สงครามวัยมันส์ พันธุ์อสูร
1) กำเนิดข้ารับใช้
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความหน้าร้อนของผมคือการฝึกฝนเพื่อความแข็งแกร่งเพื่อปกป้องคนที่อีกไม่นานจะมาเป็นเจ้านายของผม ฝึกเท่านั้นที่จะทำให้ผมแข็งแกร่งเหนือใคร และจะต้องไม่ด้อยกว่าใคร จะต้องไม่แพ้ใคร ต้องเป็นที่ยอมรับเท่านั้น ถึงจะทำให้ผมพอใจ ไม่มีใครหยุดความคิดและการทำของผมได้ ไม่ว่าใครก็หยุดผมไม่ได้...
หน้าร้อนปีนี้ก็เช่นเคย ผมยังคงเอาแต่ฝึกฝน ลมร้อนค่อยๆพัดผ่านร่างผมไปอย่างช้าๆราวกับว่ามันมาทักทายผมที่ได้สัมผัสกันอีกครั้งก่อนพัดอย่างช้าๆจากไปยอดต้นหญ้าที่ขึ้นสูงจนถึงระดับเข่าถูกสายลมร้อนทักทายก่อนค่อยๆปลิวไสวช้าๆไปตายแรงลม ผมมองแวดล้อมรอบกายอย่างคุ้นเคย แดดที่ถูกเมฆบดบังจึงทำให้บรรยากาศไม่ร้อนมากโลกที่ผมเกิดและอาศัยอยู่เป็นโลกปิศาจ ขึ้นชื่อว่าปิศาจทุกคนคงคิดว่ามันต้องน่าเกลียดน่ากลัวและชั่วร้ายมากแน่ๆ แต่ถ้าได้ลองพินิจพิจารณาดีๆพวกเรากลับเป็นฝ่ายที่เคียงข้างมนุษย์มากที่สุด แต่ก็น้อยคนที่จะเคียงข้างไปกลับปีศาจอย่างพวกเรา หน้าร้อนปีนี้ผมก็ยังคงรอคอยเจ้านายที่ใครต่อใครก็พูดกัน ว่าถ้ามีเจ้านายที่จิตใจเข้มแข็งพวกเราที่เป็นข้ารับใช้ก็จะเข้มแข็งไปด้วย สรุปๆง่ายก็คือพวกเราจะเข้มแข็งขึ้นอีกเมื่อจิตใจเจ้านายเข้มแข็งขึ้น แต่ผมกลับไม่เจอเลย คนที่จะยอมรับและยอมเดินเข้ามาทำพันธะสัญญาด้วย ไม่มีเลยซักคน...
'ร้อนกว่าปีก่อนๆอีกนะ หน้าร้อนเนี่ยก็ร้อนได้ใจจริงๆเลย'
ผมนั่งบ่นในใจเกี่ยวกับสภาพอากาศที่เริ่มร้อนอบอ้าวในช่วงสาย ลมร้อนที่พัดผ่านร่างไปก็ทำให้ผมหงุดหงิดไม่น้อย ขณะที่กำลังโบกพัดใบหน้าที่ชุ่มเหงื่อด้วยมือคู่นี้อยู่ใต้ต้นไม้นั้นเงาของใครบางคนก็บดบังแสแดดแสนร้อนระอุให้ ผมค่อยๆปรือตามอง เจ้าของเงานั้นเป็นเด็กสาวร่างเล็ก ดวงตาสีดำกลมโตที่กำลังจ้องมองมาที่ผมด้วยสายตาสงสัย เธอสวมเสื้อฮู๊ดแขนสั้นสีเทาแถบดำแนวนอน กางเกงรัดรูปสีดำดูน่าอึดอัด ในอ้อมแขนมีดอกหญ้าหลากหลาย ผมมองสายตาที่กำลังส่งคำถามอย่างเงียบๆด้วยความรู้สึกอึดอัดใจ กลิ่นกายที่คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นของดินและทุ่งหญ้าทำให้ผมเผลอหลุดปากออกมาอย่างลืมตัว
"กลิ่นของฤดูร้อน"
"คิกๆ...ดูท่าคุณคงเหนื่อยและหิวน้ำมาก เลยเพ้อไปแล้วสินะค่ะ"
เธอหัวเราะด้วยน้ำเสียงสดใสก่อนยืมขวดน้ำสีใสให้ ก่อนเดินอ้อมไปด้านหลังแล้วนั่งลงเงียบๆ
"เธอเป็นใคร"
"ก็คนแถวนี้นั้นแหละค่ะ เพียงแต่ฉันกับคุณแตกต่างกัน"
เธอเอ่ยราวกับว่าเธอรู้ฐานะของผมกับเธอดี
"แสดงว่าเธอก็รู้สินะว่าฉันเป็นใคร"
"นั้นสินะ พี่ชายเป็นใครเหรอค่ะ"
"..."!!!
ผมควรจะดีใจหรือเสียใจดีที่หลงคิดว่าเธอไม่ฉลาดเหมือนคำพูดที่เธอเอ่ยออกมาเลย ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนกระดกน้ำในขวดเกือบขึ้น น้ำที่ผมกินเข้าไปทำเอาผมสดชื่นทันตาเห็นแต่ก็ทำเอาอยากจะกินให้หมดในทีเดียวหากแต่เจ้าของน้ำขวดนี้ก็ดูจะเหนื่อยล้าน่าดู แต่...ที่นี้มัน
"เธอ"
"ก็บอกแล้วว่าเราแตกต่างกัน..."
เธอยิ้มอย่างมีเลศนัยก่อนสวนมงกุฎดอกไม้ที่เธอทำขึ้นมาจากดอกไม้ในมือของเธอบนหัวของผม เธอขยับเข้าใกล้ก่อนจะเอ่ยกับผมด้วยน้ำเสียงเป็นเลศนัย
"พี่ชายนะ อ่อนแอเกินไปนะ เพราะฉะนั้นจนกว่าพี่ชายจะเข้มแข็ง หนูจะไม่ทำพันธะสัญญา..พี่ชายควรจะศึกษาเรื่องพันธะสัญญาอีกครั้ง จนกว่าจะเข้มแข็งหนูจะไม่ทำสัญญา"
"ฉันอ่อนแอตรงไหนกัน"
"ตรงที่ ไม่หัดใช้สมองสร้างรอยหยักยังไงล่ะ"
เธอชี้ไปที่ส่วนหัวของตัวเองแต่สายตาของเธอกำลังด่าว่าผมมันโง่เกินเยียวยา อะไรกันนอกจากไม่เป็นมิตรแล้วยังปากดีอีกเหรอ...เป็นเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมแท้ๆแต่กลับทำตัวอวดเก่งมาสอนคนอื่น แบบนี้ต้องทำให้รู้บ้างแล้ว ผมไม่รอช้าที่จะลุกขึ้นดิ่งเข้าไปซัดร่างที่เหลียวหลังจากไป อีกไม่กี่เซนหมัดของผมก็จะซัดตูมเข้าที่ท้ายทอยของหล่อนอย่างหลบไม่ทัน แต่หมัดของผมกับโดนใครสักคนหยุดไว้ ชายร่างสูงไม่น้อยกว่าผมกำหมัดของผมแน่นก่อนจิกสายตามอง ผมสีส้มแดงดุจเปลวเพลิงที่เผาผลาญทุกสิ่งให้มอดไหม้ ประดับด้วยพู่ขนนกและลูกปัดสีส้มที่มัดไว้กับผมด้านข้างของผม การแต่งกายของเขาเปลือยท่อนบนจนถึงช่วงเอวมีผ้าที่ขาดเป็นลิ่วๆมัดทับกับกางเกงสามส่วนที่เขาสวมใส่อยู่ เขาเท้าเปล่าแต่ที่ข้อเท้ามีกระพรวนและข้อเท้าสีเงินและทองสวมอยู่ ต้นแขนขวามีปลอกแขนสีดำเงาสวมอยู่ ทั้งการแต่งกายและพละกำลังของเขาบ่งบอกว่าเขาคือปิศาจที่แข็งแกร่งน่าดู
"ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าปิศาจอมมืออย่างเจ้าจะมีพละกำลังขนาดนี้ น่าชื่นชม"
"แต่การกระทำของคุณสื่อถึงการหมายทำร้ายนายท่านของเรา...จะใครก็ไม่ละเว้นครับ"
เสียงราบเรียบที่อยู่ๆก็ขนานข้างผมมานั้นซัดหมัดเข้ามาที่ท้องอย่างแรงจนร่างของผมปลิวไปกระแทกกับต้นไม้ที่ผมเคยนั่งหลบร้อนอย่างแรง เขาส่วนเสื้อผ้าแบบเดียวกันกับชายผมสีเปลวเพลิงเพียงแต่สีผมของเขาคือสีเงินบริสุทธิ์ไม่มีพู่ที่ผูกไว้กับผมแต่เป็นสร้อยเชือกสีดำที่ห้อยสัญลักษณ์ของเผ่าเคี้ยวทมิฬ เคี้ยวทมิฬ...หมาป่าแห่งเหมันต์ไงเหรอ ถ้าอย่างนั้นชายผมส้มก็วิหคสีเพลิงนะสิ ผมปรือตามองเด็กสาวที่เหลียวหลังกลับมามองผมด้วยสายตาเย้ยหยัน
"ก็บอกแล้ว ว่าฉัน แตกต่าง"
"!!!"
เธอมีข้ารับใช้ระดับSSอยู่ในครอบครอง ก็เท่ากับว่าเธอคือคนที่ผมตามหามาเนินนาน เธอหันหลังเดินจากไปจนเกือบไกลสายตาก่อนตามด้วยข้ารับใช้ที่ผมไม่ควรเข้าไปปะมือด้วย ขณะที่จ้องมองการจากไปของเธอ ผมก็ต้องเบิกตากว้าง
"ปีกของวิญญาณหลงทาง...ดวงวิญญาณสีดำ...ไอเย็นของเหมันต์"
เธอจากไปจนสายตาของผมมองไม่เห็น ถ้าได้พบอีกครั้งมันต้องดีแน่ๆต้องดีอยากที่เคยหวังมาแน่ๆ ผมไม่รอช้าที่จะทำให้ตัวเองเก่งกว่าที่เป็น ณ ตลาดยามสนธยาเวลานี้คือที่สรรจรไปมาของเหล่าปิศาจที่มีชีวิตเลียนแบบมนุษย์เผื่อพวกเขาจะมีเจ้านายซักที ผมมองการสรรจรของพวกเขาอย่างนั้นก่อนวิ่งเข้าไปในซอกบ้านเรือนผ่านไปอีกทางที่มีเหล่าปิศาจเดินสวนทางกันบางตา ตรงหน้าของผมคือหอหนังสือปิศาจที่เปิดตลอดเวลา ผมมองหอหนังสืออย่างลังเล ผมด้อยหนังสือ ผมไม่เคยเรียนหนังสือ ใช้แต่พละกำลัง แต่หากผมไม่ศึกษาเด็กคนนั้นอาจจะไม่ทำพันธะสัญญากับผมแน่ๆ เมื่อคิดได้ดังนั้น ผมก็ตัดความลังเลของความโง่เขลาทิ้งไปแล้ววิ่งตรงดิ่งเข้าไป ภายในนั้นเงียบสงัดราวกับว่ามันรกร้างห่างไกลผู้คนมานานนับปี บรรณารักษ์หอหนังสือปิศาจมองผมก่อนทักทายด้วยน้ำเสียคุ้นเคยและไม่เชื่อสายตา
"ว่าไง...คาริว...วันนี้เธอจะมาก่อกวนอะไรหอหนังสือแห่งนี้อีกล่ะ"
"ผมอยากรู้ ผมอยากรู้เกี่ยวกับพันธะสัญญาและวิญญาณหลงทาง"
"หืม...เธอมาแปลกนะ...ได้สิ มิมิว นินิวพาเขาไปหาสิ่งที่เขาอยากรู้ที แล้วก็สอนเขาด้วยล่ะ"
ผมควรโกรธเวลาที่เขาด่าผมอ้อมๆแต่ครั้งนี้ไม่เด็ดขาด ผมก้มหัวให้มิมิวและนินิวอย่างนอมน้อม
"ขอความกรุณาด้วยครับ"
มิมิวและนินิวพาผมไปยังชั้นหนังสือที่อยู่บนชั้นสิบของหอหนังสือ ที่นี้เงียบสงัดยิ่งกว่าที่ชั้นใดๆ ชั้นหนังสือที่สูงทั่วหัวตั้งตระหง่านสุดลูกหูลูกตา
"จะช่วยค้นหา"
"ค้นหาความจริง"
"มันมีเยอะเกินไปที่จะหาได้ทัน"
"พันธะสัญญา ดวงวิญญาณที่หลงทาง จะช่วยค้นหา"
"ค้นหาสิ่งที่จะค้นหา"
มิมิวและนินิวคือฝาแฝดแห่งชั้นหนังสือปีศาจ เธอทั้งสองคนมองเผินๆช่างคล้ายคลึงกันแต่คำพูดของมิมิวจะยาวกว่านินิวที่ดูเคร่งขรึมตลอดเวลา ผมมองสันหนังสือเล่มหนาที่เรียงรายอย่างเป็นระเบียบบนชั้นหนังสืออย่างพินิจพิจารณา เพราะความที่ไม่เคยอ่านเขียนมาก่อนจึงต้องค่อยๆไล่สะกดที่ละตัวอักษร ส่วนมิมิวและนินิวที่คุ้นเคยกับชั้นหนังสือเหล่านี้ ต่างใช้พลังแห่งหนังสือควบคุมหนังสือแต่ละเล่มที่เกี่ยวข้องออกมาอย่างชำนาญการ จนไม่นานผมก็ได้นั่งมองกองหนังสือที่สูงท่วมหัวไม่แพ้ชั้นหนังสือที่ผมไปค้นหามา
"ทั้งหมดเกี่ยวข้องกับความปรารถนา"
"เกี่ยวข้อง"
"เอ่อ...ขอบคุณนะ แต่ก็คงต้องรบกวนให้ช่วยอ่านด้วย"
"โง่เขลา"
"ด้อยปัญญา"
มันก็ไม่น่าอภิรมย์เท่าไรหรอกว่าไม กับการที่ให้คนอื่นมาสอนทั้งที่อายุก็ปาเข้าไปจะร้อยปีแล้วแท้ๆมิมิวและนินิวเปิดหนังสือด้วยพลังของตนอย่างชำนาญก่อนอ่านบทความที่เกี่ยวข้องให้ผมฟังแต่มันกลับทำให้ผมงุนงงเกินกว่าจะเข้าใจ มันล้มไม่เป็นท่า แห่งหอหนังสือปิศาจทักขึ้นก่อนจะมองผมด้วยสายตาเข้าใจกับความพ่ายแพ้ของผม เขากวักมือเรียกให้ผมเข้าไปหาซึ่งผมก็ยินยอมเดินเข้าไป
"เจอไมล่ะ"
"เจอครับ แต่มันแตกต่างกันสิงที่ผมเจอมา"
"อืม..ลองเล่าให้ฉันฟังหน่อยสิ"
ผมไม่รอช้าที่จะเล่าสิ่งที่ตาตัวเองเจอมา มันยังติดตาของผมมาจนเวลานี้มันอัศจรรย์จนไม่อย่างจะเชื่อสายตาตัวเอง ผมเล่าทุกสิ่งที่เจอให้เฒ่าบรรณารักษ์จนจบก่อนมองปฏิกิริยาของเขาที่เอาแต่พยักหน้าอย่างเดียว
"ที่คุณพยักหน้าเนี่ยหมายความว่า"
"ฉันไม่มั่นใจเท่าไร"
"ผมควรยินดีสินะที่การเล่าสิ่งที่เห็นให้กับคนไม่เคยมองโลกภายนอกอย่างคุณฟัง"
"ที่ฉันไม่แน่ใจคือ...ข้ารับใช้สองคนกับนายเพียงคนเดียว มันไม่เคยมีกรณีนี้มาก่อน"
"กษัตริย์"
"เชื้อพระวงศ์"
"นั้นแหละๆ ใช่ๆมีเพียงกรณีของชนชั้นสู.เท่านั้นที่จะมีข้ารับใช้ในครอบครองสองตนขึ้นไปแต่ต้องเป็นปิศาจเหมือนกันถึงจะครอบครองได้ แต่กรณีที่เจ้าเล่ามานั้นมันเกินคาด"
"ผิดเพี้ยน"
"แปลกประหลาด"
มิมิวและนินิวเอ่ยเสริมขึ้นมาทั้งคู่ก็เปรียบเสมือนดวงวิญญาณของเฒ่าบรรณารักษ์ความคิดความอ่านจึงไม่ต่างกันแต่ทั้งคู่จะแตกต่างกับเฒ่าบรรณารักษ์ก็ตรงที่ความจำและความรอบรู้ ผมครุ่นคิดก่อนนึกภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
"เด็กคนนั้นเป็นวิญญาณหลงทางที่ผิดเพี้ยนจากวิญญาณดวงอื่นๆที่เคยหลงทาง เธอมีปีกและดวงวิญญาณของเธอก็เป็นสีดำด้วย"
"ดวงวิญญาณสีดำ"!!!
เฒ่าบรรณารักษ์อุทานเสียงดังลั่นก่อนมองซ้ายมองขวาแล้วคว้าผมเข้าไปใกล้ระยะประชิด
"เจ้าช่างโชคดีจริงๆที่ได้เจอดวงวิญญาณสีดำ"
"ทำไมล่ะ"
"หายาก"
"แตกต่างเกินเอื้อม"
"นั้นก็หมายถึงดวงวิญญาณดวงนั้นหลุดพ้นจากทั้งการเป็นมนุษย์และวิญญาณที่เร่ร่อนไปในความมืดระหว่างมิติยังไงล่ะ"
"ผมไม่เข้าใจ"
ผมขมวดคิ้วเป็นปมหนาก่อนมองเฒ่าบรรณารักษ์อย่างสงสัย
"นั้นก็หมายถึง...เด็กที่เธอพูดถึงมีความใกล้เคียงกับราชาสีดำยังไงล่ะ"
"!!!"
"ทัดเทียม"
"เข้าใกล้ราชา"
ผมยังคงนั่งอึ้งเกี่ยวกับคำตอบที่ได้ฟังมา มันเกินคาดของใครหลายคนไม่มีวิญญาณหลงทางดวงไหนหลุดพ้นความต้องการที่จะมีชีวิตทั้งในทางการเป็นมนุษย์รึปีศาจ ผมนั่งเหม่อมองท้องฟ้ายามดึก หน้าร้อนในเวลากลางคืนก็ร้อนเกินเยียวยาแต่สายลมก็ช่วยทำให้ร่างกายของผมแทบไม่มีเหงื่อ
"เข้าใจถึงความแตกต่างหรือยังล่ะ พี่ชาย"
"...ก็ยังไม่เข้าใจซักเท่าไร"
ผมตอบกลับไปอย่างตกใจ เธอโผล่มานั่งพิงต้นไม้อีกด้านของผม เสียงหัวเราะคิกคักของเธอทำให้ผมหงุดหงิดไม่น้อย
"เธอไม่มีความปรารถนารึไง ถึงได้กลายเป็นวิญญาณสีดำ"
"ที่เป็นอยู่ก็เกินความปรารถนาแล้ว"
"แล้วทำไมถึงได้แตกต่าง"
"ก็เพราะ...ความปรารถนาของฉันแตกต่าง"
!!!
เธอปรากฏตัวตรงหน้าของผมก่อนก้มลงมองหน้าผมระยะประชิดดวงตาของเธอค่อยๆเรืองแสงเป็นประกายสีแดง
"จนกว่าจะเข้มแข็ง เมื่อนั้นฉันจะหยิบเอาความปรารถนาของคุณทำให้เป็นจริง"
"ถ้าอย่างนั้นฉันต้องทำยังไง"
"ทดสอบ ว่าเหมาะสม"
เมื่อประโยคนั้นจบลงดวงตาที่เปล่งประกายเป็นสีแดงถูกความมืดมิดของสีดำกลืนกินจนน่าสะพรึงกลัว เหล่าข้ารับใช้ค่อยๆปรากฏกายแต่ที่น่าตกใจไม่ใช่เพียงแค่ปิศาจที่ผมได้ปะมือด้วยแต่เป็นกองทัพของเหล่าปิศาจรับใช้นับสิบที่มีดวงตาเปล่งประกายเป็นสีแดง
"ถ้าพี่ชายสามารถเข้าถึงตัวของฉันที่ถือสัญลักษณ์แห่งภูผาได้ ก็เท่ากับผ่านการทดสอบ"
เธอเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบแฝงเลศนัย การจะไปถึงตัวเธอนั้นมันดูไม่ง่ายและยากเกินไปที่จะทำได้ ในมือเรียวเล็กที่ดูจะเปราะบางของเธอมีต่างหูที่มีสัญลักษณ์ของภูผาที่หมายถึงความแข็งแกร่งของพละกำลัง ถ้าได้เด็กคนนี้มาเป็นเจ้านายล่ะก็
"จะต้องเจ็บตัวเท่าไรก็ไม่นึกเสียใจเหรอ"
"ก่อนอื่น ข้าก็คงต้องทำให้เจ้าสำเนียนเจียมกะลาหัวซะบ้างว่าคนที่เจ้าพุ่งเข้าหาเป็นใคร"
หญิงสาวผมเงินแกนน้ำเงินทะเลลึกแบกมือกั้นไว้ก่อนรากฎน้ำจำนวนมากหมุนเป็นเกลียวคลื่นซัดเข้าใส่ตัวของผมไม่มีอ้อมมือ เทพวารีงั้นเหรอ ผมมองผ่านกองทัพของเหล่าปีศาจรับใช้ไปยังเด็กสาวที่มองดูผมด้วยสายตามมีเลศนัย ถ้าได้เธอมาเป็นนายล่ะก็...
"ย้าก"!!
"ฮ่ะ.."!!
"น้ำแค่เนี่ยล้มภูเขาอย่างฉันไม่ได้หรอก"!!!
ผมซัดหมัดเข้าไปที่ท้องน้อยของเทพวารีหนึ่งหมัดเต็มแรงก่อนจะหอบเอาลมหายใจเข้าไปอย่างถี่รัว
"ถึกเสียจริงนะ"
"ก็หมอนั้นมันลูกไลแครนนี้นะ"
"จะถึกก็ไม่แปลกนักหรอกครับ"
"เธอเตรียมตัวแล้วสินะ"
"ถ้าเขาผ่านพวกนายมาได้ ฉันก็จะเล่นกับหมาป่าไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเอง"
"แฮ่ก แฮ่ก"
"เหนื่อยแล้วเหรอ ไอ้หมาน้อย"
"หมาป่าต่างหากละว้อย"!!
ผมดิ่งเข้าไปซัดกับวิหคสีเพลิงอย่างไม่ลังเล ผมยอมรับว่ากว่าจะผ่านเข้ามาได้ขนาดนี้มันช่างยากเย็นจนแทบจะล้มลงไปทั้งๆที่ใจยังสู้เหลือเกิน แต่เพราะแรงปรารถนาของผมมันมีมากเกินกว่าจะทิ้งไปถ้าแพ้ละก็ ถ้าแพ้ให้กับความเจ็บปวดและเหนื่อยล้าเพื่อเป้าหมายล่ะก็...
"ยอมโดนอัดให้ตายไปซะจะดีกว่า"
!!
"เลลู เลลู เกรชเชลน่า"!!
เสียงของเธอเปล่งออกมาก่อนปรากฏเป็นโซ่ตรวนพันธนาการร่างกายของผมให้ล้มลงไปกองกับพื้น อะไรกัน!?!
"พอได้แล้วล่ะ"
"!!!"
"ฉันคิดว่าคุณในตอนนี้ไม้เหมาะ"
"..."
คำพูดนั้นของเธอทำเอาผมจุกทันที
"แต่...ถ้าได้เรียนรู้ที่จะควบคุมพลังไปด้วย ไม่นานพี่ชายก็จะเก่งเองเพราะฉะนั้น"
เธอยื่นต่างหูสีเงินเงาวับที่มีสัญลักษณ์ของภูผาสวมเข้าที่หูของผมก่อนท่องมนต์คลายโซ่ตรวนให้ผม
"ความปรารถนาของเจ้าคืออะไร"
"แข็งแกร่งเหนือผู้ใด"
"เจ้าแน่ใจ"
"ข้าแน่ใจและไม่มีเปลี่ยนแปร"
"ข้าในนามของนายแห่งเจ้า นับจากนี้เจ้าคือข้ารับใช้รองเท้าไปชั่วชีวิต ไม่มีวัน หยุดพ้น"
เธอกลายคำปฎิญาณจบก่อนที่แสงจากต่างหูที่ผมสวมใส่เมื่อคู่จะค่อยๆสว่างวาบจนตาพล่ามัว เมื่อแสงนั้นหมดลงไปผมจึงไม่รอช้าที่จะคุกเข่าคำนับนายคนแรกและคนสุดท้ายไปชั่วชีวิต
"ในนามของภูผา ข้าคือของๆท่านไปชั่วชีวิต ไร้การหยุดพ้น"
"จากนี้ไป คาริวได้ตายจากไปแล้ว เหลือเพียงแต่ปิศาจแห่งภูผาเท่านั้น"
นายน้อยของผมได้เอ่ยด้วยน้ำเสียงสดใสก่อนเงยหน้ามองท้องฟ้าใกล้รุ่งสาง เหนือกว่าใครเพื่อใครที่เราอยากจะปกป้อง มันไม่ได้เป็นเพียงแค่สิ่งที่ผมเฝ้าตามหาแต่มันอยู่ตรงหน้าและได้ผูกมัดรอบคอของผมแล้ว นายท่านกับข้ารับใช้ เจ้านายกับหมา ราชินีและผู้พิทักษ์ ข้าจะรองเท้าแสนเปราะบางคู่นั้นด้วยกำลังทั้งหมดของข้าไปชั่วชีวิต ไร้ซึ่งการ หลุดพ้น...
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ