ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)

9.4

เขียนโดย PingJa

วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.

  152 ตอน
  11 วิจารณ์
  127.88K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

83)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

 

================================================

 

 

 

      " เรียบร้อยแล้วสินะเจ้าคะ ท่านพ่อ "  ในที่สุด อนาสตาเซียที่เวลานี้นั่งชักม้าวนไปวนมาอย่างกระวนกระวายอยู่ที่ประตูทางเข้าหน้าพระตำหนักใหญ่ร้องถามขึ้นเมื่อเห็นท่านผู้เฒ่าผู้เป็นหัวหน้าหมู่บ้านยุคันตวาตและพ่อบุญธรรมของเธอเดินหน้าบอกบุญไม่รับออกมา...โดยที่เวลานี้ท่านผู้เฒ่าเปลี่ยนชุดใหม่ยกเครื่องเป็นชุดทหารมหาดเล็กสีดำอันเป็นชุดประจำหน่วยคเณศร์เสียงาของไกร และถือดาบฟ้าฟื้นอันเป็นดาบประจำกายไว้อีกด้านหนึ่ง ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าถอนหายใจเฮือกและตอบกลับมาห้วนๆว่า

 

      " อืม "

 

      " เสียเวลาไปเกือบ ๓ นาที...เพราะเรื่องไม่เข้าเรื่องแท้ๆ "  อเทตยาที่อยู่บนหลังม้าอีกตัวบ่นออกมาเบาๆในขณะที่มือยังคงง่วนนับลูกธนูยาวสีดำอันเป็นลูกธนูประจำกายของเธอที่ไปตระเวนเก็บกลับมาได้ประมาณ ๑ ใน ๔ ของจำนวนเต็มที่เธอเตรียมไว้ก่อนหน้าพร้อมกับทำหน้ากังวลเล็กน้อย เพราะอาจจะต้องเจอศึกหนักที่พระที่นั่งท้ายสระอีก...ในขณะที่อนาสตาเซียหันไปมองอย่างขวางๆเล็กน้อย ก่อนที่จะถอนหายใจเฮือกอย่างไม่อยากจะเอาความอะไร...เธอหันกลับมาหาท่านผู้เฒ่าก่อนจะเลิกคิ้วเล็กน้อยและพูดเบาๆว่า

 

      " อ...เอ่อ...ท่านพ่อเจ้าคะ ปากๆ "

 

        ท่านผู้เฒ่าที่กำลังเดินเข้ามาขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่เสี้ยววินาทีต่อมาเขาก็เข้าใจสิ่งที่ลูกสาวบุญธรรมพูดและรีบใช้ท่อนแขนลบชาดแดงที่แต้มปากของตัวเองทันที ก่อนจะกระแอมไอเพื่อเรียกความน่าเชื่อถือและพูดเรียบๆอีกครั้งว่า

 

      " เอาล่ะ ข้าขอโทษที่ทำให้เสียเวลาและข้าก็ยอมรับผิดเรื่องนี้...เอาเถอะ เตรียมตัวออกม้าได้แล้ว พวกเราจะไปสมทบกับไกรกัน... "

 

        วูบ!!

 

        ในขณะที่ท่านผู้เฒ่ากำลังผูกร่างของจมื่นศรีสรรักษ์ที่ยังไม่ได้สติไว้กับหลังม้า และเตรียมจะกระโดดขึ้นม้า...กระแสของพลังอันน่าขนลุกบางอย่างที่ลอยมากับสายลมที่คล้ายกับ ลมเพลมพัด ที่ผ่านมาทำให้ทั้ง ๓ คนที่มีจิตสัมผัสแหลมคมกว่าคนทั่วไปถึงกับต้องหันขวับไปมองทิศที่ต้นตอของ ลมเพลมพัด อันน่าขนลุกนี้ พร้อมกับต้องรั้งบังเหียนม้าไว้อย่างแรงเพื่อกันม้าตื่นเตลิดทันที

 

      " จ...จิตอะไรกัน?!...นี่มันเกินกว่าจิตของมนุษย์แล้ว! "  แม้แต่อนาสตาเซียที่ว่าเป็นมือสังหารอันดับหนึ่ง ผ่านสมรภูมิหนักๆมาแล้วนับไม่ถ้วน ยังถึงกับต้องครางออกมาเบาๆ ...ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าที่มีดาบฟ้าฟื้นคุ้มกายอยู่ก็ยังต้องขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างผิดสังเกตทันที

 

      " ทิศทางนั้นมัน...พระที่นั่งท้ายสระ? "

 

        ส่วนอเทตยาผู้มีจิตสัมผัสดีที่สุดในทั้ง ๓ คนเพราะมีประสาทรับรู้ที่ถูกขัดเกลามาจากการเป็นสายจู่โจมระยะไกล และเป็นผู้ที่ในอดีตเคยร่วมงานกับเหล่าบรรลัยกัลป์ดีก็ถึงกับเบิกตากว้างพร้อมกับครางออกมาอย่างตะกุกตะกักทันที

 

      " จ...จิตนี้?! ตัวหัวหน้าของพวกมันนี่! "

 

      " หัวหน้า?...หรือว่า เจ้าพระยาราชมนตรีน่ะหรือ? "

 

      " ไม่ใช่! "

 

      " ห...หา? "

 

      " จิตนี่ไม่ใช่จิตของมัน...ไม่สิ...ต้องพูดว่าสวะอย่างมันต่อให้เบ่งพลังจนกระอักเลือดตายก็สร้างจิตคุกคามระดับนี้ไม่ได้หรอก...นี่เป็นจิตของสตรีผู้ที่มันเรียกว่า ท่านหญิง...ท่านหญิงที่เกือบจะสังหารคนของท่านที่ชื่อสิงห์นั่นไปแล้วเมื่อเครานั้นอย่างไรล่ะ! "

 

 

 

 

 

...............................................

 

 

 

 

 

     ...พระที่นั่งบรรยงก์รัตนาสน์ (พระที่นั่งท้ายสระ) ในเวลาเดียวกันนั้นเอง...

 

      " ท่านไกร! สิน! ถอยออกมา!! "  

 

        ท่านเรือง หรือ(อดีต)ออกญาเพชรบุรีเป็นคนแรกที่ไหวตัวหลุดออกจากสภาพตกตะลึง จอมขมังเวทย์ตวาดลั่นพร้อมกับใช้ฝ่ามือกว้างที่แฝงพลังบางอย่าง ตบเข้าที่หลังคอของทั้งไกรและสิน ปลุกทั้งสองคนที่ตกอยู่ในสภาพชาดิกจนขยับตัวไม่ได้จากมนต์สะกดบางอย่างที่แผ่มาพร้อมเสียงหวานใสนั้นให้คลายออก ก่อนจะกระชากลูกประคำสีดำสนิทที่ถูกเก็บซ่อนไว้ในกระเป๋าลับด้านหลัง จนหลุดออกและตวาดลั่นอีกครั้งทันที

 

      " กำแพงแก้ว! "

 

        หลังจากถูกกระชากออก แทนที่จะร่วงกราวลงไปกับพื้น ลูกประคำจากสร้อยเส่นเล็กๆที่ถูกกระชากขาดออกนั้นกลับค่อยๆลอยขึ้นพร้อมกับหมุนคว้างอย่างรวดเร็วเป็นวงกลมด้านหน้าพวกเขาทั้งสามอย่างเหลือเชื่อ ราวกับกำลังปกป้องพวกเขาไว้ทันที

 

        เพล้ง!

 

        เพียงเสี้ยววินาทีต่อมาเท่านั้นลูกประคำที่หมุนคว้างอยู่นั้นก็ลั่นเปรี๊ยะพร้อมๆกับที่อากาศบริเวณนั้นร้าวอย่างน่ากลัวราวกับกระจกบานใหญ่ที่มองไม่เห็น ป้องกันเขาไว้จากปิ่นปักผม และของมีคมกระจุกกระจิกเล็กๆที่พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วและความแรงราวกับกระสุนปืน ที่พุ่งมาจากกลุ่มของเหล่านางสนมเหล่านั้นไว้ได้อย่างทันท่วงที...ทว่าถึงแม้จะกันได้อย่างฉิวเฉียด แต่สีหน้าของท่านเรืองกลับไม่ได้มีท่าทีภูมิใจหรือโล่งใจเลยแม้แต่น้อย...ตรงกันข้าม สีหน้าของพระยาเพชรบุรีผู้นี้กลับฉายแววหวาดหวั่นอย่างเห็นได้ชัดเจนเลยทีเดียว!

 

      " ข...ขอบคุณมาก ท่านเรือง "

 

      " ก...แกร่ง...พลังไสยเวทย์นี่มัน...แก่กล้าเกินกว่าจะถูกใช้โดยมนุษย์ด้วยซ้ำ! "

 

      " ว...ว่าอย่างไรนะ? "

 

        ครืนนนน!

 

      " หืม? เก่งนี่...นึกว่าจะจบลงแล้วซะอีก...เก่งพอตัวเลยนะ ผิดเสียตรงที่ท่านในเวลานี้เลือกที่จะยืนผิดฝั่งเสียแล้ว "  ผู้ที่พูดคือหญิงสาวที่เลยวัยสาวสะพรั่งมาแล้วเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่ได้ย่างเข้าสู่เริ่มต้นวัยกลางคนอย่างสมเด็จพระพี่นาง ที่อยู่ในชุดสไบอันปราณีตงดงาม ประดับประดาด้วยเครื่องประดับอันงดงามสมเป็นจอมจอมมารดาผู้เป็นภรรยาเจ้าในสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์...พร้อมๆกับที่หญิงสาวอีกคนหนึ่งที่พินิจจากหน้าตาแล้วอ่อนวัยกว่าเล็กน้อย แต่ทรงไว้ซึ่งความสวยงามน่ามองพอกันจะเดินตามมาอย่างช้าๆ โดยไม่สนเหล่านางสนมคนอื่นๆที่นั่งตัวสั่นงันงกรวมกลุ่มกระจุกกันอยู่เลยแม้แต่น้อย...

 

      " คิกๆ นั่นสินะ "

 

      " จ...เจ้าจอมเพ็ง...เจ้าจอมแมน?! "  

 

      " เพคะ...หม่อมฉันทั้งสองเอง... "

 

        วูบ!

 

        สิ้นคำพูดของเจ้าจอมแมนผู้น้อง เศษแก้วและเศษกระเบื้องจากผนังพระที่นั่งที่แตกออกจากการต่อสู้ตะลุมบอนกันระหว่างไกรและเจ้าพระยาราชมนตรีฯ ก็ถูกพลังอันไร้รูปลักษณ์และแปลกประหลาดบางอย่างดึงขึ้นและพุ่งยิงเข้าใส่ราวกับห่ากระสุน หมายพระชนม์ชีพของพระเจ้าอุทุมพร พระอัครมเหสีกรมขุนวิมลพัตร และสมเด็จพระพี่นางพินทวดีโดยทันที!

 

        เคร้ง!

 

        โชคยังดีที่ทั้ง ๓ พระองค์ยังคงอยู่ภายใต้การถวายการอารักขาของกุมารีอันมีฤทธิ์แก่กล้าทั้งสอง ที่ยกมือพร้อมกำไลเรืองแสงขึ้น สร้างม่านพลังสีขุ่นๆ ป้องกันเศษ กระสุน อันแหลมคมนั้นได้อย่างหมดจด จนกระทั่งเจ้าจอมผู้เป็นพี่สาวต้องมุ่นคิ้วบนใบหน้าอันงดงามนั้นลงเล็กน้อยทันที

 

      " หืม? กุมารี...ผู้แหกกฏ...อย่างนั้นหรือ? ...ชิ...ช่างเป็น ก้าง ที่น่ารำคาญเสียจริงนะ "

 

      " เวรเอ้ย! "

 

        ไกรที่เวลานี้กลับคืนสติอีกครั้งสบถสาบานลั่นพร้อมกับตวัดดาบสดายุและสัมพาทีในมือเพื่อเตรียมพุ่งเข้าใส่เจ้าจอมทั้งสองผู้ที่ยืนอยู่อย่างไร้การป้องกัน ราวกับเป็น เป้าหมาย ชั้นดีตรงหน้า...แต่เขาก็ต้องชะงักกึกเพราะการยกมือห้ามอันเป็นสัญลักษณ์สากลของทุกยุคทุกสมัยไว้ พร้อมกับที่ท่านเรืองจะกัดฟันกระซิบเรียบๆทันที

 

      " อย่า! ท่านไกร สิน "

 

      " ท่านเรือง? "

 

      " ตั้งแต่ข้าเดินทางสายนี้มา ข้าไม่เคยพบกับการโจมตีอันไร้นรูปลักษณ์เช่นนี้เลย...ราวกับว่ามันเสกการโจมตีจากอากาศธาตุอยย่างไรอย่างนั้น...แต่ที่แน่นอนเลยก็คือ...มันเป็นด้านไสยเวทย์แน่นอน...สายไสยเวทย์ที่สายนักดาบอย่างพวกท่านแพ้ทางอย่างที่ที่สุด! "

 

      " แต่ว่า...ท่านก็เห็นแล้ว--- "

 

      " ขอเวลา...สักอึดใจเดียวขอรับ...ขอแค่อึดใจเดียว ช่วงถ่วงเวลาไว้โดยไม่ปะทะกันสักครู่ แล้วข้าจะเปิดโปงกลของเจ้าจอมทั้งสองเอง! "

 

        โดยที่มีทางเลือกไม่มากนัก...ไกรได้แต่พยักหน้าน้อยๆพร้อมกับเก็บดาบสัมพาทีเข้าสู่ดาบสดายุอย่างช้าๆ ก่อนจะพยักหน้าให้กับสินเหมือนเป็นเชิงให้อีกฝ่ายถอยกลับไปถวายการอารักขาสมเด็จทั้ง ๓ พระองค์ร่วมกับเหล่ากุมารีไว้  พร้อมๆกับที่ไกรสูดลมหายใจลึกและเดินล้ำออกมาด้านหน้าอย่างมั่นคงเพื่อเผชิญหน้ากับทั้งสองเจ้าจอมผู้เวลานี้พึ่งเปิดเผยตัวตนว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มบรรลัยกัลป์ (และอาจจะเป็นบุคคลระดับสูงแห่งกลุ่มมือสังหารเถื่อนนี้ด้วยซ้ำ) และพูดออกมาเรียบๆทันที

 

      " ท่านเจ้าจอมเพ็ง...ท่านเจ้าจอมแมน... "

 

      " หืม? มีอะไรอย่างนั้นหรือ? ท่านเจ้าพระยาฯ "  เจ้าจอมเพ็งผู้พี่ยิ้มออกมาจนเห็นไรฟัน พร้อมกับตอบรับด้วยน้ำเสียงหวานใส ทว่ากลับสร้างแรงกดดันอย่างประหลาดมาที่ชายหนุ่มอย่างน่ากลัวที่สุดเลยทีเดียว...

 

     ...นี่อาจจะเป็นครั้งแรกด้วยซ้ำ...ที่ไกรรู้สึกว่าเขาอยากจะกลับหลังหัน และวิ่งไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้เลยทีเดียว!...

 

      ' แรงกดดันนี่มัน...บ้า...อะไรกันเนี่ย?! ...ขนาดเราเองมีดาบช่วยต้านทานแล้วนะ...สองคนนี้แฝงตัวมาตลอดได้โดยที่ท่านผู้เฒ่าหรือคนอื่นๆไม่เคยรู้มาก่อนเลยได้ไงกัน?! '  ไกรคิดในใจโดยพยายามรักษาท่าทีอย่างที่สุด ก่อนจะพูดต่อเรียบๆทันที

 

      " ท่าน...เอ่อ...พระองค์--- "

 

      " คิกๆ ไม่ต้องใช้ราชาศัพท์หรอก ท่านเจ้าพระยา...ถึงจะเป็นเจ้าจอมแต่เราสองก็ยังเป็นสามัญชน หาได้เป็นเชื้อพระวงศ์ที่ต้องใช้ราชาศัพท์แต่อย่างใด "  จอมจอมเพ็งและเจ้าจอมแมนหันไปมองหน้ากัน ก่อนที่เจ้าจอมแมนผู้น้องจะพูดพลางยิ้มยิงฟันเบาๆอย่างน่ารักที่สุด...ทั้งสองคนอาจจะเป็นสตรีที่สวยงามที่สุดเท่าที่ไกรเคยพบเจอมาตั้งแต่ถูกส่งย้อนอดีตกลับมา...หรืออาจจะตลอดชีวิตของไกรเลยด้วยซ้ำ...ทว่าภายใต้ความสวยงามนั้น ไกรกลับค้นไม่พบความน่าอิงแอบแนบชิดเลยแม้แต่น้อย...

 

     ...ราวกับเขากำลังจ้องตาอยู่กับแมงมุมพิษอันมีลวดลายสวยงามไร้ที่ติ ทว่ารู้อยู่เต็มอกว่าภายใต้ลวดลายอันสวยงามนั้นเต็มไปด้วยพิษร้ายยังไงยังงั้น!...

 

      " จากพลังนี่...มันพิสูจน์ได้เป็นอย่างดี...ท่านเป็นหนึ่งในกลุ่มบรรลัยกัลป์ ที่สหายของข้าเข้าปะทะ...เข้าขัดขวางก่อนที่ท่านจะสังหารอเทตยาสินะขอรับ...และถ้ากระผม---ข้าเดาไม่ผิด...ท่านคือคนที่สร้างการจู่โจมของใบไม้อันแหลมคมนั่น ที่เกือบจะเสียบร่างสหายข้าไปสินะ "

 

      " ประเดี๋ยวก่อน...อเทตยา? " 

 

      " ข้าหมายถึงมือฉมังธนูที่เคยทำงานกับท่าน...และเกือบจะถูกพวกท่านสังหารทิ้งเมื่อหมดประโยชน์แล้วอย่างไรล่ะขอรับ "

 

      " อ้อ...คิกๆ ...นางบอกท่านว่านางมีนามว่าอเทตยาเช่นนั้นหรือ? ...ช่างเป็นเด็กซนเสียจริง...คนฉลาดอย่างท่านก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจว่านั่นไม่ใช่นามจริงของนาง...เห็นตามติดต้อยๆเช่นนั้นแต่นางก็ยังไม่ยอมเปิดเผยความจริงอีกหรือนี่? "

 

      " ข้าไม่สนเรื่องนั้น "

 

      " เห็นแก่หน้าท่าน...เราจะบอกความจริง...ความจริงอันดำมืดของนางให้เอาไหม? "

 

      " ข้าก็บอกไปแล้วว่าข้าไม่สนเรื่องนั้น...อดีตของนางได้ตายไปพร้อมกับนามที่แท้จริงของนางไปแล้ว...นางคืออเทตยา ผู้เป็นสหายของข้า นั่นคือสิ่งที่ข้ารู้ และข้าพอใจที่มันเป็นเช่นนั้นแล้ว "

 

      " หืม? แหมๆ ช่างเป็นบุรุษที่ใจกว้างยิ่งนักนะ...มิน่าเล่า...แม้แต่พ่ออยู่หัวเอกทัศน์ก็ยังทรงนิยมชมชอบ... "

 

        เคร้ง! เคร้ง!!

 

        ดาบสดายุเพียงเล่มเดียวที่อยู่ในมือถูกตวัดขึ้นป้องกันเศษกระเบื้องอันแหลมคม ๒-๓ ชิ้นที่พุ่งเข้าใส่ราวกับกระสุนปืนไว้ได้อย่างทันท่วงที ก่อนที่เขาจะหันขวับไปมองด้านที่ กระสุน เล็กๆนั่นพุ่งเข้ามา เพราะเขาจับจิตสังหารบางๆจากต้นตอที่พุ่งมาได้ แต่เมื่อเขามองย้อนไปกลับไม่มีอะไรนอกจากเศษปรักหักพังจากการตะลุมบอนและความว่างเปล่า นั่นทำให้เขายิ่งขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจทันที

 

      " เอาเถอะ...อย่างน้อยพวกนี้ก็พิสูจน์ให้ข้าข้ารู้แล้วว่าท่านทั้งสองเป็นคนของกลุ่มบรรลัยกัลป์...และท่านคือหัวหน้า... " 

 

      " อันที่จริงเราค่อนข้างจะประหลาดใจด้วยซ้ำที่พวกเจ้ารู้ตัวได้ช้าถึงขนาดนี้... "

 

      " จริงอย่างที่มันว่า "  สมเด็จพระพี่นางพินทวดีกัดทนต์ตรัสกระซิบออกมาเรียบๆอย่างเจ็บพระทัย   " ...เจ้าจอมเพ็งและเจ้าจอมแมนเป็นน้องสาวของเจ้าพระยาราชมนตรีฯและจมื่นศรีสรรักษ์...พ่ออยู่หัวมีราชโองการแต่งตั้งให้ไอ้ปิ่นที่นอนไม่ได้สติอยู่ตรงนั้นให้ขึ้นเป็นเจ้าพระยาก็เพราะความสเน่หาในตัวของสองเจ้าจอมนี่แหละ!...ข้าพลาดไปจริงๆ...ลืมเลือนเรื่องที่สำคัญที่สุดเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?! "

 

       วูบ!

 

       กุมารีนามว่าลูกแก้วและลูกขวัญที่ยืนล้ำอยู่ด้านหน้าเพื่อถวายการอักรักขาตามคำสั่งของท่านเรืองผู้เป็นนายยกมือขึ้นสร้างม่านพลังป้องกันเศษหินที่พุ่งเข้าใส่หมายองค์สมเด็จพระพี่นางอีกครั้ง ในขณะที่เมื่อไกรหันกลับไปก็ยิ่งขมวดคิ้วเข้าไปใหญ่ เพราะคราวนี้เขาก็สามารถจับจิตสังหารบางๆได้อีกแล้ว ทว่ามาจากทิศทางที่ต่างจากเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง นั่นยิ่งทำให้เขาเกิดความสับสนขึ้นไปอีก

 

      " จ...เจ้า...เจ้าเป็นบ้าใบ้ไปแล้วอย่างนั้นหรือ?! เจ้าจอมเพ็ง เจ้าจอมแมน! ...เจ้าเป็นถึงภรรยาเจ้า เป็นที่รักของพ่ออยู่หัวเอกทัศน์ ทั้งยังเป็นถึงเจ้าจอมมารดา มีพระประสูติกาลพระองค์เจ้าประเวศกุมาร และพระองค์เจ้าสุทัศน์ราชบุตร เป็นถึงว่าที่พระเจ้าแผ่นดินองค์ต่อไป...เหตุใดเจ้าถึงก่อการกบฏอันสิ้นคิดเช่นนี้กัน? "  พระเจ้าอุทุมพรที่ประทับยืนอยู่อย่างพยายามต่อต้านจิตคุกคามอันน่าขนลุกของเจ้าจอมทั้งสองถึงกับต้องตรัสตวาดออกมาอย่างงงงวยและไม่เข้าพระทัย แต่คำถามอันประสงค์คำตอบที่แท้จริงของพระองค์กลับไม่ต่างอะไรจากน้ำมันที่เอาไปราดบนกองไฟเลยแม้แต่น้อย เพราะจากใบหน้าอันยิ้มแย้มสวยงามของเจ้าจอมมารดาทั้งสอง กลับแปรเปลี่ยนกลายเป็นใบหน้าอันดุร้ายพร้อมกับที่เจ้าจอมผู้น้องชี้นิ้วมาที่องค์พระเจ้าอุทุมพรและกล่าวบริภาษอย่างรุนแรงทันที!

 

      " เป็นที่รักอย่างนั้นหรือ?! มีราชบุตรอันจะขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์ต่อไปอย่างนั้นหรือ?! ...อย่ามาตรัสให้หม่อมฉันขำเสียดีกว่าน่า!!...พระองค์ก็ทรงรู้อยู่แก่พระทัยดีว่ามันไม่จริงเลยแม้แต่น้อย! "

 

      " ว...ว่าอย่างไรนะ? "

 

      " ...หึ! คิดว่าตลอดเวลาที่ข้าแฝงตัวอยู่ในฐานะเจ้าจอม...ตั้งแต่เมื่อคราวที่พ่ออยู่หัวยังทรงดำรงยศเป็นกรมขุนอนุรักษ์มนตรี หม่อมฉันไม่มีช่องจังหวะในการลงมือปลงพระชนม์พ่ออยู่หัวอย่างนั้นหรือ? ...แต่หม่อมฉันทั้งสองเฝ้ารอคอยอย่างใจเย็น...เพราะความรักที่พระองค์ว่านี่แหละที่ทำให้หม่อมฉันทั้งสองไม่อยากจะลงมือ โดยเห็นว่าคนที่เป็นโรคเรื้อนคงจะอยู่ได้ไม่นาน...เมื่อสิ้นพ่ออยู่หัว องค์ชายแห่งหม่อมฉัน หรือองค์ชายแห่งเจ้าจอมแมนก็จะขึ้นครองบัลลังก์อันเป็นการสืบทอดอำนาจมาสู่มือของกลุ่มบรรลัยกัลป์ของหม่อมฉันได้โดยสันติวิธีและไม่มีการเสียเลือดเสียเนื้ออันไม่จำเป็นใดๆ...แต่จนแล้วจนรอด...นับจากวันเป็นเดือน จากเดือนเลื่อนเป็นปี...พ่ออยู่หัวก็ยังทรงทำนิ่งเฉย ไม่ยอมมีราชโองการแต่งตั้งผู้ใด...ไม่ว่าจะเป็นเจ้าชายประเวศกุมาร หรือเจ้าชายสุทัศน์ ขึ้นเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลวังหน้า (พระมหาอุปราช) เลยแม้แต่น้อย...ทั้งๆที่เจ้าชายทั้งสองพระองค์ก็เติบใหญ่เจริญวัยจนมีพระชนม์ถึงเหมาะสมแล้วแท้ๆ...ซึ่งผิดราชประเพณีที่สืบต่อมาแต่เดิม "

 

      " เจ้า! เจ้าพูดจาเห็นแก่ได้เกินไปแล้ว! พ่ออยู่หัวทรงมีเหตุผลของพระองค์...หาได้เป็นเรื่องที่เจ้าต้องมาคิดเองเออเองเช่นนี้ไม่! "  สมเด็จพระพี่นางพินทวดีตรัสตวาดแก้ต่างแทนพระเจ้าเอกทัศน์ด้วยพระสุรเสียงดังลั่น แต่เจ้าจอมมารดาเพ็งก็ตวาดกลับมาด้วยเสียงอันดังไม่แพ้กันว่า

 

      " ใช่สิ! ...หลังจากที่การเสด็จนิวัติกลับสู่พระนครของพระองค์...ขุนหลวงหาวัด! การมีราชโองการแต่งตั้งพระองค์ขึ้นเป็นจอมทัพและเป็นประหนึ่งพระเจ้าแผ่นดินองค์ที่สองก็ทำให้หม่อมฉันก็ได้ตาสว่าง รู้แล้วว่าพ่ออยู่หัวไม่ได้คิดจะมอบบัลลังก์แห่งราชอาณาจักรอโยธยานี้ให้แก่ผู้ใดอีกแล้ว...เว้นแต่ท่านผู้เป็นอนุชาที่รัก พระเจ้าอุทุมพร!...เพราะท่านนั่นแหละ ที่บีบให้พวกหม่อมฉันต้องลงมือ!! " 

 

        ระหว่างที่เจ้าจอมทั้งสองยังคงพูดบริภาษด้วยอารมณ์อันคุกรุ่นอยู่ภายในจิตใจ การดึงเช็งถ่วงเวลาของไกรที่ท่านเรืองขอร้องไว้ก็เห็นผลแล้ว เพราะท่านเรืองที่ก้มลงแอบขีดเขียนอะไรบางอย่างอยู่ที่ด้านหลังไกรก็ค่อยๆลุกขึ้นมา ก่อนจะตบมือจนเกิดเสียงดังกังวานไปทั่วพร้อมกับตวาดดังลั่นจนทุกคนที่อยู่ภายในถึงกับต้องชะงักไปทันที

 

      " โลกลวงเอ๋ยจงมลายสิ้น! เปิดเผยตัวตนอันน่ารังเกียจของพวกเจ้าออกมา!! "

 

        วูบ!!

 

        ทันทีที่สิ้นสุดเสียงตบมืออันดังกังวานนั้น ก็เกิดกระแสลมคล้ายๆกับลมหวนบางๆ กระจายออกจากท่านเรืองไปรอบๆจนกระทั่งทั่วทั้งพระที่นั่งท้ายสระแห่งนี้ พร้อมๆกับการปรากฏขึ้นของไพ่ตายอันเป็นอาวุธของเจ้าจอมทั้งสอง เปิดเผยสิ่งที่ทำให้เศษหินต่างๆพุ่งเข้าโจมตีใส่พวกเขาราวกับกระสุนปืนได้จนเป็นประจักษ์กับตา...แต่ทันทีที่เห็นไพ่ตายเหล่านั้น ในหัวของไกรก็ปรากฏความคิดเล็กๆขึ้นเพียงความคิดเดียว...

 

     ...ถ้ารู้ล่วงหน้า...เขายินดีที่จะสู้กับเจ้าจอมแสนสวยทั้งสองตรงหน้าโดยที่ไม่รู้เลยว่าเจ้าจอมทั้งสองโจมตีเข้าได้อย่างไร...ดีกว่าจะปล่อยให้ท่านเรืองใช้ไสยเวทย์ของเขาเพื่อเปิดเผยความลับของทั้งสองคนนี้แน่ๆ...

 

     ...เพราะเมื่อสิ้นคำว่า เปิดเผยตัวตนอันน่ารังเกียจของเจ้าออกมา ของท่านเรือง...รอบๆตัวของพวกเขา ก็ปรากฏเหล่าอสุภอันตายซากและน่าหวาดสยองเกือบครึ่งร้อยตน ที่มีลักษณะแตกต่างกันออกไป ไล่ตั้งแต่ร่างของผีตายซากอันผมเกร็งจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกพร้อมกับเบ้าตาที่กลวงโบ๋ ไปจนถึงร่างของผีตายโหงอันตายผิดธรรมชาติและมีร่างที่เหมือนกับร่างในเวลาที่ตายไม่มีผิดเพี้ยนชนิดที่ครบทั้งเครื่องในสดๆที่ห้อยลงมาจากช่องท้องที่ฉีกขาด หรือกะโหลกสีขาวที่โผล่ออกมาจากหนังหัวที่ขาดวิ่นจนอยู่ในสภาพที่น่าสังเวชที่สุด!

 

      " อุ้ยตาย...ความแตกเสียแล้ว... "

 

      " กรี๊ดดดด!! "  เสียงกรีดร้องของเหล่านางสนมและนางรำที่กอดกันกลมอยู่ตรงมุมพระที่นั่ง ปลุกไกรให้ตื่่นจากอาการตกตะลึงอีกครั้ง พร้อมๆกับที่เขาหันกลับมาหาท่านเรืองผู้น่าจะรู้เรื่องนี้ดีที่สุดพร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือทันทีว่า

 

      " น...นี่มัน?! "

 

      " วิญญาณเถื่อนที่พวกนางเลี้ยงไว้ในลักษณะของโหงพรายและผีรับใช้ขอรับ...ไอ้เศษหินหรือเศษกระจกที่พุ่งเข้าหมายทำร้ายท่านหรือพ่ออยู่หัวก็เป็นฝีมือของพวกมัน ในลักษณะของ ผีจับขว้าง มานั่นแหละ...ถึงข้าจะไม่เคยเห็นผู้ใดสามารถเลี้ยงวิญญาณที่มีความอาถรรพ์อย่างพวกผีตายโหงเหล่านี้ได้มากมายถึงขนาดนี้ก็ตามที "

 

      " บ...บ้าแล้ว! "

 

      " หึๆ...ท่านไกร...ที่ผ่านมาข้าต้องยอมรับจริงๆว่าแผนการทั้งหมดทั้งมวลของท่านทำให้พวกข้าหัวหมุนไปหมด...แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังอันเหนือกว่าโดยสิ้นเชิงเช่นนี้...ดูทีรึว่าท่านจะงัดแผนอะไรมาพลิกสถานการณ์ได้อีก! "

 

 

 

 

..............................................

 

 

 

 

    ...ณ กำแพงสูงที่กั้นระหว่างเขตพระราชฐานชั้นกลางออกจากเขตพระราชฐานชั้นใน...

 

      " ต้านไว้!...พวกมึง!! นี่เป็นคำสั่งของกู! จงต้านพวกมันไว้ให้ได้!! "  เสียงตวาดสั่งการอันดังลั่นของจมื่นเสมอใจราชแห่งเวรสิทธิ์ ผู้เป็นหนึ่งในผู้ร่วมอุดมการณ์แห่งกลุ่มกบฏของเจ้าพระยาราชมนตรีบริรักษ์ ตะโกนขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นขวัญกำลังใจของเหล่าทหารมหาดเล็กภายใต้บังคับบัญชาของเขา ให้ยืนหยัดดันรักษาประตูกำแพงอันสร้างจากไม้ขนาดใหญ่ทาสีแดงสด ลงดาลไว้อย่างแน่นหนา เพื่อป้องกันไม่ให้เหล่าทหารนับเป็นกองทัพที่อยู่ภายนอกฝ่าเข้ามาได้...ในขณะที่ทหารมหาดเล็กที่เหลือต่างก็ขึ้นรักษาเชิงเทินด้านบนกำแพงพร้อมกับยิงหน้าไม้ขนาดเล็กลงไปยังกองทหารในชุดเกราะรบสีดำสนิทเบื้องล่างเพื่อสกัดกั้นไว้...แต่หน้าไม้และลูกดอกขนาดเล็กที่อยู่ในมือของพวกเขานั้นไม่มีอำนาจการสังหารมากพอจะสามารถฝ่าทะลุเกราะอันหนาหนักของของทหารในอาวุธครบมือเบื้องล่างได้เลยแม้แต่น้อย

 

      " ก...กองทหารเหล่านั้นมัน...หน่วยราชสีห์ดำ และ หน่วยคชสีห์ดำ กองทหารไร้เทียมทานภายใต้การนำของออกญาจักรี และออกญามหาเสนา...รวมไปถึงหน่วยทหารล้อมวังหน่วยที่ ๑ ของออกพระเพชรพิไชย...บ...บ้าแล้ว!  กองทหารที่เก่งที่สุดในราชอาณาจักร ๓ กองกลับมาอยู่ที่นี่...ไม่ไหวหรอกขอรับ ท่านจมื่นเสมอใจราช...ไม่ใช่แค่จำนวนที่ต่างกัน แต่แม้แต่ฝีไม้ลายมือเราก็ไม่อาจเทียบกับกองทหาร ๓ กองนี้ได้เลยแม้แต่น้อย!...พ...พวกเรายอมแพ้เถอะ! "  นายทหารมหาดเล็กผู้น่าจะมีบรรดาศักดิ์คนหนึ่งที่ยืนประจำเชิงเทินและเห็นกองทหารที่กำลังจะใช้กำลังฝ่าเข้ามาอย่างชัดเจนถึงกับต้องรีบลงมาพร้อมกับบอกกับจมื่นเสมอใจราชทันที แต่ความหวังดีของเขากลับถูกตอบแทนด้วยคมดาบอันเงาวับ ที่ฟันวูบตัดใบหูของเขาจนขาดสะบั้นด้วยแรงโทสะ จนเขาต้องลงไปนอนดิ้นพราดร้องลั่นอย่างเจ็บปวด ในขณะที่จมื่นเสมอใจราชหน้าแดงก่ำ ตาลุกวาวด้วยเพลิงโทสะพร้อมกับตวาดลั่นทันที

 

      " อ...ไอ้พวกโง่!...ยอมแพ้อย่างนั้นหรือ?! ยอมแพ้ทั้งๆที่พวกเรากำลังจะชนะแล้วนะหรือ!!  อีกเพียงไม่กี่เพลา ทันทีที่ท่านออกญาราชมนตรีและท่านจมื่นศรีสรรักษ์สามารถจัดการทางฝั่งของพวกท่านเสร็จสิ้น พวกเราก็จะเป็นฝ่ายชนะแล้ว! "

 

      " ต...แต่ว่าท่านจมื่น นี่ก็เป็นเวลาเกือบครึ่งชั่วยามแล้ว แต่พกวเราก็ยังไม่ได้รับข่าวคราวจากกลุ่มทหารมหาดเล็กเวรเดชแห่งท่านจมื่นศรีสรรักษ์ หรือทางด้านของออกญาราชมนตรีเลยแม้แต่น้อย!...อีกทั้งเมื่อพินิจจากจำนวนของ ๓ กองทหารที่พยายามฝ่าการป้องกันของพวกเราเข้ามาแล้ว พวกเราคงจะป้องกันได้อีกไม่เกินชั่วเคี้ยวหมากแหลกเท่านั้น! "

 

      " ปืนใหญ่... "

 

      " ท...ท่านจมื่น? "

 

      " กูบอกว่าใช้ปืนใหญ่เสียเลย! หลวงสิทธิ์นายเวร นายจ่ายวด!  เหล่าปืนใหญ่ฝรั่งที่อุดช่องเชิงเทินทั้งหมดล้วนแล้วแต่อยู่ในสภาพพร้อมที่จะยิงอยู่แล้ว พวกเจ้าจัดการบรรจุดินดำและกระสุนและยิงลงไปเลย! "

 

      " ท...ท่านจมื่น! พวกที่อยู่ข้างล่างนั่นล้วนแล้วแต่เป็นคนไทยเช่นเดียวกับพวกเรา หลายๆคคนก็เป็นสหายที่พวกเราเคยพูดคุยเล่นหัวกันมาตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่นนะขอรับ!...คำสั่งของท่านเป็นคำสั่งที่ข้าไม่สามารถ--- "

 

        ฉัวะ! 

 

        ชายวัยกลางคนผู้มีบรรดศักดิ์เป็นนายจ่ายวด หัวหน้าทหารมหาดเล็กผู้มีศักดิ์เป็นรองเพียงจมื่นเสมอใจราชและหลวงสิทธิ์นายเวร และเป็นผู้ที่หาญกล้าคัดค้านคำสั่งของผู้เป็นนาย ถูกผู้เป็นนายของเขาอย่างจมื่นเสมอใจราชแทงพรวดดัวยดาบในมือจนทะลุร่าง สิ้นใจอย่างฉับพลันทันทีโดยไม่ทันได้ร้องซักแอะ...ในขณะที่จมื่นเสมอใจราชผู้เสมือนเลือดเข้าตาไปเสียแล้วกระชากดาบออกจากรางอันไร้วิญญาณของนายจ่ายวดพร้อมกับตวาดดังลั่นและชี้ดาบที่เปื้อนเลือดนี้ไปรอบๆทันทีว่า

 

      " มีพวกมึงตัวไหนคิดจะคัดค้านอีก! คำสั่งของกูถือเป็นประกาศิต หากยังมีใครคิดคัดค้านอีก กูจะกุดหัวมันเอง!! "

 

        คำตวาดของจมื่นผู้ดูเหมือนขาดสติไปเสียแล้วทำให้ทุกคนหันไปมองหน้ากันเองทันที แต่รอบตัวจมื่นเสมอใจราชเองก็ยังคงล้อมรอบไปด้วยเหล่าทหารผู้ภักดีที่ยืนอารักขาอยู่จนไม่สามารถเข้าถึงตัวได้ นั่นทำให้ทุกคนที่เหลือได้แต่มีสภาพน้ำท่วมปาก และจำต้องขึ้นไปบนเชิงเทินและเตรียมปืนใหญ่ที่ตั้งเด่่นอยู่หลายสิบกระบอกให้อยู่ในสภาพเตรียมพร้อมทันที

 

      " ท...ท่านหลวงสิทธิ์! นี่...นี่พวกเราจะใช้ปืนใหญ่ยิงใส่พวกที่อยู่ด้านล่างจริงๆหรือขอรับ?! "

 

      " น...หนวกหูน่า! ใช่ว่าข้าจะอยากทำเช่นนี้ แต่นี่เป็นคำสั่งของท่านจมื่น พวกเราไม่สามารถคัดค้านได้! "

 

      " คำสั่งระยำน่ะสิ! ขืนทำเช่นนี้มีหวังได้หัวขาดกันหมดทั้งนายไพร่แน่! "

 

      " หุบปาก! ถ้าขืนเราไม่ทำ ทานจมื่นก็มีหวังได้ฟันพวกเจ้าหัวขาดเหมือนกันล่ะวะ พวกเราทำอะไรไม่ได้นอกจากทำตามคำสั่งเท่านั้น! ...เอาล่ะ! ส่งคนลงไปบอกท่านจมื่นว่าปืนใหญ่ถูกเตรียมพร้อมแล้ว...รอฟังคำสั่งของท่านจมื่นเท่านั้น! "

 

     ...หลังจากที่มีทหารลงมาบอกท่านจมื่นว่าปืนใหญ่ถูกเตรียมพร้อมแล้ว จมื่นเสมอใจราชก็แสยะยิ้มอย่างบ้าเลือดพร้อมกับชูดาบขึ้น เตรียมตะโกนสั่งยิงทันที!

 

      " สีหนาถปืนใหญ่ทุกกระบอก! ...เตรียมตัว!! "

 

        แต่เสี้ยววินาทีก่อนที่คำสั่ง ยิง! จะหลุดออกมาจากปากของเขา...ดาบเงาวับอันแหลมคมของใครบางคนที่พุ่งเข้ามาจากมุมอับด้านหลังอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบก็พุ่งเสียบทะลุเกราะอ่อนเข้าที่หน้าอก ตัดขั้วหัวใจของเขาไปทันที...ทำให้สิ่งที่ออกมาจากปากมีเพียงลิ่มเลือดสีคล้ำที่กระอักออกมาเป็นลิ่มๆเท่านั้น...ก่อนที่ร่างของจมื่นเสมอใจราชอันใฝ่สูงและบ้าคลั่งไปแล้วผู้นี้จะค่อยๆทรุดลงไป...ในขณะที่วิญญาณอันโสมมของเขาถูกพระยามัจจุราชกวักออกจากร่างไปตั้งแต่ร่างของเขายังไม่ทันร่วงถึงพื้นเลยด้วยซ้ำ!

 

        เสี้ยววินาทีหลังจากทุกคนหายจากการตื่นตะลึงชนิดจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูก...ชายหนุ่มผู้เป็นผู้สังหารจมื่นเสมอใจราช และหยุดคำสั่งนองเลือดอันจะไมอาจแก้ไขอะไรได้ไว้ได้อย่างทันท่วงทีสะบัดกระชากดาบในมือออกจากร่างอันไร้วิญญาณของอดีตผู้เป็นนายของเขา ก่อนที่ใบหน้าหล่อเหลาอันนิ่งสนิทนั้นจะขยับและใช้ดวงตาอันแกร่งกล้าและทรงอำนาจมองไปรอบๆ พร้อมกับตะโกนสั่งการแทนผู้ที่ถูกสังหารไปเรียบๆทันที

 

      " สั่งให้พวกที่ประจำปืนใหญ่เอากระสุนและดินดำออก และยกธงขาวส่งถึงท่านออกญาจักรีและออกญามหาเสนา รวมไปถึงออกพระเพชรพิไชยว่าทหารมหาดเล็กแห่งเวรสิทธิ์ยอมศิโรราบแล้วในทุกๆกรณี...และสั่งให้พวกที่รักษาประตูยกดาลออก และเปิดประตูให้กองทัพด้านนอกเข้ามาเสีย!...อย่าทำการขัดขวางใดๆอีก! "

 

      " จ...เจ้า...เจ้าทำระยำอะไรกันเนี่ย?! "

 

      " ข้าก็กำลังช่วยชีวิตพวกเจ้า และพวกเราทุกคนไว้อย่างไรล่ะ!...หากทำตามคำสั่งอันโง่เง่าของจมื่นเสมอใจราชและยิงสีหนาถปืนใหญ่ พวกเราทั้งหมดก็จะก้าวข้ามผ่านจุดที่ไม่สามารถถอยได้อีกต่อไป...หากเป็นพี่ข้า ท่านก็ต้องทำเช่นนี้เป็นแน่! "

 

      " ต...แต่ว่า...เขาเป็นนายของพวกเรานะ! เจ้าท...ทำเช่นนี้ไม่ได้--- "  นายทหารมหาดเล็กผู้เป็นกลุ่มอารักขาอันภักดีต่อจมื่นเสมอใจราชชักดาบออกมาเพื่อเตรียมจะพุ่งเข้าใส่ชายหนุ่มตรงหน้าเพื่อล้างแค้นให้แก่จมื่นผู้เป็นนาย...แต่พวกเขาก็ต้องชะงักกึกเพราะหลวงสิทธิ์นายเวร ผู้มีอำนาจเป็นรองจมื่นผู้สิ้นชีวิตไปแล้วตวาดหยุดพวกเขาไว้ดังลั่น ก่อนจะตะโกนสั่งการสำทับคำสั่งของชายหนุ่มผู้นั้นทันที

 

      " ทำตามที่เขาบอก!...ประกาศยอมแพ้ นำดินดำและกระสุนออกจากปืนใหญ่...และเปิดประตูเสีย...พวกเรายอมศิโรราบให้แก่ทัพ ๓ กองด้านนอกแล้ว!...นี่เป็นทางเดียวที่จะทำให้พวกเรารอดชีวิตกันไปได้ทั้งหมด...เขากระทำการได้อย่างถูกต้องแล้ว! "

 

      " ท...ท่านหลวงสิทธิ์?! "

 

      " ทำตามที่สั่งเสีย! "

 

        ก่อนที่หลวงสิทธิ์นายเวรผู้นั้นจะค่อยๆก้าวเข้ามายืนตรงหน้าชายหนุ่มผู้หยุดกลียุคที่เกือบจะเกิดขึ้นไว้ได้อย่างฉิวเฉียด ก่อนจะก้มหัวให้เล็กน้อยพร้อมกับยิ้มให้บางๆทันที

 

      " ขอบน้ำใจท่านมากนะ...เพราะท่านแท้ๆ...ท่านรู้หรือไม่ว่าท่านพึ่งได้ช่วยเราทุกคนไว้อย่างทันท่วงทีพอดิบพอดี...ท่านสุจินดา หุ้มแพร! " 

 

 

 

 

 

 ..................................................

 

 

 

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา