โลกใบสุดท้าย

-

เขียนโดย xoxo

วันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 08.45 น.

  10 บท
  1 วิจารณ์
  13.10K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 08.00 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) หาหนทาง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

โลกใบสุดท้าย (เบญจภาคี)

              บทที่2              

หาหนทาง

 

ในช่วงสายของวันรุ่งขึ้นหลังจากที่กาญและเรกินอาหารก้นบาตรของทางวัดเรียบร้อยแล้วหลวงตาบัวผู้ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดปทุมฯเดินตรงเข้ามาหาทั้งสองในโรงทานของวัดในขณะที่ทั้งสองกำลังล้างจานกันอยู่นั่นเอง

“เป็นอย่างไร...กาญ เจ้าเร... เมื่อคืนกลับกันมาดึกเลยสินะ... เสียงหมาเห่าเสียลั่นวัด” หลวงตาบัวเอ่ยทักขึ้นด้วยสุ้มเสียงที่แหบแห้งเยี่ยงคนชราทั่วๆไป กาญกับเรหันมากราบนมัสการก่อนจะเอ่ยขึ้น

“นมัสการครับหลวงตา ผมขอโทษนะครับที่ต้องมารบกวนหลวงตา” กาญเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก

“ไม่เป็นไรเจ้ากาญ ไม่เป็นไร... ยามตกทุกข์ได้ยากก็ต้องช่วยเหลือกัน อย่าคิดมากเลยนะ”

“ขอบพระคุณครับหลวงตา” กาญยกมือขึ้นไหว้หลวงตาบัวอีกครั้ง

“อือ... แล้วนี่กินข้าวกินปลากันเสร็จแล้วหรือ”

“เรียบร้อยแล้วครับหลวงตา บุญของชาวบ้านมาอยู่ในท้องของผมเพียบเลย” เรกับกาญตอบพร้อมกับก้มมองท้องตัวเองอย่างภูมิใจ

“กินบุญเขามากๆ ไม่ตอบแทนระวังนะ...เปรตจะเอาไปเป็นเพื่อน” หลวงตาบัวเอ่ยขึ้น

“แหมหลวงตาก็...ผมก็ล้างจานช่วยวัดอยู่นี่ไงเจ้าคะ...เดี๋ยวก็ต้องไปถูศาลา...เดี๋ยวก็ต้องกวาดลานวัด...บุญเพียบเลยผมเนี่ย” เรจีบปากจีบคอพูด

“เถียงคำไม่ตกฟาก เดี๋ยวก็เป็นเปรตสมใจ” หลวงตาบัวบ่น

“เค้าไม่เรียกว่าเถียงหรอกจ้ะหลวงตาเค้าเรียกว่า หาเหตุผลมาหักล้างเจ้าค่ะ” เรพูดจบไม้เท้าหลวงตาก็ทิ่มเข้าหัวเร

“โป๊ก!”

“อูยยย...หลวงตา เลือดออกมั้ยเนี่ย” เรขยี้หัวตัวเองไปมาแม้เขาจะรู้ว่าถ้าพูดมากๆกับหลวงตาจะโดนแบบนี้ประจำแต่เรก็ยังคงพฤติกรรมแบบเดิมจนเป็นที่ล่วงรู้ของทุกคน กาญอมยิ้มและส่ายหน้าน้อยๆ

“ปากอย่างเอ็งมันต้องเอาเลือดหัวออกเสียบ้าง” หลวงตาบัวตอกย้ำต่อ

“สม!” กาญมองหน้าเรและเอ่ยขึ้นเบาๆ เรทำปากขมุบขมิบบ่นแบบไม่ออกเสียงเมื่อโดนทั้งหลวงตาและเพื่อนตัวเองรุม หลวงตาบัวส่ายหน้าไปมาอย่างอ่อนใจก่อนจะเอ่ยขึ้น

 

“เดี๋ยวเสร็จธุระแล้วไปหาหลวงตาที่กุฏิหน่อยนะ”

“ทั้งสองคนนั่นแหละ” หลวงตาบัวเอ่ยขึ้นอีกครั้ง เมื่อเห็นกาญและเรมองหน้ากัน

“ครับหลวงตา” กาญและเรตอบแทบพร้อมกัน พูดจบหลวงตาบัวก็เดินจากไป ปล่อยให้ทั้งสองคนรีบก้มหน้าก้มตาล้างจานต่อ

ไม่นานนักเรก็พากาญมาที่กุฏิหลวงตาบัวที่เปิดประตูรอไว้ และขณะนี้หลวงตากำลังนั่งหลับตาทำกรรมฐานอยู่หน้าพระพุทธรูปองค์ใหญ่ภายในกุฏินั่นเอง

“มากันแล้วหรือ” เสียงหลวงตาบัวดังขึ้น ก่อนจะค่อยๆคลายออกจากสมาธิและหันหน้ามาหาทั้งสอง

“ครับหลวงตา” เรตอบกลับไปก่อนจะพากันคลานเข่าเข้ามาหา และเมื่อทั้งสองอยู่ในท่านั่งที่พร้อมจะพูดคุยหลวงตาบัวจึงเริ่มการสนทนา

“เจ้ากาญ... หลวงตาเสียใจด้วยนะเรื่องแม่ของเราน่ะ”

“ครับหลวงตา” กาญตอบสั้นๆ

“อือ... แล้วตอนนี้อาการของแม่เราเป็นอย่างไรบ้างล่ะ”

“ตอนนี้ยังอยู่ในห้องไอซียูครับ... ยังไม่รู้สึกตัวเลยครับหลวงตา” หลวงตาบัวถอนหายใจเข้าลึกๆก่อนจะพูดออกมา

“แล้วหมอเขาว่าอย่างไรบ้างล่ะ...”

“หมอบอกว่าแม่จะไม่รู้สึกตัว...จนกว่าจะผ่าตัดเอาหัวกระสุนปืนออกครับ” กาญทำหน้าเศร้าๆ

“อ้าว! แล้วทำไมหมอไม่ผ่าเอาออกเสียล่ะ” หลวงตาบัวทำหน้าสงสัย

“หมอบอกว่ามันเสี่ยงเกินไปครับ...หัวกระสุนมันอยู่ในตำแหน่งที่อันตรายมาก ถ้าจะผ่าก็ต้องใช้เครื่องมือที่ทันสมัยและต้องเป็นแพทย์ที่ชำนาญการพิเศษเท่านั้นครับจึงจะทำได้”

“อือ...หลวงตาพอจะเข้าใจ...” หลวงตาบัวพยักหน้ารับที่กาญพูด

“ครับหลวงตาถ้าจะผ่าเอากระสุนปืนออกก็ต้องเข้าโรงพยาบาลศูนย์เฉพาะทางครับ...ซึ่งต้องใช้ค่ารักษาพยาบาลมากครับหลวงตา”

“อือ... แล้วต้องใช้ค่ารักษาพยาบาลเท่าไหร่กันล่ะนี่”

“เอ่อ...หนึ่งถึงสองล้านหรืออาจจะมากกว่านั้นครับหลวงตา” หลวงตาบัวถอนหายใจเข้าลึกๆทันทีที่กาญพูดจบ

“ต้องใช้เงินมากขนาดนั้นเลยหรือ?”

“ครับหลวงตา” พูดจบสีหน้าของกาญแสดงออกมาว่าเขากำลังกลัดกลุ้มอย่างหนัก

“แล้วเราจะไปหาเงินมากมายขนาดนั้นมาจากไหนกันล่ะ” กาญก้มลงส่ายหน้าน้อยๆทันทีที่หลวงตาบัวพูดจบ

“ยังไม่รู้เหมือนกันครับ” ใบหน้าของกาญแฝงไปด้วยความเศร้า

“หลวงตาก็อยากช่วยจริงๆ แต่ทางวัดก็ไม่มีเงินมากมายขนาดนั้นเสียด้วยสิ”

“ไม่เป็นไรหรอกครับหลวงตา... ผมจะลองหาวิธีดูครับ”

            “อือ... แล้วเราอายุก็เท่านี้งานการก็ยังไม่มีทำ หลวงตาเองก็ยังมองไม่ออกว่าเราจะไปหาเงินมากขนาดนั้นมาจากไหน...”

“อาจจะมีทางก็ได้ครับหลวงตา” กาญเงยหน้าขึ้นมองหลวงตาบัว หลวงตาบัวเห็นแววตานั้นก็รู้สึกเป็นกังวล

“จะทางใดก็ตาม...ขออย่าไปคิดสั้นทำเรื่องที่มันผิดกฎหมายเข้าเสียล่ะ เข้าใจนะกาญว่าหลวงตาหมายถึงอะไร...”

            “ผมไม่ทำเรื่องอย่างนั้นแน่นอนครับหลวงตา หลวงตาสบายใจได้ครับ”

            “อือ... ดีแล้ว” การสนทนาหยุดไปชั่วขณะก่อนที่หลวงตาจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

            “แล้ววันนี้จะออกไปไหนกันล่ะ”

            “วันนี้ผมจะลองไปถามเงินสวัสดิการฯของพ่อผมที่ยังตกค้างอยู่ครับหลวงตา” หลวงตาบัวเลิกคิ้วขึ้น

            “อืม... ก็ดีนะลองดู... เออ! หลวงตามีเงินเก็บอยู่ไม่เท่าไหร่ในธนาคาร เราไปกดที่ตู้เอทีเอ็มเอามาใช้นะ เผื่อจำเป็นต้องใช้อะไรก่อน” พูดจบหลวงตาบัวก็ยื่นบัตรเอทีเอ็มให้กาญ

            “อย่าดีกว่าครับหลวงตา ผมไม่อยากรบกวนหลวงตาครับ” กาญปฏิเสธหลวงตาบัวทันที

            “อย่าคิดว่าเป็นการรบกวนเลยกาญ หลวงตาเก็บไว้ก็ไม่ได้ใช้จ่ายอะไร เราเอาไปเถิดเผื่อว่าต้องใช้จ่ายอะไรที่จำเป็น แม่ของเราก็ยังนอนอยู่โรงพยาบาลไม่ใช่รึ”

            “รับมาสิกาญ... เดี๋ยวอนาคตถ้านายมีเงินค่อยมาคืนหลวงตาท่านก็ได้” เรพูดเสริมขึ้น

กาญทำท่าอิดออดแต่ในที่สุดก็ยืนมือไปรับบัตรเอทีเอ็มมาจากหลวงตาบัว

            “ผมต้องกราบขอบพระคุณหลวงตาเป็นอย่างสูงครับ เอาเป็นว่าถ้าผมมีเงินแล้วผมจะนำมาคืนหลวงตานะครับ”

           “เอาอย่างนั้นก็ได้กาญ ถ้าเราสบายใจ” กาญก้มลงกราบหลวงตาบัวอีกครั้ง

            “อ่อ... แล้วเรื่องโรงเล่าโรงเรียนล่ะ”

            “พอดีเมื่อวานเป็นวันสอบวันสุดท้ายครับหลวงตา และเราสองคนก็เรียนจบแล้วครับ... หลวงตาจะให้รางวัลผมหรือครับ” เรตอบแทนกาญและพูดต่อสะยืดยาว

            “จะเอาอีกรึรางวัล เมื่อกี้ยังบวมไม่พอใช่ไหม” เรถอยห่างหลวงตาบัวทันทีที่พูดจบ เหมือนรู้ว่าภัยกำลังมา

            “พอแล้วครับหลวงตา แค่นี้ก็มะนาวแล้วอย่าให้ถึงกับมะกรูดเลยครับ” เรบ่นออกมาเบาๆ สักพักหลวงตาบัวจึงพูดขึ้นต่อ

            “อือ... สอบเสร็จกันพอดีเลยนะ... อย่างนี้ก็เรียนจบมัธยมปลายกันแล้วสิ”

            “ครับหลวงตา” กาญตอบบ้างเมื่อเห็นเรนิ่ง หลวงตาพยักหน้าน้อยๆก่อนจะพูดต่อ

            “งั้นก็ดีแล้ว จะได้ไปจัดการธุระโดยไม่ต้องห่วงเรื่องเรียน...ไปกันเถิดเดี๋ยวจะสายมาก”

            “ครับหลวงตา” กาญตอบอีกครั้ง

            “เอ่อ...หลวงตาครับช่วงนี้ผมขออนุญาตไปเป็นเพื่อนกาญมันหน่อยนะครับ” เรเอ่ยขออนุญาตกับหลวงตาบัว

            “เออ...ไปเถิด ไปเป็นเพื่อนกัน มีอะไรจะได้ช่วยกัน”

            “ขอบคุณครับหลวงตา” เรเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มและแบมือใส่หลวงตาบัวทันที

“อะไรของเอ็ง” หลวงตาบัวขมวดคิ้วเข้าหากัน

“ค่ารถครับ” เรยิ้มแฉ่งเมื่อพูดจบ

“แหมไอ้นี่” ถึงหลวงตาบัวจะบ่นเรในความทะลึ่งทะเล้นอย่างไรแต่หลวงตาก็หยิบเอาเงินให้เรไปอยู่ดี และเมื่อการสนทนาจบลงกาญกับเรจึงกราบลาหลวงตาบัว แต่ก่อนที่ทั้งสองจะออกจากกุฏิหลวงตาบัวก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง

            “กาญ!”

            “ครับหลวงตา” กาญหันกลับมาหาหลวงตาบัวอีกครั้ง

            “อย่าเพิ่งคิดไปแก้คงแก้แค้นอะไรนะ มันไม่ทำให้แม่ของเราฟื้นขึ้นมาได้หรอก... มิหนำซ้ำเราเองจะเป็นอันตรายไปด้วย ใจเย็นๆไว้... หาทางรักษาแม่ของเราให้ได้ก่อนนะกาญ” กาญรู้สึกเหมือนโดนหลวงตาบัวทิ่มแทงไปที่ใจดำเข้าพอดี เขาหลับตากัดกรามแน่น ก่อนจะค่อยๆคลายออกและตอบหลวงตาบัวออกไป

            “ครับหลวงตา ผมจะทำตามที่หลวงตาบอกครับ”

            “อือ...ดีแล้วกาญเอ๊ย... สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม... ใครทำกรรมใดไว้ก็ย่อมได้รับผลแห่งกรรมนั้น...ไม่นานหรอก เชื่อหลวงตาเถิด” เสร็จสิ้นการสนทนากาญกับเรก็รีบเดินทางออกจากวัดทันที

            “จะไปไหนก่อนวะกาญ” เรถามในขณะที่ยืนรอรถเมล์

            “เดี๋ยวไปโรงพยาบาลไปดูแม่เราก่อน” เรพยักหน้ารับ ก่อนจะตอบออกไป

            “ไป...ไปไหนไปกัน”

 

ณ โรงพยาบาลที่แม่ของกาญนอนรักษาตัวอยู่

            “แม่ผมเป็นอย่างไรบ้างครับคุณพยาบาล?” กาญสอบถามนางพยาบาลขณะที่กำลังเปลี่ยนถุงน้ำเกลืออยู่

            “อาการยังทรงตัวอยู่นะ” นางพยาบาลเงยหน้าขึ้นมาตอบ กาญพยักหน้ารับน้อยๆ

“เธอเป็นลูกของป้าใช่ไหม” นางพยาบาลถาม

“ครับ” นางพยาบาลมองหน้ากาญด้วยความเวทนาก่อนจะพูดออกมา

“เสียใจด้วยนะที่ต้องมาเจอเรื่องเลวร้ายอย่างนี้”

“ครับ” กาญตอบสั้นๆ

“เออ... เธอรู้จักนักศึกษาสองคนที่โดนทำร้ายเมื่อวานนี้หรือเปล่า”

“ไม่รู้จักหรอกครับ ทำไมหรือครับ” กาญทำหน้าสงสัยและถามกลับไป

“ทั้งสองคนนั้นเสียชีวิตแล้วนะ” นางพยาบาลพูดจบกาญถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกใจ

“ทั้งสองคนเลยหรือครับ” กาญถามย้ำไปอีกครั้ง

“ใช่ทั้งสองคนนั่นแหละ...เขาทนพิษบาดแผลไม่ไหวน่ะ” นางพยาบาลตอบด้วยสีหน้าที่ราบเรียบ

“เอ่อ...แล้วจับคนร้ายได้หรือยังครับ” กาญถามต่อทันที

“ไม่รู้สิ! ฉันว่าเธอไปถามนายตำรวจคนนั้นดีกว่า เขามารอพบเธออยู่ที่ร็อบบี้ด้านโน้นแน่ะ” นางพยาบาลพูดจบก็เดินจากไปดูแลคนไข้รายอื่นต่อ กาญชำเลืองตาไปตามทางที่นางพยาบาลชี้มือก็เห็นนายตำรวจกำลังนั่งรออยู่จริงๆ กาญกับเรจึงเดินไปหาทันที

“สวัสดีครับคุณตำรวจ” นายตำรวจละสายตาจากหนังสือพิมพ์ที่กำลังลังอ่านอยู่ เงยหน้าขึ้นมองผู้ที่เดินมาทักทาย

“อ้าว! สวัสดี เอ่อ... เธอคงเป็นลูกชายของป้าจันทร์สินะ” นายตำรวจเอ่ยขึ้น

          “ครับ ผมชื่อกาญครับ... ส่วนนี่เพื่อนผม...” กาญถือโอกาสแนะนำตัวเองและเพื่อน

“ชื่อเรครับ” นายตำรวจหนุ่มยิ้มรับน้อยๆ

“ยินดีที่ได้รู้จัก... พี่ร้อยตำรวจเอกสมชาย“ นายตำรวจเอ่ยแนะนำตัวเองบ้าง

“ครับผู้กองสมชาย” กาญพูดพร้อมกับยิ้มออกมาน้อยๆ

“ก่อนอื่นต้องเสียใจด้วยนะเรื่องแม่ของเธอ”

“ครับ...เอ่อ... ผู้กองฯมีเรื่องจะคุยกับผม” กาญชี้มือมาที่ตัวเอง

“ใช่... มีหลายเรื่องเลยละ... นั่งลงก่อนสิ”

            “ครับ” กาญและเรนั่งลงบนโซฟาตามคำเชื้อเชิญของผู้กองสมชาย และก็เป็นกาญที่เปิดฉากถามก่อนทันที

“จับคนร้ายได้หรือยังครับ” ผู้กองสมชายส่ายหน้าก่อนจะพูดออกมา

“ยังไม่ได้ แต่ก็คิดว่าไม่ยากนะ” ผู้กองสมชายตอบแบบสบายๆ

“ครับ...ขอให้ไม่ยากจริงๆเถิดครับ” กาญเอ่ยออกมาเบาๆ

“เอ...เดี๋ยวก่อน เห็นจ่าเกิดบอกว่าวันเกิดเหตุ เจอเด็กมัธยมกำลังช่วยชีวิตนักศึกษาสองคนที่โดนทำร้าย ใช่เธอสองคนหรือเปล่า?” กาญหันไปมองหน้าเรก่อนจะตอบคำถามผู้กองสมชาย

“ ครับผู้กองฯ ผมสองคนเองครับ”

“อือ...ถ้าอย่างนั้นเธอก็พอจำหน้าพวกที่รุมทำร้ายนักศึกษาสองคนนั้นได้สินะ” ผู้กองสมชายจ้องมองมาที่กาญ

“จำได้แน่นอนครับ โดยเฉพาะคนที่ถือปืน” กาญตอบออกไปอย่างมั่นใจ

“อย่างนั้นก็ดีเลย” ผู้กองสมชายยิ้มออกมาน้อยๆ

“ทำไมหรือครับ” กาญถามต่อ

“ทางเราสันนิษฐานว่านายคนที่มีปืนอยู่ในมือ... คือคนที่ลั่นกระสุนทำร้ายนักศึกษาสองคนนั้นจนเสียชีวิตรวมทั้งแม่ของเธอที่นอนบาดเจ็บอยู่ด้วย” กาญทำสีหน้าครุ่นคิดก่อนจะพูดออกมา

“ผมเองก็คิดว่าอย่างนั้นเหมือนกันครับผู้กองฯ... เพราะวันที่เกิดเหตุนายคนนั้นมันก็เล็งปืนมาที่ผมด้วย...ดูท่าทางมันเหี้ยมเกรียมเหลือเกิน”

“หือ...จริงเหรอ...มันเล็งปืนมาที่เธอจริงเหรอ...แล้วมันไม่” ผู้กองสมชายพูดยังไม่ทันจบกาญก็รู้ทันทีว่าเขาหมายความว่าอย่างไรจึงชิงตอบเสียก่อน

“ผมคิดว่ามันเหนี่ยวไกใส่ผมนะครับ ผมได้ยินเสียงสับไก...แต่คิดว่ากระสุนปืนมันคงด้านครับ...ไม่อย่างนั้นผมคงไม่ได้นั่งอยู่ตรงนี้เหมือนกันครับผู้กองฯ” ผู้กองสมชายพยักหน้าน้อยๆเมื่อกาญพูดจบ

“เธอโชคดีมากๆเลยนะ... นี่มันคงคิดจะปิดปากเธอเพราะไปเห็นหน้ามันเข้านะสิ...โหดร้ายมากไอ้คนนี้” ผู้กองสมชายส่ายหน้าเมื่อพูดจบ

“คิดว่ามันคงเป็นอย่างที่ผู้กองฯว่านะครับ มันคงจะปิดปาก เพื่อนผมแน่ๆ” เรเสริมขึ้นบ้าง ทั้งสามหยุดการสนทนาลงสักครู่ สักพักผู้กองสมชายจึงเอ่ยขึ้นต่อ

“อือ...เอาล่ะ...เธอไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว เดี๋ยวพี่จะพ่วงข้อหาพยายามฆ่าให้มันอีกกระทง...ดีมั้ย”

“แล้วแต่ผู้กองฯเถิดครับ” กาญตอบเรียบๆ

“แล้วแต่พี่ไม่ได้หรอกเธอต้องเป็นเจ้าทุกข์ในเรื่องนี้ด้วยนะ” กาญหันมองหน้าเรเมื่อผู้กองสมชายพูดจบ เรพยักหน้าให้กาญรับเป็นเจ้าทุกข์อย่างที่ผู้กองสมชายว่า

“เอาอย่างนั้นก็ได้ครับ” กาญตอบกลับไป

“ดี...อย่างนี้เราก็ได้ทั้งเจ้าทุกข์และพยานทีเดียวเลย...เธอพร้อมที่จะเป็นพยานชี้ตัวมือปืนคนนั้นใช่ไหมกาญ”

“ครับผู้กองฯ” กาญรับปากโดยไม่ต้องคิดมาก

“ดี...ถ้าอย่างนั้น เธอช่วยเล่าเหตุการณ์วันนั้นอย่างละเอียดให้พี่ฟังอีกครั้งได้ไหม”

“ได้ครับ” และการสอบปากคำพยานก็เกิดขึ้นที่ร็อบบี้ของโรงพยาบาลนั่นเอง กาญได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นให้ผู้กองสมชายได้ฟังอย่างละเอียดอีกครั้งจนเวลาผ่านไปสักพักใหญ่และเป็นที่พอใจของนายตำรวจ

“เอาล่ะขอบใจมากกาญ...วันนี้พี่รบกวนเธอแค่นี้ก่อนแล้วกัน ถ้ามีความคืบหน้าอย่างไรพี่จะติดต่อมาบอก” ผู้กองสมชายปิดแฟ้มและมองมาที่กาญอีกครั้ง

“ขอบคุณมากครับผู้กองฯ” กาญเอ่ยขึ้นเบาๆ

“ไม่เป็นไรหรอกมันเป็นหน้าที่ของพี่อยู่แล้ว... อ่อ! แล้วเธอเองก็ต้องระวังตัวไว้มากๆนะเพราะว่ามือปืนมันก็คงจำหน้าเธอได้เหมือนกัน...มันอาจจะตามมาทำร้ายเธออีกก็เป็นได้นะ”

“ครับ...ผมจะระวังตัว”

“อือ...ดี...แต่ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลก็รีบโทรหาพี่ตามนามบัตรที่ให้ไว้นะ” กาญยกนามบัตรของผู้กองสมชายขึ้นดู

“ครับ” กาญตอบสั้นๆ

“เดี๋ยวครับ ผู้กำกับฯ... เอ๊ย! ผู้กองฯ...แล้วจะไม่มีชุดคุ้มกันพยานหรือครับ” เรพูดจบนายตำรวจถึงกับเลิกคิ้วขึ้น

“อือ...จริงสินะ...อันที่จริงถ้าทำเรื่องขอก็น่าจะได้นะ” ผู้กองสมชายทำท่าครุ่นคิด

“ไม่ต้องก็ได้ครับผู้กองฯ...ผมดูแลตัวเองได้” กาญเอ่ยขึ้น

“ฮึ๊ย! กาญเรากำลังตกอยู่ในอันตรายนะ” เรพูดจบ กาญถึงส่งสายตาดุมาที่เรทันทีเป็นนัยว่าให้เขาหยุดพูดได้แล้ว

“ไรวะ...แค่นี้ต้องทำตาดุด้วย...ไม่เคยเห็นในหนังหรือไงวะ...คุ้มครองพยานโคตรเท่เลย” เรรำพึงออกมาเบาๆ

“อือ...เดี๋ยวถ้ายังไง...พี่จะลองเสนอผู้กำกับฯดูนะ เอาล่ะ...เดี๋ยวพี่ขอตัวก่อนนะ” กาญและเรยกมือไหว้ผู้กองสมชายเป็นการร่ำลาอีกครั้ง

 

หลังจากที่แยกทางกับนายตำรวจแล้ว กาญจึงเดินมาดูแม่ของเขาที่ยังคงนอนสงบนิ่งอยู่บนเตียง เขากัดกรามแน่นด้วยความโกรธแค้นคนที่ทำให้แม่ของเขาต้องเป็นอย่างนี้ ในใจอีกแวบหนึ่งก็ครุ่นคิดเรื่องเงินค่ารักษาพยาบาลก่อนจะเดินผละออกมาจากแม่ของเขาโดยมีเรเดินตามไปติดๆ

“ไปไหนต่อกาญ”

“กรมตำรวจ” กาญตอบออกมาสั้นๆ

“ไปทำไมวะกรมตำรวจฯ”

“เราจะไปถามเรื่องเงินสวัสดิการฯของพ่อเรา” กาญพูดจบก็เดินจ้ำอ้าวนำหน้าเรออกไป

“กรมตำรวจ...ก็กรมตำรวจฯ” เรรำพึงออกมาเบาๆก่อนจะเร่งฝีเท้าตามกาญไปติดๆ

ไม่กี่ชั่วโมงต่อมาทั้งสองก็พากันมาถึงกรมตำรวจหรือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และเมื่อกาญมาถึงเขาก็รีบแจ้งเหตุที่มากับประชาสัมพันธ์ของกรมตำรวจทันที เวลาผ่านไปไม่นานนักกาญก็ถูกเชิญตัวไปที่ห้องรับรองแห่งหนึ่งภายในตึกสำนักงานนั้นเอง

“น้องนั่งรอที่นี่ก่อนนะ....ประเดี๋ยวผู้กำกับฯท่านจะเข้ามา”

“ครับผม” ตำรวจหญิงพูดจบก็เดินเข้าไปในห้องเล็กๆห้องหนึ่งสักพักก็ยกน้ำดื่มใส่ถาดออกมาสามแก้ววางที่โต๊ะรับแขก

“ขอบคุณครับ” กาญเอ่ยขึ้นตำรวจหญิงยิ้มน้อยๆก่อนจะเดินออกไปจากห้องนั้น กาญยกแก้วน้ำขึ้นดื่มในขณะที่เรยังมองตามตำรวจหญิงคนนั้นออกไปอย่างไม่ลดละ

“สวย...อยากเป็นนายตำรวจบ้างเสียแล้วสิเพื่อนเอ๊ย” เรพูดออกมาเบาๆพร้อมกับทำตาเยิ้มๆ

“อือ...จะทันไหมวะ” กาญตอบสั้นๆ พร้อมกับหันมามองหน้าเร

“น้ำแก้วนี้คงจะหวานน่าดู” เรยกน้ำขึ้นดื่มอึกใหญ่ กาญมองหน้าเรพร้อมกับส่ายหัวน้อยๆ

ไม่กี่อึดใจต่อมานายตำรวจใหญ่นายหนึ่งก็เดินเข้ามาและกาญก็พอจะเดาได้ทันทีว่าผู้ที่เดินเข้ามานั้นคือใคร

“สวัสดีครับ” กาญและเรพูดแทบจะพร้อมกัน นายตำรวจยกมือรับไหว้และยิ้มด้วยลักษณะท่าทางที่ดูใจดีและเป็นกันเอง กาญและเรจึงไม่รู้สึกเกร็งสักเท่าไหร่

“สวัสดี... นั่งตามสบายเลยนะไม่ต้องเกรงใจ” พูดจบนายตำรวจก็นั่งลงบนโซฟาอย่างสบายๆ

“ขอบคุณครับ” กาญตอบกลับไป

“ดื่มน้ำกันหรือยัง... เอาอะไรเพิ่มเติมไหม” นายตำรวจพูดขึ้นอย่างเป็นกันเอง

“ไม่ล่ะครับ... ขอบคุณครับ” กาญตอบ

“ถ้าอย่างนั้นก็เข้าเรื่องเลยนะ” กาญพยักหน้าน้อยๆ

“ครับ”

“ก่อนอื่นต้องแนะนำตัวกันหน่อยนะฉันชื่อพันตำรวจเอกโกวิท สว่างจิต” นายตำรวจใหญ่แนะนำตัวเอง

“ผมชื่อกาญครับและนี่เรเพื่อนผมครับ” กาญแนะนำตัวเองกับเพื่อนบ้าง

“ยินดีที่ได้รู้จักนะ เอ่อ...ลุง...คงต้องเป็นลุงสินะ” กาญทำหน้างงเมื่อนายตำรวจใหญ่เอ่ยขึ้นแต่ก็ไม่กล้าตอบอะไร นายตำรวจใหญ่ยิ้มน้อยๆก่อนจะพูดต่อ

“อือ..ลุงก็พอจะได้ยินชื่อเธอมาบ้างเหมือนกันเธอเป็นลูกชายของร้อยตำรวจเอกสาธิต ธรรมศักดิ์สินะ”

“ครับ...ใช่ครับ... ท่านรู้ได้อย่างไรครับ”

“รู้สิ... ไม่รู้ได้อย่างไร... สาธิตเป็นรุ่นน้องของลุงไม่กี่ปีเอง... ถ้าไม่เกิดเรื่องเสียก่อนป่านนี้คงขึ้นเป็นสารวัตรที่สถานีฯไหนสักที่ไปแล้วล่ะ”

“จริงเหรอครับ” กาญเอ่ยขึ้น ผู้กำกับโกวิทพยักหน้ารับ

“จริงสิ...จะโกหกเธอทำไมล่ะ” ผู้กำกับโกวิทมองหน้ากาญอย่างจริงใจ ก่อนจะพูดต่อ

“เออ... ลุงคงต้องขอแสดงความเสียใจด้วยนะ เรื่องแม่ของเธอน่ะ”

“ครับ... ท่านรู้เรื่องแม่ของผมแล้วหรือครับ” กาญทำหน้าสงสัยว่าทำไมนายตำรวจใจดีท่านนี้ดูเหมือนจะรู้เรื่องของเขาไปเสียทั้งหมด

“อือ... ผู้กองสมชายรายงานเรื่องคดีของแม่เธอให้ลุงทราบหมดแล้ว”

“ผู้กองสมชายนายตำรวจที่ไปพบผมที่โรงพยาบาล...หรือครับ”

“ใช่... ผู้กองสมชายขึ้นตรงกับลุงและลุงก็ให้ผู้กองสมชายรับผิดชอบคดีนี้ด้วย... เธอไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องคดีนะ ทางตำรวจจะรีบจับตัวผู้ร้ายมาให้เร็วที่สุด”

“ครับ... ขอบคุณอีกครั้งครับ”

“ไม่เป็นไรมันเป็นหน้าที่ของเราอยู่แล้ว อืม... ว่าแต่ว่าวันนี้คงมาเรื่องพ่อของเธอสินะ”

“ครับ... ใช่ครับ... คือผมต้องหาเงินไปรักษาแม่ของผมครับ...” นายตำรวจพยักหน้าช้าๆ

“อือ... ลุงเข้าใจนะเรื่องนั้น... และลุงก็อยากจะช่วยจริงๆ แต่...” นายตำรวจพูดจบก็ถอนหายใจสั้นๆ กาญเองก็หลับตาและก้มหน้าลง

“พ่อของเธอเป็นคนดี... ลุงรู้จักพ่อของเธอดี... แต่ลุงก็ไม่รู้เหมือนกันว่ารายงานที่ส่งมาจากผู้ใหญ่ที่ภาคใต้เป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไร” นายตำรวจส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

“พ่อของเธอไม่มีทางเข้าร่วมกับพวกมันแน่” คำพูดของนายตำรวจใหญ่ที่หลุดออกมาทำเอากาญถึงกับขมวดคิ้วเข้าหากันและเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“หมายความว่าอย่างไรครับ... พ่อผมเข้าร่วมกับใครครับ”

“เออ...” ยังไม่ทันที่ผู้กำกับโกวิทจะตอบอะไร กาญชิงพูดขึ้นเสียก่อน

“พ่อของผมไม่ได้หายตัวไประหว่างการเดินลาดตระเวนหรือครับ” กาญแสดงสีหน้าและถามด้วยความงสัยอย่างหนัก นายตำรวจเม้มปากและทำท่าอึดอัดอยู่สักพักก่อนจะพูดออกมา

“เอาล่ะ...เอาล่ะ... ลุงคงต้องพูดความจริงตามรายงานที่ได้รับมา” กาญพยักหน้าน้อยๆที่แฝงไปด้วยความสงสัย

“ในตอนแรกทางเราก็ได้รับรายงานมาว่าพ่อของเธอกับลูกน้องหายตัวไประหว่างการเดินลาดตระเวน ทางหน่วยก็จัดกำลังพลพากันออกเดินตามหาแต่หาเท่าไหร่ก็ไม่พบ...ไม่ว่าจะเป็นร่องรอยการต่อสู้ หรือร่องรอยอะไรที่เป็นประโยชน์...จนกระทั่ง...” ผู้กำกับโกวิทหยุดพูดเมื่อตำรวจหญิงเดินถือกาแฟเข้ามาในห้อง

“ขอบใจมากมยุรี...” ผู้กำกับโกวิทเอ่ยขึ้น

“ไม่เป็นไรค่ะ... พวกเธอสองคนจะเอากาแฟไหม” มยุรีประชาสัมพันธ์สาวสวยของกรมตำรวจยศร้อยตรีเอ่ยถามกาญและเร

“ไม่ครับ... ขอบคุณครับ” กาญตอบ

“เอ่อ...มีเก๊กฮวยหรือว่านมเย็น ไหมครับ” เรเอ่ยถามบ้าง

“มีแต่กาแฟดำจ้ะ...ขมปี๋เลยเอาไหมจ๊ะ” ร้อยตรีมยุรีพูดพร้อมกับยิ้มหวานออกมา

“ไม่ล่ะครับขอบคุณ...ผมไม่ชอบของขมครับ” เรพูดจบก็ยกน้ำเปล่าขึ้นดื่มอึกใหญ่แก้เก้อ และหลังจากที่ผู้กำกับโกวิทดื่มกาแฟที่ตำรวจหญิงนำมาให้ ก็เริ่มเล่าต่อในขณะที่กาญกำลังรอฟังอย่างใจจดใจจ่อ

“กองกำลังตำรวจตระเวนชายแดนออกตามหาพ่อของเธอและลูกน้องอยู่หลายเดือน จนกระทั่ง...มีรายงานจากสายเข้ามาว่าพบเห็นพ่อของเธออยู่ในค่ายของพวกก่อความไม่สงบ” กาญถึงกับกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดๆเมื่อผู้กำกับโกวิทพูดจบ

“จริงหรือครับ” กาญถามย้ำ ผู้กำกับโกวิทพยักหน้ารับอย่างมั่นใจว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง

“ในตอนแรกเราก็ไม่เชื่อ...จนกระทั่งได้เห็นภาพถ่ายที่สายถ่ายมาได้” ผู้กำกับโกวิทพูดจบก็เปิดแฟ้มให้กาญดูอะไรบางอย่าง กาญมองดูรูปภาพที่อยู่เบื้องหน้า และภาพที่เขาเห็นทำให้เขารู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมาทันที

“นี่มัน... ภาพของพ่อผม” กาญตกตะลึงกับสิ่งที่มองเห็นอยู่เบื้องหน้า

“ใช่นี่เป็นภาพถ่ายของพ่อเธอ... กำลังฝึกกำลังพลให้กับผู้ก่อความไม่สงบ... ตอนแรกลุงก็แทบไม่เชื่อสายตาเหมือนกันนะ”

“พ่อของผมยังมีชีวิตอยู่” กาญรำพึงออกมาเบาๆ

“จากภาพที่เห็นคิดว่าพ่อเธอยังมีชีวิตอยู่” กาญรู้สึกสับสนกับภาพที่เห็นอย่างบอกไม่ถูกเขาพินิจพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน ภาพถ่ายที่เห็นก็คือภาพของพ่อเขาอย่างเถียงไม่ได้ ใจหนึ่งก็ไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เห็น อีกใจหนึ่งก็ดีใจที่เห็นว่าพ่อของเขายังมีชีวิตอยู่

“ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพ่อของผมจะทำอย่างที่ท่านบอก” กาญก้มหน้าส่ายหน้าไปมาอย่างคนรับไม่ได้กับเรื่องที่เกิดขึ้น

“ลุงก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน... แต่ว่าทางผู้บังคับบัญชาเขาไม่เชื่ออย่างนั้น... สายรายงานว่าพ่อเธอเข้าร่วมกับผู้ก่อความไม่สงบ” ผู้กำกับโกวิทยังคงยืนกรานอย่างนั้น

“ต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลหรือเหตุผลอะไรบ้างอย่างแน่” กาญรำพึงออกมาและขมวดคิ้วเข้าหากัน ไม่เชื่อสิ่งที่เขาเห็น ผู้กำกับโกวิทถอนหายใจน้อยๆก่อนจะพูดต่อ

“ลุงเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพ่อของเธอจะมีเหตุผลอะไร...และด้วยเหตุนี้จึงยังไม่มีการพิจารณาสวัสดิการฯใดๆ ที่พ่อเธอจะได้รับ” ผู้กำกับโกวิทพูดจบกาญถอนหายใจแรงๆก่อนจะเอ่ยขึ้น

            “แล้วเมื่อเป็นอย่างนั้นทำไมไม่ตามจับพ่อผมมาลงโทษให้ได้ล่ะครับ... บางทีความจริงอาจจะปรากฏออกมาก็ได้”

            “ทางเราก็อยากทำอย่างนั้น... แต่ว่าที่ที่พ่อเธอเข้าไปอยู่ สายรายงายว่ามันอยู่ในเขตประเทศเพื่อนบ้าน... ถ้าเรานำกำลังเข้าไปก็เท่ากับว่าเราชวนเพื่อนบ้านทำสงคราม... ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่คุ้ม”

            “อย่างนี้มันก็ไม่ยุติธรรมกับพ่อผมสิครับ... ถ้าพ่อของผมถูกจับไปและถูกบังคับให้ทำอย่างนั้น...จะว่าอย่างไรครับ”

            “ก็จริงนะ... แต่เราก็ยังพิสูจน์ไม่ได้และผู้บังคับบัญชาเขาก็เลือกที่จะเชื่อภาพถ่ายกับข้อมูลจากสาย... แต่ถ้าเป็นอย่างที่เธอบอกจริงก็น่าเห็นใจพ่อของเธอจริงๆ” กาญยกมือทั้งสองข้างขึ้นลูบหน้ารู้สึกอื้ออึงจนบอกไม่ถูก

            “ไม่มีทางจะช่วยพ่อของผมเลยหรือครับ” กาญพูดออกมาเบาๆอย่างคนสิ้นหวัง

            “ลุงเห็นใจเธอจริงๆ กาญ... แม่ก็มาเจ็บ หนำซ้ำยังจะต้องมานั่งฟังเรื่องพ่อของเธออีก...” กาญกัดกรามตัวเองเบาๆอย่างเจ็บช้ำเมื่อได้ฟังข่าวของพ่อเขา แต่ก็กัดฟันพูดออกไปอย่างเด็ดเดี่ยว

“ไม่เป็นไรครับ... ผมไม่มีอะไรจะเสียมากไปกว่านี้แล้วครับ... แค่รู้ข่าวว่าพ่อของผมยังมีชีวิตอยู่ก็ดีแล้วครับ”

“อือ... ลุงเข้าใจแต่ลุงว่าตอนนี้เธอหาทางช่วยแม่ของเธอก่อนดีกว่านะ” ผู้กำกับโกวิทพยายามเปลี่ยนประเด็นไม่พูดถึงพ่อของกาญ

            “ถ้าเรื่องของพ่อผมจบแบบนี้แล้วผมจะเอาเงินที่ไหนไปช่วยแม่ผมล่ะครับ... ผมมาที่นี่ก็หวังจะได้เงินสวัสดิการฯของพ่อผม ถ้าเป็นอย่างนี้ผมก็...” กาญหยุดพูดจบ ผู้กำกับโกวิททำท่าครุ่นคิดก่อนจะพูดออกมา

            “อือ... จริงสินะ... อย่าลืมว่าถ้าเราสามารถจับมือปืนได้เราจะเรียกค่าเสียหายจากมือปืนได้นะ.”  

            “ถ้ามันมีเงิน...” เรพูดขึ้นลอยๆ ทั้งสองหันหน้ามามองเรพร้อมๆกัน เรยกแก้วน้ำดื่มอีกครั้งบังใบหน้าตัวเอง ด้วยความรู้สึกผิดที่พูดอะไรออกไป

“แล้วเมื่อไหร่จะจับได้ล่ะครับ... แม่ผมมีเวลาไม่มาก กว่าจะจับได้กว่าจะสืบสวน... และกว่าจะตัดสินแม่ผมคงไม่ฟื้นแล้วครับ” ผู้กำกับโกวิทฟังกาญพูดถึงกับถอนหายใจยาว

            “เรื่องของพ่อเธอ ลุงทำอะไรไม่ได้จริงๆ นอกเสียจากว่าจะได้ตัวพ่อเธอกลับมาเพื่อสอบสวน และถ้าเรื่องทั้งหมดมันไม่เป็นความจริงอย่างสายรายงาน นอกจากพ่อเธอจะพ้นมลทินแล้วยังจะได้พูนบำเหน็จรางวัลอีกมากมาย” ผู้กำกับโกวิทพูดทิ้งท้าย แต่สิ่งที่กาญได้ยินมันก็ทำให้เขาตาโตขึ้นมาอีกครั้ง

            “หมายความว่าพ่อผมยังพอมีโอกาสกลับมาแก้ตัวใช่ไหมครับ” ผู้กำกับโกวิทพยักหน้ารับอย่างมั่นใจ

            “ลุงคิดว่าอย่างนั้นนะ...ทุกคนต้องมีโอกาสได้แก้ตัว... แต่ก็ตอบอะไรชัดเจนมากไปกว่านี้ไม่ได้...” และในระหว่างที่กำลังสนทนากันอยู่นั้นเสียงโทรศัพท์ของผู้กำกับโกวิทก็ดังขึ้น นายตำรวจยกโทรศัพท์ขึ้นรับสายและลุกออกจากเก้าอี้ก่อนจะยกมือขึ้นประหนึ่งว่าขอเวลานอก หลังจากที่สนทนาทางโทรศัพท์ได้ไม่นานผู้กำกับโกวิทก็เดินกลับเข้ามา

            “ข่าวดี!”

“ข่าวดีอะไรหรือครับ” กาญเอ่ยถามทันที

“ผู้กองสมชายโทรมาบอกว่าจับมือปืนผู้ต้องสงสัยได้แล้วตอนนี้อยู่ที่สถานีปทุมวันกำลังรอให้เธอไปชี้ตัว” ผู้กำกับโกวิทพูดจบกาญกับเรถึงกับมองหน้ากันออกอาการสงสัยว่าทำไมจับผู้ร้ายได้รวดเร็วขนาดนี้

            “จับได้แล้วหรือครับ” กาญถามย้ำอีกครั้ง

            “เห็นเขาโทรมาบอกว่าอย่างนั้นนะ... เรารีบไปกันเถิดเดี๋ยวก็รู้เองนั่นแหละ” พูดจบผู้กำกับโกวิทก็เดินนำออกจากห้องทันที ในขณะที่กาญกับเรยังยืนงงๆ อยู่ผู้กำกับโกวิทเดินกลับมาอีกครั้ง

            “ เร็วสิ...มัวช้าอยู่ทำไมล่ะ ไปพร้อมกันเลย...เร็ว!”

            “ครับ...ครับ...” กาญตอบกลับไปพร้อมกับเดินจ้ำอ้าวตามผู้กำกับโกวิทออกไปขึ้นรถและมุ่งหน้าไปสถานีปทุมวันทันที

แม้การจราจรจะคับคั่งบ้างในบางช่วงแต่ไม่นานนักทั้งสามก็มาถึงที่หมาย และเมื่อเดินเข้ามาในสถานีฯ ตำรวจนายหนึ่งที่เดินสวนมาก็ทำความเคารพผู้กำกับโกวิททันที

“สวัสดีครับท่านผู้กำกับฯ”

            “เออ... จ่าไหวผู้กองสมชายอยู่ไหน”

            “อยู่ห้องสอบสวนหนึ่งครับ กำลังสอบสวนผู้ต้องหาอยู่ครับผม”

            “เดี๋ยวไปตามผู้กองสมชายมาพบผมที่ห้องทำงานหน่อยนะ... เดี๋ยวนี้เลย”

“ครับผม” จ่าไหวตอบกลับไปอย่างแข็งขัน ผู้กำกับโกวิทพากาญและเรเดินไปที่ห้องทำงาน

“นั่งรอกันทีนี่ก่อนเดี๋ยวลุงรอผู้กองสมชายเข้ามารายงานก่อนนะ”

“ครับ” กาญตอบสั้นๆก่อนจะเดินตรงไปนั่งเก้าอี้ในห้องรับรอง โดยที่เรก็เดินตามไปติดๆและไม่นานนักก็มีเสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น

“ขออนุญาตครับ” เสียงหนึ่งดังเข้ามา

“เชิญ...” ผู้กำกับโกวิทตอบกลับไป ผู้กองสมชายเดินเข้ามาในห้อง เขาทำความเคารพเจ้านายตามระเบียบก่อนจะหันไปเห็นกาญและเร

“อ้าวเธอสองคน” ผู้กองสมชายทำหน้างงๆ

“เด็กสองคนนี่เขามาหาผมที่กรมฯและก็พอดีผู้กองฯโทรเข้าไปเรื่องที่จับผู้ต้องสงสัยได้ผมก็เลยพาเขาทั้งสองชี้ตัวด้วยเลย” ผู้กำกับโกวิทอธิบายแทนกาญ

“ครับผม” ผู้กองสมชายรับทราบข้อความที่ผู้กำกับโกวิทอธิบาย

“เป็นอย่างไรบ้างเห็นว่าจับผู้ต้องหาได้แล้วหรือ” ผู้กำกับโกวิทถามต่อทันที

“ครับผม... จับได้เมื่อช่วงเที่ยงนี่เองผมพากำลังนอกเครื่องแบบไปซุ่มดูที่หน้าสถาบัน... ที่ก่อเรื่องเห็นนายคนนี้ท่าทีมีพิรุจจึงนำกำลังเข้าควบคุมตัวและตรวจค้น ก็ได้พบอาวุธปืนที่เป็นชนิดเดียวกันกับที่ใช้ก่อเหตุเมื่อคืนนี้ครับ”

“แล้วตอนนี้สอบสวนไปถึงไหนแล้ว”

“ยังไม่ยอมรับสารภาพครับ... มันบอกว่ามันเก็บปืนกระบอกนั้นได้”

“ตรวจสอบเขม่าดินปืนที่มือและปืนหรือยัง”

“เก็บผลตรวจสอบแล้วครับแต่ต้องรอผลอีกสักพักครับ”

“อือ... ถ้าอย่างนั้นลองให้กาญไปดูหน้าสิว่าใช่คนในกลุ่มนั้นหรือเปล่า” ผู้กำกับโกวิทพูดจบก็หันมาที่กาญ

“กาญเธอจำหน้าไอ้คนที่เล็งปืนมาที่เธอได้แน่นะ...” ผู้กองสมชายถาม กาญพยักหน้ารับ

อย่างมั่นใจก่อนที่จะตอบ

“จำได้ครับ... และยังคิดว่าจำปืนกระบอกนั้นได้ด้วยครับ”

“งั้นก็ดี... เราไปดูตัวผู้ต้องสงสัยกันเลย” ผู้กำกับพูดจบก็เดินนำคณะออกไปจากห้องทันที ในระหว่างทางเดินผู้กำกับโกวิทก็เอ่ยขึ้น

“เดี๋ยวเราดูผู้ต้องหาในห้องนี้ก็แล้วกัน เราทำไว้เพื่อปลอดภัยของของพยาน” ผู้กำกับโกวิทพาคณะเข้าไปในอีกห้องหนึ่งข้างๆ ห้องสอบสวนหมายเลขสอง ด้านในห้องสี่เหลี่ยมไม่กว้างมากนัก ล้อมรอบด้วยกำแพงปูน แต่จะมีอีกด้านซึ่งเป็นกระจกสามารถมองผ่านไปอีกห้องหนึ่งได้โดยที่ห้องฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถมองเห็นอีกฝั่งได้

“เหมือนอย่างกับในหนังเลยครับ” เรอุทานออกมาเบาๆ ทั้งสี่คนยืนหันหน้าเข้ากระจกมองไปที่ชายหนุ่มนักศึกษาซึ่งขณะนี้ตกเป็นผู้ต้องสงสัยกำลังที่มองหันรีหันขวางอยู่บนเก้าอี้ไม้โดยที่ตัวเขาถูกใส่กุญแจมือไพล่หลังไว้

“กาญเธอเห็นนายคนที่อยู่ในห้องแล้วใช่ไหม” ผู้กองสมชายถามกาญ

“ครับ” กาญเดินเข้าไปมองใกล้ๆกระจกอย่างพินิจพิเคราะห์สักพักผู้กำกับโกวิทก็เอ่ยถามขึ้นบ้าง

“ใช่คนที่เล็งปืนใส่เธอหรือเปล่า” กาญถอนหายใจลึกๆก่อนจะตอบ

“คิดว่าไม่ใช่แน่นอนครับ... นายคนนั้นผิวดำ ผอมบางกว่านี้ และใบหน้าแหลมกว่านี้ครับ”

“เธอแน่ใจนะ...” ผู้กำกับโกวิท ถามย้ำ

“ครับผมแน่ใจ นายคนนี้อ้วนเกินไปครับ” กาญหันกลับมาตอบผู้กำกับโกวิทอย่างมั่นใจ

“ถ้าอย่างนั้นก็คงจะผิดตัวแล้วล่ะผู้กองฯ” ผู้กำกับโกวิทหันหน้ามาทางผู้กองสมชาย

“ครับ... แต่ถึงอย่างไรก็ต้องควบคุมตัวไว้ก่อนข้อหาครอบครองอาวุธโดยไม่มีใบอนุญาต...จนกว่าจะมีผู้ปกครองมาประกันตัวครับผม”

“อือ...ถ้ามีคนประกันตัวยังไงก็ส่งสายคอยตามตัวนายคนนี้ไปด้วยเผื่อได้เบาะแส” ผู้กำกับโกวิทออกคำสั่งเสริม

“ครับผม” ผู้กองสมชายรับคำสั่ง

“ขออนุญาตครับ” เสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับเสียงเคาะประตู

“เชิญ...” ผู้กำกับพูดจบเจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งก็เดินเข้ามา ทำความเคารพผู้กำกับโกวิทและผู้กองสมชาย

“ผลการตรวจเขม่าดินปืนได้แล้วครับ” นายตำรวจคนนั้นพูดก่อนจะยื่นซองสีน้ำตาลให้กับผู้กองสมชาย

“ขอบใจมากดาบชิด” ผู้กองสมชายพูดพร้อมกับยื่นมือไปรับซองนั้นมาเปิดออกดูรายงานที่เขียนมาด้วย

“ไม่มีเขม่าปืนที่มือผู้ต้องหาครับ”

“แสดงว่านายคนนี้ ไม่ใช่มือปืนจริงๆ” ผู้กำกับโกวิทเอ่ยขึ้น

“แต่พบเขม่าดินปืนที่ปืนกระบอกนี้ครับแสดงว่ามีการยิงปืนกระบอกนี้เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว” ผู้กองสมชายยกปืนลูกโม่ขนาดจุดสามแปดให้ผู้กำกับโกวิทดู

“พบปลอกพระสุนปืนที่ยิงออกไปแล้วสี่ลูก และอีกสองลูกยิงไม่ออกเข้าใจว่าด้านครับ...”ผู้กองสมชายรายงานต่อ

“กาญ...คุ้นปืนกระบอกนี้บ้างไหม” กำกับโกวิทหันมาทางกาญ

“กระบอกนี้คุ้นครับเหมือนกับกระบอกที่เล็งผมเมื่อวาน” กาญตอบโดยไม่ต้องคิดมาก

“ถ้าอย่างนั้นก็คงเป็นปืนกระบอกที่ใช้ยิงเมื่อวานนี้แน่” ผู้กำกับโกวิทพูดขึ้น ผู้กองสมชาย พยักหน้าน้อยๆ

“ครับผม”

“ผู้กองฯสอบนายคนนี้ต่อนะ ว่าเขาได้ปืนมาจากไหน แล้วก็จัดกำลังนอกเครื่องแบบซุ่มดูบริเวณนั้นบางทีคนร้ายอาจจะหวนกลับมาเอาปืนกระบอกนี้ก็ได้” ผู้กำกับโกวิทสั่งงานต่อทันที

“ครับผม” ผู้กองสมชายตบเท้าและเดินออกไปจากห้องทันที

“เอาล่ะกาญ ทีนี้ก็ใกล้คนร้ายเข้าไปทุกทีฉันเชื่อว่าไม่นานก็คงได้ตัวแน่” ผู้กำกับโกวิทตบไหล่กาญเบาๆ

“ครับ” กาญตอบสั้นๆ

“แต่เดี๋ยวเธอไปที่ห้องสเก็ตภาพคนร้ายด้วยนะ”

“ครับ” พูดจบผู้กำกับก็พากาญไปที่ห้องสเก็ตภาพ และผ่านไปไม่นานนักก็ได้ภาพ

สเก็ตคนร้ายออกมา ผู้กำกับโกวิทยืนดูรูปคนร้ายก่อนจะพูดกับกาญ

“ชัดเจนมาก... เอาล่ะกาญวันนี้พอแค่นี้ก่อนเหนื่อยกันมาทั้งวันแล้วนี่”ผู้กำกับโกวิทหันมายิ้มให้กาญและเร

“ครับ” กาญตอบออกมาเบาๆ

“ถ้ามีความคืบหน้าอย่างไรเดี๋ยวจะให้ผู้กองสมชายโทรบอกนะ”

“ครับ” กาญตอบสั้นๆสีหน้าแฝงไปด้วยความผิดหวัง ผู้กำกับโกวิทเห็นกาญแสดงอาการอย่างนั้นก็อดสงสารไม่ได้

“เรื่องพ่อของเธอ... ลุงจะพยายามประสานทางหน่วยให้ตรวจสอบเรื่องราวอีกครั้งนะ”ผู้กำกับโกวิทพูดจบก็เอื้อมมือมาจับไหล่กาญ บีบเบาๆประหนึ่งให้กำลังใจ

“ขอบคุณครับ” กาญตอบออกไป

“ส่วนเรื่องแม่ของเธอลุงจะพยายามตามจับผู้ร้ายมาให้เร็วที่สุด” กาญพยักหน้าน้อยๆแทนคำตอบ ผู้กำกับโกวิทพูดจบก็ควักกระเป๋าสตางค์ออกมาก่อนจะหยิบธนบัตรใบละหนึ่งพันออกมาปึกหนึ่งและยื่นให้กาญ

“เอานี่กาญเธอเก็บเอาไว้ใช้ก่อน... เธอต้องใช้เงินอีกมากไม่ใช่หรือ... ลุงพอจะช่วยเธอได้เท่านี้ก่อนนะ” กาญมองมาที่เงินปึกนั้น

“อย่าเลยครับ ท่านผู้กำกับฯ... ผมพอจะมีเงินอยู่บ้างแล้วหลวงตาท่านให้มา” กาญตอบปฏิเสธทันที

“อย่าทำให้ผู้ใหญ่เสียน้ำใจสิ...พ่อของเธอกับลุงเรารู้จักกันดี...เธอเองก็เปรียบเสมือนหลานชายของลุง... เอาน่าเก็บเอาไว้ก่อนเผื่อแม่เธอต้องใช้เงินฉุกเฉินขึ้นมา” กาญไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร เขาจึงยื่นมือรับเงินนั้นมา

“ขอบคุณมากครับท่านผู้กำกับฯ” ผู้กำกับโกวิทยิ้มออกมาน้อยๆ

“เออ... แล้วต่อไปไม่ต้องเรียกลุงว่าท่งว่าท่านอีกล่ะ เรียกว่าลุงอย่างเดียวก็ได้”

“ขอบคุณครับ แต่จะดีหรือครับ เดี๋ยวใครได้ยิน จะหาว่าผมไม่รู้จักที่ที่ต่ำที่สูง และเป็นการเสียมารยาทด้วยครับ”

“เอ่อ... เข้าใจพูด... ถ้าอย่างนั้นก็แล้วแต่เธอแล้วกัน”

“ครับลุงผู้กำกับ” ผู้กำกับโกวิทยิ้มน้อยๆอีกครั้ง

“เออๆ... อย่างนั้นก็ได้” กาญยิ้มน้อยๆตอบกลับไปอย่างเสียไม่ได้

“งั้นผมลาเลยนะครับ” พูดจบกาญกับเรก็ยกมือขึ้นไหว้ และเป็นจังหวะที่ผู้กำกับโกวิทหันไปเห็นสร้อยพระที่กาญแขวนคอไว้พอดี

“เดี๋ยวกาญ!” ผู้กำกับโกวิทร้องทักก่อนที่กาญจะหันหลังจากไป

“มีอะไรหรือครับ” ผู้กำกับโกวิทเพ่งมองดูที่สร้อยพระของกาญอย่างพินิจพิเคราะห์

“พระที่เธอแขวนได้มาจากไหนหรือ” กาญก้มดูพระตัวเองก่อนจะพูดออกมา

“อ๋อ... พ่อผมให้ใส่ไว้ตั้งแต่เล็กๆแล้วครับไม่ทราบเหมือนกันว่าพระอะไร” ผู้กำกับโกวิท ยื่นมือจับพระที่ใส่กรอบสแตนเลสไว้พลิกดูสักพัก

“พระเนื้อดินนี่สวยเสียด้วย... คงเป็นองค์นี้กระมังที่ทำให้ลูกปืนสองลูกนั่นด้าน” ผู้กำกับโกวิทพูดไปก็พินิจพิเคราะห์ไป

“ลุงผู้กำกับเป็นเซียนพระหรือครับ”

“ซงเซียนที่ไหนกัน ลุงก็แค่พอรู้น่ะ... อาชีพตำรวจมันก็ต้องแสวงหาของดีมาคุ้มตัวกันบ้างนะ ก็เลยพอจะรู้ว่าพระอะไร”

“แล้วองค์นี้เป็นพระอะไรหรือครับ”กาญถามเรียบๆ

“ลุงว่าองค์นี้น่าจะเป็น พระผงสุพรรณ นะ”

“พระผงสุพรรณ…” กาญอุทานออกมาเบาๆ

“น่าจะใช่ ดูจากพิมพ์ทรง และคราบกรุ บนองค์พระนี่” ผู้กำกับโกวิทยังคงพิจารณาพระที่ห้อยคอกาญอยู่

“ชอบหรือครับ” กาญถามออกไป

“ชอบสิพระอย่างนี้... คนเล่นพระเครื่องเจอแบบนี้ไม่มีใครไม่ชอบหรอก” ผู้กำกับโกวิทพูดจบกาญทำท่าจะถอดสร้อยคอออกจากคอ พอดีกันกับที่ผู้กำกับโกวิททักขึ้นเสียก่อน

“จะทำอะไรน่ะ”

“ก็เห็นลุงผู้กำกับบอกว่าชอบ” กาญตอบหน้าซื่อๆ

“ลุงชอบแต่ไม่ได้หมายความว่าอยากจะได้ของเธอนะ... และก็ไม่ต้องบอกว่าจะให้ลุงด้วย ลุงมีของดีอยู่เยอะแล้วเธอเก็บเอาไว้เถิด... บางทีอาจจะช่วยเธอได้อีกยามคับขันเหมือนที่ผ่านมาไง... บางคนอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ถ้าถามลุง ลุงคิดว่าเป็นเพราะพุทธคุณในองค์พระองค์นี้แน่ๆ... และอีกอย่างมันเป็นสมบัติของพ่อเธอที่ทิ้งไว้ให้ด้วยนี่จะให้คนอื่นง่ายๆได้อย่างไร” ผู้กำกับโกวิทพูดจบกาญจึงเก็บสร้อยคอไว้อย่างเดิม

“รักษาไว้ให้ดีนะกาญ... เธอมีของดีอยู่กับตัวแล้ว” ผู้กำกับโกวิทพูดจบก็ตบไหล่กาญเบาๆอีกครั้ง

“ครับ... ถ้าอย่างนั้นผมลาเลยนะครับ” กาญถือโอกาสลาผู้กำกับโกวิทและเดินออกจากโรงพักทันที ระหว่างทางนั้น กาญอดคิดเรื่องที่ผู้กำกับโกวิทพูดไม่ได้เขาเองไม่ได้ให้ความสนใจกับพระที่ตัวเองคล้องอยู่สักเท่าไหร่ รู้แต่ว่าพ่อของเขาเอามาใส่คอไว้ตั้งแต่ยังเด็กๆ แต่พอผู้กำกับโกวิทพูดทักขึ้นมา กาญเริ่มจะรู้สึกสนใจในพระเครื่องที่คอตนเองเสียแล้ว แต่ถึงอย่างไรในตอนนี้ก็ไม่มีอะไรที่จะสำคัญไปกว่าหาเงินมารักษาแม่ของเขา และเขาจะทำอย่างไรถึงจะล้างมลทินให้พ่อของเขาได้ ในระหว่างที่กาญกำลังเดินไปคิดไปอยู่นั้นเสียงของเรก็ดังขึ้น

“เฮ้ย! กาญนี่นายลืมว่าเรามาด้วยหรือเปล่าวะ” เรเดินมาจับไหล่กาญ กาญหยุดกึกก่อนจะหันไปหาเขา

“อ้าว! ขอโทษ... เรามัวแต่คิดโน่นคิดนี่อยู่นะ”

“อื้อหือ! พูดเล่นๆมันดันลืมจริงๆ” เรทำท่างอน

“เฮ้ย! เราขอโทษจริงๆ... ลืมไปเลยว่านายมาด้วย”

“ดูยังจะมาย้ำอีก... เห็นเราเป็นสัมพเวสีหรือไงวะ”

“ไม่ใช่อย่างนั้น... เห็นนายเป็นเจ้ากรรมนายเวรต่างหาก” กาญเปลี่ยนอารมณ์มาหยอกเพื่อนบ้าง

“เออ...เอาเข้าไปหลวงตาเห็นเราเป็นเปรตส่วนเพื่อนเห็นเป็นเจ้ากรรมนายเวร...ชีวิตไอ้เรมันชั่งแสนอาภัพนัก” เรก้มหน้าทำหน้าเซ็งๆ

“ฮึ้ย! พูดเล่นน่า แต่อย่างน้อยเราก็ไม่ทำให้หัวนายปูดนะ” กาญจับไหล่เพื่อนและยิ้มออกมาเชิงปลอบใจ

“เอาอย่างนั้นก็ได้... เห็นนายพูดเล่นได้บ้างเราก็ดีใจแล้ว” เรพูดจบก็ยิ้มออกมาน้อยๆ ในขณะที่กาญถอนหายใจสั้นๆ ถึงเขาพยายามจะหยอกเพื่อนบ้างแต่สีหน้าและแววตายังไม่สามารถสลัดความทุกข์ออกไปได้หมดซึ่งเรเองก็รู้ดี

“เออ... ว่าแต่นายหิวหรือยัง” กาญถามเพื่อนทันที

“ยังไม่หิวหรอกมั้ง ตั้งแต่กินข้าวที่วัดก็มีแค่น้ำสองแก้วที่ตกถึงท้อง นี่มันก็จะมืดแล้วนะ...ตอนนี้ควายทั้งตัวก็กินหมดไม่เหลือแน่ๆ... ไม่มีแรงเดินแล้วเนี่ย” เรพูดจบก็ห่อไหล่ทำท่าหมดแรง

“เรานึกว่านายฉันมื้อเดียวอย่างหลวงตาเสียอีก ไปหาอะไรกินกันก่อน” กาญพูดจบก็เดินนำหน้าเรเข้าร้านอาหารตามสั่งข้างทางนั่นเอง

 

……………………………………………………………..

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา