[Y]ซวยฉิบหาย!ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก2
เขียนโดย DPR_Fox
วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 22.32 น.
แก้ไขเมื่อ 14 มีนาคม พ.ศ. 2558 20.40 น. โดย เจ้าของนิยาย
52) Aut x Pree 05 : ขอคืนดี
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความหลังจากคุยกันเสร็จพวกเราก็ไปเยี่ยมไอ้ลุกซ์กัน เห็นหมอบอกว่าร่างกายมันตอบรับการรักษาดีขึ้นมากเพียงแต่มันยังไม่ฟื้นขึ้นมาเท่านั้นเอง ถ้ามีการติดเชื้อขึ้นมานี่คงลำบาก แม้จะพ้นขีดอันตรายแล้วแต่ก็ยังต้องเฝ้าดูอย่างใกล้ชิดเพราะอาการมันขึ้นๆ ลงๆ ไม่ทรงตัวนัก แต่หมอก็ยืนยันนะครับว่าไม่ตายแน่นอน ไม่เป็นเจ้าชายนิทราด้วย
“แล้วเรื่องไอ้จักรนั่นเราจะเอาไงกันต่อ? จะปล่อยให้มันใช้ชีวิตลอยหน้าลอยตาไปวันๆ อย่างงี้เหรอ?” ผมถามออกมาอย่างแค้นใจ เห็นสภาพเพื่อนตอนนี้แล้วมันอยู่เฉยๆ ไม่ได้หรอกครับ
“เราไม่ปล่อยให้มันเสนอหน้าอยู่อย่างนี้นานๆ หรอก แต่เรื่องนี้เราต้องไม่บอกตำรวจเพราะถ้าบอก...ไอ้จักรไม่มีทางได้รับโทษอย่างสาสมแน่ เอาไว้ค่อยให้มันไปโดนตุ๋ยในคุกหลังจากโดนยำแล้วดีกว่า รอไอ้ลุกซ์ฟื้นแล้วมาจัดการเอง เพราะไอ้เนี่ย มันคิดและทำเรื่องชั่วๆ ได้ดีที่สุด ฮ่าๆ” ไอ้เคย์พูด ไอ้ห่านี่มันโรคจิตนี่หว่า โหดใช่ย่อย ใครเป็นศัตรูกับพวกเรานี่ลำบากหน่อยแล้วล่ะครับ ฮ่าๆ แต่ละคนมีแต่พวกคิดเอาคืนชนิดที่ไม่สมน้ำสมเนื้อเลยเพราะมันเอาให้หนักยิ่งกว่านั้นซะอีก
“ไอ้โรคจิต” ไอ้บัมพ์ว่า แต่ไอ้บัมพ์นี่จะว่าคนอื่นก็ไม่ได้หรอกครับ เวลาโกรธจริงๆ จังๆ ก็น่ากลัวไม่ใช่เล่นเหมือนกัน
“เอ้า เรื่องแบบนี้มันยอมกันได้ที่ไหนวะ?” ไอ้เคย์ยักไหล่อย่างไม่แคร์สื่อ
“ว่าแต่...ไอ้ลุกซ์ยังไม่ฟื้นแบบนี้ใครจะกินของเยี่ยมล่ะเนี่ย?” ไอ้กีร์พูดพลางเดินเข้าไปจดๆ จ้องๆ กับกระเช้าของเยี่ยมมากมายที่มีคนเอามาเยี่ยมไอ้ลุกซ์ทั้งตามมารยาทและด้วยความเป็นห่วงจริงๆ เวลาประธานบริษัทป่วยทั้งทีนี่ของเยี่ยมมันเยอะจริงๆ มีแต่ของดีๆ ทั้งนั้น
“อยากกินก็กินสิ นี่ก็หอบไปกินที่บ้านเยอะแล้ว” ไอ้ลันที่กำลังนั่งกดโทรศัพท์พูดขึ้นโดยไม่เงยหน้ามองใครเลย พอไม่อยู่กับเมียก็ติดโทรศัพท์ซะงั้น มึงนี่ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ติดเมียเนอะ ถ้าพี่อัตเป็นอย่างนี้บ้างก็คงจะดี
พี่อัตงั้นเหรอ...? โวะ! อย่าไปคิดถึงเขาสิวะ!?!
RRRRRRRR
ขณะที่ไอ้กีร์กับไอ้บัมพ์และพวกน้องๆ เข้าไปตะกรุยของเยี่ยมเพื่อยัดลงท้อง โทรศัพท์ของพี่ถังที่มารออยู่โรงพยาบาลก่อนแล้วก็ดังขึ้น พี่มันหลบมุมไปคุยโดยมีไอ้เคย์มองตามอย่างอาลัยอาวรณ์ อย่าบอกนะว่าพี่ถังมีกิ๊ก!? ฮ่าๆๆ คงไม่หรอกมั้ง
“พี่ถังโตขนาดนี้แล้ว ไม่มีกิ๊กหรอกน่า” ผมเดินเข้าไปกระแซะไอ้เคย์ทำเอามันทำหน้ามุ่ยเพราะผมพูดจี้ใจดำมันเข้าให้
“ไม่ได้มีกิ๊กหรอกสัตว์ ไอ้อัตโทรมา” พี่ถังเดินเข้ามาพูดพลางดึงหูไอ้เคย์ทำเอามันร้องโอ๊ย ส่วนผมก็ก้มหน้าทำเป็นไม่อยากรู้ว่าพี่อัตโทรมาทำไม “ไอ้อัตไปหาที่บ้านไอ้เคย์ บอกว่าจะไปรับมึงแต่ไม่เห็นเลยโทรถามว่าอยู่ที่ไหนกัน อีกซักหน่อยมันคงมาถึง” พี่ถังบอกแม้ว่าผมจะไม่ได้ถาม คงรู้ว่าผมอยากรู้แต่ไม่กล้าถามล่ะมั้ง
“ไม่เห็นต้องมา” ผมพึมพำเบาๆ เหมือนไม่สบอารมณ์ทำให้พี่ถังหัวเราะขึ้นมาก่อนจะยีหัวผมเบาๆ
“ไอ้คนปากแข็งเอ๊ย” พี่ถังพูดลอยๆ
“ดีกว่าหัวแข็งปากแข็งอย่างคนแก่บางคนละกัน” ผมกัดคืน
“ปากดีนะมึงเนี่ย หนอย” พี่ถังกัดฟันพูดก่อนจะใช้สองมือกดหัวผมแล้วขยี้เต็มแรงอย่างหมั่นเขี้ยว ไอ้ผมจะโวยวายก็ไม่ได้เพราะเรากำลังอยู่ที่โรงพยาบาล
หนอย...เดี๋ยวเอาคืนทีหลังละกันตาแก่!
หลังจากทำสงครามเงียบๆ กับพี่ถังไปได้ซักพักผมก็ไปรุมแย่งกินของเยี่ยมกับคนอื่นๆ แต่กินได้ไม่นานพี่อัตก็มาถึงและหมดเวลาเยี่ยมคนป่วยพอดีพวกเราจึงหอบของเยี่ยมส่วนหนึ่งกลับไปกินที่บ้านต่อ จะเหลือเอาไว้ก็น่าเกลียดเพราะของที่พวกเราเอากลับด้วยมันถูกแกะแล้วน่ะสิ เหอๆ
“ไอ้ลุกซ์เป็นไงบ้าง?” พี่อัตถามขณะที่กำลังขับรถพาผมกลับบ้าน
“ก็เรื่อยๆ ไม่มีอะไรมากครับ แต่หมอบอกว่าอาการดีขึ้น” ผมบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ พี่อัตเองก็ดูมีท่าทางนิ่งๆ สงสัยจะยังโกรธที่ผมบอกว่าพี่มันเป็นแค่พี่ชาย ช่วยไม่ได้ ตอนนี้เราเป็นแค่พี่น้องกันจริงๆ นั่นแหละ ผมยังไม่ยอมรับพี่อัตในฐานะอื่น ถึงแม้ว่าช่วงนี้พี่มันจะไม่ได้พาใครมานัวเนียให้ผมดูก็ตาม
เราเงียบกันจนกระทั่งถึงบ้าน พอเข้าไปผมก็ต้องถอนหายใจแต่ก็พยายามนิ่งให้ได้มากที่สุดเพราะมีผู้หญิงมาหาพี่อัตถึงในบ้าน เป็นผู้หญิงท่าทางเปรี้ยว นุ่งสั้น ชุดรัดเปรี๊ยะ ดูแรงใช่ย่อย
“คุณอัตคะ แขกท่านนี้...” ขณะที่แม่บ้านคนหนึ่งกำลังจะรายงาน ผู้หญิงคนนั้นก็ลุกขึ้นมาเดินเบียดแม่บ้านออกแล้วขยับมายืนตรงหน้าพี่อัต
“มาคุยเรื่องงานค่ะ ที่บอกว่าจะเซ็นอนุมัติงบประมาณให้กับฝ่ายพัฒนาสินค้า” ผู้หญิงคนนั้นพูดพลางมองพี่อัตด้วยสายตายั่วยวน ผมขมวดคิ้วกับข้อความที่หล่อนพูดออกมา งบประมาณอะไรกัน? ผมเพิ่งออกจากงานมาได้แค่สองสามวันเองนะและก่อนหน้านี้ก็เพิ่งเบิกงบไปพัฒนากระบวนการการผลิตเอง ไม่ได้มีโครงการเบิกเงินเพิ่มซักหน่อย
“ผมบอกแล้วว่าไม่อนุมัติ” พี่อัตบอกก่อนจะเดินไปนั่งที่โซฟาโดยถอดสูทส่งไปให้แม่บ้านถือทำให้ผู้หญิงคนนั้นเดินตามไปนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
ที่จริงแล้วยัยคนนี้เป็นลูกน้องเก่าผมเอง ช่อคุณทิพย์ ผมกับหล่อนไม่ค่อยลงรอยกันเท่าไหร่เพราะความคิดเห็นมักจะขัดแย้งกันเสมอ ถึงจะขัดกันบ่อยแต่เวลาที่ความเห็นของเขาดีผมก็รับมาพิจารณาตลอด สงสัยพอผมออกเขาเลยขึ้นมาทำงานแทนล่ะมั้ง
“แต่เราต้องการงบประมาณเพื่อขยายตลาดของเรานะคะประธาน” ยัยคุณทิพย์พูดขึ้นเสียงแต่ก็ยังคงความเย้ายวนและเซ็กซี่เอาไว้ ผมรู้สึกว่ายัยนี่ชอบพี่อัตมาตั้งแต่แรกแล้วล่ะครับ เขาอายุมากกว่าพี่อัตและทำงานมาก่อนที่พี่อัตจะขึ้นรับตำแหน่ง เขารู้ว่าผมเป็นแฟน...เอ่อ แฟนเก่าพี่อัตและไม่พอใจอย่างมากตอนที่ผมได้เป็นผู้จัดการแทนที่จะเป็นเขาที่ทำงานมาก่อน
“โครงการที่จะขยายตลาดที่ฝ่ายการตลาดเขาเสนอมาผมก็จัดทำไปแล้วไม่ใช่เหรอครับ คุณควรดูแลโครงการนั้นต่อไม่ใช่มาเปิดโครงการใหม่ งบที่ขอไปก่อนหน้านี้มันจะเสียเปล่านะครับ” ผมเดินเข้าไปพูดบ้าง ผมว่าที่เขามาของบใหม่แบบนี้คงเพราะไม่อยากทำงานของผมต่อแน่ๆ ไร้ประสิทธิภาพซะจริง
“โครงการที่คุณทำไว้ก่อนหน้านี้มันไม่ดีน่ะสิคะถึงจะได้ทำใหม่ ถ้ามันดีจริงคุณคงไม่หนีแล้วทิ้งงานไว้แบบนั้น” อึก! จุกเลยครับ แต่ว่าผมไม่ได้หนีงานซักหน่อย ที่ผมกล้าลาออกทั้งๆ ที่ยังทำโครงการไม่เสร็จก็เพราะผมปูพื้นไว้แล้วต่างหาก เหลือแค่ต่อยอดให้มันสำเร็จไปตามเป้าเท่านั้นเอง มากล่าวหาโครงการของผมแบบนี้ไม่ได้นะเว้ย!
“คุณเอาอะไรมาวัดว่ามันไม่ดี? ก่อนที่ผมจะลาออก ผมทำงานทุกอย่างไว้หมดแล้ว ทุกฝ่ายก็เห็นพ้องต้องกันว่าโครงการของผมมันไปได้สวย พนักงานทุกคนเขาทำงานกันอย่างตั้งใจจนจะเสร็จอยู่แล้ว จู่ๆ คุณจะปิดโครงการนี้แล้วไปเปิดโครงการใหม่คุณถามคนอื่นๆ หรือยังครับ?” ผมขึ้นเสียงอย่างโมโหบ้าง หนอย! เห็นว่าทำงานมานานแล้วจะทำอะไรก็ได้งั้นเหรอวะ?
“ดิฉันถามแล้ว ถ้ามีงบประมาณ คนอื่นๆ ก็ไม่มีปัญหา” ยัยคุณทิพย์กอดอกเบ้ปากใส่ผมอย่างเป็นต่อ จี๊ดเลย ขึ้นเลยอารมณ์กูเนี่ย
“จากที่ประชุม ก็สรุปไปแล้วไม่ใช่เหรอครับว่าจะไม่เปิดโครงการใหม่ เพราะไม่มีงบ และที่ผมไม่อนุมัติงบประมาณก็เพราะการที่คุณจะมาเปิดโครงการใหม่ตามใจชอบมันไม่สมเหตุสมผล และโครงการของคุณที่เสนอมามันก็มีจุดบกพร่องอยู่มาก คนอื่นๆ เขาก็ไม่ได้เห็นด้วยกับคุณเลยแม้แต่คนเดียว มีแต่คุณนั่นแหละที่หัวแข็งและเอาแต่ใจจะเปิดโครงการใหม่ลูกเดียว กรุณาคิดถึงค่าใช้จ่ายที่เกินความจำเป็นด้วยนะครับ ทำแบบนี้คนอื่นเขาจะเดือดร้อน” พี่อัตพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ แต่มีอำนาจ ขนาดผมที่กำลังโมโหถึงกับไม่กล้าเอ่ยปากหรือแสดงสีหน้าอะไรเลยแล้วคุณทิพย์นั่นจะกล้าค้านเหรอ?
“นี่! คุณภีร์คะ คุณออกไปแล้ว คุณไม่มีสิทธิ์มาก้าวก่ายงานของดิฉันนะคะ!” เมื่อไม่กล้าเถียงพี่อัตหล่อนก็หันมาหาเรื่องผมซะเลย โอ้ย กูเพลีย!
“ผมแค่ชี้แจงเพื่อรักษาผลประโยชน์ของเพื่อนๆ ในบริษัทเก่าของผมก็เท่านั้น เบิกงบมาทำโปรเจ็กท์ใหม่แบบนี้ ถ้ามันล้มเหลวขึ้นมา โบนัสของคนอื่นๆ ก็ไม่มีน่ะสิ เงินเดือนของคุณเยอะแล้วนี่ จะสนคนอื่นทำไม จริงไหม? ริจะเป็นหัวหน้าก็ควรจะคิดถึงจิตใจของลูกน้องด้วยนะครับ ไม่ใช่เอาทิฐิโง่ๆ มาตัดสิน นี่ถ้าผมไม่ออกกะทันหันคุณคงไม่ได้มายืนเถียงผมฉอด ฉอด ฉอด แบบนี้หรอกนะครับ” ผมกอดอกพูดเอาคืนด้วยท่าทางหยิ่งผยองดั่งผู้ชนะ เห็นๆ กันอยู่ว่าคุณทิพย์เขาไม่มีเหตุผลมากพอที่จะมาสู้ ก็แค่คนขี้อิจฉาที่ไม่อยากทำงานทับกับผมที่เขาไม่ชอบเท่านั้นเอง
“คุณภีร์คะ! อย่าคิดว่าคุณเป็นแฟนของประธานแล้วจะทำอะไรก็ได้นะคะ!” นั่นไง ยกเรื่องนี้ขึ้นมาตลอด มันใช่เรื่องไหมเนี่ย เราเถียงกันเรื่องงานแล้วจู่ๆ เขาก็วกเข้ามาเรื่องนี้ซะงั้น พอเถียงไม่ชนะก็เลยต้องแถสินะ อืม...ดริฟต์เก่งกว่าไอ้ลุกซ์ที่เป็นนักแข่งซะอีก เหอๆ
“เวลาทำงานผมไม่เคยเอาเรื่องส่วนตัวเข้ามายุ่งหรือตัดสินนะครับคุณทิพย์ ที่ภีร์เสนองานผ่านทุกครั้งไม่ใช่เพราะผม แต่เพราะที่ประชุมเขาลงมติกันแบบนั้น งานฝ่ายพัฒนาสินค้ามันเป็นหน้าที่ที่พวกคุณต้องตกลงกันเอง ผมไม่เคยเข้าไปยุ่ง คุณลองคิดดูดีๆ ว่าเพราะอะไรคุณถึงยังทำงานสู้ภีร์ไม่ได้” พี่อัตตวัดสายตาหันไปมองคุณทิพย์อย่างมีน้ำโห เป็นผมผมก็โกรธ มีอย่างที่ไหนมากล่าวหาว่าเพราะเป็นแฟนถึงเข้าข้างตลอด เวลาประชุมฝ่าย พี่อัตไม่ได้มายุ่งด้วยซักครั้ง พนักงานคนอื่นๆ ก็ไม่ได้เห็นว่าเพราะผมเป็นแฟนพี่อัตก็เลยเข้าข้างแต่เพราะผมทำงานอยู่กับพวกเขาอย่างครอบครัว ไม่แบ่งแยกพวกเขาก็เลยรักผมต่างหาก อีกอย่าง คนที่ฝ่ายนั้นไม่ใช่พวกขี้ประจบสอพลอที่จะเห็นว่าผมเป็นแฟนประธานก็เลยต้องเข้าข้างเพื่อเอาใจ ที่สำคัญ...ผลงานของผมมันออกมาดีและเป็นที่ยอมรับทุกครั้ง
“แต่ตอนนี้ดิฉันเป็นหัวหน้าฝ่าย! คุณภีร์ไม่มีสิทธิ์เข้ามายุ่ง” ยัยคุณทิพย์ลุกขึ้นยืนก่อนจะจ้องหน้าผมเขม็ง พี่อัตเองก็พูดอะไรไม่ออกเพราะที่เขาพูดมามันก็ถูก พี่มันจึงได้แต่มองหน้าผมด้วยสายตา...นิ่งสนิท
“ผมจะไม่เข้าไปยุ่งกับงานของคุณ ที่ผมพูดไปเพราะผมต้องการจะแก้ต่างเรื่องที่คุณกล่าวหาว่างานของผมมันไม่มีประสิทธิภาพทั้งๆ ที่งานของคุณต่างหาก...ที่ด้อยกว่า เอาล่ะครับ ผมจะไม่ขอยุ่งอีก แต่ก็ขอฝากพนักงานด้วย หวังว่าคุณจะเป็นหัวหน้าที่ดี...ดีกว่าผมนะครับ ฮึๆ” ผมพูดตัดบทก่อนจะเมินยัยคุณทิพย์นั่นด้วยท่าทางเยาะเย้ยนิดๆ ที่จริงผมใจดีกับผู้หญิงนะครับ แต่ยัยนี่ผมขอผ่านละกัน น่าเบื่อ
“คุณกลับไปได้แล้ว เป็นไปได้ก็อย่ามาที่บ้านของผมอีก ที่นี่ไม่ใช่ที่สาธารณะ” พี่อัตลุกขึ้นยืนก่อนจะผายมือไปที่ประตู ยัยคุณทิพย์นั่นหน้าเสียไปนิดก่อนจะยิ้มที่มุมปากแล้วหรี่ตามองผมอย่างเหยียดๆ
“ทำไมคะ? ทีเมื่อก่อน...ฉันยังเข้าออกบ้านนี้เป็นประจำเลย” ยัยคุณทิพย์พูดอย่างมีเลศนัยทำเอาพี่อัตหน้าเครียด ส่วนผมก็ฉุนแต่พยายามไม่แสดงอาการ
“ออกไปได้แล้ว” พี่อัตที่เริ่มหัวเสียออกปากไล่ ยัยคุณทิพย์นั่นมองพวกเราก่อนจะยิ้มที่มุมปากอย่างผู้เหนือกว่าแล้วเดินสะบัดก้นออกไป
ผมกับพี่อัตยืนนิ่ง ไม่มีใครพูดอะไร ไม่มองหน้ากันและไม่ขยับไปไหน ผมจุกและเจ็บที่ได้ยินคุณทิพย์พูดออกมาแบบนั้น หนำซ้ำพี่อัตยังมีพิรุธและไม่พูดแก้ต่าง แต่ผมไม่ได้เป็นอะไรกับเขาแล้วนี่ ผมไม่มีสิทธิ์บ่นหรือโกรธเขาหรอกครับ อีกอย่าง เขามันคนมีอดีต ผมก็มีเหมือนกัน เราต่างคนก็ต่างมีความหลังที่ไม่อยากจะรื้อฟื้น ผมจะพยายามไม่คิดให้มันเจ็บกระดองใจตัวเองหรอก
“ภีร์ คือว่า...” พี่อัตขยับตัวพลางพูดขึ้นมาท่ามกลางบรรยากาศอึดอัด
“ผมเข้าใจ ขนาดผมไม่ได้เป็นอะไรกับพี่ พี่ก็ยังให้ผมมาค้างที่บ้าน ไม่แปลกถ้าคุณทิพย์จะเคยมา...ก่อนหน้าผม” ผมพูดโดยไม่หันไปมองหน้าพี่อัต แม่ง พูดเองเจ็บเองว่ะสัตว์
“กูไม่เคยพาเขามากกนะเว้ย เขามาเอง กูบอกแล้วว่าไม่ให้มาเขาก็ยังจะมา!” พี่อัตพูดขึ้นมาเสียงดังทำให้ผมที่กำลังจะขึ้นห้องชะงัก
เฮอะ! ไม่ได้พามากกที่บ้านแต่ก็กกที่อื่น ถึงยังไง...พี่อัตก็มีอะไรกับยัยนั่นไปแล้ว คำพูดของยัยนั่นและการที่พี่อัตไม่ปฏิเสธมันบ่งบอกได้อย่างดีเชียวล่ะ
อ๊าก! ไหนบอกจะไม่คิดไงวะ! เลิกๆ เลิกคิดไปเลยไอ้ภีร์!
“ผมไม่มีสิทธิ์ห้ามไม่ให้ใครเข้าออกบ้านหลังนี้นะครับ ไม่มีสิทธิ์ห้ามไม่ให้พี่ไปมีอะไรกับใครด้วย” ผมหันไปมองพี่อัตด้วยสายตานิ่งเฉย ก่อนจะหันไปยิ้มให้กับป้าอวบที่ออกมาจากครัว “ป้าอวบครับ ผมไม่ทานข้าวนะครับ” ผมเดินไปแตะแขนป้าอวบเบาๆ ก่อนจะเดินขึ้นข้างบน
ใช่...ผมไม่มีสิทธิ์ห้าม ขนาดตอนที่มีสิทธิ์ ผมยังห้ามไม่ได้เลย
“ผมผิดเองครับป้า เพราะผมเองที่ทำให้เรื่องมันเป็นแบบนี้ เป็นเพราะผม...” อัตมองตามร่างสูงของอดีตคนรักก่อนจะเดินเข้าไปกอดป้าอวบ ผู้ใหญ่ที่เขาเคารพอย่างเหนื่อยใจ เขาโทษใครไม่ได้ที่ภีร์หมางเมิน เขาโทษได้เพียงคนเดียว...คือตัวของเขาเอง
“คุณอัตต้องพยายามทำให้คุณภีร์กลับมาให้ได้นะคะ” ป้าอวบยกมือขึ้นลูบผมสีดำขลับเบาๆ อย่างให้กำลังใจ
43.75% left
ก๊อกๆ
ผมสะดุ้งนิดๆ เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูหลังจากที่อาบน้ำเสร็จแล้ว ตั้งแต่แยกมาอยู่ห้องคนเดียว ประตูห้องผมไม่เคยถูกเคาะเลย ใครกันนะที่มาเคาะเอาเวลานี้
พอผมเปิดประตูผมก็แทบอยากจะปิดแต่ก็เกรงใจเพราะคนมาเคาะก็คือเจ้าของบ้านนั่นแหละ เขามาพร้อมกับสำรับอาหาร คงจะรู้ว่าพอดึกๆ มาผมต้องหิวแน่ ก็จริงนั่นแหละ ที่บอกว่าจะไม่กินข้าวเย็นเพราะไม่อยากกินร่วมโต๊ะกับพี่อัตแต่แอบหิวอยู่นะ
“เอาข้าวมาให้” พี่อัตพูดเพื่อจะให้ผมหลบให้พี่มันเข้าห้อง แต่เสียใจ ไม่ให้เข้าโว้ย
“ขอบคุณครับ” แทนที่จะหลบให้พี่มันเดินเข้าห้อง ผมกลับยื่นมือออกไปรับแทน
“ขอเข้าไปหน่อยได้ไหม?” พี่อัตถามเมื่อผมกำลังจะใช้เท้าเขี่ยประตูให้ปิด
“พี่เป็นเจ้าของบ้านนี่ครับ เชิญ” ผมยักไหล่นิดๆ แล้วเดินนำเข้าไปในห้อง เอาสำรับอาหารไปวางไว้บนโต๊ะไม้ที่มุมห้อง
“ภีร์” พี่อัตเรียกหลังจากเดินไปนั่งที่ปลายเตียง ผมนั่งลงบนเก้าอี้แล้วหันไปมองพี่มัน “เรา...กลับมาคืนดีกันไม่ได้เหรอ?” พี่อัตถาม ผมชะงักและนิ่งไป สายตาที่พี่อัตทอดมองผมดูจริงจังและอ้อนวอนจนผมต้องรีบเบือนหน้าหนี กลัวใจอ่อน
คนเรา...ถ้าทำผิดครั้งเดียวก็สมควรให้อภัยแต่ถ้าทำผิดในเรื่องเดิมซ้ำๆ หลายครั้ง ถึงใจจะรักแต่มันก็ยากที่จะอภัย พี่อัตทำผิดซ้ำๆ ทำให้ผมเจ็บ พี่มันทำเหมือนหักหลังผมทำให้ผมรับไม่ไหวจริงๆ ผมเจ็บปวดกับการหักหลังและถูกหักหลัง ผมไม่อยากให้ความเจ็บนั้นกลับมาทำร้ายผมอีก มันทรมาน
“ไม่ได้หรอกครับ” ผมตอบไปทันทีโดยไม่ลังเล ไม่มีอะไรให้ผมต้องลังเลอีกแล้ว
“กูรู้ว่ากูผิด กูขอโทษ แต่มึงก็ผิดอ่ะ!” พี่อัตลุกขึ้นเริ่มโวยวายทำให้ผมอารมณ์ขึ้นบ้าง มีอย่างที่ไหนมาว่าผมผิด ผมผิดอะไร!?!
“ผมผิด!?! ผิดอะไร!?!” ผมลุกขึ้นหันไปเผชิญหน้ากับพี่อัตอย่างไม่กลัว ผมไม่ผิด ทำไมต้องกลัวด้วย พี่อัตต่างหากที่ควรสำนึก! ตัวเองไปมีคนอื่นอีกหลายคนแต่ผมไม่เคยมี!
“ก็มึงไม่เคยรักกูเลย! ไม่เคยหึงเคยหวง! ไม่เคยแสดงว่ารักกูเลยซักครั้ง! มึงอยู่กับกูโดยที่ไม่ได้รักกูเลย มึงเฉยเมยกับกูและดูแลกูโดยที่มึงไม่ได้รักกู มึงแค่เกรงใจกูใช่ไหมภีร์?” พี่อัตตะคอกถาม ผมรีบก้มหน้าหลบเพราะตอนแรกที่ผมอยู่กับพี่อัตผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ แต่พอนานเข้า ผมก็รักพี่อัตด้วยหัวใจของผมจริงๆ เพียงแต่ผมไม่ได้แสดงออกมากว่าผมรัก ผมยอมรับผิดในจุดนั้น
“...” ผมเงียบ ไม่กล้ามองตาพี่อัต
“กูก็น้อยใจเป็นนะ กูก็รู้ทั้งรู้ว่าที่มึงมาอยู่กับกูก็เพราะมึงรู้สึกขอบคุณที่กูอยู่กับมึงในช่วงเวลาที่ยากลำบาก กูใช้ประโยชน์จากตรงนั้นเพื่อเข้าใกล้มึง แต่ถึงจะรู้! แต่กูก็ปล่อยมึงไปไม่ได้! กูมันเห็นแก่ตัว อยากจะรั้งมึงไว้แม้ว่ามึงไม่อยากจะอยู่ กูพิสูจน์มึงด้วยการที่กูไปหาคนอื่น แต่แล้วมึงก็ไม่หึงไม่หวงไม่สนใจเลยด้วยซ้ำว่ากูจะไปอยู่กับใครที่ไหน แต่พอมั่นใจว่ามึงไม่ได้รัก กูก็ยังไม่อยากจะปล่อยมึงไปอยู่ดี” พี่อัตที่พูดขึ้นเสียงมาตั้งแต่แรกพูดแผ่วลงในประโยคสุดท้าย ผมไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าพี่อัตเพราะผมรู้สึกแย่ ผมทำผิดอย่างที่พี่อัตพูดแต่ที่ผมไม่แสดงอาการเพราะกลัวพี่อัตรำคาญ ผมรู้นิสัยเก่าๆ ของพี่อัต ผมเคยเห็นผู้หญิงของพี่อัตมาตามตื๊อมาตามหึงหวงแต่พี่อัตก็รำคาญและบอกเลิก ผมกลัว...ว่ามันจะเป็นอย่างนั้นผมก็เลยพยายามไม่ทำตัวน่ารำคาญ ไม่คิดเลยว่าความมักมากของพี่มันจะเป็นการพิสูจน์ความรักของผม ไม่อยากจะเชื่อเลย เฮอะ! งี่เง่าสิ้นดี
“พิสูจน์เหรอ? ไม่รักเหรอ? สนุกมากไหมกับการพิสูจน์หัวใจของคน พี่ไม่เคยรู้จักผมเลย ถ้าผมไม่รัก! ผมก็จะไม่ทนอยู่กับคนที่ผมไม่ได้รัก!! ที่บอกว่าผมไม่หึง ที่บอกว่าไม่ได้หวง พี่จะรู้ไหมว่าผมไม่กล้าเพราะกลัวถูกรำคาญ! แต่จริงๆ ผมเจ็บ! เจ็บจนจุก จนทนไม่ได้! ถ้าผมยังไม่บอกเลิกพี่แล้วผมจะต้องเจ็บไปอีกมากแค่ไหน!?! พี่ก็ทำเพื่อตัวของพี่เองทั้งนั้น เพื่อความต้องการของตัวเองโดยไม่ได้คิดถึงใจของผม แล้วจะให้ผมอยู่กับพี่ต่อไปได้ยังไง!?!” ผมปาหนังสือที่วางอยู่ใกล้ๆ มือใส่พี่อัตก่อนจะโวยวายบ้าง ถึงความจริงจะกระจ่างแต่ผมก็ไม่คิดจะกลับไปคืนดี ผมรักมาก ผมก็เจ็บมาก ตอนนี้ผมไม่มีแก่ใจจะรักใครได้อีก แผลที่ผมทำร้ายไอ้เปอร์กับไอ้ลุกซ์เอาไว้เมื่อตอนนั้นมันยังเจ็บ ยิ่งพี่อัตมาสร้างแผลใหม่ให้ผมยิ่งเจ็บมากขึ้นไปอีก พี่อัตยังไม่พร้อมที่จะรักใครอย่างจริงจังหรอกครับ
“กูขอโทษ กูขอโทษ กูทำไปโดยไม่คิด กูแค่อยากจะรู้ว่าจริงๆ แล้วมึงรักกูไหม? แต่กูรักมึงมากนะภีร์ กูขอโทษ!” พี่อัตวิ่งเข้ามาคว้าตัวผมเอาไว้แล้วบีบไหล่แน่น
“ที่ผมยอมอยู่ที่นี่ต่อเพราะพี่ขอร้อง พี่อยากจะเป็นที่พึ่งให้ผมและตอนนี้ผมก็อ่อนแอ แต่ไม่ได้หมายความว่าผมจะเปิดโอกาสให้พี่ได้แก้ตัว ผมจะรับคำขอโทษและให้อภัยกับสิ่งที่พี่ทำแต่ผมจะไม่กลับไปคืนดี” ผมผลักพี่อัตออกก่อนจะพูดเสียงเย็นๆ ตอนนี้ผมมีปัญหาเรื่องเพื่อน ผมไม่อยากกังวลอะไรอีกแล้ว
“ภีร์...” พี่อัตครางชื่อผมอย่างอ่อนใจ ผมหัวแข็งมากผมยอมรับ แล้วผมก็เป็นคนเจ็บแล้วจำด้วย อะไรที่ทำให้ผมเคยเจ็บผมก็จะไม่ทำมันอีก
“อ้อ ถ้าผมทำให้พี่ไม่เชื่อใจผมก็ขอโทษด้วย หมดเรื่องกันแล้วนะครับ เชิญออกไปได้แล้ว” ผมถอนหายใจแล้วผายมือไปที่ประตู
“มึงหัวแข็งจังเลยนะภีร์ บอกว่ารักแต่การกระทำแบบนี้กูก็ไม่กล้าคิดเข้าข้างตัวเองน่ะสิ” พี่อัตกลับไปนั่งที่ปลายเตียงแล้วพูดออกมาเสียงแผ่วๆ ทำเอาผมจุก ที่ผ่านๆ มาผมอาจจะดูเฉยชาเกินไปแต่ผมปฏิบัติกับพี่อัตได้เหมือนคนรักกว่าตอนที่เราคบกันแรกๆ ซะอีก ผมอาจจะไม่ได้เปลี่ยนท่าทาง อาจจะไม่ได้สวีตอะไรมากแต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าไม่รักซะหน่อย และที่ผมไม่กลับไปคืนดีไม่ใช่เพราะไม่รักแต่เพราะพี่อัตยังไม่พร้อม มาพิสูจน์อะไรกันตอนนี้ แล้ววิธีที่ใช้มันไม่ได้แสดงออกถึงความรักเลยด้วยซ้ำ มันทำให้ผมไม่เชื่อใจพี่อัตซะมากกว่า
“แล้วทีพี่ล่ะ บอกว่ารักแต่ก็พิสูจน์อะไรโดยไม่คิดถึงใจคนอื่น ถ้ายังไม่พร้อมจะรักใครก็ไม่น่าเข้าหากันตั้งแต่ที่แรกเพราะจากที่จะทำให้ดีใจกลับทำให้ผมเสียใจมากกว่า พร้อมที่จะรักและเชื่อใจใครเมื่อไหร่ค่อยไปหาคนรัก อย่าให้เป็นเหมือนผมในตอนนี้” ผมพูด ที่จริงผมไม่ได้อยากจะเห็นพี่มันไปรักคนอื่นหรอก แต่มันอาจจะดีกว่าก็ได้
ชิ! พูดเองเจ็บเองจุกเองว่ะ ถ้าให้เห็นพี่อัตควงคนอื่นบอกตรงๆ ว่าผมก็ทนไม่ได้ แต่ถ้าไม่เห็น...มันก็อีกเรื่อง
“กูขอโทษ” พี่อัตบอก
“ไม่ต้องขอโทษ” ผมบอก
“แต่ว่า...”
“พี่อัตครับ ผมขอร้อง ตอนนี้ผมมีเรื่องเครียดมากพออยู่แล้ว อย่าทำให้ผมปวดหัวไปมากกว่านี้เลย นะครับ” ผมขอร้องเมื่อหัวมันเริ่มบีบหนึบๆ อาการเหมือนไมเกรนจะขึ้น
“โอเค อย่าลืมกินข้าวนะ” พี่อัตพยักหน้าเหมือนเข้าใจแต่สีหน้าไม่สู้ดีก่อนจะเดินคอตกออกจากห้องผมไป
บอกตรงๆ ว่าตอนนี้ผมไม่พร้อมที่จะกลับไปคืนดีกับพี่อัต ผมไม่พร้อมจริงๆ ผมไม่ชอบที่พี่อัตมาพิสูจน์อะไรแบบนั้น มันเหมือนกับว่าเขากำลังเล่นตลกกับความรู้สึกผมอยู่ ผมอาจจะไม่ใช่คนรักที่ดีพร้อม ผมอาจจะไม่ค่อยแสดงออกให้เห็นว่าผมรัก แต่สำหรับผมแล้ว...เพียงแค่ผมอยู่ตรงนี้กับพี่อัต อยู่เคียงข้างและคอยดูแลในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ มันคือความรัก ผมไม่เคยคิดจะทำแบบนี้ให้ใครนอกจากพี่อัต แต่พี่อัตก็ไม่เชื่อใจผม ถ้าผมไม่รักผมพร้อมจะทิ้งแม้จะผูกพันแค่ไหนก็ตาม
ถ้าเป็นเมื่อก่อนตอนที่ผมยังไม่มีแผลใจแล้วพี่อัตเข้าหาผมแบบนี้ผมไม่แม้แต่จะแคร์เลยด้วยซ้ำ แต่เพราะพี่มันเข้ามาในช่วงเวลาที่ผมอ่อนแอผมก็เลยอยากจะมีใครซักคน ผมก็เลยแคร์ สุดท้ายก็หนีไม่พ้น รักเขาเข้าจนได้
เฮ้อ เอาเถอะ ตอนนี้เรื่องไอ้ลุกซ์สำคัญกว่า เลิกคิดเรื่องพี่อัตดีกว่า
หลังจากนั้นหนึ่งสัปดาห์
ผมเป็นคนเดียวที่ว่างงานก็เลยเทียวไปร่วมทีมสอดส่องดูความเคลื่อนไหวไอ้จักรและไปดูแลไอ้ลุกซ์ เพื่อนคนไหนไม่มีงานก็จะมาช่วยกันดูเรื่อยๆ หนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาอาการไอ้ลุกซ์ดีขึ้นมาก แผลก็ค่อยๆ ดีขึ้น การตอบสนองก็ดีมากจนไม่มีอะไรต้องห่วง และในที่สุดมันก็รู้สึกตัวครับ
ผมเป็นคนที่อยู่กับมันตอนที่มันค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา ตอนแรกผมก็ไม่ได้สนใจเพราะมัวแต่นั่งอ่านการ์ตูนอยู่แต่เพราะไอ้ลุกซ์มันโยนขวดน้ำข้างเตียงมันมาใส่ทำให้ผมผละออกจากหนังสือการ์ตูนมาหามัน
ดูสิครับว่าเพื่อนผมซ่ามากแค่ไหน เพิ่งลืมตาตื่นขึ้นมามันก็ดึงฝาครอบจมูกให้ออกซิเจนออกแล้วโยนขวดน้ำมาใส่ผมเฉยเลย นี่ขนาดไม่มีแรงนะครับ ผมว่า...ถ้ามันรู้ว่าใครที่ทำให้มันเป็นแบบนี้มันคงไปอาละวาดทั้งๆ ที่สภาพยังเดี้ยงแบบนี้แน่
“กินน้ำไหม?” ผมถาม เวลาดูละครคนป่วยมักจะถามหาน้ำเป็นอันดับแรกนี่นา
“ตัวกูบวมน้ำเกลือขนาดนี้จะให้กูแดกอีกทำไม แค่ก!” ไอ้ลุกซ์พูดออกมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่าชนิดที่ไม่เหลือเค้าเสียงเดิมเลย ได้ยินแบบนั้นผมก็รีบไปหยิบน้ำมารินใส่แก้วให้มันทันที เสียงแหบขนาดนี้ไม่ดื่มน้ำไม่ได้แล้วล่ะ
“แดกเข้าไป เดี๋ยวกูโทรบอกคนที่บ้านมึงก่อน” ผมช่วยปรับเตียงให้พลางถือโทรศัพท์ไว้ในมือ
“สัตว์ๆ กูเจ็บ! ห่ามึง!” จังหวะที่ผมกำลังจะช่วยมันให้ลุกขึ้นนั่งกึ่งนอนและกดโทรศัพท์ไปด้วยไอ้ลุกซ์ก็ร้องขึ้นเพราะผมเผลอไปวางมือทับพุงของมันเข้า อ่า...แผลผ่าตัดสินะ
“โทษๆ เจ็บมากไหม? เดี๋ยวกูเรียกหมอ” ผมล้มเลิกที่จะโทรศัพท์ก่อนจะวิ่งออกไปบอกพยาบาลว่าไอ้ลุกซ์มันฟื้นแล้วทำให้พยาบาลรีบไปตามหมอมาทันที
หมอที่เป็นเจ้าของไข้ไอ้ลุกซ์ไม่ใช่ใครอื่น ป๊ะป๋าของไอ้เคย์นั่นเอง ตอนแรกป๊ะป๋าไม่ใช่หมอเจ้าของไข้หรอกแต่ขอโอนเพราะไอ้เคย์อยากให้ป๊ะป๋าของมันดูแลไอ้ลุกซ์อย่างใกล้ชิด ง่ายๆ คือมันไว้ใจป๊ะป๋ามันมากกว่าคนอื่นอ่ะนะ
“เดี๋ยวป๊ะป๋าพาลุกซ์ไปตรวจที่ห้องตรวจก่อนนะ จะทำแผลให้ใหม่ด้วย ภีร์โทรบอกคนอื่นๆ ด้วยนะลูก" ป๊ะป๋าบอกเมื่อดูอาการไอ้ลุกซ์คร่าวๆ แล้ว
“ครับ” ผมพยักหน้ารับก่อนจะกดโทรศัพท์ไปบอกพ่อของไอ้ลุกซ์ จากนั้นก็บอกไอ้เคย์ให้มันกระจายข่าวต่อ
เมื่อคิดว่าโทรบอกจนครบแล้วผมก็สบายใจ นั่งเล่นรอไอ้ลุกซ์ตรวจเสร็จอยู่ในห้อง แต่สักพักใจผมมันก็รู้สึกหน่วงๆ เหมือนกับเป็นสัญญาณเตือนว่าผมต้องทำอะไรซักอย่าง
อ่า...ผมยังไม่ได้โทรบอกพี่อัต
คิดได้ดังนั้นผมก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อกดเบอร์พี่อัต แต่ก็นะ มันลังเลว่าจะโทรบอกดีไหม ถ้าผมโทรไปตอนที่พี่มันกำลังติดงานล่ะ? หรือโทรไปแล้วรับรู้ว่าพี่มันอยู่กับคนอื่นล่ะ? อ่า...ไม่ว่าจะคิดยังไงผมก็ฟุ้งซ่าน เอาเถอะ เดี๋ยวพี่ถังก็คงโทรบอกเองล่ะมั้ง
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ