ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)
เขียนโดย PingJa
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.
แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
101)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
================================================
...ณ ป้อมปราการใหญ่กลางป่าลึก...ที่พำนักแห่งชุมนุมมือสังหาร...หมู่บานยุคันตวาต...
หญิงสาวที่ดูจากรูปร่างหน้าตาน่าจะเป็นชนชั้นจีนแผ่นดินใหญ่ ดวงตาชั้นเดียวเรียวแหลมไม่อาจจะปิดบังแววตาอันสดใสที่เต็มไปด้วยประการแห่งพลังราวกับบ่อน้ำที่ไร้ก้น รับกับเส้นผมสีน้ำตาลที่ถูกรวบม้วนเกล้าสูงและปักไว้ด้วยปิ่นหยกอย่างงดงาม และริมฝีปากจิ้มลิ้มที่สยายเป็นรอยยิ้มโชว์เขี้ยวเสน่ห์อยู่ตลอดเวลา...ร่างเล็กๆสีขาวนวลที่สวมไว้ด้วยชุดเกราะทหารจีนโบราณระดับสูงเดินอาดๆผ่านแนวป่าออกมาจนกระทั่งถึงส่วนของลานหญ้าเตียนๆ โดยไม่มีท่าทีเกรงกลัวป้อมปราการตะวันตกที่ตั้งตระหง่านและเรียงรายด้วยปืนใหญ่สมัยใหม่เต็มช่องเชิงเทินตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย...หญิงสาวทิ้งถุงสัมภาระที่ผูกมากับอาวุธยาวด้ามสีทองขนาดใหญ่ที่ใช้ถุงหนังสีน้ำตาลแก่คลุมผูกส่วนปลายอาวุธไว้ ก่อนจะสูดลมหายใจลึกจนหน้าอกหน้าใจที่อยู่ภายใต้เกราะรบแทบจะทะลักออกมา
เสี้ยววินาทีต่อมา หญิงสาวผู้นี้ก็ตะโกนออกมาจนเสียงดังลั่นไปทั้งหุบเขาแห่งนี้!
" ยะโฮ! ตั่วเจ้ (พี่สาวคนโต) คนสวยกลับมาแล้วจ้า!! "
" หือ? "
เสียงอันแหลมยาวของหญิงสาวทำให้เหล่าเวรยามที่พากันนั่งก่อกองไฟผิงแก้หนาวถึงกับหันไปมองหน้ากันเล็กน้อยอย่างตกใจ...ไม่ใช่ตกใจที่พวกเขากำลังถูกบุกรุก แต่ตกใจที่พวกเขารู้ดีอยู่แล้วว่าหญิงสาวผู้ตะโกนโหวกเหวกอยู่เบื้องล่างนั่นเป็นใครต่างหาก
...รู้ดีชนิดแทบไม่ต้องโผล่หน้าออกไปชะโงกดูว่าเป็นใครเลยทีเดียว...
" ว...เวรแล้ว! "
" ท่านผิงนี่?? "
" ท...ท่านอาจารย์หญิง?! "
" ป...ไปตามท่านสิงห์เร็ว!! "
" อ...ไอ้บ้า! ...ท่านสิงห์กับท่านศกุนตลาไปทำงานใหญ่ที่อโยธยากับท่านผู้เฒ่า คงจะยังไม่กลับมาไวๆนี้แน่ "
" ท...ท่านเมืองล่ะ? "
" ท่านเมืองและท่านกาวิละ รวมไปถึงท่านศรีอโนชาก็กำลังพามือสังหารคนใหม่ไปฝึกงานอยู่ กว่าจะกลับก็อีกวันสองวันนั่นแหละ ส่วนคนอื่นๆก็เริ่มออกทำภารกิจกันแล้ว ว...เวลานี้เราเหลือมือสังหารที่เป็นกำลังหลักอยู่ในหมู่บ้านไม่กี่คนเท่านั้น "
" จ...จะบ้าเรอะ! ทั้งท่านสิงห์ ท่านผู้เฒ่า และท่านเมืองต่างพร้อมใจกันไม่อยู่เช่นนี้...ขืนปล่อยเข้ามามีหวังท่านได้อาละวาดจนหมู่บ้านพังเป็นแถบๆแน่! แบบนี้เปิดประตูให้เข้ามาไม่ได้เด็ดขาด "
" พ...พูดออกมานี่คิดก่อนรึเปล่าเนี่ย?! ขืนกบดานอยู่เช่นนี้ก็เท่ากับเร่งเวลาระเบิดให้ตูมขึ้นมาเร็วขึ้นน่ะสิ แล้วคิดว่าประตูแค่นี้จะทนศาสตราของท่านผู้นั้นได้อย่างนั้นหรือ? ...ศาสตรานั่นต้องระดับดาบของท่านผู้เฒ่าเท่านั่นแหละถึงจะพอกันอยู่น่ะ! "
" ฉ...ฉลาดขึ้นมาเชียวนะเอ็ง ถ้าอย่างนั้นลองสั่งมาสิว่าจะให้ตูทำอย่างไร รับรองคราวนี้ตูทำตามแบบไม่บิดพลิ้วเลย! "
" มีเรื่องเอะอะอะไรกัน? " พูดถึงมือสังหาร มือสังหารก็มา...ชายหนุ่มชาวตะวันตกร่างยักษ์ผู้มีบาดแผลฉกรรจ์บนใบหน้าที่ไกรเคยพบมาแล้วครั้งหนึ่งในกระท่อมของยูกิโอะ (คนที่ถูกยูกิโอะถีบออกมานั่นแหละ) ที่ได้ยินเสียงโหวกเหวกก่อนใคร เขาจึงรีบรุดมาดูพร้อมกับตวาดถามด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ ดวงตาที่เหลืออยู่เพียงข้างเดียวของเขากวาดมองไปยังเหล่าเวรยามที่สูงเพียงแค่อกของเขาอย่างค้นหาคำตอบทันที
" ท...ท่านอังเดรขอรับ โอ้! เป็นบุญของพวกข้าแท้ๆ น...นางๆ "
" นาง? "
" น...นางกลับมาแล้วขอรับ! "
" แล้วนางที่ว่านั่นมันใครล่ะวะ? " มือสังหารร่างยักษ์คำรามออกมาอย่างขัดใจในอาการลิ้นพันกันของอีกฝ่าย ก่อนที่เขาจะตัดสินใจเดินไปยังเชิงเทินเพื่อดูด้วยตาตนเอง...พร้อมๆกับที่หญิงสาวด้านล่างที่กำลังตะโกนโหวกเหวกอยู่ก็มองขึ้นมาก็เห็นชายหนุ่มเช่นกันพอดี...พอเห็นปุ๊ป หญิงสาวก็ร้องลั่นพร้อมกับชี้มาที่มือสังหารร่างยักษ์ผู้นี้ปั๊ปทันที
" อ๊า! เจ้ายักษ์ปักหลั่น! อังเดรนี่!! "
วูบ!
พริบตาที่หญิงสาวเบื้องล่างร้องทักราวกับรู้จักมักจี่เป็นอย่างดี มือสังหารร่างยักษ์ก็ทรุดลงนอนราบไปกับพื้นและพยายามทำตัวเป็นก้อนหินก้อนหนึ่งเพื่อหลบซ่อนจากหญิงสาวตัวเล็กๆที่เบื้องล่างด้วยใบหน้าที่ซีดเผือดราวกับเจอสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในชีวิตเข้าให้ทันที โดยไม่สนใจสายตาที่ว่างเปล่าของเหล่าเวรยามนับสิบคนเลยแม้แต่น้อย
" ท...ท่านอังเดร "
" ปืนใหญ่! ยิงปืนใหญ่เลย!!...สีหนาถปืนไฟทุกกระบอก!! " มือสังหารร่างยักษ์ที่มีนามกรว่าอังเดรร้องสั่งการดังลั่นทั้งๆที่ยังนอนเอามือกุมหัวซ่อนตัวอยู่...ซึ่งปกติแล้วด้วยสายการบังคับบัญชา พวกเวรยามจะทำตามคำสั่งโดยไม่มีการคิดใดๆ เพราะพวกเขาถูกฝึกให้รับมือกับการบุกโจมตีป้อมปราการอยู่แล้ว แต่คราวนี้พวกเวรยามที่หลบอยู่รีบร้องคัดค้านออกมาดังลั่นทันที
" แบบนั้นก็เท่ากับเร่งเวลาฆ่าตัวตายน่ะสิขอรับท่าน! แล้วอีกอย่าง ปืนใหญ่ของเราทำอะไรท่านผู้นั้นไม่ได้หรอกขอรับ "
" ต...แต่ว่านั่นน่ะ ท่านผิงเชียวนะ! ท่านผิงเลยนะ! ท่านผิงคนนั้นเชียวนะ!! "
" จ...ใจเย็นๆขอรับ ท่านพูดด้วยลิ้นฝรั่งอยู่แล้ว ขืนพูดเร็วอย่างนี้พวกข้าฟังไม่รู้เรื่องหรอก " เวรยามคนหนึ่งพูดขัดขึ้นเบาๆ ในขณะที่คนอื่นๆเห็นท่าไม่ดีจึงเริ่มหันไปปรึกษาหาทางออกกันเองแทนที่จะรอความหวังจากมือสังหารร่างยักษ์ที่ขวัญบินนี่แล้ว
" นี่! เจ๊รอนานแล้วนะ อุตส่าห์รีบเดินทางมาทั้งวัน หิวแล้วด้วย! " หมวยสาวที่อังเดรเรียกนามว่า ท่านผิง ตะโกนออกมาอย่างชักเริ่มโมโหหิว นั่นเท่ากับบอกเป็นทางอ้อมว่าเวลารับมือของผู้เฝ้าประตูเริ่มน้อยลงเรื่อยๆแล้ว
" ท...ท่านอังเดร! " เมื่อสถานการณ์บีบคั้นจนถึงระดับเข้าตาจน เหล่าเวรยามต่างก็หันกลับมาพึ่งคนที่อยู่ในตำแหน่งที่น่าพึ่งได้ที่สุด (ถึงจะอยู่ในสภาพที่ไม่น่าพึ่งได้เลยก็ตามที)
มือสังหารร่างยักษ์นามว่าอังเดรเริ่มรู้ตัวแล้วว่าตัวเองอยู่ในสภาพที่น่าอับอายเกินไป เขาจึงรีบขึ้นยืนและกระแอมไอเรียกฟอร์มอันน่านับถือของตัวเองให้กลับมาพร้อมกับพูดเบาๆว่า
" อะแฮ่มๆ เรื่องเมื่อครู่ถือว่าไม่เคยเกิดขึ้น เอาอย่างนี้...ข้าจะ...จะ...จะรับหน้าไว้เอง...พ...พวกเจ้า รีบไปตามผู้เดียวในหมู่บ้านที่เวลานี้สามารถรับมือกับนางได้มา "
" ผ...ผู้ที่รับมือกับท่านผิง---ร...รึว่า?? "
" เออ อย่างที่เจ้าคิดนั่นแหละ...ไปตามยูกิโอะซามะ (ทานยูกิโอะ) มา...รู้อยู่แล้วใช่ไหมล่ะว่าท่านอยู่ที่ไหน? "
" ท่านอังเดร?! แบบนั้นมีหวังได้วินาศสันตะโรกันทั้งหมดแน่! " หัวหน้าเวรยามที่อาวุโสที่สุดและดูเหมือนจะรู้จักลักษณะนิสัยของหญิงสาวทั้งสองที่ท่านอังเดรกะจะให้เผชิญหน้ากันดีถึงกับร้องออกมาเสียงหลง ในขณะที่มือสังหารร่างยักษ์กัดฟันกรอดพร้อมกับหันไปแยกเขี้ยววับทันที
" แล้วเรามีทางเลือกอื่นรึอย่างไรล่ะฟะ! ...ท่านผู้เฒ่ากับไอ้สิงห์ก็ไม่อยู่ ท่านเมืองที่พอจะพูดกับท่านผู้นี้รู้เรื่องสุดก็ดันติดธุระสำคัญ เราก็ต้องแก้ไปตามน้ำอย่างนี้แหละ! "
" ไปตามท่านยูกิโอะเนี่ยนะขอรับ?! "
" เออ...ตามน้ำอย่างไรล่ะ! "
" ต...แต่แบบนี้ดูท่าจะได้เลือดแทนได้น้ำน่ะสิขอรับ! "
" หนวกหูเฟ้ย! ตูไม่ได้ฉลาดอย่างไอ้ท่านไกรที่ได้ดิบได้ดีอยู่ที่อโยธยานี่หว่า แก้ได้แค่นี้ก็บุญแล้ว! รีบไปตามยูกิโอะซามะมาเร็วเข้า ขืนชักช้าก็ยิ่งบานปลายมากกว่านี้แน่! " อังเดรพูดพลางชักดาบเล่มเงาวับที่มีใบดาบเขื่องราวกับถูกตีด้วยแผ่นเหล็กทั้งแผ่นออกมสจากฝักที่ขัดอยู่กลางหลัง ก่อนจับเชือกที่ผูกอยู่ด้านหน้าพร้อมจะโรยตัวลงไปรับหน้าหญิงสาวทันที
" ไปสู่สุคติเถอะนะขอรับ ท่านอังเดร...แม้ว่าจะเป็นช่วงสั้นๆ แต่พวกข้าจะไม่ลืมท่านเลย " ภาพของเหล่าเวรยามที่บางคนที่พนมมือสวดส่งวิญญาณให้ ทำให้เขาแทบไม่อยากโรยตัวลงไปเลย
" ย...อย่างแช่งกันสิเฟ้ย! "
...ไม่กี่อึดใจต่อมา...หน้ากระท่อมตีศาสตราอันเป็นสถานที่พำนักของช่างตีศาสตราคนสำคัญของหมู่บ้าน...
" อ...เอ้า! มาถึงที่แล้ว...ที่นี้มาถึงปัญหาหลักล่ะ...ใครจะเข้าไปบอกกับยูกิโอะซามะกันล่ะทีนี้ " หัวหน้าเวรยามที่ยืนหอบอยู่กับพวกอีก ๓-๔ คนด้านหน้ากระท่อมพูดออกมาเบาๆ ก่อนที่ทุกคนจะหันไปมองหน้ากันเองเหมือนกับจะเกี่ยงกันทันที
" ท...ท่านอาวุโสที่สุด คงเป็นการเหมาะที่ท่านจะเข้าไป " และเหล่าลูกน้องต่างพากันลงความเห็นอย่างตรงกันอย่างน่าโมโหจนเขาต้องแยกเขี้ยววับทันที
" ถ้าอย่างนั้นในฐานะหัวหน้าของพวกเอ็ง ตูสั่งให้พวกเอ็งเข้าไปเลย "
" จ...จะบ้าเรอะขอรับ! แบบนี้มันเข้าข่ายใช้อำนาจโดยมิชอบ ทั้งยังส่งข้าไปตายชัดๆ " เหล่าลูกน้องหนุ่มๆ ต่างพร้อมใจกันโวยลั่นทันที แต่หัวหน้าผู้อาวุโสกว่ากลับกระแอมไอเบาๆพร้อมกับพูดเรียบๆว่า
" เจ้าลองเงี่ยหูฟังก่อนสิ...ไม่มีเสียงค้อนตีศาสตราใช่ไหมล่ะ? ...เวลานี้เป็นเวลาค่ำๆ ยู่กิโอะซามะไม่ได้ตีศาสตราแล้ว...เวลาแบบนี้ท่านน่าจะกำลังซดเหล้าและอารมณ์ดีเป็นพิเศษ...เราเข้าไปเวลานี้ท่านยูกิโอะต้องตกปากรับคำช่วยเราแน่ๆ...ทั้งเวลานี้เราไม่มีอะไรจะเสียแล้วนะ ยิ่งเราปล่อยเวลาให้เนิ่นนานเท่าไหร่ ท่านอังเดรก็ปางตายมากขึ้นเท่านั้น "
" จ...จริงของท่าน " คำพูดที่หนักแน่นและเต็มไปด้วยเหตุผลอันน่าเชื่อถือของหัวหน้าทำให้เด็กหัวอ่อนอย่างเด็กหนุ่ม ๓-๔ คนหันไปมองหน้ากันพร้อมกับพยักหน้าอย่างคล้อยตามคำพูดของหัวหน้า ยิ่งบวกด้วยอารมณ์เป็นห่วงท่านอังเดรด้วยทำให้พวกเขาไม่เสียเวลาต่อล้อต่อเถียงต่อ และพุ่งทะลุประตูกระท่อมตีศาสตราตรงหน้าเข้าไปโดยไม่ให้สัญญาณใดๆคนในกระท่อมเลยแม้แต่น้อย
โครม!
" ยูกิโอะซามะขอรับ! เกิดเรื่องใหญ่แล้---!! " ชายหนุ่ม ๓ คนที่พุ่งเข้ามาในกระท่อมตะโกนลั่น แต่พวกเขาก็ต้องชะงักและอ้าปากค้างจนพูดไม่ออกทันที เพราะภาพของช่างตีศาสตราชาวญี่ปุ่นที่เป็นที่รู้กันว่าอารมณ์แปรปรวนและน่ากลัวที่สุด บัดนี้กำลังนอนหย้าชมพูระเรื่อหลับตาพริ้มพร้อมกับครางเบาๆเป็นลูกแมวตัวน้อยๆอยู่บนตักของคู่แฝดนักประดิษฐ์ชาวตะวันตกอย่างโคลัมบัส หรือไม่ก็ออเรลลาน่า ...ในขณะที่คู่แฝดอีกคนกำลังนวดท่อนขาเรียวงามของเธออยู่ ก่อนที่ทุกคนจะชะงักกึกพร้อมกันอย่างกะทันหันทันที
" ... "
" อ...เอ่อ--- "
เปรี้ยง!!
เพียงเสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้น ร่างของหญิงสาวก็พุ่งพรวดออกจากท่านอนครางเป็นลูกแมว ลุกขึ้นมาเป็นอสูรกายพร้อมกับจิตสังหารที่พุ่งพรวดในพริบตาจนทุกคนถึงกับแตกฮือกันไปคนละทิศละทางอย่างขวัญหนีดีฝ่อทันที
" ที่ทำกันเช่นนี้แปลว่าสมัครใจมาฆ่าตัวตายสินะ...จูชิโยซามุ!! " หญิงสาวเรียกดาบคาตานะอาถรรพ์ที่เธอเคยใช้เพื่อต่อกรกับอนาสตาเซียมาแล้วเข้าสู่มือ พร้อมกับแยกเขี้ยวว่ววับ...จิตอันแข็งกล้าของเธอในเวลานี้เอาจริงมากกว่าตอนที่เธอปราบอนาสตาเซียเสียอีก...นั่นแปลว่าเธอกะฆ่าปืดปากแบบไม่เลี้ยงแน่นอน
" ว...เหวอ! ท...ท่านยูกิโอะ ยูกิโอะซามะ! ป...โปรดรอก่อนขอรับ พวกข้ามีเรื่องจะขอร้อง!! " หัวหน้าเวรยามที่เวลานี้เป็นผู้เดียวที่พอจะต้านทานจิตสังหารอันแหลมคมและเย็นเยือกของหญิงสาวได้รีบร้องออกมาจนลิ้นพันกัน ซึ่งดูเหมือนยูกิโอะก็ยังคงจะมีสติพอจะฟังรู้เรื่อง เพราะเธอชักดาบออกมาจากฝักพร้อมกับพูดอย่างแช่มช้าว่า
" ได้...ข้าจะทำตามที่พวกเจ้าขอร้อง...จะให้ฝังหรือเผา เลือกมาได้เลย "
' มีสติอยู่ก็จริง แต่ดูท่าจะคุยไม่รู้เรื่องแฮะ ' หัวหน้ายามคิดในใจพร้อมกับตัดสินใจตะโกนบอกจุดประสงค์แบบเนื้อๆออกไปทันที...ก่อนที่ดาบของเธอจะมาถึงคอพวกเขาทั้งหมด
" ยูกิโอะซามะ! บุตรีแห่งพยัคฆ์ กลับมาแล้วขอรับ!! "
กึก!
คำพูดของเขาทำให้คมดาบคาตานะอาถรรพ์อย่างจูชิโยซามุหยุดชะงักลง ก่อนที่ปลายดาบจะพุ่งมาถึงจมูกของเขาเพียงแค่องคุลี...ถึงแม้ว่าเขาต้องขอบคุณคู่แฝดโคลัมบัสและออลเรลาน่าที่วิ่งมารวบยูกิโอะเพื่อหยุดไม่ให้เธอเอาดาบจิ้มใครด้วยก็ตามที่
" บุตรี?...ยัยเลือดเสือนั่นน่ะหรือ? " ช่างตีดาบสาวพูดทั้งๆที่ดาบยังคงจ่ออยู่ที่หน้าของอีกฝ่าย ทำให้อีกฝ่ายได้แต่ยกมือขึ้นยอมแพ้พร้อมกับพยักหน้าอย่างเอาเป็นเอาตายทันที
" ท...ท่านผู้นั้นแหละขอรับ! ว...เวลานี้เราขาดทั้งท่านผู้เฒ่า ท่านเมือง และท่านสิงห์ ...พวกข้าเลย--- "
" มาหาข้า...เข้าใจหาเวลาดีจริงนะพวกเจ้า!! " ยูกิโอะที่เหมือนจะยังอารมณ์ค้างอยู่ตวาดออกมาอีกครั้ง แต่ก็ติดที่โคลัมบัสหรือไม่ก็ออลเรลาน่ายังคงกอดและต้านแรงเธออยู่ ซึ่งเธอเองก็มีสติรู้ตัวมากพอและไม่อยากจะให้คู่แฝดเห็นด้านแย่ๆของเธอไปมากกว่านี้ เธอจึงตัดสินใจเก็บดาบกลับเข้าฝัก ซึ่งตัวดาบอาถรรพ์ก็กรีดร้องอย่างไม่พอใจทันที
" ด...ดาบ...ดาบของพี่ยุ้กกี้ร้องได้ด้วย? " เสียงของดาบที่กรีดร้องก่อนถูกเก็บเข้าฝักทำให้คู่แฝดนักประดิษฐ์หันไปมองด้วยแววตาที่เป็นประกายวิบวับอย่างอยากรู้อยากเห็นอย่างสมเป็นนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องทันที
" ก็แน่ล่ะสิ...ดาบนี่ไม่ได้ดื่มเลือดมา ๒ ครั้งแล้ว...ตั้งแต่ครั้งยัยคุณหนูอนาสตาเซีย มาจนถึงครั้งนี้อีก...มันไม่กรีดร้องออกมาสิถึงน่าแปลกน่ะ "
" น่าทึ่งมาก!...ทั้งๆที่ไม่มีอุปกรณ์หรือส่วนใดที่ทำให้เกิดเสียงได้เลยแท้ๆ ...นี่ๆ พี่ยุ้กกี้ ทำให้พวกข้าดูอีกได้ไหมๆ "
" คิกๆ ได้สิ เด็กโง่...ประเดี๋ยวพี่จะทำให้ดูใหม่นะ "
" ท...ท่านยูกิโอะขอรับ...พ...พวกข้าต้องการความช่วยเหลือจากท่านนะขอรับ! " หัวหน้าเวรยามรีบพูดขึ้นอีกครั้งเมื่อเห็นว่าหญิงสาวเริ่มเข้าสู่ภาวะ โลกนี้มีแต่เราสอง (ถ้าพูดให้ถูกคือสาม) คน อีกแล้ว...ซึ่งก็ได้ผลเล็กน้อยเพราะยูกิโอะหันมาทำเสียงจิ้กจั้กอย่างรำคาญพร้อมกับพูดอย่างตัดรำคาญทันที
" ไม่เห็นยากเลย ปืนใหญ่บนเชิงเทินก็ไม่ใช่ของเด็กเล่น ...เจ้าก็สั่งยิงถล่มซะให้จบๆไปเลยสิ "
" แบบนั้นพวกกระผมจะลำบากบากหน้ามาเสี่ยงตายขอให้ท่านช่วยเหลือทำไมล่ะขอรับเนี่ย! "
" เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครเจ้าเด็กทารก! คิดว่าจะช่วงใช้ข้าได้ราวกับควายที่ถูกสนตะพายอยางนั้นหรือ?! ให้มันน้อยๆหน่อยนะเฮ้ย!! " หญิงสาวตวาดพร้อมกับทำตาลุกวาวอีกครั้งอย่างเอาเรื่อง
" ฮ่ะๆ พี่ยุ้กกี้...อย่าไปแกล้งพวกเขานักสิ " เด็กหนุ่มร่างโย่งที่น่าจะเป็นโคลัมบัสพูดออกมาเบาๆอย่างขบขันกึ่งๆสงสารหัวหน้าเวรยามที่กำลังจะร้องไห้อยู่รอมร่อ ในขณะที่คนอื่นๆต่างก็คิดตรงกันว่าไอ้เด็กคนนี้เอาตาไหนดูกันฟะว่าท่านยูกิโอะที่กำลังทำหน้าราวกับจะกินเลือดกินเนื้อกำลังล้อเล่นอยู่...
" ชิ! เข้าใจแล้วๆ อย่างไรเสียไอ้คุณท่านผู้เฒ่าก็กำชับให้ข้าดูแลหมู่บ้านระหว่างที่เจ้านั่นไม่อยู่อยู่แล้วนี่...ไม่น่าตกปากรับคำมันตอนเมาเลยผับผ่าสิ! " ยูกิโอะซังถอนหายใจเฮือกพร้อมกับบ่นออกมาเบาๆอย่างไม่มีทางเลือก ก่อนจะเดินเข้าไปในกระท่อมพร้อมกับค้นหาอะไรบางอย่างอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะออกมาพร้อมกับเกราะอ่อนสิเงินวาวส่องประกายที่เธอสวมแน่นอยู่กับตัว ทั้งๆที่เธอแทบไม่เคยใช้เครื่องป้องกันตัวใดๆเพราะผลแห่งความเป็นอมตะของตัวเองแท้ๆ
" เกราะไหมฟ้ากับจูชิโยซามุ...ถึงจะสู้ศาสตราของยัยนั่นไม่ได้เลย...แต่ก็น่าจะพอต้านยัยนั่นได้ซักพักล่ะกระมั้ง...ส่วนพวกเจ้า...ไปเตรียมปืนใหญ่บนเชิงเทินให้พร้อม...ถ้าหากข้าให้สัญญาณหรือเห็นว่าการเจรจาคงไม่ได้ผลแน่ ก็ให้พวกเจ้ายิงได้เลย! "
" ต...ตกลงจะให้พวกข้าใช้ปืนใหญ่ให้ได้จริงๆใช่ไหมขอรับเนี่ย?! "
..............................................
...เมื่อสรุปหาข้อตกลงกันได้แล้วเกี่ยวกับตัวและจุดประสงค์ของหญิงสาวนามว่าดารา อนาสตาเซียและศกุนตลาต่างก็ได้แต่มองหน้ากันพร้อมกับทำได้แต่ตามน้ำไป เพราะดูเหมือนว่าไกรได้ตระเตรียมแผนการนี้มาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ชนิดที่ต่อให้เหตุการณ์จะออกมาในรูปแบบไหน เส้นทางก็จะมาจบลงตรงนี้อยู่ดี
" เกลียดชะมัดเลย...ไอ้ความมั่นใจอย่างน่าหมั่นไส้ของเจ้านั่นเนี่ย " อนาสตาเซียที่กำลังผูกดาบให้แน่นเข้ากับสะโพกของเธอเหลือบสายตาสีฟ้าจรัสไปมองที่ไกรที่กำลังพูดอะไรบางอย่างกับสิงห์อยู่ ราวกับทำเรื่องมีลับลมคมในอีกแล้ว ....นั่นทำให้เธออดบ่นออกมาเบาๆไม่ได้ ในขณะที่ศกุนตลาที่กำลังเก็บปืนสับนกของตัวเองคืนสู่ที่ซ่อนหันไปมองพร้อมกับส่ายหน้าช้าๆโดยไม่พูดอะไรออกมาตามนิสัยของเธอ
" หืม? เจ้ากำลังพูดถึงท่านไกรอยู่หรือ? " เป็นอเทตยาที่ยืนอยู่ห่างๆที่เลิกคิ้วและร้องออกมาเบาๆ ทำให้อนาสตาเซียเหลือบกลับมามองพร้อมกับถอนหายใจยาวเหยียด
" ก็จะมีใครเสียอีกล่ะ นอกจากพระเดชพระคุณ ท่านไกรของเจ้านั่นแหละ "
" เอ๋? ทำไมล่ะ "
" เจ้านั่นคาดการณ์ทุกอย่างเอาไว้แล้ว...วางแผนรวมถึงเดาใจพวกเราได้อยู่แล้วว่าพวกเราจะคล้อยตาม เลยดำเนินแผนการตามลำพังโดยไม่ยอมบอกพวกเราเลยจนกระทั่งถึงเสี้ยววินาทีที่แผนเริ่มดำเนินการ...เขาทำราวกับว่าไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย " อนาสตาเซียบ่นเบาๆ ในขณะที่ศกุนตลาฟังผ่านๆโดยไม่ออกความเห็นอะไร ส่วนอเทตยาที่ดูเหมือนจะยึดมั่นถือมั่นในตัวของไกรมากกว่าเอ่ยค้านขึ้นเบาๆทันที
" ไม่หรอก อนาสตาเซีย...ท่านไกรเป็นห่วงพวกเรา ไม่ใช่ในฐานะมือสังหารที่มือเปื้อนเลือด แต่เป็นสตรีนางหนึ่ง ที่เขาไม่อยากจะให้เราต้องมาร่วมเสี่ยงกับการกระทำของเขาต่างหาก "
" เจ้าจะเห็นดีเห็นงามกับไกรทุกเรื่องเลยไหมเนี่ย? " อนาสตาเซียหันขวับมามอง ในขณะที่อเทตยาหัวเราะออกมาเบาๆกับคำค่อนขอดของอีกฝ่าย
" ข้าเพียงแค่พูดตามความจริงที่พวกเจ้าอาจจะไม่เห็น ภายใต้หน้ากากที่ท่านไกรสวมไว้เท่านั้น...ท่านไกรอาจจะทำอะไรโดยพลการ แต่ก็เพราะเขาไม่อยากจะให้เราเสี่ยงพลอยฟ้าพลอยฝนด้วยอย่างไรล่ะ "
อนาสตาเซียเหลือบกลับมามองมืออดีตสังหารเถื่อนที่เวลานี้ชักสนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจเฮือกและพูดออกมาเรียบๆว่า
" เจ้าลืมเลือนไปแล้วกระมัง...ว่าไกรเคยพูดเช่นนี้ไปแล้วครั้งหนึ่ง...จำได้ไหมว่าเมื่อครั้งที่เขาต้องราชอาญาจนเกือบจะถูกประหาร เขาพยายามกันสินและเรืองออกจากเรื่องเดือดร้อน...และท้ายที่สุด จำได้ไหมว่าเขาทำอะไรกับสินและเรืองนั่น... "
" เขา...ล...ไล่ทั้งท่านสินและท่านเรืองกลับไป โดยให้เหตุผลว่านี่ไม่ใช่ธุระกงการของพวกเขาอีกต่อไป... " อเทตยาครางออกมาอย่างนึกขึ้นได้ถึงเหตุการณ์ในอดีต ในขณะที่อนาสตาเซียพยักหน้าช้าๆ
" คำว่า เป็นห่วง ของเขาคือการที่เขาพยายามทิ้งพวกเราไว้ข้างหลังและเดินหน้าทิ้งห่างไปเพียงลำพัง โดยไม่เห็นว่าเราเป็นพวกพ้อง หรือผู้ที่มีความสามารถพอจะร่วมทางกับเขาได้อีกต่อไป...ท่านผู้เฒ่า พ่อของข้าเคยบอกข้าไปแล้วครั้งนึง ว่าถ้าหากเขายังไม่เลิกนิสัยเช่นนี้...สักวันเขาจะเดินทิ้งพวกเราไปทั้งหมด...และจะแตกสลายไปตามลำพังแน่นอน... "
" อนาสตาเซีย... "
" เอาเถอะ...ซักวันเจ้าและข้าก็คงจะพิสูจน์ได้เองนั่นแหละ...ว่าพวกเราสามารถเดินเคียงข้างเขาได้ โดยที่เขาไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงใดๆทั้งสิ้น " อนาสตาเซียพูดขึ้นอย่างง่ายๆ ...พร้อมๆกับที่หญิงสาวปริศนาที่แนะนำว่าเป็นถึงรองหัวหน้าแห่งกลุ่มบรรลัยกัลป์ นามว่าดาราจะเดินยิ้มพรายเข้ามาหมายจะร่วมวงสนทนาด้วย ซึ่งพวกเธอทั้ง ๓ ก็ขยับตัวอย่างระแวงทันที
" ดูท่าทางคุยกันน่าสนุกเชียวนะ...ขอข้าฟังด้วยสิ "
ศกุนตลาเหลือบมองหญิงสาวนามว่าดาราเล็กน้อย...ต่อให้ไม่นับว่าสตรีตรงหน้ายังคงไม่น่าไว้วางใจ เธอก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่ายัยนี่ใช้ตาส่วนไหนดูว่าพวกเธอกำลังพูดคุยอย่างสนุกสนานกันนะ
" ... "
" อ่าว...ไม่สนุกกันเสียแล้ว "
" อย่ามาทำตัวสนิทกันนัก ดารา...พึงระลึกไว้ว่าเพราะความดึงดันของไกร บวกกับข้อเสนออันแปลกประหลาดของเจ้า ที่ทำให้เจ้ายังคงพูดคุยอยู่เช่นนี้ได้โดยไม่ถูกเราล่ามโว๋ตีตรวน...หรือในแง่ร้ายที่สุด...ถ้าหากไกรไม่ได้เอาตัวเข้าบังไว้ ป่านนี้เจ้าได้ตายไปแล้ว! " อนาสตาเซียพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทำเอาดาราต้องโคลงหัวดิกๆทันที
" นี่ๆ ข้าบอกไปแล้วไม่ใช่หรือว่าข้ามาด้วยความบริสุทธิ์ใจนะ "
" แม้แต่ใบหน้าที่แท้จริงเจ้ายังไม่เปิดเผย คำว่าบริสุทธิ์ใจที่เจ้าพ่นออกมานี่มันช่างน่าขันจนข้าอยากจะหัวเราะใส่เลยเชียว "
" คิกๆ อ้อ...เรื่องนี้โทษกันไม่ได้นะ เพราะข้าได้รับการฝึกฝนให้เชี่ยวชาญเรื่องการปลอมแปลงและปิดบังตัวตนเพื่อแทรกซึมมาตั้งแต่น้อยๆ ซึ่งก็แลกมาด้วยการที่ข้าเองก็ไม่ได้เก่งกาจในด้านการต่อสู้ไปมากกว่าดรุณีนางน้อยๆเลย " ดาราพูดพลางหมุนตัวเพื่อเปลี่ยนรูปลักษณ์ให้ดูอีกครั้งโดยหมายจะทำให้จ่าโขลนสาวแห่งหน่วยคเณศร์เสียงทั้ง ๓ นางเชื่อใจ แต่ด้วยความเร็วในการเปลี่ยนแปลงทั้งรูปลักษณ์และกลิ่นอายที่อยู่ในระดับ ชั่วพริบตา ...มันทำให้ทั้ง ๓ สาวยิ่งไม่ไว้วางใจเธอเข้าไปใหญ่
" เฮ้อ...ดูเหมือนจะได้ผลตรงกันข้ามแฮะ " เธอครางออกมาเบาๆพร้อมกับหมุนตัวเพื่อกลับมาอยู่ในรูปลักษณ์เดิมอีกครั้ง ...พร้อมๆที่ไกรตะโกนกลับมาบอกว่าให้เตรียมตัวได้แล้ว ดาราจึงขยับจะเดินเข้าไปสมทบกับไกรแทน ...แต่เธอก็ถูกทั้งศกุนตลาและอเทตยาหยุดไว้ด้วยการคว้าไหล่บางๆของเธอไว้ทั้งสองข้างทันที
" ข้ารู้ว่าเจ้ารู้แล้ว...แต่ข้าคงต้องขอเตือนเพื่อความมั่นใจอีกครั้ง...ดารา...หากมีสักเสี้ยววินาที ที่ข้านึกสงสัยแคลงใจในตัวของเจ้า ว่าเจ้าอาจจะมีอันตราย ต่อท่านผู้เฒ่า ต่อหมู่บ้านของข้า... "
" หรือ...ต่อท่านไกร...แม้สักเพียงเสี้ยววินาทีเดียว... " อเทตยาที่ขยุ้มบ่าอีกข้างของดาราเสริมให้ประโยคสมบูรณ์ขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่ศกุนตลาจะพูดต่ออย่างไหลลื่นพร้อมกับเปล่งรังสีอำมหิตวูบ...
" ...ต่อให้เวลานั้นจะมีพระอินทร์เขียวๆลงมาปกป้องเจ้าไว้...ดารา...ข้า...และอเทตยาจะเป็นผู้ส่งเจ้าลงนรกเอง! "
' อุ! นึกถึงที่ยัยศกุนตลาเคยพูดไว้ตอนที่เราจับอเทตยาได้เลย... ' อนาสตาเซียที่ยืนอยู่ห่างๆและไม่ได้เป็นเป้าของรังสีอำมหิตจากหญิงสาวทั้งสองยังถึงกับขนลุกพร้อมกับคิดในใจทันที...
' ...ยัยสองคนนี่...ถ้าเป็นสิ่งที่ทั้งสองยึดมั่นถือมั่นล่ะก็...ทั้งคู่แสดงออกเหมือนกันจนข่าตกใจเลยจริงๆ! '
...ในขณะที่ดาราที่เป็นจุดศูนย์รวมของจิตสังหารทั้งสองสายถึงกับต้องใช้มือขยุ้มต้นขาของตนเองไว้เพื่อไม่ให้ตัวสั่นสะท้านอย่างหวาดกลัว ก่อนจะลอบยิ้มออกมาอย่างใจดีสู้เสือพร้อมกับพูดออกมาเบาๆอยางมั่นอกมั่นใจเต็มที่ว่า
" เชื่อข้าเถอะ...ข้ามาพร้อมกับข้อเสนอ...ที่ทั้งท่านผู้เฒ่าของเจ้าและท่านไกรของเจ้าไม่อาจจะปฏิเสธได้อย่างแน่นอน! "
..................................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ