Crazy In Love เพลงรักลวงใจ

9.8

เขียนโดย LazyMe

วันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 20.25 น.

  3 ตอน
  15 วิจารณ์
  6,838 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 00.17 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) บทเพลงที่ 2: Welcome to our world

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
 

 

 

 

บทเพลงที่ 2

Welcome to our world

 

 

ฉันกับพลอยต่างก็รู้สึกเป็นอิสระไม่น้อยที่ได้อยู่กันตามลำพังเพียงแค่สองคนภายในบ้านบ้านหลังใหญ่ พวกเราทำอาหารกินกันเอง และใช้เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการนอนเอกเขนกดูทีวีอยู่ในห้องนั่นเล่น จนกระทั่งพ่อแม่ของพลอยกลับมาถึงบ้านในอีกสามวันถัดมา ทั้งคู่ต่างก็ดูแปลกใจไม่น้อยที่เห็นฉันมายืนต้อนรับพวกเขาพร้อมๆ กับพลอย แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังคงให้การต้อนรับฉันอย่างดีราวกับว่าฉันเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวเหมือนทุกครั้ง

ครอบครัวของพลอยเป็นครอบครัวที่แสนอบอุ่นมากเลยทีเดียวในความรู้สึกของฉัน พ่อแม่ของพลอยเคารพความคิดเห็นและการตัดสินใจของเธอ ซึ่งถือว่าต่างจากพ่อแม่ของฉันลิบลิ่ว แม้ว่าพลอยจะไม่ได้เรียนหมอเหมือนอย่างพี่เพชร  พวกเขาก็ไม่เคยว่าอะไร แถมยังให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่อีกด้วย ดังนั้นฉันจึงรู้สึกอิจฉาพลอยไม่น้อยที่เธอได้เลือกเส้นทางเดินในชีวิตตามความชอบของตนเอง

หลายวันถัดจากนั้นเป็นช่วงเวลาที่ฉันได้รอลุ้นผลแอดมิชชั่นไปพร้อมๆ กับพลอย จนในที่สุดผลแอดมิชชั่นก็ออกมาอย่างเป็นทางการโดยที่เพื่อนรักของฉันติดคณะบัญชีของมหาวิทยาลัยภูมิฤดี ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในประเทศ

“ยินดีด้วยนะพลอย”

“แบบนี้ต้องฉลอง” พี่เพชรยิ้มกว้างออกมาทันทีหลังจากที่ได้ฟังข่าวดี เขาเป็นพี่ชายของพลอย อายุมากกว่าพวกเราสี่ปี และกำลังเรียนอยู่ปีห้าคณะแพทย์ศาสตร์ที่ภูมิฤดี ดูจากรอยยิ้มแล้ว พี่เพชรคงจะดีใจไม่น้อยที่พลอยจะได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเดียวกัน แต่รอยยิ้มนั้นกลับทำให้ฉันเผลอนึกไปถึงพี่ชายของตัวเอง แล้วฉันก็ต้องรู้สึกหดหู่ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

ถ้าพี่แดนรักฉันแบบที่พี่เพชรรักพลอยบ้างก็คงจะดี

แต่จริงๆ แล้วก็ไม่ใช่แค่พี่หรอก ทั้งพ่อและแม่ด้วยนั่นแหละ ถ้าหากเผลอไปคิดเรื่องนี้ขึ้นมาเมื่อไหร่ ฉันก็มักจะเผลอกัดริมฝีปากด้วยความรู้สึกน้อยใจอยู่บ่อยๆ

หลังจากที่ทุกคนได้ฟังข่าวน่ายินดี พ่อแม่ของพลอยจึงตัดสินใจที่จะจัดงานฉลองเล็กๆ กันเองภายในครอบครัว ด้วยการทำอาหารเย็นด้วยกัน แต่จริงๆ แล้วมีเพียงแค่แม่ของพลอยและพลอยเท่านั้นที่จะแสดงฝีมือทำอาหาร คนอื่นๆ รวมทั้งฉันด้วยจะมีหน้าที่นอนเลื้อยอยู่ตรงโซฟาในห้องนั่งเล่น รอจนอาหารมาเสิร์ฟถึงที่

ทำยังไงได้ล่ะ ก็ฉันไม่ใช่แม่บ้านแม่เรือนที่จะทำอาหารเป็นนี่นา

“แล้วหนูเดย์ว่ายังไงจ๊ะลูก จะขนของลงมารอแม่หนูเลยมั้ยจ๊ะ” แม่ของพลอยยกถาดอาหารมาวางลงบนโต๊ะรับแขกพร้อมกับหันมาถามฉันด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเช่นทุกที แต่คำถามนั้นกลับทำให้ฉันต้องขมวดคิ้วน้อยๆ  เงยหน้ามองอีกฝ่ายด้วยความไม่เข้าใจ ทำไมฉันจะต้องขนของมารอแม่ด้วยล่ะ

“ฉันโทรไปบอกเองแหละ” พลอยยกถาดแก้วน้ำเดินตามเข้ามาในห้องนั่งเล่นเป็นคนที่สอง พูดเฉลยด้วยน้ำเสียงสบายๆ เหมือนกับเห็นว่ามันเป็นเรื่องปกติ ไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น ซึ่งตรงกันข้ามกับความรู้สึกของฉันโดยสิ้นเชิง

ฉันหันไปจ้องพลอยเขม็งอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าอีกฝ่ายจะทำอย่างนี้กับฉันได้ลงคอ พร้อมทั้งเพ่งสายตาคอยจับจ้องทุกการเคลื่อนไหวของเพื่อนด้วยความโกรธและผิดหวัง ฉันอุตส่าห์ไว้ใจ เปิดใจกับพลอยผู้เป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียว แต่พลอยกลับหักหลังฉัน ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองถูกทรยศและถูกทอดทิ้งภายในชั่วพริบตา แถมยังมาทำเหมือนกับว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรเลยเนี่ยนะ ไม่สิ พลอยคงไม่ได้คิดถึงความรู้สึกของฉันด้วยซ้ำว่าฉันจะรู้สึกยังไง ในเมื่อเจ้าตัวหันไปพูดคุยหัวเราะร่วนไปพร้อมๆ กับพี่เพชรซึ่งนั่งอยู่ที่เก้าอี้นวมอีกด้านหนึ่ง ไม่ได้หันมาสนใจเลยสักนิดว่าฉันจะมีปฏิกิริยาอย่างไร

ทันใดนั้นเอง อยู่ๆ ฉันก็รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองอยู่เพียงคนเดียวภายในโลกใบนี้ ที่นี่ไม่มีที่สำหรับฉัน จริงๆ แล้วมันก็เป็นบ้านของพลอย ครอบครัวของพลอย ฉันเป็นคนนอกที่เข้ามาอาศัยอยู่โดยที่พวกเขาอาจจะไม่ได้รู้สึกต้อนรับฉันเสียด้วยซ้ำ นี่ฉันกำลังทำอะไรอยู่ จะหน้าด้านอยู่ในบ้านของพวกเขาต่อทำไม แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็กลับบ้านของตัวเองไม่ได้ เพราะที่นั่นไม่ได้ให้ความรู้สึกเลยแม้แต่น้อยว่าเป็น ‘บ้าน ทั้งพ่อแม่และพี่แดนต่างก็ไม่มีใครยอมรับฉัน แล้วตอนนี้พลอยก็เขี่ยฉันทิ้งด้วยอีกคน ในโลกนี้ไม่มีใครเข้าใจฉัน ไม่มีเลยแม้แต่คนเดียว

“นั่นหนูเดย์จะไปไหนจ๊ะลูก” แม่ของพลอยเอ่ยทักเมื่อเห็นฉันคว้ากระเป๋าสะพายข้างของตัวเอง ลุกเดินออกจากห้องนั่งเล่นไปที่ประตูหน้าบ้านอย่างรวดเร็ว

“ขอบคุณทุกๆ คนมากค่ะ” ฉันหยุดยืนอยู่ตรงประตู พร้อมกับหันไปกล่าวบอกทุกคนด้วยเสียงราบเรียบจนฟังดูเหมือนไร้อารมณ์ ท่าทีเย็นชาอย่างเห็นได้ชัดของฉันคงจะทำให้พวกเขาสับสนไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะแต่ละคนหันไปมองหน้ากันเองอย่างงงๆ อยู่พักหนึ่ง ก่อนที่พลอยจะรีบเดินเข้ามาหาฉัน

แต่ฉันไม่อยากยืนเป็นส่วนเกินของครอบครัวแสนสุขนี้อีกต่อไปแล้ว

เมื่อคิดได้ดังนั้นฉันจึงกระชากประตูเปิดออกอย่างแรงด้วยอารมณ์โกรธที่กำลังปะทุเดือด แล้วรีบวิ่งออกมาจากบ้านของพลอยทันที ในเมื่อพลอยอยากส่งตัวฉันกลับไปหาพ่อแม่นัก ก็เอาไปแต่กระเป๋ากับเสื้อผ้าก็แล้วกัน เพราะว่าฉันจะไม่มีวันยอมเป็นหุ่นเชิดทำตามความต้องการของใครทั้งนั้น

ฉันเร่งฝีเท้า วิ่งไปข้างหน้าโดยไม่คิดจะหันหลังกลับไปมองอีก หลังจากวิ่งมาได้พักใหญ่จนแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครตามมาแน่นอน ฉันก็ลดฝีเท้าลงพร้อมกับยืนหายใจหอบด้วยความเหนื่อย

ความรู้สึกหลังจากได้รู้ว่าตัวเองอยู่ตัวคนเดียวในโลกใบนี้นี่มันช่างเป็นยาพิษที่กัดกินหัวใจจนปวดร้าวมากเหลือเกิน ฉันเดินเลาะริมถนนใหญ่ไปเรื่อยๆ ก้มหน้ามองพื้น แล้วก็ต้องกำหมัดแน่นด้วยความโกรธจัดเมื่อคิดถึงใบหน้าของพลอยขึ้นมา ทั้งโกรธและเจ็บในเวลาเดียวกัน ตอนนี้ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองเป็นฝ่ายพ่ายแพ้จนหมดรูป พ่อคงจะกำลังหัวเราะเยาะฉันอย่างผู้ชนะอยู่แน่ๆ ที่ฉันจะต้องซมซานกลับไปหาพ่อเหมือนเดิม จากแต่ก่อนที่ฉันเคยมีพลอยอยู่เคียงข้าง ตอนนี้กลับไม่เหลือใครอีกต่อไปแล้ว อยู่ตัวคนเดียว โดดเดี่ยวเพียงลำพัง

...เหงาเหลือเกิน

คิดๆ แล้วก็อยากจะร้องไห้ แต่ฉันไม่ใช่เด็กตัวเล็กๆ ที่จะต้องมาเสียน้ำตาให้กับความเหงา ฉันไม่อยากเป็นเด็ก ฉันไม่อยากอ่อนแอ ความเป็นเด็กคือสิ่งที่พวกพ่อแม่ชอบนำมาใช้เป็นข้ออ้างในการบีบบังคับลูกให้เต้นไปตามที่ตนเองต้องการ เพราะฉะนั้นฉันจะไม่แสดงความอ่อนแอของตัวเองออกมาเด็ดขาด ฉันจะไม่ยอมเป็นเด็กที่คอยรับคำบัญชาใครอีกต่อไป

น่าหงุดหงิด น่าโมโห ทุกสิ่งทุกอย่างช่างน่ารำคาญที่สุด ฉันรู้ตัวเองดีว่ากำลังหนีอยู่ แต่ไม่ว่าจะหนีไปที่ไหนฉันก็ไม่ได้พบกับทางออกเสียที ฉันอยากจะหายไปจากตรงนี้ อยากไปไหนก็ได้ที่จะสามารถขจัดความรู้สึกที่กำลังอัดแน่นอยู่ในอกให้มันหายไปซะ

ฉันโบกรถแท็กซี่พร้อมกับบอกให้ไปยังเดอะมิราเคิลซึ่งเป็นเพียงสถานที่เดียวที่ผุดขึ้นมาในหัวของฉันในขณะนี้ ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ต้องอยู่คนเดียวอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นมันก็คงไม่ต่างกันนักหรอก

ยี่สิบนาทีผ่านไปฉันก็มาถึงหน้าทางเข้าผับเดอะมิราเคิล คนไม่เยอะเท่าอาทิตย์ที่แล้วซึ่งเป็นตอนที่ฉันมาที่นี่กับพลอยครั้งแรก น่าจะเป็นเพราะว่าตอนนี้ยังไม่ดึกเท่าตอนนั้น คนจึงยังไม่ค่อยมากัน

หลังจากจ่ายเงินค่ารถแท็กซี่ ฉันก็รีบลงจากรถมาแล้วเดินตรงไปที่หน้าทางเข้าซึ่งมีการ์ดสองคนยืนประจำอยู่ แต่แล้วฉันก็ต้องหยุดชะงัก พร้อมกับยืนนิ่งอยู่กับที่ มองการ์ดทั้งสองคนด้วยสีหน้าซีดเผือดทันทีเพราะนึกขึ้นมาได้ว่าฉันไม่มีบัตรประชาชนปลอมแบบพลอย แล้ววันนี้ฉันก็ไม่ได้แต่งตัวแบบจัดเต็มเท่าวันนั้นอีกต่างหาก แม้ว่าเสื้อผ้าทุกตัวและกระเป๋าสะพายของฉันจะเป็นสไตล์พังก์ร็อกอยู่แล้ว แต่ว่าฉันไม่ได้แต่งหน้าเลยสักนิด แถมยังลืมรองเท้าบูทส้นตึกไว้ที่บ้านพลอยด้วย เนื่องจากวิ่งพรวดพราดออกมาโดยไม่ทันได้คิด ตอนนี้ฉันจึงใส่แค่รองเท้าแตะธรรมดาซึ่งทำให้ฉันดูจืดไปเลย

แต่ฉันก็ทำใจกล้าไปยืนเข้าแถวอยู่กับคนอื่นๆ บางทีการ์ดอาจจะจำฉันได้ก็ได้ ซึ่งก็เป็นได้แค่ความหวังที่แสนจะริบหรี่ ฉันเคยมาที่นี่แค่ครั้งเดียวเท่านั้น การ์ดจะไปจำหน้าฉันได้ยังไงกัน

แถวค่อยๆ เคลื่อนตัวไปข้างหน้าทำให้ฉันเข้าใกล้ประตูทางเข้ามากขึ้นเรื่อยๆ เสียงหัวใจเต้นตุ้บๆ ด้วยความลุ้นระทึกทำให้ฉันรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังจะไปผ่านด่านทดสอบมหาโหดอะไรสักอย่างอยู่ แต่แล้วอาการตื่นเต้นก็หายวับไปในพริบตาพร้อมกับถูกแทนที่ด้วยความผิดหวังในทันใด เมื่อการ์ดคนหนึ่งขอดูบัตรของฉัน แล้วฉันตอบไปว่าไม่มี จากนั้นเขาก็มองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะส่ายหน้าไม่อนุญาตให้ฉันผ่านประตูเข้าไป

 พอโดนห้ามไม่ให้เข้า ฉันจึงตัดสินใจเดินอ้อมไปที่ด้านหลังของผับเพราะจำได้ว่ามีประตูทางเข้าอยู่ตรงลานจอดรถ ฉันเดินขึ้นบันไดไปตรงระเบียงด้วยความรู้สึกตื่นเต้นที่เหมือนกับว่าตัวเองกำลังจะทำอาชญากรรมอะไรสักอย่างอยู่ ตรงราวระเบียงมีคนยืนพิงอยู่แต่ฉันพยายามไม่สนใจเขา แล้วเดินผ่านไปที่ประตูก่อนจะลองเอื้อมมือไปหมุนลูกบิดประตูพร้อมด้วยอาการหัวใจเต้นระรัว

บ้าชะมัด! ประตูล็อก

ประตูนี่คงจะออกแบบมาให้ล็อกอัตโนมัติเหมือนกับประตูห้องพักของโรงแรมแน่ๆ ในเมื่อเป็นแบบนี้ฉันก็จนปัญญาแล้วว่าจะแอบเข้าไปข้างในได้ยังไง

ดังนั้นฉันจึงหันหลังกลับไปที่ระเบียง เท้าแขนลงบนราว พร้อมกับถอนหายใจออกมาเบาๆ ด้วยความหงุดหงิด

คืนนี้เยี่ยมจริงๆ ถูกเพื่อนหักหลัง ถูกห้ามไม่ให้เข้าผับ แล้วพอจะแอบเข้า ประตูก็ดันล็อกเข้าไม่ได้อีก ช่างเป็นคืนบัดซบที่น่ารำคาญที่สุด

ควันบุหรี่ลอยมาแตะจมูกทำให้ฉันหันไปมองทางด้านขวามือของตัวเอง ซึ่งมีใครคนหนึ่งกำลังยืนพิงระเบียงสูบบุหรี่อยู่

“ฉันขอสักมวนได้มั้ย” ฉันพูดเสียงเรียบแต่แฝงไว้ด้วยอารมณ์ขุ่นมัวอย่างชัดเจน ตอนนี้ฉันไม่สนใจอะไรทั้งนั้นแล้ว รู้สึกอยากทำอะไรที่มันบ้าระห่ำ ยิ่งขัดคำสั่งของพ่อได้มากเท่าไหร่ยิ่งดี อย่างเรื่องลองบุหรี่เป็นต้น บางทีคราวนี้ฉันอาจจะได้รู้เสียทีว่าทำไมคนมากมายถึงได้ติดใจในรสชาติขมๆ ของมันนักก็ได้

ชายหนุ่มยื่นซองบุหรี่มาให้ ฉันยื่นมือออกไปรับมาทันทีพร้อมกับหยิบบุหรี่มวนหนึ่งออกมา พอดีกับที่คนข้างกายได้เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้เพื่อจุดบุหรี่ให้กับฉันด้วยไฟแช็กในมือของเขา

จะว่าไป เหมือนจะคุ้นๆ อยู่ว่าเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ที่ไหนมาก่อน...

ฉันสำลักควันบุหรี่ออกมานิดหน่อย แต่ก็น่าดีใจไม่น้อยที่ครั้งนี้ฉันไม่รู้สึกมึนหัวเท่าสองครั้งแรก ครั้งนี้ฉันรู้สึกโล่งๆ เหมือนกับว่าความรู้สึกที่เบียดอัดแน่นอยู่ภายในใจทั้งหลายนั้นได้คลายออกจากกันทีละนิด แต่ก็ยังช้าเกินไปจนน่ารำคาญอยู่ดี ทำให้ฉันต้องยัดบุหรี่เข้าปากซ้ำอีกรอบพร้อมกับตั้งสมาธิอยู่กับการหายใจเข้าออกในแต่ละครั้ง แล้วค่อยๆ พ่นควันออกมาจากปากเบาๆ อย่างเซ็งๆ

เสียงหัวเราะขำขันน้อยๆ ดังมาจากชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของบุหรี่ ฉันรู้สึกฉุนกึกขึ้นมาทันทีเพราะคิดว่าถูกเขาหัวเราะเยาะ รวมทั้งยังรู้สึกยัวะที่วันนี้มีเรื่องน่าโมโหเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน ดังนั้นฉันจึงหันไปมองหน้าเขาพร้อมกับทำหน้าบึ้งใส่อย่างไม่พอใจ

“ฉันเดาว่าวันนี้เธอคงชอบบุหรี่” ชายหนุ่มพูดเสียงเรียบพลางอมยิ้มน้อยๆ ตรงมุมปาก อารมณ์ขุ่นมัวของฉันหายวับไปในทันทีเมื่อได้เห็นใบหน้าของอีกฝ่าย

มือคีย์บอร์ดแห่งวง May-B

“นายจำฉันได้ด้วยเหรอ” ฉันกล่าวทักด้วยความตื่นเต้น สีหน้าบึ้งตึงเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มแจ่มใสโดยพลัน พร้อมทั้งรู้สึกแปลกใจและดีใจที่เขาจำฉันได้ด้วย

“เพิ่งผ่านไปไม่กี่วันเอง ฉันยังไม่แก่นะ” เสียงนุ่มตอบกลับมาขณะอมยิ้มน้อยๆ ตรงมุมปาก

รอยยิ้มนั่น ใช่แล้ว ช่างเป็นรอยยิ้มที่ดูน่ารัก ดูอบอุ่นมากๆ เลย เป็นรอยยิ้มที่ทำให้ฉันรู้สึกว่าอยากจะยิ้มตามเขา ดังนั้นฉันจึงยิ้มกว้างขึ้นอีก ทั้งตื่นเต้นที่ได้เจอเขา แล้วก็ดีใจที่ได้เห็นรอยยิ้มของเขาอีกครั้งหนึ่งด้วย

อย่างน้อย วันนี้ก็ไม่ได้มีแต่เรื่องบัดซบไปซะหมด

“แต่ก็คงแก่กว่าฉันอยู่ดี” ฉันหรี่ตาลงพร้อมกับเพ่งสายตามองไปที่ชายหนุ่มอย่างสำรวจ วันนี้เขาสวมหมวกไหมพรมสีเข้ม ซึ่งคงจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ฉันจำเขาไม่ได้ในตอนแรก ตรงแขนทั้งสองข้างมีปลอกแขนยาวสีเข้มตัดกับเสื้อสีขาวโพลน ฉันค่อนข้างมั่นใจว่าในวันแรกที่เจอกันนั้นฉันก็เห็นเขาใส่ปลอกแขนแบบนี้เหมือนกัน บางทีอาจจะเป็นสไตล์เฉพาะตัวของเขาเอง

“ฉันอายุยี่สิบเอ็ด เธออายุเท่าไหร่ล่ะ”

พอโดนถามเรื่องอายุ ฉันก็หุบยิ้มลงทันควันราวกับว่ามันได้กลายเป็นปมด้อยของฉันไปเสียแล้ว

“...สิบเจ็ด” ฉันตอบเสียงอ่อยด้วยความรู้สึกด้อยกว่าโดยอัตโนมัติ อีกทั้งยังเจ็บใจไม่น้อยที่อายุไม่ถึงเกณฑ์ ฉันต้องโดนเขามองว่าเป็นเด็กเหมือนอย่างที่คนอื่นๆ ชอบทำแน่ๆ แล้วก็จะถูกแบ่งกั้นด้วยเส้นระดับความอาวุโส จากนั้นก็จะถูกปฏิบัติด้วยเหมือนกับว่าฉันเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ

ฉันไม่ได้อยากถูกมองว่าเป็นเด็ก ฉันไม่ได้ต้องการให้ใครมาเอ็นดู ฉันอยากได้ความเท่าเทียมกันต่างหาก

แต่เขากลับไม่มีปฏิกิริยาอะไรทั้งนั้น ต่างจากคนส่วนใหญ่ในสังคมไทยที่มักจะก่อกำแพงความอาวุโสกว่าขึ้นมากั้น แล้ววางตัวเปลี่ยนไปจากเดิมทันทีที่ได้รู้ว่าอีกฝ่ายอายุน้อยกว่า

ยิ่งคิดเรื่องอายุของตัวเองมากเท่าไร ฉันก็ยิ่งรู้สึกน้อยใจที่เข้าไปข้างในเดอะมิราเคิลไม่ได้ ช่างน่าอิจฉาเขาเหลือเกินที่อายุถึงแล้ว จึงเข้าไปสัมผัสความสนุกสนานข้างในได้โดยที่ไม่ต้องมานั่งกังวลเรื่องนี้

“ดีจังนะ ฉันสิมาคนเดียว แถมเข้าก็ไม่ได้เพราะว่าอายุไม่ถึง มาเสียเที่ยวชะมัด” ฉันละสายตาจากเขาไปที่ลานจอดรถด้านล่าง ก่อนจะยกบุหรี่ขึ้นมาสูบอีกหนแล้วพ่นควันออกมาจากปากอย่างเซ็งๆ แม้ว่ามันชักจะทำให้รู้สึกสมองโล่งขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ฉันก็ยังคิดว่ามันไม่ได้ดีอะไรขนาดนั้น ขมก็ขม เหม็นก็เหม็น แถมยังทำให้รู้สึกเหมือนกำลังจมควันอยู่อีกต่างหาก

เสียงหัวเราะเบาๆ ดังมาจากคนข้างกายเรียกให้ฉันหันไปมองเขาอีกครั้ง พร้อมกับเอาบุหรี่ออกจากปากเนื่องจากทนสูบไม่ไหวอีกต่อไป ฉันเห็นเขายังคงยิ้มน้อยๆ มองมาที่ฉันอยู่เช่นเดิม แต่เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียว อยู่ๆ เขาก็ละสายตาไป แล้วเดินไปยังประตูทางเข้าเดอะมิราเคิลที่ฉันเพิ่งจะพยายามเปิดมันเมื่อกี้นี้

ฉันอ้าปากตั้งใจจะบอกหนุ่มนิรนามว่าประตูล็อกอยู่ แต่แล้วก็ต้องกลืนคำพูดทั้งหมดลงคอทันควันเมื่อเห็นเขาล้วงกุญแจออกมาจากกระเป๋ากางเกง ฉันยืนมองเขาไขกุญแจเปิดประตูด้วยความงุนงงอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงมีกุญแจ แต่แล้วก็ต้องเปลี่ยนเป็นความรู้สึกอนาถตัวเองที่ซื่อบื้อจนนึกเรื่องนี้ไม่ออกได้ยังไง เขาเป็นมือคีย์บอร์ดของวง May-B แถมยังเคยบอกกับฉันว่าเล่นกีตาร์ประจำอยู่ที่นี่อีกต่างหาก เพราะฉะนั้นเขาก็ควรที่จะต้องมีกุญแจชุดหนึ่งพกเอาไว้อยู่แล้ว

แต่แทนที่เขาจะเดินผ่านประตูเข้าไปข้างใน ชายหนุ่มกลับหันมาทางฉันโดยที่ยังคงอมยิ้มน้อยๆ เอาไว้อยู่เช่นเดิม

“เข้ามาด้วยกันมั้ย” เสียงนุ่มกล่าวชวนพร้อมกับเอียงศีรษะน้อยๆ ไปทางทิศด้านในตึก

ฉันยิ้มกว้างออกมาทันทีด้วยความดีใจ

“ไม่เป็นไรแน่เหรอ ฉันอายุไม่ถึงนะ” แม้ว่าจะพูดด้วยท่าทีลังเล แต่ฉันกลับไม่สามารถหุบยิ้มลงได้เลยแม้แต่นิดเดียว

“ฉันไม่สนใจเรื่องอายุหรอก อายุเป็นแค่ตัวเลขที่ไม่สามารถใช้วัดความเป็นผู้ใหญ่ของใครได้ ห่างกันแค่ปีสองปีมันไม่ได้มีความแตกต่างอะไรมากมายเลย”

ฉันยืนมองเขาด้วยความรู้สึกทึ่งอย่างบอกไม่ถูก ก่อนจะยิ้มกว้างมากขึ้นอีกอย่างที่ไม่เคยยิ้มมาก่อน เหมือนจะชื่นชมเขามากกว่าเดิมหลายเท่าตัว ความรู้สึกหลากหลายกำลังอัดแน่นอยู่ภายในอกจนฉันแยกไม่ออกว่าตัวเองกำลังรู้สึกอย่างไรกันแน่

ดีใจ? ตื้นตันใจ? มีความสุข? มันเหมือนกันว่าฉันได้ค้นพบอะไรบางอย่างที่ตามหามานาน ใครสักคนที่คิดเหมือนฉัน เข้าใจฉัน

“จะว่าไป ฉันชื่อเดย์นะ” ฉันบอกเสียงใสขณะวิ่งเข้าไปหาเขา แล้วหยุดยืนข้างๆ เพื่อรอให้เขาเป็นฝ่ายบอกชื่อของตัวเองบ้าง

“ไนท์” เสียงนุ่มตอบกลับมา ทำให้ฉันต้องทำตาโตด้วยความยินดี พร้อมกับรู้สึกหัวใจพองโตเพิ่มขึ้นอีกเป็นสองเท่าเลยทีเดียว เนื่องจากชื่อของเรามีความหมายเกี่ยวพันกัน บางทีไนท์อาจจะถูกลิขิตมาให้เป็นเพื่อนคนแรกที่เข้าใจฉันก็ได้

ฉันเดินตามไนท์เข้าไปข้างใน จากนั้นเขาก็พาฉันขึ้นไปยังชั้นสามซึ่งถูกกำหนดให้เป็นโซนวีไอพี แล้วเข้าไปในห้องๆ หนึ่งพร้อมกับบอกว่าเป็นห้องซ้อมดนตรีก่อนขึ้นเวทีของพวกเขา ซึ่งเป็นห้องเก็บเสียงที่มีขนาดกว้างพอสมควร

เสียงเพลงดังสวนออกมาจากห้องทันทีที่ไนท์เปิดประตูเข้าไป มุมด้านในสุดมีเครื่องดนตรีหลากหลายชนิด ซึ่งถูกห้อมล้อมไว้ด้วยคนร่วมยี่สิบคนที่กำลังพูดคุยเฮฮากันอย่างคึกคัก หรืออาจจะมีจำนวนคนเกินกว่านั้น หลายคนส่งเสียงหัวเราะดังร่วมไปกับเสียงเพลง มองดูแล้วเหมือนทุกคนกำลังอยู่ในงานปาร์ตี้งานหนึ่งอย่างไม่มีผิดเพี้ยน

“พาใครมาวะไนท์” เสียงร้องทักดังมาจากชายหนุ่มเจ้าของทรงผมสกินเฮดที่ฉันเคยเห็นบนเวทีเมื่ออาทิตย์ก่อน เขากำลังนั่งพาดแขนอยู่ตรงริมสุดของโซฟาสีแดงสดที่ทอดยาวไปจนถึงสุดมุมอีกด้านหนึ่งของห้อง

“เขาชื่อเดย์ มาคนเดียว ฉันก็เลยคิดว่าอาจจะเหงา” ไนท์หันไปปิดประตูเมื่อพวกเราเดินเข้ามายืนข้างใน จากนั้นเขาก็ผละออกจากฉันไปที่โต๊ะตรงหน้าโซฟา ก้มหยิบแก้วไวน์ขึ้นมาจิบนิดๆ ฉันไล่สายตามองตามเขาไป จึงเห็นว่าบนโต๊ะตัวนั้นมีขนมและเครื่องดื่มหลายประเภทวางเกลื่อนอยู่เต็มไปหมด

“เอ่อ...สวัสดีค่ะ” ฉันหันไปผงกหัวน้อยๆ ให้กับหนุ่มสกินเฮดอย่างรู้สึกไม่แน่ใจว่าควรจะต้องขออนุญาตเข้าห้องก่อนหรือเปล่า

ไนท์เดินเข้ามาคว้าแขนของฉันพร้อมกับออกแรงดึงเบาๆ ไปที่โต๊ะเครื่องดื่ม จากนั้นเขาก็ก้มหยิบแก้วไวน์บนโต๊ะขึ้นมาอีกใบหนึ่ง แล้วยื่นส่งมันมาให้ เมื่อเห็นว่าฉันยื่นมือไปรับแก้วมาถือเอาไว้อย่างว่าง่าย เขาก็ยกแก้วของตัวเองขึ้นน้อยๆ พลางอมยิ้มตรงมุมปากอยู่เช่นเดิม

ฉันยิ้มร่าออกมาอย่างเข้าใจได้ในทันทีว่าเขาต้องการจะชนแก้ว

“ยินดีต้อนรับเข้าสู่โลกของพวกเรา”

“อื้อ” ฉันพยักหน้าแข็งขันอย่างรู้สึกตื่นเต้น พร้อมกับยื่นแก้วไปชนกับแก้วของเขา

เสียงชนแก้วดังเบาๆ ก่อนที่ฉันและไนท์จะยกแก้วไวน์ขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด เป็นเสมือนสัญญาณบ่งบอกถึงช่วงเวลาของความสนุกสนาน ใช่แล้ว ปาร์ตี้ เสียงหัวเราะและเสียงดนตรีทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองกำลังร่ายรำอยู่บนสวรรค์

ไม่แน่ว่าบางที...ฉันอาจจะค้นพบที่ของตัวเองแล้วก็ได้

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา