[Y]ซวยฉิบหาย!ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก2
เขียนโดย DPR_Fox
วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 22.32 น.
แก้ไขเมื่อ 14 มีนาคม พ.ศ. 2558 20.40 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) Chapter 01 : 5 ปีที่หายไป
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตลอดเวลา 5 ปีที่ผมเฝ้ารอคอยการกลับมาของพี่ลุกซ์อย่างซื่อสัตย์ มันได้สิ้นสุดลงไปแล้วเมื่อคนที่ผมคิดถึงและรอคอยได้ยืนอยู่ตรงนี้...
...ตรงหน้าของผม
...แม้ว่าคนที่ผมเฝ้าคอยจะยืนอยู่ตรงหน้าแต่ทว่าการรอคอยของผมกลับยังดำเนินต่อไป ไม่ได้สิ้นสุดลงอย่างที่คิด
หลังจากเรียนจบปริญญาตรีชีวิตผมก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เพราะเศรษฐกิจไม่ค่อยจะดีบริษัทของพ่อกับแม่จึงพังไม่เป็นท่า ทางบริษัทใหญ่ที่พี่ถังดูแลอยู่มีปัญหาจึงต้องปลดสาขาย่อยเล็กๆ ออกให้หมดเพื่อความอยู่รอดจึงทำให้ครอบครัวของผมตกต่ำอย่างถึงขีดสุด เงินก็ไม่มี รถก็ต้องขายทิ้งทั้งหมด พนักงานก็ไม่เหลือ แม่บ้านก็ออกไปหางานใหม่ทำกันหมดจะเหลือก็แต่พี่ยามที่ยังคงอยู่ทำงานให้ทั้งๆ ที่รู้ว่าพวกเราไม่มีเงินจะให้
ก่อนที่ผมจะเรียนจบพี่ยามตกงานผมจึงให้พี่ยามมาทำงานที่บ้านและอุปการะส่งเสียเจ้าป้องให้เรียนต่อ พี่ยามซึ้งในน้ำใจของบ้านผมมากจึงรับปากว่าจะอยู่ด้วยกันต่อไปแม้จะลำบากแค่ไหนก็ตาม พ่อกับแม่ผมเองก็อายุมากแล้วจะไปทำงานที่ไหนก็ยากผมจึงให้ท่านพักอยู่ที่บ้านส่วนตัวเองก็เริ่มทำงานโดยเริ่มจากการเป็นครูสอนพิเศษที่สถาบันของพี่ถัง
พี่ถังพยายามช่วยพวกผมทุกอย่าง ทั้งหางานให้และให้เงินใช้แต่ผมปฏิเสธที่จะเอาเงินแม้ว่าพี่ถังจะเป็นเหมือนพี่ชายแท้ๆ ของผมก็ตาม ผมใช้แรงงานของตัวเองแลกกับเงินที่ได้เพื่อส่งให้คนที่บ้านและส่งเจ้าป้องเรียน เมื่อผมเรียนจบปริญญาตรีผมก็สอบชิงทุนเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยเดิม ผมเรียนไปด้วยและทำงานเป็นผู้ช่วยอาจารย์ในมหาวิทยาลัยบวกกับเป็นอาจารย์สอนพิเศษไปด้วยจนร่างกายผมแทบทนไม่ไหวแต่ผมก็สู้จนกระทั่งเรียนจบปริญญาโท
เมื่อเรียนจบพี่ถังก็ชวนผมไปทำงานที่บริษัทโดยจะออกค่าใช้จ่ายทุนที่ผมต้องทำงานคืนให้กับทางมหาวิทยาลัย ตอนแรกผมก็ปฏิเสธแต่พี่ถังก็รบเร้าผมจึงยอมตกลงประกอบกับเงินเดือนที่สูงมากของบริษัทผมก็เลยตัดสินใจที่จะทำงานที่นี่ ตำแหน่งที่ผมได้รับก็คือเป็นเลขาของประธานบริษัท ผมตกใจมากเพราะผมไม่ได้เรียนด้านนี้มา ผมนึกว่าพี่ถังจะให้ผมทำงานแผนกเครื่องยนต์กลไกซะอีกแต่ในเมื่อผมรับงานมาแล้วผมก็ปฏิเสธไม่ได้ด้วย
ด้วยความดีใจที่ครอบครัวผมจะไม่ต้องลำบากผมจึงรีบไปที่คอนโดของพี่ลุกซ์ที่ผมจากมาตั้งแต่ที่รู้เรื่องการล้มละลายของที่บ้าน ผมไม่ได้กลับไปที่คอนโดนั่นอีกเลยไม่รู้ว่ามันจะเป็นยังไงบ้าง ถ้ากลับไปแล้วเจอพี่ลุกซ์ก็คงจะดี ผมจะได้เล่าเรื่องราวของผมตลอดระยะเวลาห้าปีที่ไม่มีพี่ลุกซ์ให้ฟัง ผมจะบอกกับพี่มันว่าผมคิดถึงพี่มันมากแค่ไหน ถึงแม้จะเป็นเวลาห้าปีผมก็ไม่เคยคิดจะเปลี่ยนใจและผมยังคงมั่นคงในรักที่เรามีให้กันเสมอ
ผมเปิดประตูเข้าไปในห้องที่แสนจะคิดถึงก่อนจะชะงักเมื่อเห็นแผ่นหลังของใครบางคนที่กำลังยืนให้ลมโกรกอยู่ที่ระเบียง หัวใจผมเต้นรัว เนื้อตัวก็สั่นไปหมด ถึงแผ่นหลังนั้นจะดูเปลี่ยนไปนิดหน่อยแต่นั่นก็เป็นแผ่นหลังที่ผมชอบซบ ผมคิดถึงเหลือเกิน
ผมค่อยๆ ย่องไปที่ระเบียงก่อนจะสวมกอดเจ้าของแผ่นหลังนั้นจากด้านหลังทำให้เขาตกใจ ผมผละออกมาก่อนจะยิ้มกว้าง หน้าของพี่ลุกซ์ดูตกใจมากเลยครับที่เห็นผม พี่มันดูเป็นผู้ใหญ่กว่าเดิมและดูอบอุ่นขึ้นมากเลยล่ะครับ ผมคิดถึงพี่ลุกซ์ที่สุดเลย
“เปอร์...?” พี่ลุกซ์เอ่ยชื่อผมด้วยท่าทีลำบากใจ รอยยิ้มผมค่อยๆ หายไปเพราะท่าทางพี่ลุกซ์ดูเหมือนไม่ดีใจสักนิดที่เห็นหน้าผม
“อะไรกัน? หายไปตั้งนานไม่คิดถึงกันบ้างรึไง?” ผมแกล้งพูดแหย่แต่แทนที่พี่ลุกซ์จะหัวเราะพี่มันกลับทำหน้าลำบากใจมากกว่าเดิมและมองเข้าไปในห้อง ผมชะงักแล้วค่อยๆ หันไปมองตามสายตา
“อ้าว นั่นเปอร์นี่? เปอร์จำเจ๊ได้ไหม? เจ๊เปรียวไง” ภาพของหญิงสาวสวยโบกมือให้ผมอย่างตื่นเต้นทำให้ผมพูดอะไรไม่ออก สีหน้าของพี่ลุกซ์เมื่อครู่ทำให้ผมเริ่มสำนึกได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นระหว่างห้าปีที่พี่มันบอกให้ผมรอ
“นี่น่ะ ไม่ได้เปิดดูเหรอ?” ผมสะดุ้งเมื่อพี่ลุกซ์ยื่นซองสีชมพูซีดๆ มาตรงหน้า ผมไม่กล้ายื่นมือออกไปรับ ผมยังคงช็อคกับสิ่งที่ตัวเองกำลังคิด ผมได้แต่ภาวนาให้เรื่องที่ผมคิดอยู่ไม่เป็นเรื่องจริง พี่ลุกซ์อาจจะแกล้งอำผมเล่นก็ได้
“นี่เปอร์ ทำไมถึงไม่ไปร่วมงานแต่งของเจ๊กับลุกซ์ล่ะ เจ๊อุตส่าห์คะยั้นคะยอให้ลุกซ์ส่งการ์ดให้เปอร์แล้วนะ แต่ก็นะ ลุกซ์กลับมาจากอเมริกามาแต่งงานกับเจ๊แล้วก็ไปเรียนต่อเฉยเลยลำบากเจ๊ต้องรีบตามไป ใจร้ายไม่เปลี่ยนเลยนะ” เจ๊เปรียวเล่าให้ผมฟังด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสพลางเดินมากอดแขนพี่ลุกซ์อย่างร่าเริง ผมมองหน้าพี่ลุกซ์ด้วยสายตานิ่งงันเพราะยังช็อคไม่หาย
“ตะ...แต่งงานเหรอครับ? มะ...มะ...เมื่อไหร่กัน?” ผมถามออกไปทั้งๆ ที่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ดวงตาของพี่ลุกซ์
“เมื่อสามปีก่อนไง นี่ๆ เรามีลูกด้วยกันแล้วนะ มาดูรูปสิเปอร์ ลูกพวกเราน่ารักมากเลยนะ มาดูเร็วๆ” เจ๊เปรียวยังคงพูดด้วยท่าทางร่าเริงก่อนจะลากผมเข้าไปนั่งบนโซฟาแล้วเปิดรูปในไอแพดให้ผมดู “นี่ไงลูกของพวกเรา ชื่อน้องปิง ตอนนี้อายุ 2 ขวบแล้วนะ ซนมากเลย” เจ๊เปรียวพูดพลางเปิดรูปให้ดูโดยไม่ได้สนใจเลยว่าตอนนี้ผมรู้สึกอย่างไร ผมงงไปหมด
เมื่อสามปีก่อนเป็นตอนที่พี่ลุกซ์ขาดการติดต่อไปอย่างสิ้นเชิง ผมก็ไม่กล้ากวนเพราะคิดว่าพี่มันต้องเรียนหนักอยู่แน่ๆ ผมเชื่อใจพี่ลุกซ์ เพราะผมเชื่อว่าพี่ลุกซ์จะต้องกลับมาหาผมตามสัญญาผมจึงไว้ใจและไม่ติดต่อไปจนกว่าพี่ลุกซ์จะติดต่อมาแต่สุดท้ายความเชื่อใจของผมก็ถูกทำลายลงเพราะคนที่ผมรักอย่างสุดหัวใจ
หรือว่าพี่ลุกซ์จะแกล้งอำผมกันนะ?
“ชื่อน้องปิงเหรอครับ? น่ารักดี...นะครับ” ผมพูดออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้านพร้อมกับน้ำตาที่หยดแหมะลงบนหลังมือ ถึงจะคิดไปว่าพี่ลุกซ์อำผมแต่สถานการณ์มันไม่ใช่อย่างที่ผมคิดเลย
“อ้าวเปอร์ ร้องไห้ทำไม?” เจ๊เปรียวเงยหน้าขึ้นมามองผมอย่างตกใจผมจึงรีบปาดน้ำตา
“เปล่าครับ ผมแค่ดีใจน่ะครับที่พี่รหัสของผมมีความสุขกัน” ผมพูดกับเจ๊เปรียวก่อนจะลุกเดินไปยืนอยู่ตรงหน้าพี่ลุกซ์ที่เดินเข้ามาข้างในแล้ว “ยินดีด้วยนะครับที่มีครอบครัวแล้ว ผมขอโทษด้วยที่ไม่ได้ไปร่วมงานแต่งงาน ผมไม่รู้จริงๆ ว่าพี่กลับมาแต่งงาน อึ๊ก ลูกชายน่ารักจังเลยนะครับ หน้าเหมือนพี่เลย ผม...ขอให้ ฮึก มีความสุข...มากๆ ...ฮึก นะครับ” ผมมองหน้าพี่ลุกซ์ผ่านม่านน้ำตาที่ไหลลงมาไม่หยุด ผมมองหน้าผู้ชายที่หักหลังความเชื่อใจของผมอย่างหมดสิ้น ระยะเวลาที่ผ่านมา...ผมเฝ้ารอมันไปเพื่ออะไร?
“อืม” พี่ลุกซ์พยักหน้าเย็นชาขึ้นลงเบาๆ
“แล้วเมื่อไหร่เปอร์จะแต่งงานบ้างล่ะ?” เจ๊เปรียวถามขึ้น ผมรีบปาดน้ำตาก่อนจะหันไปยิ้มให้เจ๊
“ไม่รู้สิครับ ตอนนี้ผมก็กำลังรอแฟนของผมอยู่เหมือนกัน” ผมกำมือแน่นเพื่อสะกดไม่ให้น้ำตามันไหลออกมาอีก
“อ้าว แฟนเราไปไหนซะล่ะ?” เจ๊ถามด้วยใบหน้าที่ใสซื่อ พอเห็นแบบนี้ผมยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเป็นก้างขวางชีวิตที่มีความสุขของครอบครัวนี้ซะเหลือเกิน
“ไปเรียนต่างประเทศครับ ไม่รู้เมื่อไหร่จะจบ ผมไม่ได้ติดต่อไปเลยเพราะกลัวว่าจะเป็นการรบกวนเขาน่ะครับแต่ผมก็รอ เพราะผม...เชื่อใจเขามาก” ผมก้มหน้าพูดเสียงแผ่วตอนท้ายประโยค
“แน่นะ ไม่ใช่ว่าแอบไปมีกิ๊กหรอกนะเราน่ะ” เจ๊พูดแซว
“ไม่หรอกครับ ถ้าผมได้รักใครแล้วผมรักจริงและไม่มีทางหักหลังคนคนนั้นเด็ดขาด งั้น...ผมขอตัวกลับก่อนดีกว่า ผมไม่อยากรบกวนเวลาของครอบครัว” ผมพูดแค่นั้นก่อนจะรีบวิ่งออกไป ผมกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหวอีกแล้ว
มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของผมกันแน่? ทำไมผมถึงถูกหักหลัง ทั้งๆ ที่ผมเชื่อใจและเชื่อมั่นในตัวของพี่ลุกซ์มาก ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้? ทำไม...ทำไม...ทำไม!?!
ผมกลับบ้านไปด้วยสภาพหมดอาลัยตายอยากจนพ่อกับแม่ตกใจรีบเข้ามารับตัวผมเอาไว้ เมื่อผมเห็นหน้าพ่อกับแม่ผมก็ร้องไห้ออกมา นึกถึงช่วงเวลาเก่าๆ ที่พี่ลุกซ์เคยมาขอผมจากพ่อกับแม่และสัญญาว่าจะดูแลผมไปตลอด ผมเฝ้ารอคอยวันเวลาที่เราจะได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขแต่การรอคอยของผมมันกลับพังลงไม่เป็นท่า อ้อมแขนที่เคยโอบกอดและปกป้องผมได้หายไปอย่างถาวร เขาต้องไปดูแลคนอื่น คนอื่นสำหรับผมแต่เป็นครอบครัวของเขา คนที่ผมรักได้ทำลายหัวใจของผมจนแหลกละเอียดไม่เหลือชิ้นดี
“เปอร์เป็นอะไรลูก?” แม่ถามผมที่ซบหน้าอยู่บนตักนุ่มนิ่มแล้วร้องไห้โฮไม่หยุด
“แม่ครับ พ่อครับ ฮึก! มันจบลงแล้วครับ ฮือ ผมถูกหักหลัง ฮือ พี่ลุกซ์แต่งงานแล้วครับ ฮึก ฮือ!” ผมร้องไห้ด้วยความรู้สึกเสียใจจนเหมือนใจจะขาด มันทรมานจนอยากจะตายให้รู้แล้วรู้รอด ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้!?!
“เปอร์ อย่าร้องไห้นะ” พ่อลูบหัวผมเบาๆ พลางพูดด้วยน้ำเสียงปลงตก
“ทำไมไม่มีใครตกใจเลย? อย่าบอกนะครับว่าทุกคนรู้กันหมดแล้ว!?! ฮึก! ทำไม...ทำไมไม่มีใครบอกผมซักคำ!?!” ผมผละออกจากตักแม่ก่อนจะมองหน้าพ่อกับแม่อย่างตัดพ้อ
“เปอร์ ใจเย็นๆ นะลูก พ่อกับแม่รู้เรื่องนี้มานานแล้วแต่เราไม่อยากให้ลูกรู้เพราะกลัวว่าลูกจะรับไม่ไหว” แม่พูดปลอบผมทั้งน้ำตา
“ผมรับไม่ไหวจริงๆ ฮึก! ผมรักพี่ลุกซ์มากแล้วทำไมผมถึงถูกหักหลัง!? ฮือ แล้วผมจะอยู่ยังไง? ผมจะอยู่ต่อไปยังไง!?! โฮ!” ผมร้องไห้จนตัวสั่นสะท้าน
“ลูกยังมีพ่อกับแม่ มีน้องป้องและมีตาชัชอยู่นะ ถ้าลูกอยู่ไม่ได้แล้วพวกเราจะอยู่ยังไงล่ะลูก? ลูกต้องเข้มแข็งนะเปอร์” แม่พูดกับผมทั้งน้ำตาผมจึงมองไปรอบๆ ทั้งพ่อ แม่ น้องป้อง พี่ยาม คนเหล่านี้เป็นครอบครัวที่ผมต้องดูแล ถ้าผมอ่อนแอพวกเขาก็คงจะอยู่ไม่ได้ แต่ตอนนี้ผมรู้สึกทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ผมทรมานความรักที่ถูกหักหลังมากจนอยากจะตายซะให้รู้แล้วรู้รอด
“ก็แค่ผู้ชายคนเดียวจะไปสนใจมันทำไม!? ถ้าแกอยู่ไม่ได้เพราะมันแกก็ตายๆ ไปเลยเปอร์!” เสียงพ่อตวาดขึ้นทำให้ผมชะงัก “ถ้ามันสำคัญกับชีวิตแกขนาดนั้นก็เชิญแกจมปลักอยู่กับมันไปซะ ไม่ต้องมาสนใจพวกฉัน ไม่ต้องมาแคร์ความรู้สึกของคนที่คอยอยู่ข้างๆ แก!” พ่อตะคอกก่อนจะเบือนหน้าหนีไปทางอื่นแล้วยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาตัวเอง
ตอนนี้พ่อกับแม่ของผมดูซูบไปกว่าตอนที่พวกเรายังมีบริษัท พ่อกับแม่ของผมดูไม่มีชีวิตชีวาเหมือนเมื่อก่อนส่วนตัวผมเองก็ซูบลงไปเยอะเพราะต้องสู้กับปัญหาที่มารุมเร้า เดิมทีผมก็มีปัญหาให้แก้อยู่เยอะแยะมากมายแล้วถ้าผมหมดอาลัยตายอยากจนทำอะไรไม่ได้จริงๆ พ่อกับแม่จะต้องซูบลงมากกว่าเดิมแน่ๆ และเจ้าป้องเองก็จะไม่ได้เรียนหนังสือ พี่ยามอาจจะเหนื่อยจนทนไม่ไหว ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ คนที่จะเสียใจมากที่สุดคงไม่พ้นเป็นผม
“ทุกคนครับผมขอโทษ ถึงตอนนี้ผมจะยังทำใจไม่ได้แต่ขอให้ทุกคนเชื่อในตัวผมนะครับ ซักวันผมจะต้องเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ทุกคนสามารถพึ่งพาได้อย่างแน่นอน ผมจะทำให้ทุกคนสบายนะครับ” ผมก้มลงกราบเท้าพ่อกับแม่และหันไปกราบพี่ยามด้วย ผมจะต้องสู้กับอุปสรรคตรงหน้าให้ได้ ถึงจะไม่มีความรักจากผู้ชายคนนั้นแต่ผมก็ยังมีความรักจากคนรอบข้าง ผมจะต้องยืนหยัดให้ได้
แต่พอคิดถึงพี่ลุกซ์ผมก็อดเสียใจไม่ได้จริงๆ ช่วงเวลาที่ผ่านมามันมีค่าสำหรับผมมาก ผมกับพี่มันผ่านอะไรมาด้วยกันตั้งมากมายแต่สุดท้ายมันก็ไม่มีประโยชน์ ต่อให้ผมคร่ำครวญไปมันก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมาเพราะถึงยังไงพี่มันก็มีครอบครัวไปแล้ว มีลูกที่น่ารักและมีภรรยาที่สวย เป็นครอบครัวที่สมบูรณ์แบบจริงๆ
พี่มันสามารถมีรักครั้งใหม่ได้แต่ผม...คงไม่สามารถมีความรักได้อีก พี่ลุกซ์ทำให้ผมได้รู้ว่าความเชื่อใจมันไม่สามารถชนะทุกสิ่งได้เสมอไป ขนาดผมกับพี่มันที่รักกันมากยังแตกหักได้แล้วมีหรือที่รักครั้งหน้าของผมจะไม่พังทลายลง ต่อจากนี้ไปผมจะตั้งใจดูแลครอบครัวและจะไม่เอาเรื่องรักๆ ใคร่ๆ มาทำให้จิตใจเจ็บปวดอีกเป็นครั้งที่สอง
ผมอยากจะรู้เหลือเกินว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับพี่ลุกซ์กันแน่ทำไมพี่มันถึงเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ผมจึงไปหาพี่มันที่บ้าน ที่นั่น...ผมเจอพ่อกับแม่ของพี่ลุกซ์และเจอน้องไลลา เมื่อทุกคนเห็นหน้าผมพวกเขาก็มองหน้ากันอย่างลำบากใจ
“พี่ลุกซ์อยู่ไหมครับคุณแม่...เอ่อ...คุณป้า” ผมพูดก่อนจะกัดริมฝีปากตัวเองแน่น ผมไม่มีสิทธิ์เรียกแม่ของพี่ลุกซ์ว่าแม่อีกแล้วเพราะผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับครอบครัวนี้อีกแล้ว
“เปอร์...เรียกแม่เหมือนเดิมเถอะลูก” แม่ของพี่ลุกซ์เดินเข้ามาจับมือผมไว้ด้วยสีหน้าเศร้าๆ
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมแค่จะมาหาพี่ลุกซ์ ผมคิดว่า...ผมคงไม่ได้มาที่นี่อีกแล้วล่ะฮะ” ผมยิ้มเศร้าๆ พลางจับจับมือแม่พี่ลุกซ์ออกจากมืออีกข้างของผมอย่างนิ่มนวล
“เปอร์ อย่าพูดอย่างนั้นสิลูก มาหาเราได้ตลอดนะ แม่คิดถึงเปอร์นะ” คุณป้าพูดเสียงสั่นๆ เหมือนคนจะร้องไห้
“ขอบคุณนะครับที่ยังเอ็นดูผม” ผมยิ้มฝืนๆ
“พี่เปอร์คะ ไลลาจะไปตามพี่ลุกซ์ให้นะคะ คงจะอยู่ข้างบน” น้องไลลายิ้มฝืนๆ ให้ผมก่อนจะรีบวิ่งขึ้นไปบนบ้าน
ผมรู้ว่าการที่ผมมาที่นี่มันทำให้ทุกคนอึดอัดมากแต่มันคงจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วล่ะครับเพราะต่อให้เรื่องมันจะออกมาดีหรือร้ายแต่ความจริงที่ว่าพี่ลุกซ์แต่งงานมีลูกแล้วมันก็เป็นเรื่องจริง
พี่ลุกซ์ลงมาจากด้านบนแล้วพาผมไปยืนที่สวนหลังบ้าน แค่เห็นแผ่นหลังกว้างอยู่ตรงหน้าผมก็อยากจะเข้าไปกอดให้หายคิดถึงแต่ผมไม่สามารถทำได้เพราะเจ้าของแผ่นหลังนี้ไม่ใช่ของผมอีกต่อไปแล้ว มันกะทันหันจนเกินไปจนผมไม่รู้จะทำใจยังไงให้รับมันได้
“มันเกิดอะไรขึ้นเหรอครับ?” ผมถามเสียงสั่นๆ ทำให้พี่ลุกซ์ที่ยืนล้วงกระเป๋ากางเกงหันหลังให้ผมหันกลับมา พี่มันไม่แม้แต่จะมองหน้าของผมด้วยซ้ำ
“ก็อย่างที่มึงรู้ กูคงไม่ต้องพูดอะไรมากหรอก” พี่ลุกซ์พูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้านิ่งสนิทไม่มีความรู้สึกอะไรเลย แม้แต่ความเศร้าหรือความสงสารก็ไม่มี
“พี่เคยสัญญาว่าจะรักผมคนเดียวไม่ใช่เหรอ? พี่บอกว่าจะกลับมาหาผมไม่ใช่เหรอครับ?” ผมถามอย่างตัดพ้อ
“มันก็แค่คำพูด” คำพูดของพี่ลุกซ์ทำให้น้ำตาผมไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
“จะบอกว่าโกหกงั้นเหรอครับ? ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นกับเรามันเป็นเรื่องโกหกงั้นเหรอ?” ผมถามเสียงสั่น
“เปล่า” พี่ลุกซ์ตอบก่อนจะหรี่ตามองผม “เวลาเปลี่ยนคนก็เปลี่ยน ไม่ใช่เรื่องแปลก” ผมแทบทรุดเมื่อพี่ลุกซ์พูดออกมาอย่างนั้น สรุปว่ามีแค่ผมคนเดียวใช่ไหมที่ยังคิดว่าความรักของเรายังมั่นคงอยู่
“พี่เคยบอกให้ผมรอ บอกให้ผมเชื่อใจ ฮึก ผมก็ทำตามที่บอก อึ๊ก ผมรออย่างซื่อสัตย์แต่พี่กลับหักหลัง ฮึก ขอบคุณนะครับที่ทำให้ผมรู้ว่าความรักไม่ได้สวยงามอย่างที่คิด ขอบคุณจริงๆ” ผมพูดประชด
“จบแล้วใช่ไหม?” พี่ลุกซ์ถาม
“ฮึก ครับ” ผมกัดฟันตอบ
“อย่ามาที่นี่อีกนะ” พี่ลุกซ์พูดก่อนจะเดินจากไปทันที ผมมองตามแผ่นหลังนั้นทั้งน้ำตาก่อนจะทรุดลงนั่งร้องไห้อยู่นานสองนาน
ผมได้แต่ภาวนาให้เรื่องทั้งหมดเป็นความฝันแต่ความเจ็บปวดที่ผมรับรู้มันกลับเป็นเรื่องจริง ผมสูญเสียซึ่งความเชื่อใจและหัวใจที่เคยแตกสลายมาแล้ว หัวใจที่แตกไปครั้งนี้คงไม่มีทางต่อให้ติดเหมือนครั้งก่อนอีกแล้ว เหตุการณ์นี้มันร้ายแรงมากเหลือเกิน
ผมเคยบอกกับพี่ลุกซ์ไว้ว่าถ้าพี่ลุกซ์นอกใจผมจะเลิกและจะไม่กลับไปเจ็บซ้ำๆ อีก ผมไม่เคยคิดว่ามันจะมีวันนี้ ไม่เคยคิดเลยจริงๆ ว่าพี่ลุกซ์จะเปลี่ยนใจได้ง่ายขนาดนี้ พี่มันคง...ไม่เคยรักผมด้วยหัวใจจริงๆ
ทุกครั้งที่ผมอยู่คนเดียวผมก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมา หลังจากวันนั้นผมก็ไม่ได้ติดต่อกับพี่ลุกซ์อีก ผมไม่คิดที่จะไปหาหรือไปต่อว่าอะไรพี่มันเพราะกลัวว่าตัวเองจะเผลอไปทำลายความสุขของครอบครัวนั้นเข้า ถึงผมจะบอกกับตัวเองว่าต้องเข้มแข็งแต่ผมก็หยุดร้องไห้และหยุดคิดถึงวันเวลาเก่าๆ ไม่ได้สักที
“อะไรกันเปอร์? จะไปทำงานวันแรกทำไมถึงโทรมแบบนั้นล่ะ?” ไอ้พี่ถังที่มารับผมที่บ้านเพื่อไปทำงานถาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ผมรู้ว่าพี่มันฝืนยิ้ม คงจะรู้แล้วสินะว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับผมบ้าง พี่ถังเองก็คงอยากจะเลี่ยงไม่พูดถึงเรื่องของพี่ลุกซ์และผมเองก็ไม่คิดจะพูดถึงมันอีก จบก็คือจบ ผมคงไม่ได้เจอพี่ลุกซ์อีกแล้วและผมก็ไม่อยากจะเจอให้เจ็บปวดด้วย
“ก็คิดหนักน่ะสิ ทำงานกับบริษัทใหญ่ทั้งทีแถมยังเป็นเลขาของท่านประธาน ตื่นเต้นจะตายอยู่แล้ว” ผมแสร้งทำท่าตื่นเต้นก่อนจะกระโดดขึ้นไปนั่งในรถด้วยท่าทางร่าเริง ต่างคนก็คงต่างรู้ว่ารอยยิ้มบนหน้ามันไม่ได้มาจากความรู้สึกที่แท้จริง พี่ถังก็คงอึดอัดไม่น้อยที่ผมเป็นแบบนี้แต่ผมจะพยายามทำใจให้ได้ต่อให้ต้องใช้เวลานานแค่ไหนก็ตาม จะห้าปี สิบปี หรือกระทั่งไม่มีลมหายใจผมก็จะพยายาม
“ทำงานดีๆ นะมึง อ๊ะ ไม่ใช่ๆ จะพูดกูพูดมึงอีกไม่ได้แล้วสิ ต้องพูดว่า ทำงานดีๆ นะครับคุณปริน ถึงจะถูก ฮ่าๆ” พี่ถังเดินขึ้นรถก่อนจะออกรถพร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้ม
“ผมจะทำงานด้วยความตั้งใจครับท่านรองประธาน ฮ่าๆ” ผมยืดตัวตรงทำหน้ามุ่งมั่นก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาอย่างขำๆ ผมกับพี่ถังคุยกันต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงบริษัท พี่มันพาผมไปแนะนำให้รู้จักกับเลขาของตัวเองและให้พี่เลขาช่วยสอนงานผมก่อนที่จะพาผมไปหาประธานบริษัทที่ผมจะต้องทำงานด้วย
พี่ถังพาผมไปแนะนำให้รู้จักกับเลขาของพี่มันที่ชื่อพลอย พี่พลอยเป็นคนสวยครับแถมนิสัยยังน่ารักสุดๆ ที่สำคัญสนิทกับพี่ถังมากเลยล่ะทำให้พวกเขาทั้งสองทำงานด้วยกันอย่างสะดวกใจ ไม่รู้ว่าผมจะเข้ากับประธานได้แบบนี้ไหมนะ
“พร้อมนะน้องเปอร์ ท่านประธานคนนี้เป็นประธานคนใหม่แต่เคยทำงานที่นี่จนทุกคนในบริษัทรู้จักแล้ว ถึงจะดุและเข้มงวดไปซักหน่อยแต่เขาทำงานเก่งมากเพราะฉะนั้นสู้ๆ นะ” พี่พลอยวางมือไว้บนไหล่ผมพลางนวดคลึงให้เบาๆ อย่างให้กำลังใจ
“พี่พลอย ทำไงดี? ผมตื่นเต้นจนขาสั่นไปหมดแล้วเนี่ย” ผมเอื้อมมือไปจับมือพี่พลอยไว้เพื่อถ่ายทอดความเย็นไปให้พี่พลอยรู้สึก
“สู้ๆ นะเปอร์ พี่เชื่อว่าเปอร์ทำได้ มั่นใจเข้าไว้นะเด็กแสบ!” พี่พลอยพูดขำๆ เพื่อกำลังใจผม ผมย่นจมูกใส่พี่พลอยนิดๆ ที่เรียกผมว่าเด็กแสบ ก็พี่ถังน่ะสิครับ ชอบไปเล่าเรื่องของผมให้คนนั้นคนนี้ฟังจนเขารู้กันหมดแล้วว่าผมดื้อแค่ไหน พี่พลอยบอกว่ารู้จักผมมาตั้งนานแล้วเพราะพี่ถังชอบอวดว่าตัวเองมีน้องชายและพอมาเจอตัวจริงๆ พี่พลอยก็บอกว่าท่าทางของผมก็ดูแสบใช่เล่น แต่ก็ดีนะครับที่พี่ถังเล่าให้พี่พลอยฟังเพราะนั่นทำให้ผมกับพี่พลอยสนิทกันอย่างรวดเร็ว
“ครับ!” ผมสูดลหายใจเข้าปอดลึกๆ ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปในห้องของประธานบริษัท
ผมยืนขาสั่นริกๆ อยู่ในห้องโล่งกว้างที่ดูหรูหราโดยมีประธานบริษัทนั่งหันหลังให้ ท่าทางของประธานน่ากลัวชะมัดเลยครับ แค่ผมเข้ามาในห้องนี้ผมก็รู้สึกอึดอัดจนอยากจะวิ่งหนีไปซะให้รู้แล้วรู้รอด หรือผมจะวิ่งหนีไปจริงๆ ดีครับ แต่สุดท้ายผมก็รวบรวมความกล้าเอ่ยปากทักออกไป
“สวัสดีครับ ผมนายปริน วงศ์เมฆา จะมาเป็นเลขาให้ท่านประธานนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปครับ!” เมื่อผมพูดออกไปอย่างนั้นท่านประธานก็หมุนเก้าอี้ให้หันหน้ามาหาผม
“แน่ใจเหรอว่าจะทำหน้าที่นี้ได้ ผมให้โอกาสคุณตัดสินใจลาออก คิดดีๆ นะครับคุณปริน” เสียงเย็นๆ กับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนใบหน้าหล่อเหลาทำให้ผมยืนนิ่งค้าง
“ถัง! มึงหลอกกูเหรอ?! มึงทำแบบนี้กับกูทำไม!?! มึงยังเห็นกูเป็นน้องอยู่หรือเปล่า!?!” ผมกระชากคอเสื้อของพี่ชายตัวเองขึ้นมาก่อนจะปล่อยหมัดเสยปลายคางจนมันหน้าหงาย พี่พลอยที่รีบวิ่งตามผมเข้ามาในห้องทำงานของพี่ถังตกใจร้องซะลั่นแต่ก็ไม่มีใครเข้ามาเพราะห้องมันเก็บเสียง
เมื่อผมเห็นหน้าเจ้านายของตัวเองผมก็รีบสาวเท้าเดินออกจากห้องนั้นและมุ่งตรงมาที่ห้องของพี่ถังทันทีโดยไม่ลังเล ทั้งๆ ที่มันก็รู้อยู่แล้วว่าผมจะต้องมาทำงานกับคนคนนี้แต่มันก็ยังคะยั้นคะยอให้ผมมาทำ มันกะจะฆ่าผมทางอ้อมหรือไง!?!
“กูไม่ได้หลอกมึงนะเปอร์ แต่ที่กูทำเพราะกูอยากหางานให้มึง” ไอ้พี่ถังแก้ตัว
“กูยอมอดตายถ้าต้องมาทำงานให้ไอ้เหี้ยนั่น!!” ผมตะคอกด้วยความโกรธ
“เปอร์ฟังกู ตอนนี้ครอบครัวมึงกำลังลำบาก มึงไม่ยอมรับเงินจากกูหรือจากเพื่อนๆ ของมึงเลยแล้วแบบนี้เมื่อไหร่พ่อกับแม่ของมึงจะสบาย อีกอย่าง...กูอยากให้มึงตัดใจให้ได้เร็วๆ มึงจะได้ไม่จมปลักอยู่กับอดีต” ไอ้พี่ถังรีบพูด
“ให้กูมาเจอหน้ามันแบบนี้แล้วกูจะตัดใจได้เหรอ!?!”
“ได้สิ! ก็ดูมึงตอนนี้สิ มึงไม่ได้ร้องไห้แล้วไม่ใช่เหรอ? เปอร์...กูขอร้อง อย่าดื้อแล้วยอมทำงานซะเถอะ กูสัญญาว่ากูจะอยู่ข้างๆ มึงเสมอ มีอะไรก็บอกกู อีกอย่าง...เรื่องที่มันทิ้งมึงไปกูก็จัดการแก้แค้นให้แล้วด้วย รู้ไหมว่ากูเกือบพังงานแต่งของมัน” ไอ้พี่ถังรีบอธิบายอีกเพราะผมทำท่าจะเข้าไปต่อยมันอีกรอบ
“...” ผมเงียบแต่ก็ยอมสงบลง
“นะเปอร์ เพื่อครอบครัวของมึงนะเปอร์ ตั้งใจทำงาน กูรับรองว่าถ้ามึงเสียใจเพราะมันอีกกูจะฆ่ามันเอง” พี่ถังเดินมาจับไหล่ของผมเอาไว้ด้วยสีหน้าจริงจัง ผมถอนหายใจก่อนจะโผเข้าไปกอดมันเอาไว้ เพราะมีมันอยู่ข้างๆ ผมถึงลุกขึ้นได้ทุกครั้ง ไม่ว่ายังไงไอ้พี่ถังก็เป็นพี่ชายที่พร้อมจะปกป้องผมอยู่เสมอ ผมรักมันจัง “ไอ้เคย์ก็จะช่วยกูยำมันด้วยนะ เพราะมันก็เป็นพี่ชายของมึงเหมือนกัน” ไอ้พี่ถังพูด ผมแอบยิ้มนิดๆ ก่อนจะกัดไหล่ของมันจนมันต้องรีบผลักผมออกแล้วร้องโวยวาย
“รู้ได้ไงว่าพี่เคย์จะมาช่วยมึงยำไอ้บ้านั่น?” ผมถามล้อๆ จนไอ้พี่ถังทำหน้าเหลอหลากลบเกลื่อนความเขินทั้งๆ ที่หน้าแดงก่ำ
“รอง หน้าแดงใหญ่เลย” พี่พลอยชี้หน้าไอ้พี่ถังก่อนจะหัวเราะคิกคักผมจึงหันไปส่งสายตาขำๆ ให้พี่พลอย พี่พลอยน่ะสนิทกับพี่ถังจนรู้ทุกเรื่องของพี่มันเลยล่ะครับ พี่เคย์บอกผมน่ะว่าพี่ถังมีเลขาที่สนิทกันมาก สนิทจนพี่เคย์หึงเลยด้วย
ผมเพิ่งมารู้ทีหลังครับว่าพี่ถังกับพี่เคย์เขากิ๊กกันอยู่จนกระทั่งพอพี่ถังเรียนจบพี่เคย์ก็สารภาพรักและขอคบ ดูเหมือนว่าพี่เคย์จะเคยสารภาพรักมาแล้วแต่ไม่สมหวังและพี่ถังเองก็มีใจให้พี่เคย์จึงยอมตกลงคบด้วยและตอนนี้สองคนนี้เขาก็รักกันมากครับ แลดูเป็นคู่รักติงต๊องยังไงก็ไม่รู้ ก็พี่เคย์น่ะกลัวพี่ถังมาก ถึงตอนนี้พี่เคย์จะกลายเป็น ผอ. ของโรงเรียนไปแล้วแต่ก็ยังทำตัวปัญญาอ่อนเพื่ออ้อนพี่ถังอยู่ได้ น่ารักไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ
“พอๆ อย่ามายุ่งเรื่องของฉันน่า พลอยเธอรีบพาไอ้แสบนี่กลับไปหาไอ้ประธานนั่นเร็ว ถ้ามีปัญหาอะไรให้รีบมาบอกฉัน” พี่ถังทำหน้าหงุดหงิดกลบเกลื่อนหน้าแดงๆ ของตัวเองก่อนจะโบกมือไล่พี่พลอยจึงจูงมือผมออกจากห้องโดยไม่วายหันไปแซวให้ไอ้พี่ถังเขินอีก แหม...คนแก่เขินแล้วก็ดูน่ารักแปลกๆ ดีนะครับ ฮ่าๆๆ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ