนจะโทร. ไป

               

                สายปลายทางติดอยู่ที่ตุ๊กตานั่นเองเธอกำลังเดินไปที่ห้องของเธออยู่พอดี ตามคำขอที่สองพี่น้องจอมแสบท้วงไว้ ตุ๊กตารีบหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋าก่อนเปิดรับ

                “ว่าไงแพรวา” ตุ๊กตาทัก

                “ตุ๊กตาพรุ่งนี้น่าจะถึงคฤหาสน์ประมาณช่วงบ่ายนะ เตรียมบอกคุณย่าได้เลย” แพรวารายงานทันที

                “ได้จ่ะแพรวา เดี๋ยวรายงานให้นะ” ตุ๊กตาตอบตกลง

                “ตอนนี้อยู่ที่นั่นมีใครบ้าง?”

                “ยังมาไม่เยอะหรอก ไม่ต้องกังวลไปหน่า งั้นเจอกันนะ”  ก่อนที่ตุ๊กตาจะวางสายไป

 

                เธอเดินมาที่หน้าประตูต้องก่อนเปิดเข้าไป…

 

                เสียงเคาะประตูดังขึ้นสามครั้งก่อนที่สองพี่น้องจะเดินมาเปิดประตูให้ พบกับรอยยิ้มของเด็กที่รอคอยสิ่งที่ตนอยากได้มานาน ก่อนที่เด็กๆจะจูงมือพาเข้าไปในห้องอีกครั้ง

                “พี่ตุ๊กตา น้องก็มีของเอามาให้เหมือนกัน” กฤตก็เดินไปหยิบของบางอย่างมา สักครู่ก็เดินมาพร้อมกับของสิ่งหนึ่ง เป็นที่น่าสนใจสำหรับเธอไม่ใช่น้อย

                “อะไรเหรอ?” เธอถาม

                “ไม่บอก…เป็นความลับ ถ้าพี่ตุ๊กตาเปิดเมื่อไหร่จะชอบแน่” แฟมรับประกันกับสิ่งที่อยู่ข้างในกล่อง

                “ขอบคุณนะ เด็กน้อยยย”เธ อกล่าวพร้อมลูบหัว พอเธอเปิดสิ่งนั้นออกมา

 

                กรี๊ดดด… เธอร้องออกมา สิ่งที่เธอเห็นคือลูกตาที่อาบไปด้วยเลือด สิ่งที่เธอเห็นมันช่างขนลุก กลิ่นเหมือนซากศพ ซึ่งทำให้น้องๆ แปลกใจไม่น้อย

                “ไม่ชอบเหรอ?” แฟมพูดออกมาเหมือนเตรียมจะร้องไห้ต่อหน้าเธอ   เธอมองดูในของขวัญมันคือตุ๊กตาบาร์บี้ที่เธอชอบเล่นตั้งแต่เด็ก

                “ชอบจ่ะ ชอบ” เธอตอบก่อนจะมองไปที่ของขวัญ มันคือตุ๊กตาบาร์บี้ที่เคยอยากจะสะสม ทำให้เธอแปลกใจไม่น้อยว่าทำไมเธอได้ตาฟาด ก่อนที่เธอจะเงยหน้ามองมาที่เด็กทั้งสอง กลับพบว่าสิ่งนั้น คือ…

 

กรี๊ดดดดดดด…

 

                เช้าวันรุ่งขึ้นมีเสียงนกเจี้ยวแจ้วกันอยู่ริมหน้าต่าง แสงสาดส่องมาภายในห้องของเธอ กลิ่นดอกลีลาวดีหอมๆเย็นๆมาแตะที่จมูกของตุ๊กตา ช่างหอมนัก แต่เธอก็รู้สึกเหมือนมีมือเย็นๆมาแตะที่มือของเธอ เธอรู้สึกว่าตอนนี้ได้เวลาตื่นแล้ว เธอจึงลืมตาขึ้นและชันตัวนั่งอยู่บนเตียง รอบกายมีแต่ความว่างเปล่า หน้าต่างก็มีมูลี่ปลิวไปตามลมที่พัดผ่านเข้ามาในห้อง เธอถามตัวเองว่าเข้านอนตอนไหน เธอไม่รู้ ชุดของตุ๊กตาก็ยังไม่ได้เปลี่ยนตั้งแต่เมื่อวาน แต่เธอจำได้ว่าเธอนั้นเข้ามาเอาของฝากให้จอมแสบในห้องเธอ แต่เธอก็จำความไม่ได้อีกเลย

 

                นาทยืนรดน้ำต้นไม้อยู่สวนนั่งเล่น ด้วยมือที่เขาถือสายยางอยู่นั้นฉีดไปตามต้นไม้นานาพรรณ เขาเหลือบไปเห็นใครบางคนยืนอยู่หลังต้นไม้ นาทค่อยๆย่องเดินไปจุดเป้าหมายนั้นเรื่อยๆ ก่อนที่สิ่งนั้นจะขยับแล้วล้มลงมา นั่นคือรูปปั้นที่อยู่ในเรือนไทย มันมาอยู่ที่สวนได้ไง? เขาตั้งคำถามกับตัวเอง ก่อนจะค่อยๆตั้งรูปปั้นที่ล้มราบกับพื้นหญ้า แล้วนำไปพิงกับต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ไม่ไกล แต่พอนาทยกขึ้นมันหนักอย่างกับยกเหล็กท่อนใหญ่ท่อนหนึ่ง

                “ทำไมหนักจังวะ”  นาทบ่นขณะกำลังยกรูปปั้น  แต่พอนาทได้นำรูปปั้นพิงไว้สักประเดี๋ยว จู่ๆรูปปั้นนั้นก็ล้มลงไปอีกทีโดยที่นาทไม่ได้สัมผัสแม้แต่นิดเดียว 

                “คุณยาย ผมไม่ได้มาลบหลู่นะครับ  ได้โปรดพาสมบัติของคุณยายกลับไปเถอะครับ”  เพียงพูดนั้นก็เป็นอย่างที่ร้องขอ รูปปั้นนั้นกลิ้งหายไปอย่างลึกลับ  ทำเอานาทถึงกับตะลึงกับสิ่งที่เห็นเพียงเสี้ยววินาที

 

                “ตื่นได้แล้วจ่ะเด็กๆ  น้องแฟม พี่กฤต ตื่นๆ สายแล้ว นอนกินบ้านกินเมืองอยู่ได้” แจ่มปลุกเด็กน้อยจอมแสบทั้งสอง ซึ่งอยู่ในสภาพงัวเงียอยู่  “เช้าแล้วไปอาบอาบท่าไป”  เด็กๆก็ลุกจากเตียงนอนอย่างเพลียๆ ก่อนจะไปชำระล้างร่างกาย

               

                “สิบโมงซักที  เมื่อไหร่แพรวาจะมาเนี่ย?”  ก่อนที่ตุ๊กตาจะ โทร.  ไปหาแพรวาอีกครั้ง

                “ฮัลโหลตุ๊กตา” เสียงจากปลายทาง

                “ถึงไหนแล้ว?” ตุ๊กตาถาม

                “ตอนนี้เราอยู่ห้าง  กำลังจะหาซื้อกระเช้าไปฝากคุณยาย ช่วยแพรเลือกหน่อยดิ  เดี๋ยวส่งวีดิโอไปให้” 

                “โอเคๆ”  ก่อนที่ตุ๊กตาจะวางสายไป เสียงข้อความก็ดังขึ้น  แล้วตุ๊กตาก็ดูวีดิโอที่แพรวาส่งมา  วีดิโอนี้มีกระเช้ารังนกจัดอยู่วางสินค้ามากมาย  สิ่งหนึ่งที่ปรากฏอยู่นั้น ทำให้ตุ๊กตาตกใจแถบช็อค  สิ่งนั้นคือใคร?  ทำไม? ถึงมาโผล่อยู่ในวีดิโอนี้ได้ ก่อนจะมีแพรววาพูดขึ้นมาว่า “ช่วยเลือกหน่อยดิ”  ตุ๊กตาตัดสินใจลอง โทร.  แบบเห็นหน้ากันไปรอบที่สอง สัญญาณก็เชื่อมต่อขึ้นเห็นหน้าแพรวา กำลังมองมาที่หน้าจอโทรศัพท์

                “เออ...ว่าไง เอาอันไหนอ่ะ?” 

                “เราว่านะเอาอันแดงๆดีกว่า” ตุ๊กตาออกความเห็น ในหน้าจอโทรศัพท์ก็เห็นแพรวาโชว์กระเช้าให้ตุ๊กตาเห็น

                “ใช่อันนี้ไหม?”  แพรวาถาม แล้วตุ๊กตาก็ตอบตกลง  สิ่งที่เธอเห็นนั้น ไม่ใช่มนุษย์ อย่างเที่ยงแท้แน่นอน

                “โอเคเดี๋ยวเจอกัน”  แพรวาพูดก่อนจะตัดสายไป  ทำให้ตุ๊กตาตกตะลึงไม่น้อย ทำให้เธอนั่งระงับสติอารมณ์ความกลัวไปสักพักหนึ่ง

 

                ชายหนุ่มนุ่งกางเกงยีนส์ ใส่เสื้อสีเขียวแขนยาว เดินเลือกสินค้าอยู่ในห้าสรรพสินค้า  มีซาวด์เบาท์พาดสวมไว้ที่ต้นคอ ก่อนจะมองไปที่แพรวาที่กำลังชำระของที่กำลังซื้อ แล้วก็เดินจากไป  เขาไม่สนอะไรทั้งสิ้น ก่อนจะเดินเลือกสินค้าไปตามปกติ

                “วินรีบซื้อของ  เดี๋ยวไปหาคุณยายไม่ทัน”

 

                สิ่งที่ย้อมใจคนให้สงบลงได้นั่นคือธรรมชาติ  สิ่งที่ดำเนินการพฤติ กรรมของพวกเขาเหล่านั้นคือใจคน  ตุ๊กตากำลังปรับปรุงและย้อมใจให้สงบลงด้วยธรรมชาติ นั่นคือสิ่งที่เธอเลือก  ตั้งแต่ที่เธอได้มาเหยียบที่นี่มักพบเจอเรื่องราวแปลกๆ ไม่ว่าคนรอบตัว  แม้กระทั่งตัวเธอเอง  ณ  ธรรมชาติที่เธอกำลังยอมใจอยู่นั้น  ล้อมไปด้วยหมอกที่สัมผัสถึงไอเย็นคลายร้อน มีบึงดอกบัว ปลาคาร์ปอัมรินทร์* ที่แวกว่ายไปตามอำเภอใจ   มีต้นไทรต้นใหญ่ที่คอยบังแดดบังความร้อน ทำให้ยิ่งมีความสุขในการทำกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างอิสระ  ตอนนี้เธอกำลังอ่านหนังสือเข้าสอบแพทย์ ซึ่งมันก็เป็นแค่แนวข้อสอบก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกที แล้วพิมพ์ส่งข้อความไป

          “ถึงไหนแล้ว?”  ตุ๊กตาถาม

          “อีกชั่วโมงกว่าๆก็จะถึงแล้ว”  แพรวาตอบ

          “ว่าแต่แพรวาเข้าคณะอะไรเหรอ?”

          “นิเทศวารสาร แล้วตุ๊กตาล่ะ?”

          “แพทย์แต่เราสอบแล้วไม่รู้ว่าผลเป็นไง?”

          “เราว่าตุ๊กตาสอบเข้าได้แน่ๆ เชื่อดิ ส่วนเราก็รอสอบ”

          “ถึงแล้วโทร.  มาหานะ”

          “เราว่าไม่ต้องโทร. หรอก เดี๋ยวได้เจอกัน”

          “จ้า เจอกันนะ”

 

                แล้วตุ๊กตาก็วางโทรศัพท์ลงข้างกายไว้เหมือนเดิม ก่อนที่เธอจะมารื้อฟื้นความทรงจำสมัยเด็กๆอีกครั้ง เมื่อเธอเดินไปยังที่เธอนั้นเคยฝัน!!  แต่มันก็ไม่น่ากลัวอย่างที่เธอได้เห็นในความฝัน รู้สึกถึงความสดชื่นแล้วกระปรี่กระเปร่าขึ้นมาอีกด้วย แต่อย่างไรมันก็น่ากลัวอยู่ดี  ตุ๊กตาเริ่มเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ เหมือนมีมนต์สะกดบางอย่างบังคับอยู่  ตามระหว่างทางเดินนั้นมีกล้วยไม้มากมายที่อาศัยอยู่ตามต้นไม้ข้างทางเดิน มองมันแล้วรู้สึกสดใส แต่แฝงไปด้วยความหดหู่ ซึ่งไม่มีใครอยากให้มันมี

 

                ใกล้ถึงเวลาเที่ยงวัน แม่บ้านแม่เรือนก็ต่างเตรียมอาหารประกอบอาหารอย่างประณีต  อาหารไทยล้วนมีเอกลักษณ์ต่างประเทศชมนักชมหนาว่าอร่อย แม่บ้านต่างพากันมีความสุขที่ได้ทำอาหารทีเป็นเหมือนครอบครัวเดียวกันได้คุยกันขณะช่วยกันประกอบอาหาร  แต่ดูเหมือนมันจะสิ้นสุดลง  บุคคลที่เดินเข้ามานั่นคือแจ่ม มาพร้อมกับลูกๆของเธอ

                “ไหนใกล้เสร็จรึยัง ลูกๆของฉันหิวแล้ว” แจ่มพูดเพยอ

                “ใกล้เสร็จแล้วค่ะ เชิญคุณแจ่มรอที่โต๊ะอาหารได้เลยค่ะ” ป้ากริมพูด

                “อืมๆ ไวๆเข้าล่ะ อย่าชักช้า” แจ่มพูดก่อนจะเดินออกไป แต่เด็กๆ ยังอยู่ มองอาหารที่วางอยู่ตรงเคาท์เตอร์

                “คุณหนูๆอยากทานอะไรเป็นพิเศษบ้างไหมคะ?  เดี๋ยวคุณยายจะทำให้” ป้ากริมอาสาเพราะเห็นความน่ารักของเจ้าตัวแสบทั้งคู่กำลังมองหาอาหารที่เตรียมจะลงท้อง

                “อยากกินขนม มีไหมครับ?”

                “มีสิคะ เดี๋ยวยายเอาให้  แต่ต้องทานอาหารให้เสร็จก่อนนะคะ” ป้ากริมพูดกล่วอย่างเอ็นดู แต่ดูเหมือนทั้งสองจะไม่ฟัง เพราะอยากทานขนมคบเคี้ยวมากกว่า

                “ไม่เอา ไม่กิน ไม่เอา ไม่กิน...” เด็กทั้งสองพูดตะโกนอย่างไม่พอใจ เพราะความเป็นเด็กจึงควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ร้องอยากทานขนมส่ายตัวไปมา ทำให้แจ่มที่นั่งอ่านนิตยสารอยู่ที่โต๊ะทานอาหารได้ยินเสียงเข้า แล้วมุ่งหน้าเดินมาทางห้องครัว

                “อะไรกันนักหนา? เด็กอยากกินก็ให้เด็กกินสิ เรื่องมาก”  แจ่มไม่พอใจแสดงถึงใบหน้าที่บูดเบี้ยวอย่างคนไม่พอใจเป็นอย่างมาก

                “ค่ะๆ”  ป้ากริมรีบทำตามอย่างที่แจ่มว่าก่อนจะยื่นจานที่มีขนมไทยให้ แต่ไม่ใช่ในสิ่งทีเด็กๆต้องการ

                “ไม่ใช่ๆ...” เด็กยิ่งร้องหนักกว่าเดิม

                “มันไม่มีขนมของชาวฝรั่งหรอกค่ะ  มีแต่ขนมไทย”

                “บ้านก็ใหญ่ก็รวย มีแต่ขนมบ้านๆ ไปเดี๋ยวแม่พาไปซื้อ”  แจ่มพูดอย่างไม่พอใจเป็นมากกก่อนจะเดินออกจากห้องครัวทิ้งความทุกข์ใจไว้ให้กับป้ากริมไว้ทันที  แม่บ้านคนอื่นๆก็ต่างมองมาที่ป้ากริมด้วยความสงสาร

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา