ภารกิจพิชิตหัวใจยัยเทพเจ้าแห่งดอกไม้

9.3

เขียนโดย khanom_thai

วันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 เวลา 04.35 น.

  16 ตอน
  36 วิจารณ์
  19.81K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 20.26 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

10)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

Chapter8

 

 "กริ๊ดดดดด" เสียงของสมายด์ดังขึ้น ทำให้ทุกคนชะงักแล้วหันกลับไปมอง

 "เคเคียว เธอช่วยสมายด์ได้ไหม" เรเทลเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก

 "จะลองดู ข้าจะลองดู" ฉันเอ่ยแล้วหันไปมองเรเทลก่อนจะบินเข้าไป

 "ค่ะ เคเคียวมายด์เจ็บ" ร่างแวร์วูฟล์ของสมายด์ค่อยๆกลายร่างเป็นมนุษย์ แล้วมือเถาวัลย์พันที่ข้อเท้าและเลือดของเธอเริ่มออกมา

 "ดอกไม้กินเลือด" ฉันรีบบินเข้าไปทันที ก่อนจะเรียกดาบออกมาแล้วฟันลงตรงเถาวัลย์นั่น

 "สมายด์ เจ็บไหม" โอเซียไปประคองร่างของสมายด์ไว้

 "ลงไปข้างล่างกันก่อนเถอะ" เรเทลเอ่ยบอกแล้วค่อยๆดิ่งลงสู่ป่าผืนนั้น

 "เอาจริงๆหรอ" ท่านพี่เซนอนเอ่ยถามแล้วลงไปทันที ทำให้ทุกคนงง แต่ไม่นานนักพวกเราก็ดิ่งลงตามไป ผืนป่าสีเขียวด้านล่างฉันมองผืนป่าด้วยายตาที่หวาดระแวง

 "เอาล่ะโอเซียวางสมายด์ลงก่อนนะ" เรเทลเอ่ยสั่งเรียบและสั่งเกตอาการของเธอ หน้าที่มีสีชมพูอ่อนๆเริ่มซีด

 "เจ็บแผลจัง" สมายด์พึมพำแล้วมองเลือดที่ไหลลงมาไม่หยุด

 "ยื่นข้อเท้ามานี่หน่อยสิ" ฉันเอ่ยบอก แล้วสมายด์ก็ทำตามทถกคนมองตามฉันอย่าง งงงวย

 "ดอกไม้กินเลือดงั้นหรอ" ฉันค่อยๆใช้มือลูบแผลของสมายด์

 "เจ็บจัง" สมายด์เอ่ยร้องขึ้นมา

 "ข้าจะถอนพิษให้" ฉันพูดแล้วค่อยวางมือทาบลงตรงแผลของเธอ แล้วพึมพำคำถอนพิษออกมา

 "โอ๊ย" สมายด์ร้องออกมาเมื่อรู้สึกเหมือนว่ามีอะไรบางอย่างออกมาจากแผล

 "จริงๆด้วย" ฉันหยิบเมล็ดดอกไม้สีดำอันหนึ่งขึ้นมา

 "อะไร นั่นน่ะ" เรเทลเบิกตาโผลงแล้วเดินมาดูเมล็ดสีดำในมือฉัน

 "เมล็ดของดอกไม้กินเลือดน่ะ" ฉันค่อยใช้เวทย์สสายมัน

 "ทำไมต้องสลายด้วยหรอ" สมายด์ถามอย่างสงสัย

 "ก็เพราะเมล็ดของมันจะทำให้คนที่ถูกมันฝังลงไป อยากกินเลือดของมนุษย์น่ะสิ" ฉันหันไปร่ายเวทย์รักษาแผลของสมายด์

 "เหมือนแวมไพร์เลย" โอเซียเอ่ยขึ้น

 "ใช่มันเป็นดอกไม้ที่พวกแวมไพร์นำมาปลูกไว้ มันกินเลือดของสรรพสิ่งต่างๆเป็นอาหาร แล้วใครที่โนมันฝังเมล็ดลงไปมันก็จะมีอาการคล้ายๆแวมไพร์นั่นแหละ พูดตรงๆมันก็คือร่างแปลงของแวมไพร์ดีๆนี่เอง" คำหลังฉันพึมพำเบาแล้วมองแผลนั่น

 "แล้วข้าจะเป็นอะไรไหม" สมายด์เอ่ยด้วยสีหน้าวิตกกังวล

 "ไม่หรอก เพราะ พิษของมันยังไม่ได่แพร่มันจะแพร่ก็ต่อเมื่อเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมง แล้วอีกอย่างข้าก็เอาเมล็ดมันออกไปแล้ว" ฉันเอ่ยปลบอเพื่อความสบายใจของสมายด์

 "งั้นก็ดีเลย" สมายด์อมยิ้มอย่างโล่งอก

 "ฉันว่าเราคงต้องรีบไปจากที่นี่แล้วล่ะ ก่อนที่พวกมันจะมา" เรเทลเอ่ยบอกแล้วรีบลอยตัวทันที

 "ป่ะทุกคน" ฉันค่อยๆพยุงสมายด์ขึ้น แล้วส่งให้บีลัส

 "เร็วทุกคน" โอเซียสั่งแล้วพวกเราก็บินขึ้นบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว

 "โอ้" ผีฟ้าหันไปมองเบื้อล่างก็พวกกับปีศาจ ( พืช ) มากมาย

 "เราดีที่หนีออกมาทัน ไปต่อทุกคน" เรเทลบินออกไปทันที

 "จะไปทีไหนกันอีก" ฉันตะโกนถามด้วยน้ำเสียงที่แสนจะเป็นห่วงเธอ

 "เคเคียวเราจะไปโลกแวมไพร์กัน คราวนี้เราได้ตะลุยฝ่าด่านเจ้าปีศาจเลือดดำพวกนั้นแน่" เรเทลพูดเสียงคึกคักอย่างตื่นเต้น

 "เจ้าลืมพันธะสัญญาระหว่าง 6 โลกไปแล้วหรือไง" ท่านพี่เซนอนตะโกนไล่หลังไปทำให้เรเทลชะงัก

 "ฉันไม่ลืมแต่ถ้ามันขวางทางเราฉันก็จะไม่เว้น" เรเทลพูดด้วยเสียงเย็น

 "จะไหวหรอเรเทล" ฉันเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจ

 "ไหวสิ" เรเทลไม่ฟังอะไรทั้งนั้น บินนำหน้าพวกเราไปทันที

 "ให้มันได้อย่างงี้สิค่ะ" ผีฟ้าสบถเบาๆ

 "เอาน่า ไหนๆก็มาถึงป่านนี้เลย เอ้า สู้" สมายด์เอ่ยบอกแล้วตามไปทันที

 "อ่ะพวกเราก็ตามไปกันเถอะ" ฉันเอ่ยบอกทุกคนแล้วตามไป ใช้เวลาไม่นานนักพวกเราก็มาถึงดินแดนของปีศาจเลือดดำนามว่าแวมไพร์

 "อ่ะ แฮ่ม" เสียงของใครคนหนึ่งทำให้พวกเราชะงักเมื่อเข้าไปสู่โลกแวมไพร์

 "สวัสดี องค์หญิง ไม่ทราบว่ามาเยือน ณ ที่แห่งนี้ได้อย่างไร" เสียงของผู้ชายคนหนึ่งทำให้ฉันหันไปมอง

 "เจ้ามีอะไรกับข้า" ฉันขยายม่านตัวให้เปิดขึ้นเพื่อปรับให้เข้ากับความมืดแล้วสิ่งที่ฉันเห็นก็สิ่งที่ทำให้ฉันเบิกตาโผลง

 "เทพนั้นไม่ได้ร่วมทำสัญญาระหว่างดินแดน  ฉะนั้นข้าคงจะปล่อยให้เจ้ามาเดินอยู่ในโลกแวมไพร์ไม่ได้" แวมไพร์ตนนั้นกระโจนเข้าใส่ฉันทันที

 "โอ๊ย" ฉันตกใจจนลืมป้องกันตัว เสียงของฉันเรียกทุกคนเอาไว้ทำให้ทุกคนหันมามองฉัน แล้วมีสีหน้าตื่นตระหนก

 "ปล่อยเคเคียวเดี๋ยวนี้นะ" เรเทลวิ่งเข้ามา

 "พวกเจ้าจัดการ" เจ้าแวมไพร์ตนนั้นเรียกลูกสมุนของมันของมารายล้อมพวกทุกคนเอาไว้

 "เลือดของเทพช่างหอมหวานกว่าเลือดของมนุษย์เป็นไหนๆ ยิ่งเจ้าเป็นเทพผู้ใช้เวทย์แห่งดอกไม้มันก็สุดแสนจะหอมหวาน" แวมไพร์ตนนั้นกล่าวด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม

 "เจ้าจะทำอะไรข้า" ฉันใช้มือดันร่างของแวมไพร์ตนนั้นออก

 "ฮึ!!!! ไร้เดียงเดียงสาเสียเหลือเกินนะเจ้าหญิง" ฉันค่อยขยายม่านตัวออก เพื่อมองหน้าแวมไพร์ตนนี้ และพบว่า

 "โอ้พระเจ้า ทำไมเจ้าถึงหน้าตาดีขนาดนี้" ฉันเบิกตามองอย่างตกใจ

 "เจ้าพูดอะไร" แวมไพร์ตนนั้นทำหน้าไปเข้าใจ

 "ลุก" ฉันเอ่ยสั่งเสียงเรียบ แล้วใช้พลังเวทย์ดันร่างของแวมไพร์ตนนั้นออกไป

 "ฮึ เจ้าคิดหรอว่าเจ้าแวร์วูฟล์จะช่วยเจ้าได้" แวมไพร์ตนนั้นยืนขึ้น ฉันจึงยืนตามแล้วเราทั้งสองก็ยืนประจันหน้ากันแบบไม่เกรงกลัว

 "ข้าก็ไม่ได้หวังนี่" ฉันเหยียดยิ้มเย็นแล้วค่อยร่ายเวทย์ดอกไม้ในใจ

 "แค๊กๆ" แวมไพร์ตนนั้นไออกมาเมื่อได้กลิ่นของดอกไม้

 "ฮึ แค่นี้ก็แพ้แล้วหรอ" ฉันเรียกดาบออกมาแล้วการปีกขึ้นเตรียมท่าจะต่อสู้เต็มที่

 "เสียใจนะเจ้าหญิง" เจ้าแวมไพร์ตนนั้นกางปีกออก แล้วบินออกจากที่ตรงนี้ ฉันจึงบินตามไป

 "ทำไมล่ะ หรือเจ้าอยากจะร้องขอชีวิตจากข้า" ฉันยิ้ม แล้วจ้องแวมไพร์ตนนั้น

 "โอ้ เจ้าหญิงท่านโตมากๆแล้วสินะ แต่ท่านอย่าคิดว่าท่านจะสามารถเอาชนะข้าได้"  แวมไพร์ตนนั้นเอ่ยอย่างขึ้นอย่างเลือดเย็น

 "ข้าไม่เคยเกรงกลัวใคร" ฉันตวัดปลายดาบขึ้นชี้หน้าของแวมไพร์ตนนั้น

 "กล้ามากนะเจ้าหญิง" แวมไพร์ตนนั้นมองฉันด้วยสายตาที่ฉันไม่อาจคาดเดาได้

 "ข้ากล้าอยู่แล้ว ในเมื่อข้าไม่ใช่ผู้ทำสัญญา ข้าก้อยากจะเบียดเบียนและจัดการพวกแวมไพร์สักหน่อยรวมถึงเจ้าด้วย" ฉันตวัดตาสีขาวไปมองด้วยสายตาที่แสนจะกล้าหาญ

 "งั้นข้าขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการก่อนนะ ข้าชื่อ เอลฟ์เซเทอร์ อายล์ ทีเฟียร์ ท่านองค์หญิงจะเรียกข้าว่า เจ้าชาย ทีเฟียร์ ก็ได้" แวไพร์อืมไม่ใช่สิเจ้าชายทีเฟียร์แนะนำตัวกับฉันอย่างเป็นกันเอง

 "โอเค หึ ข้าชื่อเคเคียว ข้าจะไม่ออมมือกับเจ้าแล้วนะ เจ้าชายแห่งโลกแวมไพร์" ฉันยิ้มเบาๆแล้วพุ่งตัวเข้าเจ้าชายทีเฟียร์ทันที

 "เจ้าอีกอะไรก็แสดงออกมาให้เต็มที่" ว่าแล้วเจ้าชายทีเฟียร์ก็พุ่งตัวเข้าหาฉันด้วยเหมือน ฉันตวัดดาบเฉียดตรงหัวไหล่ของเจ้าชายทีเฟียร์ ส่วนเจ้าชายทีเฟียร์ก็ปล่อยสำเสียงสีดี มาใส่ฉันทำเอาจุกไปเลย

 "ท่านพี่!!!!!!!!" เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งทำให้เราทั้งสองชะงักก่อนจะกระโดดลงพื้น

 "เชอร์บี้ เจ้าลงมาทำไม" เจ้าชายทีเฟียร์เดินเข้าไปหาเด็กน้อยด้วยสายตาที่ห่วง

 "ท่านพี่ทำอะไรกับองค์หญิงเคเคียว" เชอร์บี้หันมาทางฉันเป็นเชิงถาม แต่ก็ต้องวเบิกตาโผลงเมื่อฉันกระอักเลือดออกมา

 "พวกเจ้าหยุดทำร้ายคนพวกนั้นก่อน" สิ้นเสียงของเจ้าชายทีเฟียร์แวมไพร์ทุกตนก็หายไปทำให้ฉันมองเห็นทุกคนชัดขึ้น ทุกคนมีบาดแผลตามตัวไปหมด ส่วนแวร์วูฟล์สามอย่าง ท่านพี่เซนอน โอเซีย และ สมายด์ก็มีเลือดเลอะขนของพวกเขา แล้วนอนหอบหายใจอย่างหน่อยอ่อน

 "องค์หญิงเป็นยังไงบ้าง พวกเจ้ามารับตัวคนพวกนี้ไปทำแผลเลยนะ" เชอร์บี้เดินเข้ามาประคองฉัน ที่กระอักเลือดออกมาไม่หยุดแล้วเอ่ยสั่งแวมไพร์หลายตนที่บินมา

 "เชอร์บี้อย่าสัมผัสเทพนะ ข้าไม่ชอบ" เจ้าชายทีเฟียร์สั่งห้ามน้องสาวเสียงเรียบแต่มีหรือที่เชอร์บี้จะยอมเธอเข้ามาประคองฉัน

 "ท่านพี่นั่นแหละที่ทำกับองค์หญิงเคเคียวแบบนี้" เชอร์บี้ค่อยๆเช็ดเลือดที่มุมปากของฉัน

 "ข้าก็แค่ใช้พลังอัดเข้าไปเจ้านี่ยังไงกันนะ" เจ้าชายทีเฟียร์เอ่ยด้วยความอ่อนใจกับน้องสาว

 "ท่านพี่ต้องรักษาองค์หญิงข้าจะไปช่วยรักษาแวร์วูฟล์เหล่านั้นเอง" ว่าแล้วเชอร์บี้ก็ส่งตัวฉันที่อ่อนแรงให้กับเจ้าชายทีเฟียร์

 "อะไรของเจ้ากันนะ" เจ้าชายทีเฟียร์สบถออกมาอย่างรำคาญ แล้วมองฉันที่นั่งอยู่

 "จิตใจเจ้ามันช่างต่างกับน้องของเจ้าเสียเหลือเกินนี่น่ะหรอ เจ้าชายทีเฟียร์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในดินแดนแวมไพร์ " ฉันพูดเหน็บแนมด้วยความหมั่นไส้ แล้วค่อยๆพยุงตัวเองลุก แต่ก็ต้องจุกอีกครั้งแล้วก็ต้องลงไปนั่งพื้นตามเดิม

 "ไม่อยากจะเชื่อ เจ้าหญิงผู้งดงาม มากระอักเลือดเพราะพลังของข้า" เจ้าชายทีเฟียร์ส่ายหัวอย่างระอาใจ

 "ไอ้เจ้าชายปีศาจ" ฉันแห้วอย่างหมั้นไส้เมื่อเจ้าชายทีเฟียร์อุ้มฉันขึ้น แล้วจากนั้นเขาก็พาฉันหายตัวไป  และเราก็โผล่ ณ ห้องๆหนึ่ง

 "ข้าก็เป็นปีศาจอยู่แล้วนี่ใครจะสูงส่งเช่นเจ้า" เจ้าชายทีเฟียร์โยนฉันลงบนเตียงอย่างแรง แต่ก็ยังดีที่เตียงนี้มันนุ่มทำให้ตัวฉันเด้งขึ้นเท่านั้น

 "โอ๊ย" ฉันร้องออกมาเมื่อรู้สึกจุกที่ท้องอีกครั้ง

 "อะไรกัน นี่น่ะหรอองค์หญิง ผู้งดงาม แห่งโลกเทพ มากระอักเลือดเพราะจุก" เจ้าชายทีเฟียร์เลิกคิ้วอย่างสงสัย แล้วยิ้มเยาะไปในคราวเดียวกัน

 "ข้าเกลียดเจ้า เป็นเจ้าชายประสาอะไร ไม่มีน้ำใจแถมยังมาเหน็บอีก" ฉันแห้วใส่ เวลานี้ทุกคนจะเป็นยังไงกันบ้างนะ

 "ข้าก็เกลียดเจ้า เจ้าแห่งโลกเทพ" เจ้าชายทีเฟียร์พูดขึ้นมาอย่างเดือดดาล

 "ข้าเกลียดเจ้ามากๆ ไอ้เจ้าชายปีศาจเลือดสีดำ" ฉันเรียกดาบออกมาแล้วชี้ไปที่เจ้าชายทีเฟียร์

 "เจ้ายังไม่รู้ตัวอีกหรอว่าเจ้าอยู่ในถิ่นของใคร" เจ้าทีเฟียร์แสยะยิ้มออกมา

 "ข้ารู้" ฉันเชิดหน้าใส่อย่างเกรงกลัว

 "งั้นหรอ เจ้านี่ช่างเหมือนแม่เจ้าเสียจริงนะ" คำพูดของเจ้าชายทีเฟียร์ทำเอาฉันเบิกตา

 "แม่ข้าทำไม" ฉันตะคอกถามออกไป แล้วจ้องหน้าเจ้าชายทีเฟียร์อย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ

 "เจ้าอยากตายตามแม่เจ้าหรือเปล่า ฮึๆ" เจ้าชายทีเฟียร์หัวเราะในลำคอ

 "เจ้าพูดอะไร" ฉันผุดลุกขึ้นแล้วใช้ดาบฟันลงตรงแขนของเจ้าชายทีเฟียร์

 "นี่ไม่มีใครบอกเจ้า หรือว่าเจ้าโง่กัน" น้ำเสียงเย้ยยันทำให้ เริ่มเดือด

 "หุบปากไปซะ เจ้าปีศาจเลือดดำน่าขยะแขยง" ฉันมองเลือดสีดำที่ค่อยไหลออกมาจากร่างของเจ้าชายทีเฟียร์ด้วยแววตาขยะแขยง

 "หึ ปากดีนักนะ" เจ้าชายทีเฟียร์ ปล่อยลำเสียงสีขาวมาใส่ฉัน อีกครั้งนี้มันโดนตรงแผลเก่าทำเอาฉันกระอักเลือดออกมา

 "แค๊กๆ จัสเทอร์ ฟลาวเวอร์" ฉันกระอักเลือดออกมา แล้วร่ายเวทย์ใส่เจ้าทีเฟียร์ และไม่นานักกลิ่นหอมของดอกไม้ก็เริ่มโชยเข้ามา พร้อมๆกับสายลม

 "ร้ายไม่เบา อ๊ะ โอ๊ยยยยยยยยยย" เจ้าชายทีเฟียร์ไม่ทันได้ตั้งตัวเมื่อฉันซัดพายุลูกเล้กๆที่มีแต่กลีบดอกไม่ใส่

 "ร้ายกว่านี้ข้าก็เคยมาแล้วตายซะเถอะ" ฉันง้างดาบเตรียมแทงตรงหัวใจของเจ้าชายทีเฟียร์

 "ช้าก่อน" เสียงของโอเซียทำเอาฉันหันขวับไปมองแล้วจังหวะเดียวกัน เจ้าทีเฟียร์ก็ตวัดเท้าเตะดาบของฉันให้หลุดออกจากมือ

 "ท่านพี่ อย่าคิดจะแตะต้ององค์หญิงเด็ดขาดนะ" เชอร์บี้ที่เดินตามมาเอ่ยสั่งเสียเรียบ

 "ทำไมเจ้าต้องปกป้องมันด้วย" เจ้าทีเฟียร์เดินไปเขย่าตัวของเชอร์บี้แรงๆ

 "หยุดเลยนะ" โอเซียตวาดแล้วผลักเจ้าชายทีเฟียร์จนล้ม

 "โอเซีย เจ้าเป็นบ้าอะไรน่ะ" ฉันเอ่ยถามเมื่อโอเซียเตรียมจะกลายร่าง

 "ข้าก็จะจัดการมันน่ะสิ" โอเซียสบถออกมา

 "ท่านโอเซียท่านอย่า" เชอร์บี้เอ่ยแล้วคว้าแขนของโอเซียไว้

 "ทำไม" โอเซียหันมามองเชอร์บี้ที่มีน้ำตาเจิ่มนอง

 "ได้โปรด" เชอร์บี้เอ่ยทั้งน้ำตา

 "ก็ได้" โอเซียใช้มือเกลี่ยน้ำตาบนใบหน้าของเชอร์บี้อย่างอ่อนโยนทำเอาฉันยืนตัวเเข็งทื่อแล้วความรู้สึกบางอย่างก็เข้าเกาะกุมจิตใจของฉันเอาไว้

 "เจ้าเป็นอะไร" เสียงของเจ้าชายทีเฟียร์ปลุกให้ฉันตื่นจากภวังค์ความคิดแล้วหันไปมอง

 "ข้า ฮือๆ" ฉันยกมือปิดหน้าทันทีเมื่อน้ำตาที่ไม่รู้ว่ามาจากไหลออกมา

 "เจ้าอย่าร้องไห้" เจ้าชายทีเฟียร์เดินเข้าหาฉัน

 "ช่วยพาข้าไปจากทีตรงนี้ที" ฉันกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ แล้วหันไปขอร้องเจ้าชายทีเฟียร์

 "อืม" เจ้าชายทีเฟียร์เดินมาอุ้มฉันไว้แล้วเราก็หายไปจากที่ตรงนั้น

 

 "เจ้าเป็นอะไรหรอ" เจ้าชายทีเฟียร์พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ต่างจากเมื่อครู่นี้

 "ข้ารู้สึกเจ็บตรงที่หัวใจของข้า" ฉันเอ่ยตามความจริง

 "นี่อย่าบอกนะว่าเจ้าแอบชอบ เจ้าโอเซีย องค์นั้น" เจ้าทีเฟียร์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเหลือเชื่อ

 "ข้าไม่รู้ แต่อยู่ๆข้าก็รู้สึกเจ็บ เจ็บมากๆ" ฉันเอ่ยออกไปในใจก็ครุ่นคิดหาวิธีรักษา

 "ความรัก" เจ้าชายทีเฟียร์จ้องหน้าของฉัน

 "อะไรของเจ้า" ฉันทำหน้างง แล้วเบือนหน้าหนี

 "ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังแอบชอบเจ้าชายโอเซียนั่น แต่ข้าขอให้เจ้าตัดใจซะเอถะข้าไม่อยากให้เจ้าต้องเจ็บ อีกอย่างนะ ข้าก็คงไม่อยากให้เชอร์บี้เจ็บ" เจ้าชายทีเฟียร์จ้องหน้าฉันด้วยสีหน้าจริงใจ

 "ที่จริงเจ้าก็แค่ห่วงน้องสาวของตัวเองใช่ไหม" ฉันพูดเสียงดังออกมา แล้วน้ำตาก็เริ่มๆไหล

 "อะไรของเจ้า" เจ้าชายทีเฟียร์สบตาของฉันอย่างไม่เข้าใจ

 "ข้ารู้หรอกนะ ว่าที่เจ้ามาบอกข้าก็เพื่อที่จะให้ข้าตัดใจแล้วน้องสาวของเจ้าก็จะได้เข้าไปมาแทรก แต่ข้าบอกไว้ก่อนนะว่าข้าไม่รู้ว่าความรู้สึกแบบนี้มันคืออะไร" ฉันจ้องหน้าเจ้าชายทีเฟียร์อย่างโมโห

 "ข้าเตือนเจ้าด้วยความหวังดี" เจ้าชายทีเฟียร์ใช้ดวงตาสีฟ้าครามน้ำทะเลอ่อนๆนั้นมองฉัน

 "ข้าไม่อยากจะรับไว้" ฉันเบือนหน้าหลบสายตาที่แสดงถึงความห่วงใยนั่นออกมา

 "หรอหวังว่าเจ้าคงจะไม่มานั่งร้องไห้ในวันที่สายเกินไปนะ" เจ้าชายทีเฟียร์สบตาของฉัน

 "ไม่มีวัน" ฉันสบตาของเจ้าชายทีเฟียร์เพื่อความแน่ใจ

 "อย่างงั้นหรอ" เจ้าชายทีเฟียร์จ้องหน้าฉันก็หันไป

 "ตาเจ้าสวยจัง" ฉันเอ่ยชม เพื่อเปลี่ยนเรื่อง

 "งั้นหรอ" เจ้าชายทีเฟียร์หันมาจ้องตาฉันอีกรอบ

 "เจ้าไม่เหมือนแม่ของเจ้าเลยนะ" อยู่ๆเจ้าชายทีเฟียร์ก็พูดขึ้นมา

 "ทำไมล่ะ" ฉันเอียงคอมองอย่างสงสัย

 "เจ้าไม่เหมือนภูติ เจ้ามีความรู้สึกที่อ่อนไหวคล้ายมนุษย์" เจ้าชายทีเฟียร์เอ่ยแล้วยืนมือมากุมมือของฉัน

 "หรอ ข้าก็ไม่รู้หรอกนะว่าใครคือพ่อของข้าตั้งแต่ท่านเกิดมาข้าก็มีท่านแม่แค่คนเดียว" ฉันหลับตาย้อนคิดไปถึงอดีต

 "งั้นหรอ" เจ้าชายทีเฟียร์กุมมือของฉันไว้แน่น

 "เคเคียว" เสียงทักของเรเทลทำให้หันไป

 "เรเทล เป็นไงบ้างเจ็บมากไหม" ฉันเอ่ยถามเรเทลด้วยแววตาห่วงใยแล้วหันมาค้อนเจ้าชายทีเฟียร์

 "ไม่มากหรอกจ๊ะ สงสัยคงต้องพักจนกว่าจะหายแหละถึงจะได้เจข้าไปตามหากุหลาบสีเงินน่ะ" เรเทลอมยิ้มแล้วนั่ลงข้างๆฉัน

 "พวกเจ้าจะเอาไปทำไมหรอ" เจ้าชายทีเฟียร์เลิกคิ้วอย่างสงสัยแล้วมองฉันกับเรเทลสลับกัน

 "ไม่รู้สิ" ฉันตอบยิ้มๆ

 "ก็คือ ข้าจะเล่าให้ฟังวันหลังนะ" เรเทลพูดแล้วหลุบตาลงต่ำ

 "กุหลาบสีเงินมีฤทธิ์ช่วยฟื้นความทรงจำ เจ้าจะเอามันมาทำอะไรกันหรอ" เจ้าชายทีเฟียร์ซักต่อ แล้วทำเสียงสงสัย

 "ก็เอามาฟื้นความจำไง" เรเทลพูดกับเจ้าทีเฟียร์แล้วหันมาทางฉัน ทำให้เจ้าชายทีเฟียร์พยักหน้างึกๆก่อนจะพูดต่ออีกว่า 

 "ข้าไปด้วยสิ" เจ้าทีเฟียร์เอ่ยเสียงคึกแล้วหันมาทางฉันเป็นเชิงขออนุญาต

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.6 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา