ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)
เขียนโดย snowred
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
97) บทที่ ๙๖: ตัวประกันที่ต่างฝ่ายต่างได้มา
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
บทที่ ๙๖
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
ตัวประกันที่ต่างฝ่ายต่างได้มา
ก๊อกๆ
“สิรไพร นายยังไม่ได้จ่ายค่าอาหารเลยนะ”
เด็กชายหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารัก ผมสีส้ม รวบผมส่วนหน้ามาติดไว้ด้วยกิ๊บกางศีรษะ กำลังเคาะประตูห้องพักของเด็กชายผมสีขาวเจ้าของนาม สิสิรไพร พนาเวศสุริยกร (สิรไพร) พร้อกกับกล่าวไปด้วย เสียงเล็กหวานใสฟังแล้วให้ความรู้สึกเหมือนเด็กผู้หญิง ดังเจื้อยแจ้วตรงหน้าประตุห้อง สิรไพรสะกดความรำคาญไม่ให้พังประตูไปซัดเด็กชายหน้าห้อง แต่อีกฝ่ายังคงส่งเสียงเรียกไม่หยุด ยิ่งเสียงแหลมนั่นด้วยแล้วทำให้เขารู้สึกปวดประสาท …และแล้วความอดทนของเขาก็หมดลง สิรไพรหยิบไม้หน้าสามที่ลงอาคมก่อนจะเดินไปเปิดประตู เด็กชายผมสีส้มยิ้มเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายได้ยิน เขาอ้าปากจะกล่าวไม่ทันไรก็ถูกสิรไพรฟาดไม้หน้าสามใส่ ร่างเล็กบางที่สูงเกือบเท่าเด็ก ป. ๔ ล้มลง ตามด้วยเสียงที่ดังจากสิรไพร
“เรียกอยู่ได้! บอกไปแล้วมิใช่ฤว่าจะจ่ายพรุ่งนี้น่ะ!”
“โหดร้าย ฉันแค่ต้องการเงินไปจ่ายก็เท่านั้นเอง” เด็กชายผมสีส้มค่อยๆ ลุกขึ้นพร้อมกับน้ำตาที่เอ่อออกมาเล็กน้อย สิรไพรไม่หลงกลอีกฝ่ายเพราะด้วยความที่เรียนอยู่ห้องเดียวกันเลยพอรู้นิสัยใจคอบ้าง เขาแสยะยิ้มก่อนจะกล่าว
“มิต้องมาแสร้งบีบน้ำตา …เรื่องเงินที่เอ็งต้องการไว้พรุ่งนี้ละกัน ตอนนี้กำลังชมของเล่นอยู่” เด็กชายผมสีส้มหยุดเสแสร้ง จ้องอีกฝ่ายอย่างฉงน “นี่นายพาใครมาแกล้งอีกล่ะ?”
“วิญญาณของมิติสามัญน่ะ” ดวงตากลมโตของเด็กชายผมสีส้มเบิกด้วยความแปลกใจ เขาถามด้วยเสียงที่เบา “อย่าบอกนะว่าศพอยู่ที่นี่น่ะ?”
“ใช่ แต่ข้ายังมิได้เอามาดอกนะ” ระหว่างที่สิรไพรตอบอีกฝ่ายก็เข้าไปในห้องตอนทีเผลอ ซึ่งเจ้าของห้องก็ไม่ว่าอะไร เขาเดินตามเข้าไป เด็กชายผมสีส้มนั่งยองๆ ตรงข้างหน้าเด็กชายสวมสร้อยใบโพธิ์ ก่อนจะใช้นิ้วดึงจมูกเพื่อปลุกอีกฝ่าย สิรไพรส่ายหน้าอย่างระอา ก่อนจะหยิบถังน้ำที่ใช้ชุบผ้าเช็ดพื้นเทน้ำใส่ร่างที่หลับไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร
ซ่า!
“อือ …น่ะ หนาว” เสียงสั่นเครือเพราะรู้สึกเย็นเชียบ สิรไพรกับเด็กชายผมสีส้มมองร่างที่สั่นเล็กน้อย เด็กชายผมสีขาวดึงโซ่ที่ยึดกับพื้นด้วยอาคม ก่อนจะกระตุกมันอย่างแรง “ตื่นๆ”
“นาย…” เด็กชายมองอีกฝ่ายอย่างนึกอะไรบางอย่าง เด็กชายผมสีขาวเห็นท่าไม่ดีเลยกระตุกโซ่แรงกว่าเดิม “เฮ้ยๆ มิใช่ว่าลืมอีกแล้วนะ อ้ายหัวปลาทอง” เด็กชายไม่ได้สนใจอีกฝ่าย เขามองไปยังเด็กชายผมสีส้มอย่างแปลกใจ ภาวนาในใจว่าเด็กชายผมสีส้มจะไม่ซาดิสม์เหมือนเด็กชายผมสีขาว
“ใคร… จะว่าไปฉันยังไม่ได้ถามชื่อนายเลย” กล่าวไปก็ก้มมองตนเองไปด้วย เมื่อเห็นว่าถูกราดน้ำเขาก็กัดริมฝีปากด้วยความโทสะ แต่ก็พยายามไม่แสดงสีหน้าหรือกล่าวอะไร เพราะหากทำเช่นนั้นเขาคงโดนกว่านี้แน่
“สิรไพร ส่วนอ้ายหัวทุเรียนนี่ชื่อขนมฟู …เรียกว่าขนฟูจะดีกว่า” สิรไพรกล่าวพลางเหลือบมองเด็กชายผมสีส้มเจ้าของนามขนมฟู (ซึ่งเป็นชื่อเล่น) อีกฝ่ายแสดงสีหน้าน้อยใจก่อนจะกล่าวอุบๆ อิบๆ
“ขนมฟูต่างหาก อย่าไปเชื่อนะ”
“อ้อ ยินดีที่ได้รู้จักนะ ฉันชื่อ……” หยุดไว้เท่านั้นเด็กชายก็จำต้องหยุด เพราะสูญเสียความทรงจำเลยนึกชื่อตนเองไม่ออก ขนมฟูพยักหน้าอย่างเข้าใจแม้อีกฝ่ายจะไม่ได้บอก “ความจำเสื่อมสินะ ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันกับสิรไพรจะช่วยตั้ง”
“ข้าด้วยฤ? หึๆ ได้ตั้งชื่อของเล่นก็ดีเหมือนกัน” สิรไพรแสยะยิ้มก่อนจะกล่าวต่อ อีกสองคนเงียบไปเพื่อจะฟัง ในใจของเด็กชายสวมสร้อยใบโพธิ์หวาดหวั่นว่าคงไม่ใช่ชื่อดีๆ แน่ แต่ก็ต้องเปลี่ยนความคิดเมื่อได้ฟัง
“ใบโพธิ์” ขนมฟูและเด็กชายสวมสร้อยใบโพธิ์เบิกตาด้วยความแปลกใจ บุคคลที่ดูใจร้ายตั้งชื่อดีๆ ให้มันช่างเหนือความคาดหมายจริงๆ “ทำไมเงียบล่ะ? …อ้อ สงสัยล่ะสิว่าทำไมคนอย่างข้าถึงตั้งชื่อดีๆ ให้ ข้าก็แค่สิ้นคิดเท่านั้นล่ะ เห็นสร้อยของวิญญาณความจำเสื่อมเลยนำมาตั้งให้” สิรไพรตอบพลางชี้นิ้วไปยังสร้อยของเด็กชายที่ได้นามใหม่ว่า ใบโพธิ์ เมื่อได้ฟังเหตุผลนั้นแล้วอีกสองคนก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ
“ว่าแต่… ใครกันนะที่ฆ่าใบโพธิ์น่ะ?”
“จะไปรู้ฤ? ถ้าเกิดจะถามเจ้าโพธิ์นี่ก็คงจำมิได้อีก จริงไหม?” สิรไพรกล่าวพลางเหลือบมองใบโพธิ์ ถึงเจ้าตัวจะรู้สึกขัดใจแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าตนเองจำไม่ได้ตามที่อีกฝ่ายกล่าว
“โดนเข้าคุกแน่” ขนมฟูพึมพำก่อนจะเอื้อมมือไปลูบแก้มใบโพธิ์อย่างหลงใหล ใบโพธิ์รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ บอกไม่ถูก ถึงจะสงสัยว่าทำไมอีกฝ่ายสัมผัสตนเองได้ทั้งๆ ที่เป็นวิญญาณแต่ก็ไม่ถามอะไร ได้แต่มองอย่างระแวดระวังเท่านั้น
“หล่อจัง”
“น่ะ นี่นาย…” ใบโพธิ์หยุดไว้เท่านั้นเมื่อขนมฟูเลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้ ใบหน้าที่ไม่มีเลือดเนื้อก็พลันมีสีแดงระเรื่ออย่างน่าแปลกใจ เขาขยับร่างให้ห่างจากอีกฝ่ายซึ่งก็ได้ผลเมื่อขนมฟูไม่รุกเข้ามาต่อ
“อืม… ใบหน้าคุ้นๆ จังเลย” ขนมฟูกล่าวอย่างใช้ความคิดแทน สิรไพรมองขนมฟูอย่างฉงนก่อนจะถาม “เคยเห็นที่ไหนเรอะ? ดีเลยจะได้ส่งกลับร่างด้วยพิธีฟื้นคืนชีพ ทีนี้ได้ทรมานสะใจแน่” ตอนแรกที่ใบโพธิ์คิดว่าสิรไพรจะมีน้ำใจช่วยให้ตนเองกลับมามีชีวิตอีกครั้งก็จำต้องทำใจกับความคิดอีกฝ่าย …ถ้าเกิดฟื้นขึ้นมาแล้วไม่ได้กลับบ้านแถมต้องมาเป็นของเล่นให้สิรไพร สู้ให้ใบโพธิ์เป็นวิญญาณถูกพรากร่างจะดีเสียกว่าเลย
“นึกออกแล้ว …นายคงจะเป็น… ผู้นำทางแห่งวายชนม์สินะ” สิรไพรเลิกคิ้ว เขาเริ่มคุ้นๆ ใบโพธิ์ขึ้นมาบ้างแล้ว “ผู้นำทางแห่งวายชนม์? ตลกว่ะ ปวกเปียกอย่างอ้ายนี่จะเป็นมันได้เยี่ยงไรกัน?”
“บางครั้งความทรงจำทำให้เราไม่รู้สึกถึงพลังตนเองนะ” ขนมฟูกล่าวเรียบๆ “คงมิใช่ดอกว่ะ มั่วชัดๆ” ระหว่างที่ทั้งสองโต้แย้งกันอยู่ ใบโพธิ์ก็มองทั้งสองสลับกันไปอย่างไม่เข้าใจก่อนจะถาม
“นี่ ผู้นำทางแห่งวายชนม์มันคืออะไร?”
“เป็นตำแหน่งที่ทุกคนต้องยำเกรง” ขนมฟูตอบ ใบโพธิ์ถอนหายใจที่ได้ยินคำตอบไม่ค่อยได้ความนั่น ก่อนจะถามอีกครั้งด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เอาดีๆ สิ”
“นี่ฉันว่าจะรุกก่อนนะ แต่ถ้านายจะเอาฉันจัดให้ก็ได้” ขนมฟูกล่าวจบก็ปลดกระดุมตนเอง ใบโพธิ์ขยับหนีอย่างสุดความสามารถแต่ถูกโซ่ของสิรไพรรั้งไว้ก่อนเลยขยับได้ไม่มากนัก ในใจก็บอกอีกฝ่ายไปด้วยว่าที่เอาน่ะคือคำตอบ ไม่ใช่แบบที่คิดอยู่ ในขณะนั้นสิรไพรเองก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเชียบ
“คิดจะทำอะไรของเล่นของข้าวะ? ถ้าอยากเล่นนักไว้ข้าเล่นเสร็จก่อนละกัน”
“อ๊ะ ลืมไปว่าเป็นของเล่นของสิรไพร” ขนมฟูนิ่งไปก่อนจะกล่าวต่อ “ไว้คราวหน้าละกัน”
ยังมีคราวหน้าเรอะ?!
ใบโพธิ์ถามในใจในขณะที่เหยื่อไหลตามใบหน้า นี่เขาทำกรรมอันใดไว้ถึงต้องมาเจอบุคคลแบบสิรไพรกับขนมฟูด้วยนะ
“เอาล่ะๆ เอ็งกลับไปได้แล้วอ้ายขนฟู ข้าจะเล่นกับอ้ายโพธิ์นี่ กลับไปซะ” ไม่ได้กล่าวอย่างเดียวยังโบกมือไล่ด้วย “ยังคุยไม่จบเลย นายนำวิญญาณที่น่าจะเป็นของผู้นำวายชนม์มา ก็ควรจะพาศพมาด้วยจะได้ตรวจว่าเป็นจริงหรือเปล่า” สิรไพรแสดงสีหน้าหงุดหงิด เขากล่าวแบบปัดๆ
“มันเป็นวิญญาณมิติสามัญ จะไปเป็นผู้นำวายชนม์ได้อย่างไรกันล่ะ” ขนมฟูถอนหายใจก่อนจะอธิบาย “แล้วนายแน่ใจเหรอว่าผู้นำวายชนม์เป็นคนมิติผกาย ไม่แน่ว่าแท้จริงแล้วอาจจะเป็นคนมิติสามัญก็ได้นี่” สิรไพรชะงักไปเมื่อได้ฟังเช่นนั้น เขาจ้องขนมฟูอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าตนเองจะมองข้ามไป
“เออ จริงด้วยว่ะ ถ้าอย่างนั้นไว้ทำธุระเสร็จก่อนค่อยไปเอาศพละกัน”
“ไม่ต้องเป็นนายหรอก ให้ฉันไปดีกว่า ขืนรออย่างนี้ทางโรงเรียนที่ผู้นำทางแห่งวายชนม์เรียนอยู่ ได้กังวลแน่ที่จู่ๆ คนสำคัญหายไปอย่างนี้ ต้องรีบแล้วล่ะ”
ขนมฟูกล่าวจบก็เดินออกจากห้องไป หลังจากนั้นทั้งห้องก็เงียบเป็นเป่าสาก ระหว่างที่ไม่มีใครเอ่ยอะไรใบโพธิ์ก็ขยับร่างให้ไปอยู่ในมุม แต่สิรไพรสังเกตก่อนเลยรั้งไว้ “ตามมันไปด้วยดีกว่า” กล่าวจบคนถูกมัดล้มลงไปนอนกับพื้นก่อนที่สิรไพรจะใช้โซ่ลากร่างเขาไป ใบโพธิ์ดิ้นไปดิ้นมาเพื่อให้อีกฝ่ายปล่อยจะได้เดินอย่างปรกติ แทนที่จะถูกลากด้วยสภาพน่าสังเวชเช่นนี้
“ฉันเดินเองได้ ถึงจะความจำเสื่อมแต่ก็ไม่ได้เป็นง่อยนะ!”
“หุบปาก” คำสั้นๆ แต่ได้ใจความที่สั่งด้วยน้ำเสียงเย็นเชียบ ทำให้ใบโพธิ์จำต้องยอมเงียบ พอออกจากห้องมาแล้วก็ต้องทนกับสายตาแปลกใจระคนขบขันไป ร่างสั่นด้วยความโกรธ ในใจนึกแค้นที่สิรไพรทำเช่นนี้
หลุดไปได้เมื่อไหร่แกตายแน่ อ้ายสิรไพร!
.
.
.
“นี่น่ะเหรอ” ขนมฟูที่มาถึงก่อนถามสิรไพรที่ตามมาทีหลัง คนถูกถามแสยะยิ้มพร้อมกับตอบ “ใช่ น่าแปลกนะที่ศพเปลี่ยนไปมิค่อยมาก” ขนมฟูพยักหน้าอย่างเห็นด้วยก่อนจะถามต่อ
“ทำพิธีฟื้นคืนชีพเลยดีไหม?”
“แล้วแต่เอ็งเลย” ขนมฟูได้ฟังเช่นนั้นจึงเริ่มเตรียมพิธี เขาวาดวงเวทยันต์รอบโลงศพ ระหว่างนั้นใบโพธิ์เองก็คิดหาวิธีที่น่าจะดีกว่านี้
ในหนังฯ พวกที่เป็นวิญญาณก็สิงร่างคนอื่น ถ้าเกิดเราสิงร่างตนเองจะได้ไหมนะ?
คิดได้เช่นนั้นใบโพธิ์ก็เข้าไปหาโลงศพก่อนจะขึ้นไปนอนทาบร่างเนื้อของตนเองที่ซีดมากแล้ว วิญญาณจมลงไปในร่างเนื้อก่อนที่จะค่อยๆ ประสานกัน สิรไพรมองอย่างแปลกใจแต่ก็ไม่ห้าม เขาคลายโซ่ออกพลางคอยดูว่าอีกฝ่าจะทำได้หรือไม่อย่างเงียบๆ
“อ๊ะ ได้ด้วยล่ะ” ขนมฟูแทบจะกระเด้งร่างขึ้นมาเมื่อได้ยินใบโพธิ์กล่าวเช่นนั้น เขาหยุดวาดวงเวทยันต์ก่อนจะเข้ามาดูใบโพธิ์ที่กลับเข้าร่างแล้ว ดวงตาสีส้มเบิกด้วยความตกตะลึง แปลกใจและดีใจก่อนจะกล่าวด้วยความชื่นชม
“ยอดไปเลย” ใบโพธิ์ยิ้มแห้งๆ เมื่อได้รับคำชม ดวงตาสีดำเหลือบมองสิรไพรที่ไม่เดินเข้ามาหา คนถูกมองรู้สึกตัวจึงกล่าว “ธรรมดาว่ะ” ใบโพธิ์แสดงสีหน้าไม่พอใจ รู้สึกหมั้นไส้สิรไพรขึ้นม
“นายไม่ตื่นเต้นเหรอ? การฟื้นคืนชีพโดยการเข้าร่างตนเองมันไม่ได้ทำกันง่ายๆ เลยนะ” ขนมฟูกล่าวอย่างหมดอารมณ์ที่เพื่อนร่วมห้องตนเองไม่รู้สึกตื่นเต้นไปด้วย สิรไพรยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจอะไรก่อนจะถามเสียงเรียบ
“กลับเข้าร่างได้แล้วจะเอาเช่นไรต่อล่ะ? ส่งไปให้ตรวจร่างกายเลยดีไหมว่าใช่ฤๅมิใช่?”
“อืม… อ๊ะ เดี๋ยวก่อนสิ ฉันลืมไปเลย นายเองก็คงจะลืมด้วยใช่ไหม? ว่าถ้าเกิดจับคนสำคัญของโรงเรียนอื่นมาได้ให้เป็นตัวประกันน่ะ” สิรไพรเลิกคิ้วพลางนึกถึงเรื่องสำคัญที่แต่ละโรงเรียนต้องทำกัน ริมฝีปากซีดเล็กน้อยเหยียดยิ้มพลางขยับเอ่ยไปด้วย
“ลืมไปเลย… หึๆๆ … ผู้นำทางแห่งวายชนม์ฤ? ครานี้ข้ากับเอ็งได้คะแนนเยอะแน่” ใบโพธิ์ที่เงียบมาได้สักพักก็พลันรู้สึกขนลุกซู่ ใจหวาดหวั่นเพราะรู้สึกได้ถึงลางสังหรณ์ไม่ดี
เมื่อไหร่จะได้กลับนะ?
ใบโพธิ์คิด ในขณะที่ภาพทั้งสามคนอยู่ในสายตาของเด็กชายสวมเสื้อนักเรียน สักพักเจ้าตัวก็หายไปราวกับไม่เคยอยู่มาก่อน…
“เฮอะ! อ้ายผู้นำทางแห่งวายชนม์มันหายหัวไปแล้วทีนี้จะทำเช่นไรล่ะ?”
เด็กชายเกล้าผมสีเทาที่สั้นถึงบ่าเพียงครึ่ง กล่าวอย่างหงุดหงิดที่คนสำคัญของโรงเรียนที่ตนเองเรียนอยู่หายไป เพื่อนคนอื่นๆ พยักหน้าอย่างเห็นด้วย พวกเขาอยู่ในภายในห้องที่กว้างใหญ่ที่มีห้องกักขังมากมาย มีโซ่ห้อยระโยงระยางราวกับเป็นเครื่องประดับ กลิ่นอับชื้น กลิ่นดินปืนและกลิ่นสนิมนั้นชวนให้สะอิดสะเอียน เป็นสถานที่ที่ให้ความรู้สึกโดดเดี่ยวและน่าหวาดกลัวนัก ระหว่างนั้นเองก็มีกินนรตนหนึ่งบินลงมาจากช่องว่างของห้องนี้ ก่อนจะหุบปีกแล้วกล่าวเสียงเรียบ
“ข้าว่าข้าพอจะรู้แล้วล่ะว่าผู้นำทางแห่งวายชนม์มันหายไปไหน”
“?” เด็กชายผมสีเทากับคนอื่นๆ ต่างจ้องมาที่กินนรตนนี้อย่างสงสัย “ก็มิแน่ใจนักว่าจะใช่ แต่หน้ามันเหมือนมากเลยล่ะ”
“ว่าแต่มันอยู่ที่ไหนล่ะ?” เด็กชายผมสีแดงถามต่อ กินนรตนนั้นเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจนัก “พวกโรงเรียนดอกคูนน่ะ”
เด็กชายผมสีเทาเบิกตาด้วยความรู้สึกที่ไม่สามารถบอกได้ว่าตกตะลึงหรือแปลกใจกันแน่ ก่อนที่เขาจะยิ้มมุมปาก ดวงตาสีดำเหลือบมองเด็กชายผมสีม่วงอมดำ ผมปอยหน้านั้นโค้งเป็นลอนคลื่นแต่ก็ไม่ถึงกับหยักศก ใบหน้าครึ่งบนพันด้วยผ้าพันแผลสีหม่นขาดๆ สวมชุดนักเรียนที่ขาดเปื้อนเลือด ร่างกายซีกซ้ายไม่มีเนื้อห่อหุ้ม มีเพียงกระดูกที่พันด้วยเส้นเลือด มือที่เป็นกระดูกข้างซ้ายกำด้ามเคียวที่ยาวโดยไม่มีทีท่าจะปล่อย อยู่ในกรงที่ใกล้กับกลุ่มเด็กชายที่คุยกันอยู่ เขาหยิบเศษกระดาษที่ขาดๆ หายๆ มาเขียนด้วยดินสอที่มีสภาพไม่ต่างกัน ก่อนจะให้เด็กชายผมสีเทาผ่านช่องระหว่างลูกกรงที่ขึ้นสนิมเขรอะ เด็กชายผมสีเทาอ่านเนื้อหาที่เด็กชายในกรงเขียนอย่างหวัดๆ ด้วยลายมือแบบอาลักษณ์
ทางนั้น โรงเรียนราชพฤกษ์ก็ได้ตัวคนสำคัญของโรงเรียนพวกเจ้าแล้ว ทีนี้จะทำกับข้าอย่างไร?
“เฮอะ! โอหังจริงนัก อย่าคิดเชียวว่าการที่ผู้นำทางแห่งวายชนม์ถูกจับเป็นตัวประกัน จะทำให้พวกข้ามิกล้าทำการใดกับเจ้า” กล่าวจบก็ออกเดิน ตามด้วยคนอื่นๆ ที่เหลือบมองด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา เด็กชายผมสีม่วงอมดำยังคงนั่งเงียบๆ อยู่โดยไม่ทำอะไร ดวงตาที่ถูกปิดด้วยผ้าพันแผลแม้นจะไม่สามารถมองเห็นได้ สำหรับสรรพสัตว์ทั่วไป แต่กับเขาที่ฝึกจนสามารถเห็นได้ด้วยจิตจนเห็นสิ่งต่างๆ ได้ ก็มองเด็กชายข้างนอกที่เดินไปโดยไม่แม้แต่จะสนใจเขา
เอาเถิด ก็ใช่ว่าข้าจะกลัวความตาย …แต่คูนนี่สิ จะอยู่ได้ฤๅเปล่านะ?
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ