อาเรเมตาเรีย - ปฐมกาลหายนะ

8.3

เขียนโดย SFWitch

วันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 15.39 น.

  14 ตอน
  2 วิจารณ์
  16.78K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2557 22.32 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) ดาวตก

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

#1 ดาวตก

คืนนี้ท้องฟ้าโปร่งจนเห็นเนบิวล่าอันห่างไกล พลันเกิดแสงวาบเป็นเส้นพาดผ่านท้องฟ้า
ตามด้วยเสียงระเบิดกึกก้อง วัตถุเผาไหม้พุงผ่านชั้นบรรยากาศมาตกลงบริเวณผืนป่าของ
เขตเบลดิซซิโค่

20 นาทีต่อมา เจ้าหน้าที่ส่งยานลาดตระเวณตรึงกำลังรอบเขตป่า
ชาวบ้านถูกสั่งห้ามออกนอกเคหสถาน ยานลาดตระเวณและดรอย จำนวนมากเดินทาง
เข้าไปยังจุดเกิดเหตุ เพื่อกู้ซากวัตถุที่ตก การเดินเท้าของเจ้าหน้าที่เป็นไปไม่ได้
เนื่องจากเขตป่านี้มีสัตว์ดุร้ายและเป็นเขตป่าสงวน

เจคอบ ยืนมองเหตุการณ์จากชั้นที่166 ของหอคอยซี16 ในเขตเบลดิซซิโค่ ซึ่งเป็นบ้านของเขา เช่นเดียวกับคนที่อยู่ในหอคอยนี้ กับหอคอยอีก 20 แห่ง รอบเขตที่เห็นเหมือนกับเขา  

“เจคอบ ลูกเข้าบ้านได้แล้ว เดี๋ยวไม่สบาย” ฟาร่า แม่ของเขา เรียกแว่วๆจากในบ้าน แต่เจคอบยังตงยืนมองแสงไฟแวบๆที่กระพริบจากยานขนส่งในป่าอย่างตั้งใจ

“เข้านอนเถอะลูก” แม่ของเขาเดินผ่านประตูระเบียงไปคว้าเสื้อคลุมที่แขวนไว้ขึ้นใส่ “เมื่อกี้ ทางการเพิ่งโทรตามเจ้าหน้าที่ทุกคนที่เกี่ยวข้องไปรายงานตัวที่เมืองหลวง คงเพราะอุกกาบาตนี่แน่ๆ แม่อยากให้ลูกรีบเข้านอนแล้วไม่ไปไหนจนกว่าจะเช้า”

“พรุ่งนี้ผมมีนัดล่านิมส์” เจคอบเดินเข้าบ้านและปิดประตู เขาเดินนำแม่ไปยังห้องนอนของเขา เมื่อปีนขึ้นที่นอน ฟาร่าก็ห่มผ้าให้ “ครั้งนี้จะไปนานแค่ไหนครับ”
“ไม่รู้สิลูก อาจจะสองสามวัน จะไปพักอยู่ที่ศูนย์จัดเสบียงลุงบรีซก็ได้นะ”  

หอคอย ซี16 เบลดิสซิโค่ หอคอยที่ครอบครัวของเจคอบอาศัยอยู่ เป็น 1 ในหลายร้อยหอคอยที่สร้างขึ้นรายรอบเขตป่าสงวนทดแทนการอยู่อาศัยแบบหมู่บ้านที่พื้นที่ไม่เพียงพอต่อการอยู่อาศัย เขตเมืองหลวงศูนย์กลางการปกครอง ที่ตั้งของหน่วยงานทั้งหลาย รวมถึงวังของเจท ผู้ปกครองสูงสุดแห่งโซลัน เจท ราชวงศ์ชาวดิซ ที่ถูกส่งมาจากเซนเตอร์ ยานแม่ของชาวดิซที่เดินทางรอนแรม มาจากใจกลางจักรวาล ซึ่งดาวต้นกำเนิดได้ดับสูญไปนานแสนนาน    

ลุงบรีซเป็นพี่ชายของฟาร่า ตอนนี้เป็นหัวหน้าหน่วยจัดหาเสบียงของหอคอย เขาช่วยดูแลเจคอบตั้งแต่พ่อของเขาตายไปในสงครามเมื่อสิบกว่าปีก่อน และบ้านพวกเขาก็อยู่ในหอคอยห่างกันแค่สองชั้น เขายังไม่เต่งงาน และไม่สนใจเรื่องผู้หญิงนัก การล่านิมส์ การปลูกผักไฮโดร การเพาะเนื้อเยื่อโปรตีนและเห็น ล้วนเป็นงานของ หน่วยจัดหาเสบียง แต่ลุงบรีซดูจะชื่นชอบการล่านิมส์มากเป็นพิเศษ

นิมส์เป็นสัตว์ที่เกิดจาก การผสมข้ามสายพันธุ์ของสิ่งมีชีวหลายชนิดและกัมมัตภาพรังสีที่หลงเหลือเมื่อหลายพันปีก่อน พวกมันขยายพันธุ์และเติบโตอย่างรวดเร็วครอบคลุมพื้นที่ป่าจำนวนหลายล้านตารางกิโลเมตร มีมากมายหลายสิบสายพันธุ์ มีทั้งพันธุ์ที่ตัวเล็กเท่าแมว ไปจนถึงขนาดหนักหลายตัน มีทั้งพวกกินพืช กินเนื้อและพินทั้งพืชและเนื้อ นอกจากพวกนิมส์จะกินสัตว์อื่นเป็นอาหารแล้ว ยังแบ่งชนชั้นและล่ากันเองอีกด้วย โชคดีทีที่พวกโซลอยู่เหนือห่วงโซ่อาหารของพวกมันอีกที

“ลุงชอบนิมส์ราดซอส” บรีซพูดขึ้น “ซอสเผ็ดด้วยยะ เธอชอบไหม เจคอบ”

ลุงบรีซชายกลางคนที่ดูอารมณ์ดี ร่างท้วมล่ำ มีเสียงพูดอู้อี้ทุ้มหนัก เหมือนอมลูกหินพูด มีไม่กี่คนจะฟังที่เขาพูดรู้เรื่อง และเจคอบคือคนหนึ่งที่ฟังออกเพราะฟังเสียงลูกหินกลิ้งในปากเขา ตั้งแต่เด็ก เจคอบกำลังเช็คระบบเซลล์ไฟฟ้าของสกูตเตอร์ที่เสริมปืนยิงฉมวกไว้ที่ท้ายยาน ส่วนบรีซตรวจเช็คสภาพฉมวกกับอุปกรณ์ในการล่าของเขา และของลูกน้องในทีมอีก 18 คน ทุกครั้งก่อนออกล่า ส่วนเจคอบ ในฐานะพลขับ สกูตเตอร์รุ่นที่พวกล่านิมส์ใช้ เป็นแบบเหาะได้ซึ่งใช้กันมานานมาก รูปแบบนี้ไม่มีเปลี่ยนมากนัก แต่เน้นพัฒนาเครื่องยนต์ให้ประสิทธิภาพสูงขึ้น

“หลานยังไม่ตอบลย ว่าชอบกินนิมส์ราดซอสเผ็ดรึเปล่า” ลุงถามซ้ำ เจคอบกำลังง่วนกับการทดลองสตาร์ทเครื่องยนต์ เขาเงยหน้ามางงๆ ว่าลุงถามเขาเมื่อไหร่
“ผมชอบแบบแคปซูล” เจคอบตอบส่งเดชไป และนิมส์อัดเม็ดก็ไม่มีจริงหรอก  

การล่านิมส์ในเช้าวันนี้สนุกมาก ถึงแม้จะมีเจ้าหน้าที่คอยส่งคำเตือนเรื่องการเข้าใกล้จุดตกของวัตถุเป็นระยะก็ตาม ลุงบรีซกัลเจคอบจับนิมส์ตัวแรกได้แล้ว มันถูกฉมวกอาบยาสลบแทงทะลุเกี่ยวห้อยเหนือยอดไม้ ไปตามทาง ตอนนี้กำลังจะล่าอีกตัว

“ดูตัวนั้นในเรด้านี่ โห สูงตั้ง 8 เมตร หนัก 7 ตัน ยอดไปเลย” ลุงบรีซร้องอย่างยินดี
“ลุงครับ ตัวที่ห้อยอยู่นี่ก็หนัก 4 ตันกว่าแล้ว ลุงไม่คิดว่า ถ้ายิงอีกตัว สกู๊ตเตอร์จะรับน้ำหนักไหวหรือครับ” เจคอบตะโกนต้านลมจากด้านหน้ามา
“ไหนบอกยานบ้านี่รับน้ำหนักนิมส์ 6 ตันได้สองตัวรวมกันไงนี่4ตันตัวนึง 7 ตันอีกตัว เอาอยู่น่า”

ลุงบรีซเล็งฉมวกไปยังนิมส์ที่กำลังวิ่งคึกอยู่ข้างล่าง เจคอบมีหน้าที่ประคองสกู๊ตเตอร์ให้แล่นไปได้ แม้ว่าอยู่เหนือยอดไม้สูงก็สามารถมองเห็นนิมส์ผ่านจอ เอ็กสเรย์ที่ทะลุผ่านยอดไม้ลงไป ฉมวกมีเครื่องติดตามเป้าหมาย ถ้าล็อกเป้าแล้ว โอกาสพลาดเป็นศูนย์

“ยิง” ลุงบรีซร้องเพื่อบอกจังหวะแก่เจคอบ

เขายิงฉมวกพุ่งผ่านยอดไม้ เชือกไฟเบอร์พุ่งเข้าทะลุหนังนิมส์เป้าหมายที่เล็งไว้ มันกำลังวิ่งอยู่เมื่อถูกรั้งด้วยฉมวกจึงชะงักล้มลงทันที มันทั้งดิ้นทั้งยื้อแรงดึงมหาศาลของมัน ทำให้การดึงกลับของรอกเป็นไปอย่างยากลำบาก

“เร่งเครื่องไว้” ลุงบรีซตะโกน ขณะที่พยายามม้วนรอกเพื่อดึงเชือกกลับ
“เร่งสุดแล้ว” เจคอบตะโกนกลับมา

เจ้านิมส์ยักษ์ดิ้นทุรนทุรายล้มกลิ้ง ดิ้นพลาด ไปตามแรงดึง มันยังไม่สลบเพราะฤทธิ์ยาสลบที่ปลายฉมวกน้อยเกินไป เพราะมันตัวใหญ่กว่าที่คิด ลุงบรีซกะปริมาณยาสลบสำหรับนิมส์หนัก 6 ตัน เลยไม่สลบเร็วเหมือนตัวแรก นิมส์ตัวแรก เจคอบคิดว่าเป็นตัวเมียอายุสัก 2-3 ปี

น่าแปลกที่สัตว์ขนาดใหญ่โตแบบนี้ตอนแรกเกิดกลับมา ขนาดเท่าแมว พูดถึง แมวและสุนัข ก็ยังคงเป็นสัตว์เลี้ยงน่ารักที่นิยม ซึ่งถ้าต้องการจะเลี้ยงก็ต้องขึ้นทะเบียน กลับมาที่นิมส์ วงจรชีวิตของสัตว์ตัวนี้ช่างแปลกประหลาด โตเต็มที่อายุ 1 ปี ก็พร้อมแพร่พันธุ์ และสามารถขยายพันธุ์ได้อีก 5 ปี พอขึ้นปีที่ 6 นิมส์ก็จะเริ่มแก่ ระยะตั้งท้องของมันแค่ 3 เดือน ออกลูกครั้งละ 5-8 ตัว เท่ากับว่า ช่วงเจริญพันธุ์ของมันสามารถมีลูกได้มากถึง 160 ตัว

เพราะเป็นสัตว์ขนาดใหญ่ ขยายพันธุ์เร็ว นิมส์จึงเป็นแหล่งอาหารที่ไม่มีวันหมดสำหรับโซล หอคอยที่อยู่รอบป่า ได้สัมปทานล่านิมส์ปีละสองหมื่นตัว นิมส์ตัวหนึง สามารถเลี้ยงประชากรบนหอคอยได้ประมาณหนึ่งพันคนต่อวัน นอกจากเนื้อของนิมส์ก็ยังมีการปลูกผักแบบเร่งโตและเพาะเนื้อเยื่อโปรตีนอีกด้วย แน่นอนว่าหอคอยอื่นๆ เมืองอื่นๆ ที่ตั้งอยู่ในเขตที่ต่างออกไปย่อมมีโภชนาการที่แตก ต่างกันไว้เล่าภายหลัง

เจ้านิมส์ยักษ์ตัวนี้คาดว่าน่าจะเป็นตัวผู้ อายุราวๆ 6 ปี มีแรงมหาศาล เจคอบยื้อคันเร่งกันสุดแรงต้าน 
“เจ้านี้มันแรงมากเกินไป ปลดเชือกเถอะ” เจคอบตะโกน
“ได้ไง เสียของ ถ้ามันตายก็เสียเนื้อไปเปล่าๆ แถมเรากลับไปเอาไม่ได้” ลุงบรีซว่า
“เชื่อผม ปลดเชือก” เจคอบสั่ง “เครื่องยนต์จะเอาไม่อยู่แล้ว”  

พล๊อก!!  

เจคอบกับบรีซมองหน้ากัน คันเร่งส่วนหน่าหักไปแล้ว สกู๊ตเตอร์โดนกระชากไป

“แย่แล้ว” เจคอบจับคันเร่งที่เหลือแน่นสุดกำลัง สกู๊ตเตอร์เริ่มเสียสมดุลย์ จากจอเรด้า ลุงบรีซเห็นเจ้ายักษ์ที่ถูกฉมวกปักหลังกำลังตั้งหลักลุกขึ้นเพราะแรงดึงไม่มีแล้วและมันยืนตั้งหลักให้ มันสะบัดตัวไปมาด้วยความรำคา ฉมวกที่ปักกลางหลังมันแน่นยังคงโยงเข้ากับปืนยิงที่ติดกับสกูตเตอร์ที่ลอยเหนือยอดไม้ขึ้นไป 20 เมตร

“แย่แล้ว” ลุงบรีซอุทาน “ลุงเห็นอะไรครับ” เจคอบถามด้วยใจหวั่น พยายามพยุงสกู๊เตอร์ให้ลอยเข้าไว้

“พยุงเครื่องไว้ อย่าให้ดับเชียว” ลุงบรีซสั่งเสียงเข้ม ลูกหินกลิ้งในปากมากกว่า 3 ลูกแล้ว
“ลุงปลดเชือกสิ”เจคอบตะโกน

“ปลดไม่ได้ ลดยานลง ลุงจะยิงมันเอง”

“ลุงฆ่ามันไม่ได้หรอก ลุงรู้กฎ เราล่านิมส์ที่ยังเป็น แล้วโรงเชือดทำหน้าที่ฆ่ามัน เราไม่มีหน้าที่ฆ่ามันนะ” เจคอบโวย “ได้ไงวะ ถ้ามันเกิดวิ่งได้ แล้วยานเราดับดิ่งลงใต้เงาไม้นี้ พวกเราจะถูกมันงาบก่อนจะร้องซะอีก” บรีซให้ความเห็น เจคอบเถียงไม่ออก เด็กหนุ่มอายุ 16 เลือกที่จะปิดปากเงียบ

“ลดยานลงเดี๋ยวนี้ มันอยู่ใต้เรานี้เอง”
“แล้วนิมส์อีกตัวละ ถ้าเราช้ามันจะฟื้นขึ้นมาอีกตัวนะ” เจคอบว่า

“เอาเหอะน่า ระยะที่เรายิ่ง มันสูงกว่านิมส์ตัวข้างล่างจะตะปบเราได้ก็แล้วกัน”

เจคอบยอมลดระดับสกู๊ตเตอร์ลง จนเข้าสู่ใต้เงาไม้สนหมื่นปี สนเหล่านี้ต้นใหญ่มากกว่า 30 คนโอบ และในป่ากว้างแบบนี้ น้อยคนที่จะเห็นสภาพบนพื้นใต้ป่าจริงๆ ทั้งชื้น ทั้งเย็น แสงแดดส่องเกือบไม่ถึง ผิดกับบรรยากาศเหนือยอดไม้สูงที่เคยชิน ทั้งสองลุงหลาน เพ่งลงไปยังพื้นเบื้องล่าง สัตว์ยักษ์รูปร่างคล้ายลิงขนสีดำมัน หน้ายับย่นเหมือนค้างคาว มีฉมวกสีเงินวาววับปักกลางหลัง ขนาดอยู่สูงกว่า 20 เมตรตัวมันยังใหญ่ขนาดนี้  

“ค่อยๆ นะ” ลุงบรีซ เสียงเครื่องยนต์ดังหึ่งๆ เจ้ายักษ์เริ่มมึนงงเพราะฤทธิ์ยาบ้างแล้ว เจคอบลดระยะพร้อมยิง บรีซสั่งให้เจคอบพยุงยานไว้ เขาหยิบปืนฉีดยาพิษออกมา

“ยานี้ไม่มีผลกับคนแน่เหรอ” เจคอบถาม

“ยาพิษซึมเข้ากระแสเลือด ทำให้มันตายทันที หลังจากนั้นพอเลือดเย็นลงยาก็จะสลายไปเอง พอไปถึงโรงเชือดก็บอกว่า มันคงตายระหว่างทาง”

แผนของลุงฟังดูเข้าท่า เจคอบไม่มีทางเลือก ทำตามไปงั้น ยานเจ้ากรรมพอร่อนต่ำเกิดเบียดไปโดนกิ่งสนเข้า เสียงดังเปรียะลั่น นิมส์หูไวมาก เพราะมียีนส์ของค้างคาว แค่เสียงยานร่อนไปทั่วมันได้ยินแต่ไม่กระวนกระวายเพราะไม่เห็นต้นเสียง แต่นี่ยานหนึ่งลำกับบาบิคิวเนื้อคนสองคน อยู่ในระยที่ตาเห็น มันก็รู้ที่มาของฉมวกได้ทันที

“มันหันมาเห็นเราแล้ว”เจคอบหันมามองและตระหนกมาก ลุงบรีซนั่งหันหลัง ซึ่งมัวแต่เล็งเป้านิมส์ยักษ์

“ยิงสักทีสิลุง” ลุงบรีซกดเหนี่ยวไปปืนทันที ทีนี้มันป้องลูกดอกพิษปัดออกเหมือนแมลงวัน มันเดินย่างสามขุมเข้ามาใกล้ สายตาจับจ้องอย่างน่ากลัวมาทั้งสอง แล้วก็ยิงนัดที่สองออก มันปักเข้าที่ไหล่พอดี

“ใช้คันเร่งอันเดียวพอจะลากเจ้านี่ไปอีกตัวได้ไหม” ลุงถาม

“ไม่ ถ้ายัยหนูนี่ยังห้อยอยู่” เจคอบบอก พลางชี้ไปยังนิมส์สาวตัวที่ห้อยสลบอยู่ ตัวข้างล่างมันใหญ่กว่าเกือบสองเท่า

“ต้องไหวสิ” บรีซตะโกน

เจ้านิมส์นั้นฉลาด มันปีนขึ้นต้นสนใกล้สุดหวังจะมาตะปบทั้งสองคน

“ใครบอกมันปีนไม่เป็น”เจคอบเริ่มโวยวายบ้าง

“ขับไปข้างหน้า” ลุงบรีสตะโกน

มันปีนไวมาก ไม่ถึงนาทีก็เกือบถึงยานแล้ว เจคอบค่อยๆนำสกู๊ตเตอร์ขึ้นเหนือยอดไม้แรงดึงยิ่งทำให้มันจิกเล็บลงกับต้นไม้แน่นเข้า

“ขืนลากมันไปด้วย ได้ลากกันไปทั้งป่าแน่ๆ ปลดเชือกเถอะ”

เจ้านิมส์ใต้เงาไม้ตอนนี้สนใจเชือกที่ห้อยตรึงจากฉมวกที่ปีกกลางหลังของมันกับปลายปืนฉมวก มันฉลาดมากคิดได้ทันทีว่าเชือกนี้ติดกับบาบิคิวมนุษย์สองคนที่ลอยอยู่ มันค่อยๆสาวเชือกที่ตรึงหลังของมันช้าๆ

“มันรู้” เจคอบตะเบ็ง ขณะเร่งเครื่องหนี “ปลดเชือกเถอะ”

บรีซเปลี่ยนใจที่จะนำมันกับ เขากำลังจะปลดเชือกที่ติดฉมวก

“กำลังปลด”

แต่การปลดเชือกนั้นไม่ง่าย ต้องป้อนรหัสผ่านประจำเครื่อง ซึ่งดูเหมือนบรีซจะลืมไปแล้ว

“ทำไรอยู่” เจคอบตะเบ็ง

สกูตเตอร์ค่อยๆ ลอยต่ำลงตามแรงดึงของนิมส์

“ใครคิดให้ป้อนรหัสบ้านี่วะ ก็ไม่เคยต้องปลดเชือกสักครั้งจะไปจำรหัสได้ยังไง”บรีซโวย

“ใช้มีดตัดสิ”

“แกจะบ้าเหรอ เชือกไฟเบอรที่รับน้ำหนักนิมส์สิบตันได้ ใช้มีดตัด มีดก็บิ่นสิวะ” ดูเหมือนลุงบรีซจะเลือดขึ้นหน้า เขาโมโหเจ้านิมส์ตัวนี้มาก มันทั้งใหญ่และฉลาดกว่าที่เขาเจอ

“ล่านิมส์มาสิบปี ไม่เคยเจออะไรแบบนี้เลย”

“ปลดล็อกแมนน่วนไง ” เจคอบนึกขึ้นมากได้ “ระบบปลดล็อกแบบแมนน่วนสิครับ”

เจคอบหัวไวมากบรีซเข้าโปรแกรมปลดล็อกแบบแมนน่วนทันที เจคอบซื้อเวลาโดยการยื้อสกู๊ตเตอร์ขึ้นเหนือยอกไม้อีกครั้ง

ตอนนี้นิมส์ยักษ์ปีขึ้นมานั่งที่คาคบกิ่ง มันใช้มือตวัดสาวเชือกเข้ามา มันดังสองสามที ยานก็เกือบลงไปถึงหัวมันแล้ว น่าแปลกที่ทั้งยาสลบและยาพิษไม่เห็นจะได้ผลกับมันเลย เจคอบยื้อสุดกำลัง ตอนนี้เขากำลังเล่นชักกะเย่อระหว่าสก๊ตเตอร์ที่พ่วงนิมส์สี่ตัน กับเจ้านิมส์ยักษ์หนัก 7ตัน เชื่อที่ขึงระหว่างนั้นคือความเป็นและความตายของพวกเขาตึงแน่น

“พอฉันนับถึงสาม เหยียบให้มิด บิดให้ฉิวเลยนะ” บรีซสั่ง “ฉันจะปลดแล้วนะ”

“หนึ่ง!!”

เจ้านิมส์ยังคงดึงเชือกไว้แน่นด้วมือทั้งสองของมัน

“สอง!!”

เจคอบหันมามองข้างหลัง แล้วกดคันเร่งสุดท้ายเต็มที่

“สาม!!”

สลักเชือกถูกปลดออก เหมือนเชือกที่ขาดผึงกลางคัน สัตว์ยักษ์เองก็ดูเชือกไฟเบอร์ที่ตึงสุดขีดตวัดดีดเข้าหน้าแรงผลักมหาศาลที่เกิดจากการดึงของมันเองทำให้มันกระเด็นตกจากคาคบลงไปนอนนิ่งที่พื้นเบื้องล่าง ยานสกู๊ตเตอร์เองก็เช่นกัน ทันทีที่เชือกหลุด ก็โดนแรงผลักมหาศาลจนยานกระเด็นนลอยออกไปเหวี่ยงทั้งคน ทั้งยานกระแทกยอดไม้ และตกลงสู่พื้นเบื้องล่าง ยานตกลงไวเพราะมีนิมส์ถ่วงอีกตัว ไม่ทันไรมันก็เกิดระเบิดก้องป่า

สกู๊ตเตอร์ล่านมส์อีก 9 ลำที่เหลือที่กำลังจะพานิมส์ 18 ตัวกลับหอคอย ต้องชะงักกับเสียงระเบิดที่เกิดขึ้น ต่างคนต่างรีบปลดนิมส์ที่โรงเชือดแล้วกลับเข้าที่จอดยาน เพื่อตรวจดูว่าใครคือคนที่หายไป

“ทำไมเราเลิกใช้ระบบวอกกี้ไปนะ” คนหนึ่งบ่น วอกกี้ คือวอกกี้ทอกกี้ ระบบส่งสัญญาคุยด้วยคลื่นวิทยุ

”นั่นสิ มีอะไรจะได้ช่วยกัน ไม่น่ายกเลิกระบบเลย” ผู้หญิงคนหนึ่งในทีมเห็นด้วย

“แล้วนี่ตกลงคนที่หายคือลุงหลานบรีซเจคอบใช่ไหม” อีกคนนึงพูดขึ้น

“โว้ย ก็แค่คิดว่าล่านิมส์ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ก็เลยต่างคนต่างล่าไม่ต้องติดต่อกัน ที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีปัญหา เพราะทุกอย่างถูกเตรียมไว้หมดแล้ว” เด็กหนุ่มคนหนึ่งว่า เขาชื่อฮาลเป็นเพื่อนของเจคอบ

“คนที่ยกเลิกก็ตาเฒ่าบรีซนั่นแหละ” อีกคนในทีมพูดแว่วมา

“แล้วนี่ เราจะไม่ออกไปช่วย ค้นหา หรือทำอะไรเลยงั้นหรือ” ฮาลสงสัย

“ยานตกกลางป่า จะมีดรอยค้นหาไปช่วยเอง เรื่องอะไรเราต้องไป นิมส์พวกนั้นฉีกร่างก่อนเราจะถึงพื้นดินด้วยซ้ำ”อีกคนในทีมว่า

ฮาลจึงรีบไปกดปุ่มสีแดงที่ติดผนังเพื่อขอความช่วยเหลือทันที เนื่องจากเขาทำอะไรไม่ได้ ต่างคนต่างแยกย้ายกันกลับ

 

 

to be continue...

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.3 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา