MEMORIES ความทรงจำ Chapter 2 {Remembarnces}
เขียนโดย Remembrances
วันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2557 เวลา 02.05 น.
แก้ไขเมื่อ 30 กันยายน พ.ศ. 2557 21.30 น. โดย เจ้าของนิยาย
5) MEMORIES [5]: ความทรงจำในตอนนั้น
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความMEMORIES [5]: ความทรงจำในตอนนั้น
ในเช้าวันที่สามของการมาเรียน มันก็ผ่านไปได้ด้วยดีนะ ผมนั่งจ้องมองเมฆผ่านกระจกก่อนที่จะเหลือบมองไปยังไทค์ที่เดินเข้ามาในห้อง พร้อมกับเสียงทักทายของไอ้นนท์เหมือนทุกที
“หวัดดีเว้ยคุณชายไทค์ ได้ข่าวว่าเมื่อวานไปนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าเทพธิดาเหรอวะ เสน่ห์แรงนะมึง”
“เห้ย จริงดิตอนไหนวะ ยังไง” ฟีคพูดขึ้นพร้อมกับลุกตัวจากเข้าอี้และจ้องหน้าไทค์ตาเป็นมันเลย
“ก็เมื่อวาน ไอ้ไทค์แม่งไปทานข้าวกับ สาวๆฝั่งนู้นไง แถมยังไปกันเป็น 10 คนอีกต่างหาก” คราวนี้เสียงไอ้เก่งดังขึ้น เลยทำให้ทุกคนเหลียวไปฟังมัน จนในที่สุด ไอ้ไทค์ก็ได้ออกมาปฏิเสธ
“เออๆ พวกมึงพอเลย กูแค่ไปฉลองวันเกิดเพื่อนเท่านั้น ไม่มีรัยมากเว้ย” จะว่าไปคนที่มันไปนั่นสตางค์ไม่ใช่เหรอ ไหง๋บอกเพื่อนวะ
“เหรอๆๆ เพื่อนหรือแฟนกันแน่วะ” เสียงของไอ้เก่งยังย้ำอีกครั้ง
“เพื่อนดิวะ ไอ้ปุ้นก็ไปไปถามมันดูดิ”
“ไอ้ปุ้น รองประธานนะเหรอ จะว่าไปพวกมึงไปสนิทกันตอนไหนวะ ถึงไปด้วยกันได้” ไอ้นนท์ได้ยิงคำถามใปหาไทค์ จนผมเริ่มสงสัยเรื่องที่ข้าวฟ่างบอกผมเมื่อวานแล้วสิ
“ก็มันไปกับแฟนมันและบังเอิญเจอมันก็เท่านั้นเอง”
“เหรอ แต่กูได้ยินว่าพักหลังนี้มึงไปบ้านมันบ่อยๆนี่หว่า” เสียงไอ้นนท์ยังคอยจับผิดไทค์อยู่ จนมันคงรำคาญเลยโวยวายยกใหญ่เลย
“นี่มึงจะอะไรกันนักกันหนาวะ ถามอยู่นั่น”
“เออ ไม่ถามก็ได้ ถามแค่นี้ทำเป็นดุ” ว่าแล้วทั้งห้องก็เงียบปากไปอีกครั้งเพราะว่า อาจารย์มัณฑนาเข้ามาสอนพอดีเลย เลยเป็นอันต้องจบคำถามของพวกนั้นไป
*****
กริ๊งงงงงงงงงงงงง
เสียงกริ่งเลิกเรียนได้ดังขึ้นเป็นเวลาที่ผมเตรียมตัวเพื่อที่จะไปยังบ้านภัทรนันท์อีกครั้ง และวันนี้สิ่งที่ผมจะทำคือ ตั้งใจสอนทำอาหารอย่างจริงจังละ ซึ่งคราวนี้ต้องหาวัตถุดิบมากหน่อย แล้วไหง๋ผมต้องราดตะเวรหาของแบบนี้กันนะ ซึ่งตอนที่ผมซื้อของนั้นเอง จะถือว่าเป็นเรื่องบังเอิญนี่จะถูกรึปล่าวกันนะ เพราะว่าคนที่อยู่ต่อหน้าของผมตอนนี้ก็คือ ข้าวฟ่าง ไหง๋เจอได้ทุวันเลย
“อ้าวพี่เจ ซื้อของเหรอคะ” เสียงของโอปอที่มากับข่าวฟ่างเรียกผมทำให้ต้องหันกลับไปทักทาย
“ครับ ว่าแต่นี่เลิกเรียนกันแล้วเหรอ?”
“ก็พอดีเรียน ดนตรีพึ่งเสร็จเลยกลับช้าหน่อย”
“อ๋อ ครับ ว่าแต่กลับยังไงกันเนี๊ยะ”
“อ๋อ โอปอกลับกันพี่ชายนะค่ะ เดี๋ยวก็มาละ นั่นไงมาพอดีเลย” โอปอพูดพลางชี้ไปยังเด็กผู้ชายกางเกงสีน้ำเงินที่โบกมือเรียกเธอ แต่เอ๊ะ ไอ้หมอนั่นมัน ไอ้อ้น!! อ้นมองมาทางผมด้วยท่าทางแปลกประหลาด เหมือนตกใจอะไรอยู่ก่อนที่จะพูดกับผม แทนที่จะพูดกับน้องสาวก่อน
“เห้ย ไอ้เจ มาได้ไงวะ”
“เอ่อ มาซื้อของนิดหน่อยวะ ว่าแต่นี่ มารับน้องเหรอ”
“เอ่อ นี่โอปอน้องสาวกูเอง”
“เออ กูพอรู้จักแล้ววะ ว่าแต่มึงมีน้องด้วยเหรอ”
“อ่าว ก็มึงไม่ถามกูเองนี่หว่า” บทสนทนาที่แสนงวยงงของผมและอ้นทำให้โอปอและข้าวฟ่างเริ่มมึนๆซะละ
“ทั้งสองคนรู้จักกันด้วยเหรอ” เหอะๆๆ จะไม่ให้รู้จักได้ยังไงละ ก็อยู่ก๊กเดียวกันมาตั้งแต่ม.1 แล้วนี่นา
“อื้ม รู้จักสิ ก็เนี๊ยะ เพื่อนพี่เองละ เรียนที่เดียวกัน ห้องเดียวกัน และนั่งโต๊ะข้างกันด้วย” พอคำบรรยายของอ้น ทั้งสองคนก็ได้แต่เงียบ รู้สึกจะงงๆอยู่แหละมั๊ง
“อ๋อ งี้นี่เอง” แหม่ๆๆ กว่าจะเข้าใจ จะว่าไปอ๋อช้าไปแล้วครับน้องโอปอ
“เออ ถ้างั้นกูไปก่อนนะเว้ย แม่โทรตามละ”
“ไปแล้วนะค่ะ” ว่าแล้วมันก็พาน้องสาวมันเดินจากไป เหลือผมและข้าวฟ่างเพียงสองคนก่อนที่จะตัดสินใจพากันไปยังไปเรียนทำอาหารกันต่อ
*****
ณ รั้วบ้านภัทรนันท์ ผมและข้าวฟ่าวกำลังบรรเลงห่อเกี๊ยวกุ้งอยู่ ก่อนที่จะที่จะเอาลงมาต้มด้วยน้ำเดือดๆ แต่ว่าวันนี้ก็เงียบไปจริงๆ เพราะขนาด ทุ่มกว่าแล้ว ข้าวปุ้นและไทค์ยังไม่มาเลย มันจะเงียบไปหน่อยแล้ว ผมในตอนนี้คิดแต่เพียงว่าน่าเบื่อ แต่แล้ว ข้าวฟ่างก็ได้ชวนผมคุยขึ้นมา
“พี่เจรู้จักพี่ชายของโอปอด้วยเหรอ” เอ๊า เดี๋ยวดิ เมื่อเช้าไม่ได้ฟังที่พูดเหรอ
“เอ่อ ก็รู้จักมาตั้งแต่ ม.1 แล้วละ”
“อื้ม แล้วว่าแต่พี่เจเคเรียนอะไรสายเหรอรู้สึกว่าจะอยู่คนละห้องกับพี่ข้าวปุ้นสินะ” เออ ดูถามเข้าไม่ดูหน้าเลย แต่ก็เอาเหอะไม่รู้ไม่ผิด
“เรียนสายวิทย์ครับ”
“อ๋อ แล้ว.........ที่โรงเรียนมี ชมรมรึปล่าวคะ” จะว่าไปวันนี้น้องข้าวฟ่างถามเซ้าซี้จังนะครับ
“ก็มีนะ”
“แล้วมีชมรมอะไรบ้างล่ะ” เออ นั่น ถามเข้าไป ไม่ใช่เซ้าซี้ละเรียกจุกจิกคงไม่แปลก
“ก็เยอะอยู่แหละ ชมรมใหญ่เลยก็กีฬาแต่ก็จะมีชนิดของกีฬาแยกออกไป และก็ดนตรี/ดุริยางค์ อืม.......ชมรมวรรณศิลป์ ชมรมนาฏศิลป์/การแสดง ชมรมเชีย ชมรมเอกภาษา และก็ชมรมเกษตร ก็มีเจ็ดชมรมเท่านั้นแหละที่เป็นชมรมหลัก เพราะที่เหลือเป็นชมรมที่นักเรียนเขาขอตั้งขึ้นเองทั้ง ชมรมภาพยนตร์ ชมรมดาราศาสตร์ อะไรพวกนี้แหละ”
“อ๋อ จะว่าไปพี่เจล่ะ อยู่ชมรมอะไรเหรอ”
“อืม.....นั่นสิ.....พี่อยู่ชมรมดนตรี/ดุริยางค์”
“จริงดิ ถ้างั้นช่วยสอนข้าวฟ่างมั่งสิ น๊าๆ ข้าวฟ่างกำลังฝึกเล่นฟลุ๊ตอยู่ พี่เล่นเป็นรึปล่าว”
“นั่นสิ งั้นไว้ว่างๆเดี๋ยวสอนนะ ข้าวต้มเกี๊ยวสุกละ เดี๋ยวยกออกให้นะ” พอพูดจบผมก็ยกหม้อที่บรรจุข้าวต้มร้อนๆออกมา
ผมนั่งรอข้าวปุ้นและไทค์นานพอสมควรแต่ก็ไม่มาซักทีผมและข้าวฟ่างเลยพากันนั่งกินจนอิ่ม แต่วี่แววของทั้งสองก็คงยังไม่กลับมา ผมจึงลาข้าวฟ่างพร้อมกับ กลับบ้านไป จนถึงรุ่งเช้าวันถัดมา คาบเรียนเช้าวันนี้ของผมเป็นคาบว่าง (จะว่าไปไอ้ไทค์หายไปไหนวะ) ผมพยายามมองหามันที่ไม่รู้ว่าตอนนี้ไปอยู่ไหนแล้วแต่ก็ช่างเหอะ ผมเดินเล่นข้างสนามฟุตบอลผ่านทางหน้าระเบียงไปเรื่อยเปื่อย ซึ่งขณะที่ผมกำลังเดินเล่นอยู่นั้นเสียงของเด็กหนุ่มรุ่นราคราเดียวกับผมก็ตะโกนกังเข้ามาตั้งแต่ไกล
“เจเค”
“เห้ย เจเค” เสียงของคิว เพื่อนต่างห้องของผมมันเรียกชื่อผมมาตั้งแต่ไกล แถมเรียกซะหลายรอบอีกซะงั้น
“เห็นไทค์รึป่าววะ” จะว่าไปเรียกกูเพื่อที่จะตามหาไทค์เนี๊ยะนะ เออ!! เรื่องของมึงเหอะ
“ไม่เห็นว่ะ นี่กูก็กำลังตามหามันเหมือนกัน ถ้าเจอมัน ฝากบอกมันด้วยนะ ว่ากูตามหามันอยู่”
“เออ” ว่าจบประโยคแล้ว คิวก็ได้วิ่งออกไปพร้อมทำท่าเกาหัว คงสงสัยอะไรอยู่มั๊งวะ
*****
หลังจากที่คิดได้เดินไปจนลับสายตาของผมแล้ว ตัวผมก็ได้นั่งลงบนม้านั่งข้างสนามฟุตบอล นั่งดูเหล่าเด็กนักเรียน ม.ต้น เล่นฟุตบอลกันอย่างสนุกสนานอยู่ที่ม้านั่งข้างต้นไม้ใหญ่ ช่างเป็นบรรยากาศที่ดีเสียจริง ผมสูดรับออกซิเจนที่ใต้ต้นไม้นั้นอย่างสงบ แต่แล้ว เสียงโทรสับของผมก็ดังขึ้น เสียงจากไลน์ที่ของคนที่ผมคุ้นเคยได้ทักผมเข้ามา แต่มันก็ดีเพราะอย่างน้อยก็ไม่ต้องเบื่อ
LoveLy OverTime[อาจารย์คะ ทำอะไรอยู่ ^///^]
JK Jednaphat [อืม.............นั่งหายใจ]
LoveLy OverTime[โห่ๆๆ แล้วปกติไม่หายใจรึไง พี่เจเคชอบแกล้งข้าวฟ่างอยู่เรื่อยเลย -3-]
JK Jednaphat [ไม่ได้แกล้งซักหน่อย ว่าแต่เราไม่เรียนเหรอ?]
LoveLy OverTime[ชู่ๆ เดี๋ยวอาจารย์ได้ยิน]
JK Jednaphat [ขอให้ได้ยินทีเถอะ เด็กดื้อ ไม่ตั้งใจเรียน]
LoveLy OverTime[โห๋ๆ เรียนก็ได้ เชอะงั้นเดี๋ยวตอนเย็นข้าวฟ่างจะทักไปนะคะ เดี๋ยวเรียนก่อน อุ๊ย!! อาจารย์มา]
ผมนั่งจ้องข้อความสุดท้ายที่ข้าวฟ่างได้ส่งเข้ามาให้ผมและยิ้มกับมันอยู่อย่างนั้น ก่อนที่ความทรงจำในวันนั้น จะเข้ามาในสมองผมอีกครั้ง มันช่างเป็นบทสนทนาที่ช่างคุ้นเคยเหลือเกิน (ไม่สิ!!! ทำไมเราต้องคิดถึงมันด้วย) ผมตบหน้าตัวเองสองทีก่อนจะสะบัดหน้าเพื่อนให้ตัวเองเลิกคิดถึงเรื่องที่มันไม่ควรจะคิดซักที
“มันผ่านมาแล้ว...มันผ่านมาแล้วจริงเหรอ? โฟร์
คนเรานี่ก็แปลกทั้งที่พยายามอยากจะจำแต่ใจกลับลืม แต่เรื่องที่อยากจะลืมกลับจำมันได้อย่างฝังใจ ทั้งที่อยากลืมเรื่องราวในวันนั้น เรื่องราวที่ไม่อยากนึกถึงมันอีก
“ถ้าเป็นไปได้ ขอลืมมันซักทีได้มั๊ย”
เสียงของผมอุทานออกมาจากความคิดที่ว่าอยากลืม แต่เสียงที่ตอบกลับผมมากลับทำให้ผมคิดไปมากกว่านั้น
“ไม่ได้เว้ย”
ผมหลับตาพร้อมตอบกลับเจ้าของเสียงนั้นไปไม่อยากลืมตาขึ้นมาอีก เมื่อก่อนผมก็เคยเป็นแบบนี้ ทั้งที่ผมผ่านมันมาได้แล้ว แต่ทำไมตอนนี้ต้องกลับจำมันอีกครั้งกันนะ
“ทำไมวะ ทั้งที่อยากลืมแต่กูกลับคิดถึงมันในทุกๆครั้ง กูควรจะทำยังไงดีวะ กูกลัวว่าจะกลับไปเป็นเหมือนวันนั้นอีก”
“เรื่องง่ายๆ เว้ย ถ้าลืมไม่ได้ มึงก็จำมันซะสิ จำในสิ่งสิ่งที่มึงอยากลืมและจำมันให้มากที่สุดเท่าที่มึงจะทำได้” น้ำเสียงเดิมยังคงตอบกลับผมมาเช่นนั้น เหมือนพยายามปลอบใจผมและก็เหมือนเป็นสิ่งที่คอยย้ำซ้ำเติมผมไปพร้อมๆกัน
“กูจำทุกอย่าง แต่ทำไมกูถึงรู้สึกเจ็บแบบนี้วะ ทำไมน้ำตากูถึงไหลออกมากันวะ” คำพูดของผมทำให้น้ำเสียงที่เหมือนพยายามจะปลอบใจผมเมื่อตะกี๊ เงียบลงไป
สายลมที่พักโชยมาพร้อมกับเสียงเจี๊ยวจ๊าวของเด็ก ม.ต้นในตอนนี้ มันกรอกเข้ามาในหูของผมเป็นระยะๆ ถึงแม้จะมีเสียงรบกวนมากเพียงใด แต่ผมก็ไม่เคยที่จะปัดความคิดไปได้ซักที ผมย้ำคำพูดเรียกเจ้าของเสียงอีกครั้ง
“ทำไมกันวะ ไอ้นนท์” สายลมหัดโชยมาอีกครั้ง ทำให้นนท์พูดออกมาพร้อมเสียงพ่นลมหายใจและตามด้วยเรื่องเล่าที่ย้ำเตือนสติผม
“เขาว่ากันว่านะเว้ย คนเราเมื่อก้าวผ่านความเจ็บปวดมาได้ จะทำให้เราเข้มแข็งขึ้นเว้ย กูรู้ว่าเรื่องแบบนี้มันก็ต้องทำใจนานหน่อย เมื่อก่อนกูก็เป็นแบบมึงแหละ ตอน ป.4 ตอนนั้นกูทำอะไรไมถูกเลยวะ กูได้แต่จ้องมองรูปแม่ ที่ประดับไปด้วยดอกไม้ ตอนนั้นกูเอาแต่นั่งร้องไห้.....สองวันเว้ย กว่ากูจะหยุดร้อง ไม่ว่าพ่อกูจะเอาอะไรมาล่อ ขนมก็แล้ว ของเล่นก็แล้ว กูก็เอาแต่ขลุกตัวเองอยู่ในห้องนอนและร้องไห้ แต่ว่านะเว้ยกูก็ผ่านมันมาได้ ถึงแม้มันจะเศร้าตอนจาก แต่เมื่อผ่านมาแล้วมันก็ทำให้เราเข้มแข็งขึ้นมาจริงๆ กูรู้ว่ามึงกับโฟร์รักกันมากแค่ไหน ป.1 แล้วสินะ ที่มึงและโฟร์รู้จักกัน กูก็ยังทำใจไม่ได้เหมือนกันแหละ เมื่อเพื่อนที่สนิทต้องมากไป.....แต่ถ้าเทียบกันแล้ว คนที่เจ็บที่สุดคงจะเป็นมึงสินะ..........ไอ้เจเค........อดีตมันจะอยู่ในความทรงจำของเราตลอดไป ถึงแม้ว่ามันจะไม่สวยงามซักเท่าไหร่ แต่มันก็ทำให้เรายิ้มได้เมื่อกลับไปมองมัน.......มึงอย่าให้ความทรงจำมาทำร้ายตัวมึงเองดิวะ กูผ่านมาได้ มึงก็ต้องผ่านมันไปได้เว้ย กูเชื่อในตัวมึง และขอให้มึงเชื่อในคำพูดของกู”
เสียงของนนท์ที่ได้เล่าเรื่องราวปลอบใจผม มันทำให้รู้สึกโล่งใจหน่อยหนึ่งเพราะอย่างน้อยผมก็รู้ว่า ถึงแม้ว่าไอ้นนท์มันจะปากหมาไปบ้าง แต่อย่างน้อยมันก็เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของผม มันไม่เคยที่จะทิ้งผมเลยซักครั้ง
“กูขอบใจมึงนะเว้ย ที่คอยอยู่ข้างกู”
“เออ ถ้างั้นเพื่อนจะมีไว้ทำไมวะ จริงรึป่าว?”
“เออว่ะ” ประโยคสุดท้ายของการพูดคุยทำให้ผมยิ้มออกมาได้
ถึงแม้ว่าเราจะผ่านเรื่องที่เลวร้ายขนาดไหน ยังไงก็ยังมีเพื่อนคอยปลอบใจเสมอ ขอบคุณเพื่อนที่ดีที่สุดของกูนะเว้ย ไอ้นนท์
#####################
-ฝากติดตามนิยายเรื่องนี้ด้วยนะครับ ติดตามไปนานๆนะ ครับ รักคนอ่าน รักคนเม้น รักทุกคนที่ติดตามเลย
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ