P.P.Rising The Bullet Time อภินิหารพลังจิตเหนือโลก

8.1

เขียนโดย Spy442299

วันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 เวลา 10.54 น.

  46 chapter
  28 วิจารณ์
  50.45K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2557 17.28 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) วิกฤตการณ์กลางเมือง บทที่ 1 [สาวชุดดำ]

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

P.P. Rising: The Bullet Time

เดอะบูลเลตไทม์ อภินิหารพลังจิตเหนือโลก

  1. Ch.1 – วิกฤตการณ์กลางเมือง บทที่ 1 [สาวชุดดำ]

Rewrite V.3

 

◊◊◊

 

[16:28][25/12/2057]

[Area TH-7 เขตกลาง, Blue Zone, ห้างสรรพสินค้าบีส]

 

“โลกที่แสนสงบ โลกที่ปราศจากสงคราม โลกที่น่าอยู่ ร่วมสร้างอนาคตที่สดใสกับเรา เหล่าเวิลด์เจเนรัล”

 

เสียงประชาสัมพันธ์ตามสายปรากฏบนจอขนาดยักษ์เหนือหัวกลางย่านการค้าที่พีเพิ่งเดินเข้ามาถึงพอดี เขากำลังมองดูจอเดิมต่อไปจากคำบรรยายมีโลโก้รูปดาวห้าดวงที่เรียงกันเป็นแนวตั้งเมื่อครู่ก็เปลี่ยนเป็นแผนที่ทั่วโลกโชว์อาณาเขตสีต่างๆ สีน้ำเงินคือบูลโซน(Blue Zone) เป็นเขตปลอดภัยอาศัยอยู่ได้ สีแดงคือเรดโซน(Red Zone) เขตอันตรายจากภัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสารกัมมันตภาพรังสี อากาศแปรปรวน อาวุธสงครามกับระเบิดต่างๆ ที่หลงเหลือจากสมัยสงครามโลกครั้งที่สามและเยลโล่โซน(Yellow Zone) คือเขตที่ไม่ได้อยู่ในความดูแลของเจ้าหน้าที่พิทักษ์กฎหมายหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งก็คือเขตนอกกฎหมายนั้นเอง หลังจากนั้นแผนที่โลกก็ซูมเข้าไปที่ประเทศหนึ่งที่เขียนว่า Area TH...

ที่จริง ต้องเรียกว่าเป็นอดีตประเทศหนึ่งมากกว่า เพราะหลังจากสงครามโลกที่สามที่ผ่านมา ทุกประเทศทั่วโลกก็ถูกกองกำลังปริศนาเข้ายึดทั้งหมด ทุกประเทศถูกเรียกเป็น ‘Area’ แทน สัญชาติทุกคนถูกเปลี่ยนเป็น ‘ชาวโลก’ ยกเว้นเชื้อชาติยังคงเดิม สิ่งที่พวกเวิลด์เจเรนัลทำก็คือการรวบโลกไว้เป็นหนึ่งเดียวกัน และมีมาตรการกระจายประชากรหลายเชื้อชาติไปตาม Area ต่างๆ ไม่ให้เกาะกันเป็นกลุ่มไว้ ทำให้ทุกๆ Area มีประชากรหลากหลายเชื้อชาติ

แผนที่บนจอซูมเข้าไปอีกครั้ง เป็น Area TH-7 และแสดงตำแหน่งที่เขาอยู่ ณ ตอนนี้ พร้อมบอกรายละเอียดสถานที่ตั้งรับสมัครเข้ากองทัพเวิลด์เจเรนัลสรรพเสร็จ แล้วก็มีเสียงลุงขายของข้างๆ คนหนึ่งพูดออกมา

 

“เรื่องโกหกแบบนั้น เด็กยังรู้”

 

ลุงคนนั้นพูดถึงคำบรรยายตอนแรกที่ว่าโลกสงบสุข

 

‘ใช่...ตอนนี้ยังมีสงครามย่อยๆ อยู่เลย พวกองค์กรลับใต้ดินชื่อว่าไอริส (Iris) ที่ช่วงนี้ออกมาสร้างความปั่นป่วนอยู่บ่อยๆ ช่างมันเถอะฉันมาที่นี่เพื่อที่จะมาตามนัด ไม่ใช่มายืนคิดถึงเรื่องอื่น’

 

พีสลัดความคิดออกไป ก่อนที่จะเดินเล่นภายในห้างสรรพสินค้าต่อไป

 

ติ๊งๆ ติ๊งๆ

 

เสียงเรียกเข้ามือถือของพีดัง เขาหยิบมือถือขึ้นมาบนจอปรากฏภาพโปรไฟล์และชื่อของคนที่โทรเข้าเป็นสาวผมยาวสีดำ ใบหน้าเธออ่อนโยนที่ดูมีราศีลูกคุณหนูจับ ภายใต้รูปนี้มีชื่อขึ้นว่า ‘มิซากะ เมงุมิ’ พีกดรับสายแล้วปลายทางเป็นคนทักมาก่อนด้วยน้ำเสียงที่เรียบง่าย

 

“สวัสดีค่ะ คุณพี”

“อ่า...หวัดดีครับ คุณมิซากะ”

 

พีทักกลับไปแล้วคิดบางเรื่องได้ขึ้นมา

 

‘ยังรู้สึกตะลึงไม่หายที่เธอเป็นฝ่ายโทรมาเอง ถึงเธอจะโทรมาบ่อยๆ ก็เหอะ แต่ไอ้น้ำหน้าอย่างเรา มีตรงไหนให้เธอสนใจด้วยหรอเนี่ย?’

 

ทางปลายสายพอได้ยินคำทักทายกลับ ก็บ่นเรื่องไม่ชอบใจออกมา

 

“คุณพีเอาอีกแล้วนะคะ อย่าเรียกแบบนั้นได้ไหม มันดูไม่ค่อยสนิทกัน...เรียกว่าเมงุมิเฉยๆดีกว่าค่ะ ฉันชอบแบบนั้น”

“ครับๆ พอดีไม่ค่อยชินกับวิธีเรียกชื่อของ Area JP ครับ อ่า...เมงุมิ”

 

พีโกหกออกไป...ความจริงเขาเกรงใจต่างหาก ปกติแล้วเท่าที่รู้มาคนญี่ปุ่นหรือ Area JP เวลาเรียกชื่อกันมักเรียกเอานามสกุล กรณีนี้เขาไม่ค่อยสนิทกับเธอมากสักเท่าไหร่แต่ทำไมเธอถึงได้ทำตัวเหมือนสนิทสนมกันทั้งๆ ที่รู้จักไม่นาน เราทั้งสองรู้จักกันโดยบังเอิญที่หอสมุดสาธารณะที่เขาไปบ่อยๆ เธอนั่งข้างตัวเขาอ่านหนังสือเป็นชั่วโมงแล้วอยู่ดีๆ เหมือนมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เราสองคน หันหน้ามาสบตาพร้อมกันแล้วเธอก็หัวเราะขึ้นมา หลังจากนั้นก็ทำความรู้สึกกันได้เดือนกว่าๆ แล้วแต่ก็พอเดาได้ว่าที่เธอมาคุยกับเขาบ่อยๆ เพราะเธอบินมาอยู่ Area TH ตัวคนเดียวไม่ค่อยมีใครคุย ตั้งแต่รู้จักกับเธอมาก็ไม่เคยเห็นเพื่อนของเธอแม้แต่คนเดียว ถึงอย่างงั้นเขาก็ยังสงสัยว่าอาจจะเป็นคนที่เขาเคยรู้จักแต่ลืมไปก็ได้

 

“ฉันเองก็ยังไม่ค่อยคุ้นชินกับการเรียกชื่อของคนที่นี่เลยค่ะ” เมงุมิพูด “เหมือนจะเรียงเป็น ชื่อเล่น-ชื่อ-นามสกุล ของฉันก็จะเป็น นามสกุล-ชื่อ”

 

‘เธอก็อัธยาศัยดีนะ แต่พูดภาษาไทยซะคล่องเชียว’

 

พีคิดแบบนั้นเพราะทักษะการพูดภาษาไทยของเธอเหมือนเป็นเจ้าของภาษาเองซะจนขนลุก ชนิดเขายังอายแทนแล้วเมงุมิก็พูดต่อ

 

“งั้นฉันเรียกคุณว่า พี ธีระ หงฆ์สกุล นะคะ”

“แค่กๆ”

 

ชื่อเต็มของพีทำให้เหมือนมีอะไรติดคอเขา

 

‘บางทีเธอก็อัธยาศัยดีเกินไปนะ’

 

“พีเป็นอะไรหรือเปล่าคะ” เมงุมิถาม

“ป่ะเปล่าครับ...ว่าแต่โทรมามีอะไรเหรอครับนี่”

“อ๋อ ดิฉันจะเรียนให้ทราบว่าขอเลื่อนเวลานัดไปตอนหกโมงเย็นนะคะ พอดีติดธุระด่วนขึ้นมาค่ะ”

“เหรอครับ” พีขมวดคิ้ว “เอ่อ...ถ้าคุณยุ่งๆ อยู่ไว้วันหลังก็ได้นะครับ”

“ไม่ได้ค่ะ! ฉันสัญญาไว้ว่าจะเลี้ยงพาเฟ่ต์คุณวันนี้แล้ว ต้องทำให้ได้ค่ะ เดี๋ยวจะไม่ได้เจอกันแล้ว”

 

เมงุมิพูดด้วยเสียงแลดูเศร้าลงท้าย ทำให้พีคิดบางเรื่องออกขึ้นมา

 

‘จริงสิ คุณเมงุมิบอกเมื่อหลายวันก่อนว่าเธอต้องบินกลับ Area JP พรุ่งนี้แล้ว เห็นบอกว่าจะไม่มีโอกาสมาที่ Area TH อีก เพราะงานที่บริษัทของเธอ’

 

“ครับ งั้นไว้เจอกันตอนหกโมงเย็นนะครับ” พีตอบตกลง

“ค่ะ แล้วฉันจะรอคุณอยู่ที่ร้านพาเฟต์ตามที่นัดนะคะ”

“เดี๋ยวก่อนครับ” พีรั้งไว้เพราะมีบางอย่างจะพูด “วันหลังไม่ต้องเรียกชื่อขนาดนั้นก็เลยนะครับ มันยาวไป...เรียกว่า ‘พี’ ไม่ก็ ‘ธีระ’ เฉยๆ ดีกว่าครับ แบบที่คุณเรียกไม่มีใครพูดกันนะครับ”

 

พีแค่พูดให้คำแนะนำเล็กน้อย แต่แล้วเขากลับรู้สึกตัวว่าจะพูดอะไรแปลกออกไป ปลายสายถึงเงียบไปสักพักแล้วพูดคำหนึ่งออกมา

 

“ตาบ้า”

 

เมงุมิพูดจบก็ตัดสายวางไป

 

‘อะไรเนี่ย’

 

พีเก็บมือถือลงด้วยความงุนงงก่อนที่จะรีบเดินต่อไปโดยไม่ได้ดูทางเลยชนคนอื่นเข้าอย่างจังจนล้มลงไปทั้งคู่

 

“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ?”

 

เสียงแหลมสูงร้องถาม พีจึงเงยหน้าขึ้นมอง เธอคือผู้หญิงผมยาวสีทอง มีนัยน์ตาสีเขียว อายุราวๆ สิบเจ็ดปีเห็นจะได้ เธอสวมชุดสีขาวที่สวมทับด้วยเสื้อคลุมสีเขียวเรียบๆ อีกคนเธอมีผมสีน้ำตาลซอยสั้น นัยน์ตาสีดำและยังสวมชุดแบบเดียวกัน

 

‘เครื่องแบบนี้มันชุดนักเรียนมอปลาย โรงเรียนซิสเซลนี่หว่า’

 

พีคิดตามที่เขาเห็นแล้วพยุงตัวเองลุกขึ้น ทางนักเรียนสาวมอปลายที่ล้มไปถูกเพื่อนเธอพยุงตัวขึ้นมาเช่นกัน ก่อนคนที่พีชนล้มลงไปก้มหัวกล่าวขอโทษ

 

“ขอโทษด้วยค่ะ ฉันเป็นการ์เดี้ยนที่ซุ่มซ่ามอีกแล้ว”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ...ทางนี้ต่างหากที่ไม่มองทาง---”

 

พีชะงักพูดไม่จบเพราะได้ยินอะไรบางอย่างก่อนหน้านี้

 

‘เดี๋ยวนะ เมื่อกี้เธอบอกว่าเป็นการ์เดี้ยน?’

 

เจ้าตัวมองทั้งสองคน สายตาเขาเห็นตรงข้อมือขวาทั้งสองที่มีปลอกสีเขียวที่มีตราโล่อยู่

 

‘อ๋อ อาสาสมัครปกป้องความสงบสุข การ์เดี้ยนนี่เอง (Guardian) ที่เป็นหน่วยงานอาสาจัดตั้งโดยเวิลด์เจเนรัล หลักๆ ก็ทำจิตอาสาซะส่วนใหญ่ แต่ไม่เหมือนกับการเป็นทหารให้กับเวิลด์เจเนรัล เป็นแค่พลเมืองธรรมดาที่อาสามาช่วยดูแลความสงบสุข ว่าแต่...เดี๋ยวนี้เจอคนที่อาสาเป็นการ์เดี้ยนทั้งแต่อายุแค่นี้เยอะแฮะ’

 

เพื่อนสาวที่เป็นการ์เดี้ยนอีกคนก้มหัวตาม

 

“ต้องขออภัยแทนเพื่อนดิฉันด้วยค่ะ” สาวการ์เดี้ยนผมทองเอ่ย “ขอตัวลาดตระเวนตรวจความเรียบร้อยต่อนะคะ”

 

เธอพูดเสร็จก็พาเพื่อนเธอเดินจากไป พอเห็นแบบนี้แล้วพีก็คิดถึงเพื่อนของเขาคนหนึ่ง

 

‘นึกถึงเจ้าทอมมี่ เจ้านั่นบ่นว่าอยากจะเป็นการ์เดี้ยนแต่สอบไม่ผ่านสักที ป่านนี้ไม่รู้ได้เป็นหรือยังน้า’

 

ก่อนที่จะเดินเที่ยวดูของไปเรื่อยๆ ในฝูงชนสักพัก เขาหยุดยืนฟังรายการทีวีที่เปิดไว้โดยร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้า

 

“วันนี้รายการเราจะมาพูดถึง พีทู หรือ พีพี (P.P.) ที่ย่อมาจากไซคิคพาวเวอร์ (PsychicsPower) นั่นเองครับ ปัจจุบันมีการค้นพบหนทางที่จะใช้ได้บ้างแล้ว โดยมีด็อกเตอร์---”

 

‘อ๋อพลังจิตสินะ...เท่าที่ฉันรู้มา ตอนนี้ก็มีบางคนยกของเบาๆ ลอยขึ้นหนึ่งเซ็นติเมตรบ้าง ปล่อยกระแสไฟฟ้าออกมานิดๆ หน่อยๆ เหมือนว่ายังต้องใช้เวลาอีกร้อยปีกว่าจะใช้งานเป็นรูปธรรม ยกเว้นผู้ใช้พลังจิตขั้นสูงทั้งแปดคน...ไม่ใช่สิ เห็นว่าเดือนสองเดือนที่แล้วมีคนที่เก้าเพิ่มขึ้นมา...ซึ่งฉันก็จำไม่ได้ว่าเป็นใคร แต่นั่นก็มากพอที่ทำให้ฉันไปหมกตัวศึกษาเล่นๆ ที่หอสมุดเวลาว่างประจำ...และอีกอย่างหนึ่งเป็นเพราะฉันเองก็มี...’

 

พีก้มมองดูที่มือขวาของตัวเอง เขาแบมือออกมาแล้วมีสายลมอ่อนๆ ไหลเวียนที่ฝ่ามือเขา แต่ยังไม่ทันที่จะทำอะไรก็มีเมลเข้ามือถือ เขาหยิบขึ้นมาดูพบว่าชื่อผู้ส่งขึ้นเป็น Unknown

 

‘หือ!? อะไรกันนิ’

 

พีกดเข้าดูข้อความนั่น ซึ่งมีข้อความสั้นๆ ว่า Look Above

 

‘เงยหน้าขึ้น?’

 

แล้วพีก็ทำตามในเมลอย่างว่าง่าย เขาเงยหน้าขึ้นไปยังตึกอึฐสีน้ำตาลตรงหน้า ใครบางคนกำลังยื่นหน้าออกมาจากหน้าต่างในชั้นที่อยู่เกือบบนสุดของตึก สวมผ้าคลุมสีดำทั้งตัวแต่มันกลับยิ่งสะดุดตาพีเมื่อบุคคลปริศนานั้นมีผมสีฟ้าและที่น่าแปลกก็คือคนๆ นั้นกำลังจ้องหน้ามาที่เขา

 

‘ใครนะ!?’

กึ่ก!!

 

ความรู้สึกกดดันถาโถมเข้ามาอย่างรวดเร็ว รอบข้างกลายเป็นสีดำมืดสนิท ยกเว้นแต่เพียงตัวเขาและคนในผ้าคลุมสีดำเหนือหัวนั่น

 

‘อะไรกัน!? เกิดอะไรขึ้น ทำไมขยับตัวไม่ได้’

‘-เป็นเธอเองสินะ...-’

 

เสียงผู้หญิงโทนเข้มดังขึ้นมาในหัวของพี

 

‘เสียงใครนะ!?’

‘-เสียงใครนั่นหรือ เธอคิดว่าฉันเป็นใครละ-’

 

พีเพียงคิดอยู่ในใจก็มีเสียงสาวคนเดิมตอบรับกลับมา และเขาก็เห็นรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของสาวผ้าคลุมดำ มันทำให้พีแน่ใจว่าสิ่งที่เขาได้ยินเมื่อครู่คือเสียงของผู้หญิงคนนั่น

 

‘ได้ยินที่ฉันคิดด้วย?’

‘-เอาละ ฉันไม่ชอบคุยกับคนแปลกหน้านานๆ ด้วยสิ ต้องรีบจัดการให้มันจบๆ-‘

 

สิ้นเสียงสนทนาในใจจากสาวแปลกหน้าที่อยู่เหนือหัว เธอควักปืนกระบอกสีดำขึ้นมาเล็งทางเขา ทำให้นัยน์ตาสีน้ำตาลเจ้าตัวที่โดนหมายเอาชีวิตเบิกกว้าง

 

‘-ฉันสงสารเธออยู่นะ ที่ต้องจบชีวิตหลังจากนี้ ดูจากประวัติคร่าวๆ แล้วไม่น่ามีอะไรที่ทำให้โปรแกรมดิออล์โนว์ (The All-Known) ต้องหมายหัวชีวิตเธอเลยสักนิด ถึงคนในครอบครัวเธอจะเกี่ยวข้องบ้างก็เถอะ-’

‘พูดถึงเรื่องอะไรเนี่ย!? แล้วทำไมฉันขยับตัวไม่ได้ แล้วทุกๆ คนหายไปไหน...เดี๋ยวนะ ตะกี้บอกว่าคนในครอบครัวฉัน...พ่อแม่ฉันอยู่ที่ไหน!’

‘-เธอกำลังจะตายอยู่แล้ว จะสงสัยอะไรนักหนา รู้ไปก็เท่านั้น....ตายซะ!-’

 

ปัง! เฟี๊ยว!

 

สาวชุดดำลั่นไกปืนในมือ กระสุนที่ควรเข้าศีรษะของพีกลับเฉียวแก้มซ้ายของเขาไปแทน แต่นั่นก็มากพอที่จะทำให้หัวใจของเขาแทบจะหลุดออกมา ความงุนงงปรากฎบนใบหน้าของสาวผมฟ้าผู้ที่จะเอาชีวิตพี ก่อนที่จะยกศูนย์เล็งปืนขึ้นมาใหม่

 

‘-ตะกี้เธอแค่โชคดี...แต่นัดนี้ไม่พลาดแน่!-’

 

พรึ่บ!

 

เสียงอะไรบางอย่างที่คล้ายผ้าพื้นใหญ่สะบัด รอบข้างตัวของพีที่มืดกลับมาเป็นเหมือนเดิม สาวที่ยกปืนเล็งใส่อยู่มีอาการตกใจสะดุ้งขึ้นมา

 

ตูม! ตูม! ตูม! ตูม!

 

ระเบิดสี่ครั้งตามมาติดๆ โดยชั้นห้า ชั้นสี่ ชั้นสามกับชั้นหนึ่ง และเพราะที่ชั้นแรกเกิดระเบิดด้วย จึงทำให้ร่างของพีลอยกระเด็นออกไปห้าเมตรลงไปนอนกับพื้น ผู้คนแถวนั้นต่างส่งเสียงกรี๊ดร้องตกใจและวิ่งแตกตื่นจากอาคารที่ระเบิด พีค่อยๆ ประคองตัวขึ้นมาแล้วเช็คสภาพตัวเองพบว่าไม่เป็นอะไร แค่ได้แผลทั่วร่างกายเล็กน้อย

 

‘โอ้ย! นี่มันเรื่องอะไรเนี่ย!?’

 

 พีมองดูตึกที่สาวชุดดำอยู่อีกครั้ง เกือบทั้งตัวตึกเกิดเพลิงไหม้ก่อนที่เขาจะปัดเลือดที่ไหลซิบบนแก้มซ้ายออกไป

 

‘ทำไมคนๆ นั้นถึงได้จะพยายามฆ่าฉันนะ เดี๋ยวสิ นี่ก็ได้โอกาสหนีแล้ว...’

 

เขาคิดแบบนั้นเลยเดินหันหลังจะรีบหนีจากตรงนั้นไป แต่แล้วก็มีเสียงขอความช่วยเหลือจากป้าคนหนึ่งที่นอนขาเจ็บอยู่ใกล้ๆ

 

“ใครก็ได้ช่วยหลานป้าด้วย! หลานยังอยู่ในตึกนั่น”

 

‘มีเด็กอยู่ในตึกนั้น!?’

 

พีกลับมามองที่ตึกนั้นอีกรอบ...ก็ไม่มีมีแววว่าจะมีใครออกมา เขากัดฟันเคาะนิ้วอยู่ไม่กี่วินาที ก็ตัดสินใจได้ แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจตัวเองก็ตาม

 

‘ทำไมฉันต้องรู้สึกแบบนี้ทุกครั้งตอนที่จะมีคนใกล้ตายด้วยนะ’

 

เขาเดินเข้าหาป้าคนที่ร้องขอความช่วยเหลืออย่างลืมตัว ถามถึงสิ่งที่เธอพูดเมื่อครู่

 

“ป้า! มีคนอยู่ในนั่นเหรอ?”

“ใช่! หลานป้าตัวน้อยๆ เล่นอยู่ในตึก ช่วยหลานป้าที!”

 

คำขอร้องนั่น ทำให้ผู้ชายคนหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ แสดงความเห็นขึ้นมา

 

“อย่าเข้าไปเลย ป่านนี้คงตายกันหมดแล้ว”

“อย่ามาพูดพล่อยๆ!” ป้าตวาดกลับ

“หลานป้าอยู่ชั้นไหน?” พีถามโดยไม่สนใจเสียงคนอื่น

“ชั้นสาม อยู่ห้อง 302 นะ”

“โอเคนะป้า บอกคนอื่นให้มาช่วยตัวป้าเองก่อน เดี๋ยวฉันจะเข้าไปพาออกมาเอง”

 

หลังจากที่พีพูดเสร็จ ก็ออกตัววิ่งไปมายังหน้าตึกที่เกิดระเบิดขึ้นและมีเพลิงไหม้ทั้งตัวตึก...ซึ่งทางเข้าประตูข้างหน้ายังพอมีทางเข้าไปได้โดยไม่โดนไฟคลอก เขามองหาสิ่งรอบๆ ตัวจนเจอถังน้ำสีดำที่มีน้ำเต็มอยู่ เขารีบไปหยิบมาราดทั้งตัว แล้ววิ่งเข้าไปในตึกนั้นโดยไม่กลัวอันตรายใดๆ แม้กระทั่งคนที่จะเอาชีวิตเขายังอยู่ในนั้นก็ตาม

 

◊◊◊

 

‘ทางนี้ขึ้นได้ทางเดียวสินะ’

 

พีที่เพิ่งออกประตูหลังของตึกเกิดเหตุระเบิดไฟลุกท่วม เงยมองบันไดหนีไฟที่เหนือหัว ที่มาตรงนี้เพราะทางขึ้นในตึกถูกผนังถล่มปิดไว้ เขากระโดดเอื้อมมือขวาจะคว้าราวบันได แต่ไม่ถึง พีมองเห็นราวทางขึ้นที่อยู่ใกล้ๆ เลยปีนขึ้นไปเพิ่มความสูง ก่อนที่จะถอยหลังตั้งหลักและวิ่งกระโดดบันไดหนีไฟจนสำเร็จ จมูกของเขากระแทกกับราวบันได

 

‘โอ้ย! เจ็บๆ นี่ฉันกำลังจะทำอะไรอยู่เนี่ย’

 

แม้ว่าพียังสับสนกับตัวเองแต่ร่างกายกลับทำงานโดยอัตโนมัติ เขากำลังปีนเข้าใกล้ชั้นสองในไม่ช้า แต่แล้ว...

 

เปร๊ง!!

 

เขาตกใจผงะเพราะมีอะไรพุ่งกระแทกกระจกหน้าต่างจากชั้นที่ห้า ซึ่งมันลอยข้ามตึกดาดฟ้าใกล้ๆ จนลับสายตาเขาไป

 

‘อะไรนะ? หรือว่าจะเป็น...ไอ้คนนั้น!?’

 

พีตะเกียกตะกายจนขึ้นระเบียงบันไดฉุกเฉินชั้นสองสำเร็จและจะขึ้นบันไดฉุกเฉินชั้นสามต่อ แต่แล้วก็พบข่าวร้ายคือบันไดทางที่จะขึ้นไปได้หักโค่นลงไปเบื้องล่างแล้วเรียบร้อย

 

‘ซวยได้อีกหนอ’

 

พีกัดฟันหงุดหงิด ก่อนที่จะเห็นบานหน้าต่างของชั้นสองที่ถูกเปิดไว้อยู่ เขารีบเข้าไปทันทีพอเข้ามาข้างในแล้วพบกับกลุ่มควันลอยอยู่เหนือจำนวนมากและแสงเพลิงไหม้จากชั้นหนึ่งและชั้นสาม

 

‘ป้านั่น บอกว่าเด็กอยู่ชั้นสาม’

 

เขารีบวิ่งบันไดภายในตึกที่อยู่ข้างมือขึ้นไปทันที ที่ชั้นสามมีประตูห้อง 301 ที่มีไฟลุกท่วมจนไม่กล้าเข้าไป และห้อง 302 ที่ปิดล็อคลูกบิดไว้อยู่ พีเคาะประตูเรียก

 

“เฮ!! อีหนู! อยู่ในนั้นหรือเปล่า? ป้าเขาตามหาอยู่ เปิดประตูให้พี่หน่อย”

 

ไร้เสียงตอบรับ...

 

“เฮเฮ้! ถ้าไม่ลืมเปิดประตูให้เดี๋ยวซาตานจะมาเอาตัวไปนรกน้า”

 

‘เงียบอีก หรือว่า...’

 

พอพีคิดถึงตรงนี้ เขาไม่รอช้ารีบพังประตูเข้าไปทันที พีใช้กระแทกประตูอยู่สามรอบจึงสามารถพังเข้าไปได้ ก็พบกับความว่างเปล่าและไฟไหม้เตียงอยู่ เขาก้มเดินหาตามภายในห้องต่างๆ จนทั่ว แต่แล้วก็ไม่พบ

 

‘อ้าว ไหนป้านั่นบอกว่าเด็กอยู่ห้องนี้ไง?’

 

พีเดินไปยังหน้าต่างทางหน้าต่างตึก แล้วชะโงกออกมาดูภายนอกข้างล่าง พบกับป้าคนเดิมที่กำลังกอดเด็กคนหนึ่งอยู่

 

‘เฮ้ยๆ สรุปว่าเด็กนั่นออกมาได้เอง!?’

 

“มีคนอยู่บนนั่นด้วย!”

 

เสียงคนจากข้างล่างที่ยืนมุงดูเพลิงไหม้ตึกอยู่ ซึ่งพวกเขาหมายถึงพีนั่นเอง

 

‘เวรล่ะ กลายเป็นฉันติดแหงกอยู่ที่นี่แทน’

 

เขาหันกลับเข้าไปในตึก และจะลงบันไดไปชั้นสองเพื่อที่จะออกจากตึก แต่แล้วโชคไม่เข้าข้าง เพลิงไหม้ได้ลามจนปิดทางลงไว้ ทำให้พีต้องขึ้นไปยังชั้นสี่แทน ซึ่งที่ชั้นสี่ ห้อง 401 ถูกเปิดไว้อยู่ โดยมีเพลิงไหม้โดยรอบยกเว้นกลางห้อง และมีคนใส่ชุดคลุมสีดำนอนคว่ำหน้าสลบอยู่

 

‘มีคนอยู่อีกด้วยแฮะ...เดี๋ยวก่อนนะ’

 

พีรู้สึกสะกิดใจกับผ้าคลุมของคนที่นอนสลบอยู่ เขาเข้าไปใกล้ๆ ขยับตัวคนนอนอยู่ให้หงายขึ้นมา ก็พบกับสาวผมฟ้า รอบดวงตามีแผลฉกรรจ์ อายุราวๆ ยี่สิบกว่าปี ที่ใกล้มือขวาของเธอมีปืนพกสีดำอยู่บนพื้น

 

‘นี่มันไอ้คนที่พยายามจะฆ่าฉันนี่หว่า! แล้วก่อนหน้านี้ที่ออกไป เป็นใครกันล่ะ’

 

ตุ๊บ!

 

มือขวาของคนที่ควรจะสลบอยู่ ฟาดเข้าที่แก้มซ้ายของพีที่เป็นแผลจากการโดนกระสุนเฉียว ทำให้เขารู้สึกแสบหน้าอย่างมาก แล้วเธอก็ถามเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้

 

“นี่เธอแอบวางระเบิดดักไว้เหรอ!?”

“ระบุงระเบิดอะไร? ฉันไม่รู้โว้ย! คนที่ควรถามน่าจะเป็นฉันมากกว่า ทำไมเธอ---”

 

พียังถามไม่ทันจบ ผู้หญิงตรงหน้าเคลื่อนตัวพลิ้วไหวเข้ามาหาเข้าอย่างไม่เชื่อสายตาว่าจะไวแทบมองไม่ทัน และเขาก็โดนระดมหมัดและเท้าเข้าที่ท้องจนล้มนอนจุกลงไป สาวผ้าคลุมดำก้มไปหยิบปืนที่ทำตกไว้ขึ้นมาเล็งที่ศีรษะของพี แล้วกล่าวคำอำลา

 

“เฮ้อ เฮ้อ...ได้เวลาจบงานนี้ซะที!”

 

ปัง!

 

ในเสี้ยววินาทีที่สาวชุดดำลั่นไกปืน พียกมือขวาขึ้นมาตำแหน่งเดียวกันกับปืนตรงหน้าแล้วสายลมบนมือขวาเขาได้ก่อตัวขึ้นมา เขาใช้มันปัดกระสุนที่ยิงเข้ามาออกไป

 

‘เกือบแล้ว...’

 

เมื่อครู่พีใช้พลังจิตของเขาเอง ซึ่งเป็นพีทูที่ควบคุมลมได้ แต่ใช้ได้ครั้งเดียวต่อวัน...เขาปิดมันเป็นความลับไม่ให้คนอื่นรู้มาตลอด จนกระทั่งสาวชุดดำข้างหน้าได้เห็นมัน เธอเผยรอยยิ้มอันชั่วร้ายออกมา

 

“โอะโอ้...อย่างนี้นี่เอง โปรแกรมดิออล์โนว์ (The All-Known) ถึงได้ตั้งเธอเป็นเป้าหมาย...คงไม่อยากให้มีนัมเบอร์เท็น (No.10) สินะ”

 

โครม!!

 

พื้นที่สาวผ้าคลุมดำยืนอยู่พังทลายลงสู่ชั้นสามห้อง 301 ที่มีเพลิงไฟซุมอยู่ทั้งห้อง พีขยับตัวไปใกล้ๆ ตรงพื้นที่พังลงไป ก็เจอกับสาวผมสั้นฟ้าที่ผ้าหัวคลุมดำถูกเปิดออก เธอใช้มือขวาข้างเดียวเกาะหลอดไฟที่ห้อยติดกับเพดานด้านล่างที่ใกล้จะขาดเต็มที

 

‘ไม่นะ...กำลังจะมีคนตายต่อหน้าเราอีกแล้ว’

 

จิตใต้สำนึกของพีทำงานขึ้นมาโดยไม่ได้คิดอย่างถี่ถ้วนว่าคนตรงหน้าสมควรช่วยหรือไม่ มือขวาเขารีบยื่นเข้าไปคว้าข้อมือของสาวผมฟ้าที่จะเอาชีวิตเขาก่อนหน้านี้ไว้ทันพอดี หลังจากที่สายหลอดไฟนั้นได้ขาดลง สายตาประหลาดใจแสดงออกมาได้ชัดเจนนัยน์ตาคู่สีขาวของผู้หญิงตรงหน้า ก่อนที่จะพูดอย่างไม่เจียมตัว

 

“ถ้าฉันขึ้นไป...ฆ่าเธอแน่”

“ก็เรื่อง...ของคุณ”

“หา!? หมายความว่าไง เธอจะบ้าไปแล้วหรือ ศัตรูกำลังจะตายอยู่แล้วแท้ๆ แล้วทำไมถึงช่วยไว้อีก”

“ศัตรูอะไรกัน คุณมันก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องการความช่วยเหลือไม่ใช่เหรอ”

 

พอพีพูดถึงตรงนี้ มีภาพของใครบางคนทับซ้อนขึ้นมาแทนที่ผู้หญิงตรงหน้า เป็นผู้หญิงที่มีอายุพอสมควร ใบหน้าเธอกำลังทุรนทุรายกับความเจ็บปวด มันทำให้เขาเผลอใช้แรงทั้งหมดที่มีดึงตัวผู้หญิงตรงหน้าขึ้นมาจากกองไฟมรณะเบื้องล่าง ทั้งคู่ทิ้งตัวลงนอนกับพื้นหายใจเข้าออกถี่ๆ แต่ทำได้ไม่นานนักก็สำลักควันกันทั้งคู่

 

‘แย่ล่ะ เผลอสูดควันมากไปหน่อย ตาเริ่มเบลอแล้ว’

 

พีนอนกลิ้งหงายสักพัก หันมามองคนที่เขาเพิ่งช่วย ผู้หญิงคนนั้นกระโดดเข้ามาคร่อมตัวพีและใช้มีดที่มือขวาจ่อต้นคอเขา

 

“เธอพลาดโอกาสที่จะฆ่าฉันครั้งที่สองแล้วนะ”

“...นี่คุณทำ...คุณทำแบบนี้ทำไม? ทำไมต้องบอกว่าฆ่าฉันด้วยล่ะ”

“ก็อย่างที่บอกไปตอนแรกนั้นแหละ” สาวตรงหน้าเก็บมีดลงที่เอว “แต่เมื่อกี้เธอช่วยฉันไว้...จะยืดเวลาให้หน่อยอีกล่ะกัน”

 

‘หือ!? ยืดเวลา...’

 

พีกระพริบรับอย่างงงๆ กับเรื่องที่คนตรงหน้าเอ่ยเมื่อครู่และเธอก็ยังจะพูดต่ออีก

 

“และฉันก็ไม่ชอบติดหนี้ใครด้วย...จะให้โอกาสพิเศษของเป็นของแถมอีกอย่างล่ะกัน”

 

‘ของแถม!?’

 

ในขณะที่พียังตามเรื่องที่ผู้หญิงตรงหน้าพูดไม่ทันและได้แต่รับฟังอย่างเดียวนั้น คนตรงหน้าใช้มือขวาจับประกบที่ฝ่ามือขวาของพีไว้ ก่อนที่จะหลับตาลงและพึมพำอะไรบางอย่าง

 

“คุณจะทำอะ---โอ้ย!! ร้อน!!”

 

พีร้องโวยวายขึ้นมาเพราะกลางฝ่ามือขวาของเขาที่ถูกประกบไว้อยู่ เกิดรู้สึกร้อนขึ้นมากราวกับว่าทั้งมือเขากำลังละลาย และสาวผมฟ้าตรงหน้ายกมือซ้ายขึ้นมา ก่อนที่จะกล่าวเรื่องสุดท้าย

 

“เธอจะค่อยตายอย่างช้าๆ ภายในสิบสองชั่วโมง...จงใช้เวลาที่เหลือให้คุ้มค่าล่ะกัน”

 

ผู้หญิงแปลกหน้าพูดเสร็จ มือซ้ายของเธอที่มีแสงสีฟ้าประหลาด พุ่งเข้ามาตาข้างขวาของพี ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดมากที่สุดในชีวิตก่อนที่จะสลบไปทั้งอย่างนั้น

 

◊◊◊

 

จบไปแล้วนะจ๊ะ สำหรับ วิกฤตการณ์กลางเมือง บทที่ 1 [สาวชุดดำ]

สาวชุดดำเธอเป็นใครกันแน่?

แล้วทำไมต้องมาฆ่าพีด้วย?

แล้วหลังจากนี้พีจะเป็นเช่นไร...

โปรดติดตามตอนต่อไปชื่อว่า วิกฤตการณ์กลางเมือง บทที่ 2 [สายสัมพันธ์]

By Spy442299 & Nattanan Srising

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.2 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา