Deathland ฝ่าวิกฤติซอมบี้ล้างโลก

-

เขียนโดย อชิรญาฯ

วันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 เวลา 18.57 น.

  3 วันที่
  0 วิจารณ์
  7,425 อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) เอาตัวรอด

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ใบหน้าของหญิงสาวบิดเบี้ยวด้วยความสะอิดสะเอียด ร่างกายบอบบางขาวเนียนอ่อนแรงจนแทบจะยืนไม่อยู่ ดวงตาสีชาเช่นเดียวกับเรือนผมดูอิดโรยคล้ายคนหมดอาลัยตายอยากเต็มที ชุดยูนิฟอร์มสีดำสวมสูทของนางเปื้อนเต็มไปด้วยเลือดสีข้นและกลิ่นคาวเหม็นเน่าคละคลุ้ง

ตัวสุดท้ายรึยัง? ...ตายหมดแล้วรึยัง?

คำถามในข้อนี้ยังคงอยู่ในหัวสมองของพาร์ท

หลังจากตื่นขึ้นมาจากการนอนสลบไสลไม่ได้สติเป็นผักในบ้านตัวเองมาเกือบอาทิตย์ เมื่อตื่นขึ้นมาจึงรีบคิดแต่ไปทำงานโดยไม่ทันรู้ว่าสภาพของโลกภายนอกนั้นเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง

นางกลัวจนตัวสั่นหลังจากได้ทราบเรื่องราวจากเพื่อนบ้านที่กำลังขนของหนีว่า อเมริกาตอนนี้ได้กลายเป็นนรกของพวกศพชีวภาพไปแล้ว

ถึงจะกลัวตัวสั่นมากแค่ไหนแต่จุดสุดท้ายของพาร์ทคือกลับไปตามหาพ่อแม่ที่คิดว่าจะยังไม่เป็นอะไรในเมืองเบฮิงแรมตัน การกลับมาบ้านเกิดของเธอไม่ได้หวังสิ่งใดมาก ขอแค่ได้รู้ข่าวว่าพ่อแม่ และน้องสาวที่น่ารักของเธอจะถูกย้ายออกอย่างปลอดภัย

สถานการณ์ที่เลวร้ายเช่นนี้ เหมือนจะตอกย้ำความจริงให้เธอได้นึกเสียใจมากกว่าเดิม

ภายในบ้านขนาดกว้างสองชั้น หญิงสาวกำลังพยายามทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมด จับผีดิบทั้งสามตัวมามัดรวมเข้าด้วยกันอย่างทุลักทุเล 

ขณะที่พาร์ทกำลังทำสั่งที่คิดว่าพอจะทำได้อยู่นั้น นางก็ร้องไห้ออกมาอย่างหนัก น้ำตาที่เรียกว่าความหวังได้พังทลาย ไหลออกมาอาบรดสองแก้มนวล คล้ายกับว่าไม่รู้จักหมดสิ้น

ผีดิบสามตัวที่นางพยายามจับมัดอย่างยากลำบากนั้น แท้จริงคือพ่อ แม่ และน้องสาวของเธอ หญิงสาววัยยี่สิบเอ็ดปีพยายามถึงที่สุดแล้ว เธอพยายามแล้วจริงๆ...

"ม ..แม่ พ่อ..น้องเบทจี่ พะ..พี่ ฮือๆ พี่ของโทษน้องด้วยยย ..อึก หนูขอโทษนะคะ"

พาร์ทพยายามข่มใจตัวเองมองใบหน้าบุคคลอันเป็นที่รักทั้งสามอย่างสุดหัวใจอีกครั้ง หญิงสาวยกแกลอนน้ำมันก๊ากที่เตรียมไว้ออกมา ก่อนจะราดใส่ผีดิบทั้งสามตัวด้วยความสะอื้น

"...ลาก่อนนะ ฉันจะไม่ลืมวันที่ผ่านมาเลย"

..........................

"ให้ตายสิน่า! นี่ฉันจะมีวันดีๆสักวันกับเขาได้มั้ยเนี่ย!!" ซารีนสถบออกปากอย่างหัวเสีย เมื่อเช้าตรู่อันแสนสงบในวันนรกได้ถูกทำลายลงโดยเสียงระเบิดดังกึกก้องทางซีกหลังของซอยบ้าน

ชายหนุ่มเดินเกาหัวแกรกๆออกมาหน้าบ้านอย่างหงุดหงิด ก่อนจะเห็นว่าเฮกกรีนออกมาดูลาดเลาความเคลื่อนไหวก่อนอแล้ว

"เกิดอะไรกันวะ? ฉันได้ยินเสียงดังเหมือนระเบิดเลย" ซารีนถาม

"น่าจะเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจรหรือแก๊สรั่วน่ะ บ้านที่ไม่มีคนอยู่มักจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้เสมอนั่นแหล่ะ ฉันว่าฉันอยากจะไปตรวจดูแถวนั้นสักหน่อย"

"ไม่บอกก็รู้อยู่แล้วเพื่อน แต่ระวังต้นคอเอาไว้ให้ดีล่ะ" ซารีนเตือนพร้อมเอามือปาดคอ "ถ้านายเป็นไอ้พวกนั้นเมื่อไหร่ก็ระวังลูกปืนของฉันไว้ด้วย"

"เออน่า ว่าแต่นายเถอะซารีน ตาปรือแบบนั้นจะไปนอนต่อก็ไปซะนะ จะได้มีแรงขับรถไปค่ายกันต่อ"

"แรงน่ะมีเว้ย ...แต่ท้องฉันนี่ดิ" ซารีนเอามือลูบท้อง "มันเรียกหาแต่เนื้อใหญ่เลยว่ะ ฮ่าๆๆ"

ซารีนหันหลังโบกมือให้เพื่อนแล้วเดินกลับเข้าบ้าน จะว่าไปนายคนนี้เป็นคนที่ออกจะชอบหยอดมุขให้ชวนฮานะ แต่ก็แป้กอยู่เรื่อย เรื่องปากนับว่าแน่ เรื่องการต่อสู้หมอนี่ก็ยิ่งนับว่าแน่ แม้รูปร่างจะบางเล็กน้อย แต่การต่อสู้ของซารีนนับว่าสูงที่สุดในหน่วย รองลงมาก็คือเขา แต่ก็อย่างว่าล่ะนะ คนไร้สาระอย่างหมอนี่ ถ้าไม่นับเรื่องต่อสู้แล้วก็ไม่เห็นอะไรออกมาเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง

เฮกกรีนหุบยิ้มแล้วเดินไปตามทางเพื่อมุ่งสู้บ้านหลังที่เกิดเหตุโซนหลัง อาวุธที่เขานำติดตัวมาด้วยคือสปาต้าและประแจเสียบขา เผื่อว่าเกิดเรื่องไม่คาดฝันจะสามารถนำมาใช้เป็นอาวุธสำรองได้

ประสาทสัมผัสทั้งห้าของเฮกกรีนเปิดกว้างอย่างเต็มที่ เมื่อคืนได้พักผ่อนมาจนเต็มอิ่ม เรื่องกำลังกายน่ะเกินร้อย แต่พลังใจนี้ยังไม่แน่ แหงล่ะ..ก็คนในครอบครัวไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้านี่เนาะ สถานการณ์แบบนี้ ความแน่นอนคือสิ่งไม่แน่นอนเสมอ

สายตาของชายหนุ่มกวาดมองสองข้างทาง ข้อมือหนาเกร็งมีดเอาไว้แน่นพร้อมที่จะฟาดมันออกไปได้ทุกเมื่อ

มันแปลกนะ ทั้งๆที่เดินอยู่ใกล้กับพวกผีดิบมากถึงขนาดนี้แต่พวกมันกลับไม่รู้ตัวเลยสักนิด? ...มันเป็นเพราะอะไรนะ?

เฮกกรีนตั้งคำถามขึ้นมาในใจ ทางซอยด้านหลังเรียกได้ว่าเป็นแหล่งมั่วสุมของพวกผีดิบเลยก็ว่าได้ ผีดิบนับร้อยตัวต่างร่วมใจกันเดินอย่างเป็นระเบียบโดยมีจุดมุ่งหมายเดียวกันกับเขาคือ บ้านหลังที่เกิดไฟไหม้

ถึงจะเห็นว่าพวกมันไม่ทำอะไรเขา แต่เฮกกรีนก็อดไม่ได้ให้ต้องกังวล ในสมองของเขาไม่เคยคิดอะไรที่มันรกหัว แต่ตอนนี้คงต้องเริ่มคิดขึ้นมาบ้างแล้วล่ะ ถ้าหากต้องการเอาตัวรอดก็อาจจะต้องสร้างกฎเหล็กของตัวเองขึ้นมาเป็นอันดับแรก ส่วนอันดับสองคือต้องพิจารณาร่างกายและระบบประสาททางกายภาพของไอ้ผีดิบพวกนี้ว่าแท้จริงแล้วพฤติกรรมของพวกมันคืออะไร

ไม่ช้าเฮกกรีนก็ได้มาถึงบ้านหลังที่เกิดเหตุ ชายหนุ่มทอดมองเหล่าผีดิบที่ต่างเดินลุยเข้าไปในกองไฟอย่างสบสน ไม่ต่างอะไรไปจากการฆ่าตัวตายดีๆนี่เอง

ชายหนุ่มพยายามเดินสำรวจบริเวณรอบบ้าน เขาไม่ค่อยชินที่มีผีดิบยืนล้อมหน้าล้อมหลังจึงพยายามออกมาให้ห่างที่สุด บ้านหลังนี้เป็นบ้านสองชั้นแบบเดียวกับเขา แต่มีขนาดเล็กกว่า ท่าทางจะมีคนอยู่ไม่ค่อยมาก พิศดูจากหน้าต่างที่มีอยู่บานนึงบริเวณชั้นสองแตกละเอียด คาดว่าอาจจะมีการกระแทกของอะไรบางอย่างทำให้มีบางสิ่งตกลงมาจากบริเวณชั้นสอง

เฮกกรีนเดินเข้าไปใกล้พอที่จะอย่ในแนวโค้งของหน้าต่างที่คาดว่าจะตกแบบโปรเจกไตรม์

"อืม...หญ้าแถวนี้ดูเหมือนจะราบลงไปกับพื้นมากกว่าที่อื่น" ชายหนุ่มพึมพำ เขาลองเอามือทาบกับหญ้าจนรู้แน่ชัดแล้วว่ายังอุ่นอยู่ จึงเริ่มสังเกตุร่อยรอยในบริเวณใกล้เคียง

เฮกกรีนสังเกตุเห็นรอยหญ้าที่เปื้อนเลือดกับหนองยาวหยดเป็นแถบหายเข้าไปในกองเพลิง ร่องรอยนั้นชี้ชัดว่าเป็นมนุษย์ที่ยังไม่ติดเชื้อ เนื่องจากรอยเท้ามีแรงกดที่ปลายเท้ามากกว่า

"นี่สินะคงจะเป็นสาเหตุให้พวกแกเข้าไปในไฟ ...มาครั้งนี้เสียเที่ยวจริง" เขาส่ายหัวไม่สบอารมณ์ ที่ยอมออกมาสำรวจแถวนี้ก็เพราะว่าอาจจะมีร่องรอยของคนอยู่บ้างอะไรบ้าง การระเบิดแบบนี้จะว่าเป็นอุบัติเหตุก็ใช่ แต่จะว่าเป็นสิ่งที่มนุษย์ทำขึ้นก็ได้

อุบัติเหตุกับการกระทำของมนุษย์ต่างกัน อุบัติเหตุคือเรื่องที่ไม่คาดฝันที่มันจะเกิดขึ้น แต่การกระทำของมนุษย์จะเริ่มได้ต่อเมื่อมนุษย์มีความตั้งใจที่จะทำให้มันเกิดขึ้น

เฮกกรีนเอาผ้าขึ้นมาพันหน้า ก่อนจะใช้ผ้าบางที่สามารถมองทะลุได้พันบริเวณดวงตา ...ต่อจากนี้ เขาจะเข้าไปในกองเพลิงล่ะนะ...

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา