Sad Memories

-

เขียนโดย JRza

วันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2557 เวลา 17.07 น.

  4 บท
  0 วิจารณ์
  6,300 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 30 กันยายน พ.ศ. 2557 17.54 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) ซากุระที่ผลิบาน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

Sad Memories

บท4

ซากุระที่ผลิบาน

 

            ชีวิตเปรียบเสมือนเวลาที่หมุนไปเรื่อยๆต่อไปไม่อาจย้อนกลับคืนไปแก้ไขอดีตหรือล่วงรู้อนาคตได้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นต่อจากนี้ และเหมือนซากุระกลีบดอกชมพูอ่อนที่กำลังเบ่งบานรับแสงอรุณแล้วในที่สุดมันก็ร่วงโรยหล่นจากต้นสู่พื้นดิน ชีวิตที่งดงามแต่เมื่อเวลาผ่านไปนานๆเข้าสภาพเริ่มอิดโรยไปตามกาลเวลา…

               วันเวลาผ่านไปล่วงไป 4 ปี หลังจากเหตุการณ์นั้นมันทำให้ผมเริ่มต่อสู้ชีวิต ไม่คิดสั้นอะไรอย่างนั้นเหมือนในตอนนั้นที่ตัดสินด้วยความวู่วามไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดีก่อน ผู้ชายคนนั้นเหมือนแสงสว่างภายในความมืดที่ผมได้สร้างมันขึ้นมาในใจ ทุกครั้งที่ผมคิดถึงเขาภาพความทรงจำแสนหวานก็ปรากฏขึ้นมาอย่างชัดเจนและมือนั้นที่จับกุมมือผมก็ได้จากไปอย่างไม่มีวันกลับมาอีก

เพราะอย่างนี้ผมจึงไม่ต้องการมีความสัมพันธ์กับคนอื่นอีกเมื่อรู้ว่าผลลัพธ์ถึงการรู้จักคนอื่นจะออกมาเป็นอย่างนี้ ผมเลือกที่จะอยู่ตัวคนเดียวเหมือนแต่ก่อน...

 

เช้าวันสดใสรับวันเปิดเรียนของนักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัยแห่งใหม่ของผม “คิทสึโมะ โซระ”  ผมรู้สึกตื่นเต้นจริงๆ ชีวิตต่อไปของผมจะเป็นอย่างไรนะ นักศึกษาต่างพากันเดินไปที่สถานศึกษาของตนบ้างก็เกาะกลุ่มกันเดินหรือเดินเป็นคู่ ส่วนผมน่ะเหรอ ก็ยังคงเหมือนอย่างเดิม ผมเดินบนทางเดินฟุตบาทเพียงลำพัง

 

ฟิ่ว...เสียงสายลมพัดมาพร้อมกับดอกซากุระ ผมเงยหน้ามองเข้าดอกซากุระที่กำลังปลิวตามสายลม มันเป็นภาพที่งดงาม ผมแบมือรับเจ้าดอกไม้สีสวยหวานนี้  กลีบดอกสีชมพูหวานอ่อนส่งกลิ่นหอม มันจะเบ่งบานเพียงแค่เจ็ดวันเท่านั้นแล้วจะไม่มีอีกจนกว่าจะถึงเดือนของมัน

ซากุระเปรียบเสมือนคุณแม่ของผม คุณแม่งดงาม ไม่เพียงเท่านี้ เธอยังเข้มแข็ง เธอคอยเลี้ยงดูผมถึงแม้จะเสียหยดเหงื่อไปมากแค่ไหนก็ตาม เท่าที่จำความได้ หลังจากที่ผมกับแม่ฉลองวันเกิดกัน หลังจากวันนั้นอีกเจ็ดวันผมก็เสียคุณแม่ไป หึ มันน่าขำจริงๆเจ้าซากุระในมือผมมันยังเหมือนความทรงจำแสนเลวร้ายและงดงามของผม

 

คุณแม่ครับ ผมขอโทษ ผมเป็นต้นเหตุ...

 

ใบหน้าสวยเงยหน้ารับลมเย็นยามเช้าแล้วสูดกลิ่นหอมของซากุระ ดวงตาสีน้ำทะเลหลับตาลงภาวนาในใจ ถึงแม้จะผ่านไปกี่วัน กี่เดือน และกี่ปี ร่างบางก็ยังรู้สึกผิดและโทษตัวเองอยู่เรื่อยมา

ฟิ่ว !

 

ผมสะดุ้งเมื่อจู่ๆก็มีรถคันสีดำขับผ่านไป ทำไมผมถึงรู้สึกคุ้นเคย ผมมองเข้าไปที่คนในรถแต่เจ้ารถคนนั้นมันก็ขับออกไปไกลจนผมไม่สมารถไม่สังเกตได้เลย

“เฮ้อ” ผมถอนหายใจหนึ่งครั้งก่อนที่ก้าวเท้าเดินต่อไป

              

               ห้องเรียนใหม่ของนักศึกษาปี 1 และเพื่อนใหม่ในวัยเรียน ทุกคนต่างพากันเลือกที่นั่งซึ่งผมไม่สนใจในเรื่องนั้น ผมนั่งที่ไหนก็ได้ ผมเลือกที่นั่งแถวกลางๆ ซึ่งไม่มีใครนั่ง ผมนั่งลงวางกระเป๋าลงข้างตัวแล้วมองดูคนอื่นเขานั่งคุยกัน ผมรู้สึกอิจฉาพวกเขาที่นั่งคุยกันและใบหน้าที่สดใสร่าเริงนั่น

              

ไม่นานวิชาแรกของวันเปิดเรียนก็ได้เริ่มต้นขึ้น...

 

วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนน่าเหลือเชื่อ เมื่อถึงเวลาเลิกเรียนทุกคนต่างก็พากันรีบกลับบ้าน ในห้องเหลือเพียงแต่ผมเท่านั้น ผมรีบเก็บของให้เรียบร้อยแล้วเดินออกจากห้องไป ระหว่างเดินเหมือนมีสายตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องมาทางผม ผมหันกลับไปมองก็ไม่เจอ มีแต่นักศึกษาที่เดินสวนทางกัน ผมคงนึกไปเอง

นักศึกษาหลายคนรีบออกจากมหาวิทยาลัยเพื่อที่จะกลับบ้านหรือไปสถานบันเทิงเพื่อที่จะผ่อนคลายมองให้เบาลงจากบทเรียน แต่ผมไม่มีโอกาสที่จะทำตัวตามสบายใจของตนเองได้เพราะหลังจากเลิกผมต้องไปทำงานที่ร้านเบเกอรี่

 

ร้านเบเกอรี่

 

ผมเดินเข้าไป บรรยากาศร้านยังคงเหมือนเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ลูกค้ายังคงไม่เต็มร้านเพราะยังไม่ดึกมาก ทุกคนทำงานกันอย่างสุดกำลัง แต่มีอยู่หนึ่งคนที่อู้เป็นประจำจนเป็นนิสัย ทาคาโนะ มิซึโอะ รุ่นพี่ทำงานที่ผมสนิทที่สุดและเป็นที่ปรึกษายามผมทุกข์หรือมีปัญหา แต่ส่วนใหญ่มิซึโอะซังจะเป็นคนถามผมก่อน

ผมเดินไปที่เคาน์เตอร์ซึ่งมิซึโอะซังกำลังเท้าคางแล้วหาวนอน ดวงตาสีแดงเหมือนผลทับทิมเยิ้มเหมือนจะปิดตาลงให้ได้ ใบหน้าแสนสุดเซ็ง ผมซอยทรงบ๊อบสีแดง ผมเดินไปกล่าวทักเขา

“สวัสดีครับ มิซึโอะซัง อย่าเพิ่งอู้งานสิครับ” ทันทีที่เสียงใสเอ่ย คนที่กำลังคิดจะหลับก็ตื่นทันที

“โซระจังอย่ามากล่าวหากันนะ ฉันไม่ได้จะอู้งานสักหน่อย แค่หลับตา” มิซึโอะซังรีบแก้ตัวทันที

               ไม่ได้อู้แต่แค่หลับตา ช่างเป็นคำพูดที่ฟังแล้วขึ้นความ ผมว่าถ้าคุณหลับตาสักพักคุณต้องฟลุ๊คหลับคาโต๊ะเคาน์เตอร์แน่ ถ้าหากผู้จัดการมาเห็น มิซึโอะซังอาจจะถูกตัดเงินเดือนหรือไม่ก็ไล่ออกแน่ๆ

“ มันไม่ได้ต่างอะไรเลยนะครับ มิซึโอะซัง”ผมย้ำ แต่เขาก็ไม่เชื่อ

              

มิซึโอะส่ายหัวไปมาแล้วโน้มมือไปตบบ่าเล็กๆของร่างบางแสนไร้เดียงสาเบาๆ เด็กอะไรเจ้าระเบียบจริงๆ บ่นเหมือนแม่ของตน คิดว่าจะหนีจากน้ำเสียงและคำบ่นของหญิงวัยกลางคนที่มีศักดิ์เป็นมารดาได้แล้วแต่กลับเจอไอเด็กนี่ ”โซระ” แต่เขาก็ไม่ได้รำคาญเสียงใสที่ตักเตือนเขาแต่อย่างใด กลับชอบมากกว่า ทุกวันมิซึโอะยิ่งหลงรักโซระเข้าทุกวัน

“ โธ่เอ้ยย! ฉันคิดว่าหนีจากแม่ได้แล้วดันมาเจอเด็กแก่แดดอย่างนายซะได้”มิซึโมะพูดด้วยน้ำเสียงติดตลกใบหน้ายิ้มแย้ม 

คำพูดของมิซึโอะมันจุดชนวนต่อมความโมโหของโซระได้ดีเลยล่ะ แต่โซระรู้ดีว่าคนตรงหน้าแค่หยอกล้อตนเท่านั้นประสาเพื่อนร่วมงาน

 

“ ผมไม่ใช่เด็กแก่แดดนะครับ ผมเตือนคุณด้วยความหวังดีนะครับ คุณไม่เชื่อก็ตามใจ ผมขอตัวล่ะครับ”ผมเดินหน้าบึ้งเข้าห้องพนักงานไป

               มันน่าหงุดหงิดจริงๆผมเตือนเท่าไร กี่ครั้งเขาก็ไม่คิดจะเชื่อผมเลยสักครั้งเดียว ผมขอให้สักวันโดนไล่ออกเถอะ ผมเดินย่ำเท้าหนักไปที่ตู้ล๊อกเกอร์ตนเองแล้วหยิบชุดพนักงานเสิร์ฟมาใส่อย่างรวดเร็วแล้วออกจากห้องไปทำงานของตนเอง

               วันนี้ลูกค้าไม่ค่อยเยอะมากเท่าไรเพราะเป็นวันจันทร์ มันเป็นเรื่องดีเพราะผมจะได้ไม่เหนื่อยต่อการเดินไปหาลูกค้าหลายคนและไม่วุ่นวายด้วย ชีวิตเด็กเสิร์ฟนี่ไม่ได้เรียบง่ายเสมอไป ขึ้นชื่อว่าเด็กเสิร์ฟต้องทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจ

              

ขณะที่ผมกำลังเสิร์ฟเค้กที่ลูกค้าคนอื่นได้สั่งไว้เมื่อครู่ หางตาผมก็เหลือไปเห็นชายคนหนึ่งแต่งตัวรัดกุมเกินเหตุ  ชายร่างสูงสวมหมวกสีดำ ใส่แว่นกันแดด สวมชุดโคช ถุงมือ กางเกงยีนส์สีดำและรองเท้าหนังที่ดูแล้วน่าจะราคาแพง อากาศในร้านมันเย็นแต่ไม่ถึงกับหนาวขนาดนั้น ผมมองเขาอยู่สักพักแต่ก็เลิกมองแล้วสนใจไปที่ลูกค้าคนต่อไปที่เรียกผม

 

วันนี้ร่างสูง”ฟูจิฮาระ ริวอิจิ”แต่งกายรัดกุมป้องกันพวกศัตรูและเพื่อไม่ให้เด็กเสิร์ฟหนุ่มที่เขาจับจ้องตลอดเวลาจำเขาได้ ร่างบางที่เขาเฝ้ามองมาตลอดหลังจากวันนั้นที่เขาจากร่างบางไป เขาเจ็บใจและหวงเมื่อเจ้าเด็กผมทองคุยกับชายผมแดงที่อยู่ในเคาน์เตอร์ ยิ่งเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าสวยมอบให้กับคนอื่นนอกจากตนใจยิ่งร้อนรุ่ม ร่างสูงอยากจะกระชากร่างบางให้ออกห่างผู้ชายคนนั้นแต่ทำไม่ได้

               ริวอิจิรอโอกาสที่ร่างบางเดินมาทางเขา ในที่สุดคนที่เขาเฝ้ามองอยู่ตลอดก็เดินมาทางเขาแล้วถามตามมารยาทผู้บริการที่ดี  ริมฝีปากสีซีดยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์

 

               ผมเห็นชายคนนั้นที่แต่งกายรัดกุมนั่งอยู่นาน บนโต๊ะเขาว่างเปล่าไม่ได้สั่งอะไรเลย ผมรู้สึกแปลกใจและไม่มีพนักงานเสิร์ฟคนไหนเข้าหาผู้ชายคนนั้นเลย ผมตัดสินใจเดินไปหาเขา

“ เอ่อ รับอะไรดีครับ”ผมบอกเขา เขาเงยหน้ามองผม

 

อึก....ทำไมรู้สึกแปลกชอบกล ขนลุก

 

เขาเงียบไม่ตอบอะไร ผมจึงบอกเขาอีกที

“คุณครับ รับอะไรดีครับ”

“ เป็นนายจริงๆสินะ”เสียงทุ้มเอ่ย

               น้ำเสียงของผู้ชายเบื้อหน้ามันคุ้นหูเหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน แต่สิ่งที่หน้าตกใจมากกว่าเมื่อชายปริศนาถอดแว่นกันแดดออกมา ดวงตาสีนิลดั่งราชาที่เก็บซ่อนพลังบางอย่าง ดวงตาเบิกโตทันที แต่ผมยังไม่รู้จักอยู่ดี ผู้ชายคนนี้อาจไม่ใช่เขา

“จำฉันได้รึเปล่า” เขาถามผมอีกครั้ง

“ไม่ครับ”ใบหน้าหล่อชักสีหน้าทันที

               คราวนี้เขาถอดหมวกเผยให้เห็นผมสีน้ำตาลแดงและใบหน้าหล่อดั่งเทพบุตร เหมือนต้องมนตราไม่ให้ละสายตา ผมสำรวจใบหน้าหล่อ โดยเฉพาะดวงตาคมนัยย์ตาสีดำทมิฬที่จ้องมองมาทางผม ผมจำมันได้เป็นอย่างดี ผมอยากเจอเขามานานแสนนาน หลังจากวันนั้นผมก็ไม่ได้เจออีกเลย จนมาถึงวันนี้โอกาสมันได้อยู่ตรงหน้าผม ผมอยากจะบอกความในใจว่ารู้สึกอย่างไร แต่ผมไม่อยากเจ็บปวดอีกต่อไป ความรักมันทำให้ผมเจ็บปวด

“คุณ...เป็นใครครับ”

               ร่างเล็กได้สร้างกำแพงที่ปิดกั้นหัวใจตัวเองอีกครั้ง ปิดกั้นความรู้สึกตนเองกับผู้ชายตรงหน้าซึ่งเคยมีความรู้สึกร่วมกันมาก่อน

“นายจำฉันไม่ได้เหรอ คนที่ช่วยชีวิตนายเมื่อสามปีที่แล้ว...”น้ำเสียงและใบหน้าที่ดูจริงจังนั้นจนน่ากลัว มือไม่เริ่มสั่น

              

ผมคงทนดูใบหน้าผู้ชายคนนี้ไม่ได้ คนที่อยากจะเข้าใกล้แต่ไม่มีวันเพราะรักต้องห้าม ความรักผิดเพศ

 

               ผมรีบเดินหนีออกจากที่ตรงนั้นแล้วเข้าห้องแต่งตัวทันที ผมทนดูไม่ได้ ผมกลัว กลัวว่าจะห้ามใจตัวเองไม่ได้ ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นอีก ไม่อยากทำร้ายใครอีกต่อไป พอกันทีกับความรักอันโหดร้าย

 

ปัง!

               มือเล็กเปิดบานล็อกเกอร์เสียงดังไม่สนใจใคร เขาสนแต่ว่าต้องรีบออกจากร้านให้เร็วที่สุด มือเริ่มรน สายตากวาดหากระเป๋าสะพายเนื้อผ้าสีขาว มือเล็กหยิบมันออกอย่างรวดเร็วแล้วก้าวเท้าเดินไปยังประตูแล้วบิดกลอนพุ่งตัวออกอย่างแรง ร่างของคนมาใหม่ชนเข้ากับร่างเล็กของโซระอย่างแรง ร่างบางหงายหลังล้มพร้อมกับร่างสูงกว่าตนเล็กน้อยล้มทับตาม

“โอ้ย!”เสียงหวานเอ่ย ร่างบางปรือตา

              

               กลุ่มผมสีแดงตรงหน้าผมและร่างทับผม ผมค่อยยันตัวขึ้นมาแต่ลุกไม่ขึ้นเพราะคนบนร่างผมน่ะสิที่ไม่ยอมลุก ใบหน้าคมเงยมองขึ้นมา ผมเบิกตากว้างเมื่อคนที่ทับอยู่คือ...

“มิซึโอะซัง!”

“โอย โซระจัง เฮ้ย ทำไมนยถึงชนฉัน”มิซึโอะซังถามด้วยน้ำเสียงงัวเงีย

“เอ่อ พอดีผมรีบน่ะครับ เอ่อ คือว่ามิซึโอะซังช่วยลุกได้มั้ยครับ มันหนัก”ผมบอกเขา

“อ่ะ อืม”

               ร่างสูงลุกขึ้น ผมค่อยลุกขึ้นมาแล้วปัดกางเกงและเสื้อเล็กน้อยก่อนจะเผชิญกับใบหน้าขี้เล่นของคนหัวแดงและคำถามที่ไม่อยากตอบ

“ทำไมถึงรีบร้อนร้อนนักล่ะ โซระจัง”ผมสะดุ้งตัวก่อนจะตอบไปว่า

“พอดีผมมีธุระบางอย่างน่ะครับ รบกวนมิซึโอะซังบอก ชิราฮาเนะซังหน่อยได้มั้ยครับ”ผมปั้นหน้าและน้ำเสียงอ้อนวอน ยกมือไหว้ขอร้อง

              

มิซึโอะเมื่อเห็นท่าทีของโซระก็อดใจไม่ได้ที่จะใจอ่อน ตามทีเขาก็สนิทกับชิราฮาเนะที่เป็นผู้จัดการอยู่แล้ว มิซึโอะตอบตกลงโซระ

“ อืม ได้ๆ”

“ชอบคุณมากครับ”ใบหน้าสวยหวานร่างเริงขึ้นมาทันที ยกยิ้มเหมือนเด็กสามขวบ

              

               ทันทีที่มิซึโอะซังตอนรับคำขอร้องผมก็รีบเผ่นออกจากร้านทันที ไม่สนผู้ชายคนนั้นว่าจะตามมาหรือไม่แต่ขอให้ไม่ต้องเจอเขาก็พอ

              

ท่ามกลางค่ำคืนที่เต็มไปด้วยแสงไปจากโคมไฟและรถยนต์ ผมรีบเดินทางฟุตบาท ขณะเดินผมหันกลับไปมองข้างหลังว่ามีใครตามมาหรือไม่ เหมือนยกภูเขาออกจากอกเมื่อเห็นว่าไม่มีใครตามมา ผมถอนหายใจที่หนักหน่วงหนึ่งครั้งก่อนจะเดินต่อไป

ทำไมผู้ชายปริศนาคนนั้นที่ไม่ได้เจอกันมาหลายปีถึงมาปรากฏตัวต่อหน้าผมที่ร้าน แถมยังจำเขาได้เป็นอย่างดีเหมือนจงใจจะมาหา เป็นไปไม่ได้ เขาอาจจะจำหน้าผิด แต่ร่างบางก็ยังจำผู้ที่ช่วยชีวิตเขาได้ ทำไม... มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เลย

ร่างบางเดินบนทางเดินฟุตบาทด้วยแววตาเหม่อลอย แต่เขาก็ต้องชะงักเมื่อเจอร่างสูงที่คิดว่าจะหนีพ้นแล้ว

“ คุณ!”

 

               เหมือนโลกนี้หยุดหมุน เนื้อตัวเริ่มร้อนๆหนาวๆเมื่อผมเห็นขายผมสีน้ำตาลแดงคนที่เจอในร้านยืนดักรอข้างหน้าผมห่างไม่กี่ก้าว ร่างสูงเริ่มเดินเข้ามาใกล้เรื่อย

“โซระ ฉัน..เห้ยย!! หยุดก่อน โซระ”

               ไม่ทันให้เข้าใกล้มากกว่านี้ผมรีบวิ่งหนีสุดชีวิตไม่คิดอะไรทั้งสิ้น ต่อให้ชนใครต่อหลายคนไม่คิดที่จะขอโทษเพราะตอนนี้เป็นช่วงเวลาแห่งการหนี เพราะอะไรเขายังตามติดผม ผมบอกเขาแล้วว่าไม่รู้จักเขายังไม่เชื่อจะตามผมมาอีกทำไม

 

หมับ

              

แต่ผมก็หนีไม่รอดเงื้อมมือของมือใหญ่ ตัวผมเซไปตามแรง ผมสะบัดข้อมือแต่ด้วยแรงที่เหนือกว่าทำให้ผมต้องยอมแพ้เมื่อร่างสูงกดแรงที่มากกว่าเดิมลงปี่ข้อมือเล็ก

“ปล่อยผมนะ ปล่อย คุณต้องการอะไร”ผมขึ้นเสียง

“อย่ามาทำเป็นไม่รู้จักฉันหน่อยเลยน่าโซระ!”เสียงทุ้มตวาดใส่ผม ผมเงยหน้าเผชิญใบหน้าคม

               ใบหน้าคมเต็มไปด้วยหยดเหงื่อ คิ้วขมวดกันเป็นปมใกล้จะชิดติดกัน แก้มที่แดงเพราะความเหนื่อย

“ผมไม่รู้จักคุณจริงๆ”ผมยังยืนกรานคำตอบแบบเดิม

 

               ร่างสูงเริ่มฉุนเมื่อคนที่คนติดตามมาตลอดจำเขาไม่ได้ หลังจากที่ร่างบางตรงหน้าได้จากไปเขาก็ให้เลขาตนเองสืบประวัติจนได้ความว่าร่างบางอาศัย ทำงาน และเรียนอยู่ที่ใด ร่างสูงพยายามเคลียร์งานทุกอย่างให้เสร็จหวังจะมาเจอร่างบาง แต่พอเจอแล้วคนที่ตนเองเฝ้ามองห่างๆกลับวิ่งหนีตนออกไปไกล คนที่ตนรักจะต้องจบไปอย่างนี้น่ะเหรอ ไม่มีทาง

“ โซระ นึกให้ดีๆสิ นึกให้ออกสิ ฉันคือคนที่ช่วยนายและคนที่จูบกับนายในวันนั้น”ร่างสูงพูดแบบไม่อายปาก

               ใบหน้าสวยขึ้นสีแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย ไม่นึกว่าร่างสูงจะกล้าพูดได้เต็มปากและมั่นใจ

“คุณจำผิดแล้วล่ะครับ”คำตอบที่แสนเย็นชาและใบหน้าที่ดูเรียบนิ่งเหมือนคนที่ไม่เคยรู้จักกัน เห็นแล้วมันทรมานใจ

“ฉันให้โอกาสนายพูดอีกครั้ง”

“ไม่ครับ ผมไม่เคยรู้จักคุณ”ร่างสูงยกยิ้ม โซระเริ่มกลัวแววตาที่มองมาทางตน มันน่ากลัวยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด

“ได้ ในเมื่อนายไม่ยอมรับว่านายไม่รู้จักฉัน”ร่างสูงเอ่ยเสียงเรียบ ก่อนจะโน้มหน้าเข้าใกล้

              

               ใบหน้าคมโน้มลงมา ผมผลักร่างของคนตัวสูงแต่ไม่เป็นผม ร่างสูงกระชากแล้วหน้าลงครอบครองกลีบปากสีชมพูอ่อนทันที  ร่างบางปิดปากไม่ยอมเปิด ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจและหัวใจที่เต้นแรก

 

ตึกตัก...หัวใจที่เต้นรัวและแรงจนดังก้องในหู ใบหน้าร้อนผ่าว สัมผัสอุ่นบริเวณปากยากจะถอนใจห้ามแต่ยังคงใจแข็งไม่ยอมเปิดปากแม้แต่อย่างใด ร่างสูงกัดปากร่างจนเลือดรู้สึกถึงกลิ่นคาวทันที ด้วยความเจ็บร่างบางยอมเปิดปากทันที ในจังหวะนั้นลิ้นร้อนฉวยโอกาสก็สอดแทรกเข้าไปแล้วเล่นหยอกล้อในปาก เริ่มเล่นบทจุมพิตที่เร่าร้อน

“อ่ะ อ๊ะ”ผมปล่อยเสียงครางออกมา น่าอายชะมัด

“อื้อ”ผมต้องไม่หลงระเริงกับอารมณ์ ผมต้องตั้งสติ

               ถึงแม้จะบอกกับใจตัวเองแต่หัวสมองผมมันขาวโพลน มันว่างเปล่า ไร้เรี่ยวแรงจะต่อต้าน เพราะเหตุใดร่างกายถึงไม่ทำตามใจสั่งล่ะ

“เฮือก!”ผมสะดุ้งเมื่อมือเย็นของชายตรงหน้าสอดมือเข้าใต้ร่มผ้าแล้วลูบไล้ผิวกายไปมาอย่างโหยหามันมานาน

               ร่างสูงไม่มีวี่แววจะผละจูบออก เมื่อเห็นใบหน้าสวยเริ่มแดงไปจนถึงหูและเสียงอู้อี้ในลำคอ ร่างสูงจึงยอมผละจูบออก ทันทีที่รอดพ้นจากการจุมพิตแสนยาวนาน ร่างบางรีบกอบอากาศเข้าสู่ปอดทันที

“แฮ่ก แฮ่ก”เสียงหอบหายใจดังเป็นที่น่าพอใจของผู้สร้างผลงานแสนล้ำค่า

“หึ...คราวนี้จำได้หรือยัง”

               ใบหน้าสวยหวานเงยหน้ามองใบหน้าคมด้วยความโมโห ทำไมจะต้องทำกับเขาแบบนี้ เพียงแค่ต้องการให้ตนจำร่างสูงได้ถึงต้องทำขนาดนี้เชียวหรือ มือเล็กกำหมัดแน่นระบายความอึกอัดใจ

“คุณมันแย่ที่สุด คุณไม่จำเป็นที่จะต้องทำแบบนี้กับผมเลย!”โซระขึ้นเสียงใส่น้ำเสียงที่ไม่พอใจ

เป็นครั้งที่สองที่โซระขึ้นเสียงใส่ร่างสูงอย่างเคยเป็นมาก่อน  ร่างบางไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน เขาไม่เคยมีบุคลิกแบบนี้มาก่อน แต่ที่น่าโมโหยิ่งกว่าก็คือ กำลังถูกร่างสูงยิ้มเยาะเย้ย

“หึ ในที่สุดก็ยอมรับออกมาสักที”

               นัยย์ตาสีน้ำทะเลจ้องเขม็งคนตัวสูงเหมือนจะฆ่าให้ตายตรงหน้าให้ได้ ภายใต้ความโกรธกลับรู้สึกมีความสุข ดวงตากลมโตมองเข้าไปที่นัยย์ตาดำทมิฬ

              

แปะ

 

อุ้มมือใหญ่ที่เย็นเฉียบสัมผัสเข้าที่แก้มแสนเนียนนุ่มแล้วลูบไล้

“เพราะว่าฉันต้องการนายยังไงล่ะ ฉันติดตามนายมาตลอด”เสียงทุ้มเอ่ยอย่างอ่อนโยนและใบหน้าที่ผ่อนคลายลง

 

               ผู้ชายคนนี้ติดตามผมตลอดงั้นเหรอ เขาไม่เคยห่างผมไปไหน ตลอดเวลาเขาคอยเฝ้ามองดูผมอยู่งั้นเหรอ จะให้ผมเชื่อได้อย่างไร

              

แต่วินาทีนั้นช่วงเวลาที่สงบกลับต้องวุ่นวายขึ้นมาเมื่อมีวัตถุบางอย่างกำลังพุ่งเข้ามาทางร่างสูง ร่างสูงเมื่อได้ยินเสียงอัดลมบางอย่างก็รู้โดยสันชาติญาณ

 

ปัง!

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา