ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)
เขียนโดย snowred
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
8) บทที่ ๘: สำนักดาบ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๘
[บรรยายโดยตัวละคร เด็กชาย ธันนะ อรุณทิพย์]
สำนักดาบ
สายตาที่เป็นไปด้วยความห่วงหา เป็นห่วงเป็นใยนั่นมันหมายความว่าไง
อึก---
เหมือนไฟเผาหัวใจให้มอดไหม้ ราวกับมีมีดแทงเข้าที่หลัง ศรีตอบสายตาของพงสณะด้วยแววตาเศร้าสร้อยเหมือนจะบอกว่าไม่เป็นไร ---แต่ทำไมผมถึงต้องเจ็บด้วยล่ะ ความรู้สึกอันแสนทรมานนี้มันเกิดตั้งแต่ตอนที่ผมเปิดประตูเข้าไปแล้วเจอพงสณะที่หยอกล้อศรีอยู่ ผมไม่เข้าใจ
เกลียดศรี…
สมองบอกว่าคนที่ทำให้ผมเจ็บคือศรีแต่หัวใจบอกว่ามันก็ใช่แต่ไม่สมควรที่จะเกลียด
ในระหว่างที่นึกเคียดแค้นนั้นท่านซอก็เอ่ย “หยุดการประลอง ชนก เจ้ามากับข้าประเดี๋ยวนี้!” น้ำเสียงนั้นแข็งกร้าวและเด็ดขาด ท่านซอพูดจบก็เดินจากไปทิ้งให้ท่านชนกยืนนิ่งสักพักเขาก็ก้าวเดินตามช้าๆ เส้นผมที่ปรกลงมาจากการที่เขาก้มหน้านั้นปิดซ่อนสีหน้าที่คาดเดายาก เด็กผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ยกับท่านชนก
“ท่านชนกคะ ท่านชนก…” เธอเอ่ยด้วยความเป็นห่วงพร้อมกับยื่นมือจะปลอบแต่ท่านชนกปัดมือออกแล้วก้าวต่อไป เด็กหญิงคนนั้นมองตาละห้อย
ศรีมองตามพร้อมกับถอนหายใจ เม็ดแตงลดธนูลงแล้วเก็บลูกธนูลงกระบอกที่สะพายด้านหลัง ทั้วทั้งลานประลองเงียบกริบมีเพียงความเงียบเข้าปกคลุม
แล้วต่างคนก็ต่างแยกย้ายโดยมีเสียงเอ่ยอย่างเซ็งและโล่งอกเซ็งแซ่โดยเฉพาะพงสณะที่ยิ้มไม่หุบ
---น่าหมั่นไส้
พวกผมกลับมาที่บ้านของท่านพินทุ ผมเดินไปที่ห้องของศรีพร้อมๆ กับเธอ เมื่อเปิดเข้าไปผมก็ต้องแปลกใจเมื่อพบกับร่างหนึ่งนั่งอยู่ในห้องนี้ เด็กผู้ชายคนหนึ่งไว้ผมทรงนักเรียนเหลือผมไว้ที่ตรงกลางที่เหลือโกนออกหมด กำลังใช้ช้อนตักข้าวและปลาที่ทาน้ำจิกพริกกะปิเข้าใส่ปากแล้วเคี้ยวหงุบๆ ท่าทางเอร็ดอร่อยนั้นมันยั่วท้องผมยังไงชอบกล
ผมเผลอลอบกลืนน้ำลายด้วยความอยากกิน
ศรีเบิกตากว้างพลางเอ่ยเสียงสั่นๆ ตะลึง
“เฉาก๊วย! นายมาที่นี่ได้ไงน่ะ” เด็กผู้ชายคนนั้นยกมุมปากหลังจากเคี้ยวข้าวเคี้ยวปลาหมด เขาหันมายิ้มแฉ่งให้ศรีพร้อมกับตอบ “ฉันรู้จักที่นี่นานแล้วล่ะเหมือนแววไพรไงล่ะ ---เซอร์ไพร์มั้ยล่ะนี่ฉันอุตสาห์มารอเธอที่นี่เลยนะ”
“เซอร์ไพร์บ้าอะไรล่ะ! ตกใจหมด นึกว่าผีสางนางไม้ที่ไหนมานั่งอยู่ในห้อง” ศรีแผดเสียงใส่ด้วยความโมโห จากประโยคที่ฟังดูเหมือนสองคนนี้จะเป็นเพื่อนกันสินะ
เด็กชายที่ชื่อเฉาก๊วยยิ้มกริ่มแบบมีเลศนัยแล้วเอ่ย “หึๆ ฉันไม่ได้มาคนเดียวหรอกนะ ฉันพาน้องเธอมาด้วยล่ะ” ศรีชะงักหยุดบ่นเฉาก๊วย นัยน์ตากลมโตเรียวนั้นฉายแววความหวังที่เปี่ยมไปด้วยความสงสัย เฉาก๊วยมีสีหน้าพอใจยิ้มกว้างเข้าไปอีก
“ฮึ อ้าว เป็น ‘ไรไปล่ะ รึว่าคิดถึงน้องจนคุมสติไม่ไหว ถ้าเกิดอยากเจอละก็เอาเงินมาสิบล้าน” ผมรู้ว่าเขาพูดเล่นแต่นั่นยิ่งทำให้ศรีจะเป็นบ้าเข้าไปอีก บทสนทนาเหมือนที่ผู้ร้ายลักพาตัวแล้วมีคนตามมาช่วย ตามหลักสูตรภาพยนต์จริงๆ
“ไม่เด็ดขาด ฉันไม่มีเงินถึงขนาดนั้นหรอกแต่ถึงมีฉันก็ไม่ให้” ศรีบ่นพลางยืนเท้าเอว จู่ๆ ก็มีเสียงประตูถูกเคาะ
ก๊อกๆ
ประตูอ้ากว้างเผยให้เห็นร่างเด็กผู้ชายที่สัดส่วนเล็กกว่าศรีโกนผมออกหมดสวมเสื้อนักเรียน เขาก้าวมาอย่างช้าๆ แล้วยกมือไหว้พลางยิ้มละมุนให้ศรี “สวัสดีครับพี่ศรี”
“รพิ! น้องอยู่ที่นี่จริงๆ ด้วยสินะ มาให้พี่กอดหน่อย” ศรีโผเข้ากอดเด็กชายคนที่คาดว่าน่าจะชื่อรพิจากการที่ศรีเรียกชื่อ ทั้งสองกอดกันแน่นด้วยความดีใจที่เหมือนกับไม่ได้เจอกันมาเป็นสิบๆ ปี ฟังแล้วอาจเกินจริงแต่บางคนเขาก็รู้สึกอย่างนั้นไปว่าก็ไม่ได้
“เป็นไงบ้างจ๊ะ พี่คิดถึงหนูมากเลยนะไม่ได้เจอกัน ๒ ปีแต่พี่รู้สึกเหมือนห่างหายไปหลายปี”
“ผมเองก็คิดถึงเหมือนกันครับ ---ว่าแต่พี่ศรีมาที่นี่ได้ไงกันครับ” รพิค่อยผละแล้วเงยหน้าถาม ศรีผุดยิ้มบางแล้วตอบ “ไว้เดี๋ยวพี่เล่าทีหลังนะ …คิดถึงจังเลย”
“นี่ พอเจอรพิแล้วก็ลืมฉันเลยนะ ตอบแทนฉันด้วยล่ะเพราะถ้าเกิดฉันไม่บอกเจ้ารพิมันก็ไม่โผล่หน้ามาให้เธอเห็นหรอก” เฉาก๊วยที่รู้สึกว่าตนถูกลืมประท้วงขึ้นทำให้ศรีมีอาการฉุนที่มาขัด เธอขอบคุณกึ่งเต็มใจและไม่เต็มใจ
“ขอบคุณนะแต่อย่าเพิ่งมาขัดสิฉันอยากคุยกับน้องชายสุดที่รักของฉันอยู่นะ” เฉาก๊วยทำเป็นไม่ได้ยินพร้อมกับตักปลาเข้าปากแล้วเคี้ยวนั่นเองที่ทำให้ศรีมีทีท่าไม่พอใจ เธอเลิกสนใจแล้วหนไปคุยกับรพิต่อ
“ว่าแต่น้องเองก็คงรู้จักที่นี่ก่อนเหมือนกับแววไพรแล้วก็ขนมชั้นสินะ”
“ครับ ประมาณช่วงที่ผมยังอยู่อนุบาล ต้องขอบคุณพี่เฉาก๊วยนะครับที่บอกผม” ประโยคหลังเด็กชายโกนผมหันไปเอ่ยกับเฉาก๊วย ซึ่งเจ้าตัวก็ยิ้มแล้วกินข้าวต่อ ---ผมเหลือบไปทางแววไพร สังเกตว่าเธอดูเหงาๆ
เป็นอะไรกันนะ
จากคราวที่แล้วเรื่องการแข่งชกมวย ท่านซอไม่ไว้ใจที่จะฝากผมและศรีให้เป็นสมาชิกค่ายมวย เกรงว่าจะมีเหตุการณ์ที่จะทำให้มีบาดแผลเกิดขึ้นอีก ท่านซอจึงบอกให้บรรพตพาไปที่สำนักดาบแห่งหนึ่ง
เรือนไทยภาคกลางปรากฏสู่ตา สระดอกบัวมีเป็นหย่อมๆ ต้นไม้โอนกิ่งไปมาตามแรงลม กลีบดอกไม้ปลิดขั้วโปรยปราย เป็นภาพที่เห็นแล้วคล้ายกับเป็นภาพวาดฉากหนึ่งในวรรณคดีก็ไม่ปาน
ณ ตอนนี้ ผมและศรีนั่งโดยสารรถเทียมม้าโดยมีบรรพตเป็นผู้บังคับให้ม้าลากไป ผ่านทุ่งนาที่ออกรวง หุ่นไล่กายืนโอนเอนไปมา ผมเหลือบไปมองศรีที่ท่าทางดีอกดีใจเป็นอย่างมาก สงสัยคงจะชอบบรรยากาศเรียบง่ายที่มีกลิ่นอายแบบสยาม ยิ้มไม่หุบเลยเชียว
เข้าสู่รั้วไม้ รถเทียมม้าหยุดเคลื่อนที บรรพตลงมายืนแล้วเอ่ยด้วยเสียงเหมือนผู้ชาย “ถึงแล้ว”
ผมกับศรีจึงลงมา ช่วงที่ศรีกำลังก้าวลงมาหลังจากที่ผมลงมาแล้ว จู่ๆ เธอก็สะดุดเท้าตนเอง
“อ๊ะ!”
ฟึ่บ!
ผมรีบเข้าไปพยุงร่างเธอเพื่อไม่ให้หล่น จังหวะนั้นเราสบตากัน ดวงตาสีดำขลับนั้นสั่นระริก แก้มของเธอผุดสีแดงระเรื่อดูแล้วน่าแกล้ง ผมจับแขนศรีพยุงลงพื้นซึ่งเธอเองก็ก้าวลงตาม
ตุบ
เธอลงมาแล้ว บรรพตที่ทีแรกเองก็ตกใจตอนที่ศรีจะล้มเปลี่ยนสีหน้าเป็นยินดี คาดว่าคงจะดีใจที่ศรีไม่เป็นไร ผมปั้นหน้านิ่งตามนิสัยตนเองแล้วเดินนำหน้า
แต่ท้ายที่สุดแน่นอนว่าผมไม่รู้เส้นทางบรรพตจึงเดินแซงหน้านำไป ระหว่างเดินผมกับศรีเราแทบจะไม่มองหน้ากันเลย รู้สึกว่าแก้มตนเองร้อนผ่าวชอบกล ศรีเดินหลังตรงอย่างสง่างามโดยไม่มีความถือตัวและยโสให้เห็น เป็นความสง่างามแบบที่จะทำให้ใครหลายคนนับถือ สายตามองไปแต่ข้างหน้า คาดว่าคงจะเบี่ยงเบนจากผม ซึ่งนั่นมันก็ดีแล้วล่ะ
พวกเราผ่านแมกไม้จนกระทั่งเดินมาถึงลานที่มีพื้นเป็นหญ้า เด็กอายุประมาณผมและประมาณวัยมัธยมมีไม่ถึง ๒๐ คนกำลังยืนมองเด็กหญิงและเด็กชายสองคนใช้ดาบฟาดฟันกันอยู่ ดูจากท่าการต่อสู้น่าจะเป็นวิชาดาบอาทมาฏ ผมเคยเปิดไปเจอในเว็บฯ ตอนที่ทำรายงานเลยอ่านจึงรู้มาบ้าง
ผม ศรีและบรรพตต่างมองการต่อสู้อันแสนเฉียบขาดแต่เงอะงะบ้างเนื่องจากคงฝึกไม่สำเร็จหลักสูตร เด็กหญิงนัยน์ตาสีฟ้าเกล้าผมทรงหางม้าประดับด้วยหวีที่สลักลวดลายเป็นลายกนกมีลูกปัดหินหลากสีร้อยห้อยลงมามันแกว่งไกวยามที่เธอเคลื่อนตัวรับการรุก
เด็กชายผมสีเงินสวมเสื้อกิโมโนแค่ชั้นเดียว ไม่คาดผ้าอะไรปิดผิวกายกับโจงกระเบนที่ข้างขวามีดาบคาตานะแขวน กำลังควงดาบที่สั้นกว่ารุกเข้า ---เห็นแล้วรู้สึกใจหายยามที่ดาบมาปะทะกันแฮะ เสียงเหล็กเสียดสีดังบาดลึกเข้าไปถึงใจเลย เท่าที่สังเกตผมไม่เห็นทั้งสองผละหรือถอยแม้แต่วินาทีเดียว
ช่วงจังหวะหนึ่งที่ฝ่ายเด็กหญิงเผลอเพราะอะไรก็ไม่ทราบ เด็กชายผมสีเงินก็เข้าประชิดทำท่าจะฟาดดาบ
---แต่ก็ไม่ฟาด---
“ข้าอยากให้เจ้าชนะบ้าง ข้าชนะฝ่ายเดียวทุกทีมันน่าเบื่อนะ”
เด็กชายเอ่ยเบื่อหน่ายพร้อมกับเก็บดาบลงงฝักที่เหน็บกับโจงกระเบนข้างซ้าย เด็กหญิงทรงผมหางม้าก้มหน้ากัดริมฝีปาก แววตาบ่งบอกถึงความท้อแท้ เธอไม่ได้เคียดแค้นที่เขาชนะแต่ไม่พอใจตนเอง ผมเดาความรู้สึกจากท่าทางและแววตา
เด็กหญิงคนนั้นเงยหน้าแล้วยิ้มแห้งๆ
“แหม เจ้าเก่งกว่าข้าแล้วให้ข้าทำไงล่ะ” พูดพร้อมกับเก็บดาบเข้าฝัก เด็กชายผมสีเงินไม่พูดต่ออะไรเพียงแค่มองยิ้มๆ
ตึก
มีใครบางคนเดินมาหยุดที่ข้างหลังผม ผมหันร่างไปมองพบว่าหญิงสาวผมยาวถักเปียเดี่ยว มีผ้าคาดแบบตะเบงมาน นุ่งโจงกระเบนสีแก่ ด้านข้างมีชิ้นเหล็กขนาดปานกลางสามเหลี่ยมคล้องอยู่ยื่นปลายแหลมเหมือนหนามออกมา ดวงตากลมโตมองร่างที่เพิ่งประลองดาบเสร็จ
เธอยิ้มพร้อมกับยกกระดาษขึ้นมาเขียนก่อนจะพูดกับเด็กหญิงผมหางม้า
“ยังเหมือนเดิมแต่ดีขึ้นเล็กน้อย ภายหน้าตั้งสมาธิให้ดีกว่านี้นะ”
“ค่ะ ท่านครู” หญิงสาวยิ้ม หันไปพูดกับเด็กชายผมสีเงิน “ข้าฝากเจ้าช่วยฝึกรัมภาด้วยล่ะ”
“ขอรับ ท่านอรัญญิก”
หญิงสาวที่ชื่ออรัญญิกจากไปเมื่อเขาพูดจบ แต่บรรพตที่มองการต่อสู้และฟังบทสนทนาเพลินรีบสาวเท้าตามไปแล้วกล่าวด้วยเสียงเหมือนผู้ชาย “ท่านครูคะ ขอเวลาค่ะ ท่านซอให้ข้าพาเพื่อนใหม่ของข้ามาฝากตัวเป็นศิษย์ ท่านอนุมัติไหมคะ”
ครูอรัญญิกเลิกคิ้วขึ้น พินิจผมและศรี ศรีมีท่าทางเกร็งๆ กับสายตานั้นที่มองมาราวกับจะทะลุ เลื่อนสายตาไปที่ปิ่นปักผม ---เหมือนกับท่านชนกเลย มองปิ่นปักผมศรีเหมือนกัน ทำไมกันล่ะ ปิ่นปักผมมันมีอะไรงั้นเรอะ
น่าสงสัย
ครูอรัญญิกก้าวไปหาเธอแล้วย่อตัวถาม
“ปิ่นปักผมเจ้าได้มาอย่างไร”
“หนู… ได้มาจากพ่อค่ะ พ่อบอกว่าย่าฝากให้หนูมาอีกที”
“งั้นฤ” เธอถอยห่างแล้วพูด “ข้าอนุมัติ”
หืม? ทำไมง่ายจัง ช่างเถอะ ครูคนนี้อาจจะไม่สนใจก็ได้ว่ามีพื้นฐานหรือไม่มี ผมอดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าแค่เรื่องยืนคำอนุมัตินี่มันต้องถามเรื่องปิ่นฯ ด้วยเหรอ
ทำไมคนที่นี่ถึงแปลกๆ นะ
“ข้ามีนามว่า คาตานะ วิกสิตนิโลบล เรียกข้าว่าคาตานะก็แล้วกัน”
เด็กชายผมสีเงินกล่าวแนะนำตัวหลังจากขอแยกตัวมาคุยกับพวกผมเป็นการส่วนตัวที่ริมสระบัวซึ่งมีม้านั่งทำจากไม้ไผ่ไม่มีพนักพิงตั้งประปรายคาดว่าให้เป็นที่พักผ่อนหลังจากการฝึกดาบ เมื่อผมและศรีแนะนำตัวเสร็จบรรพตก็พูด
“เจ้ารู้เรื่องข่าวดาบอรัญญิกหรือยัง” เรื่องดาบผมลืมไปเลยศรีเองก็คงเช่นกัน คาตานะนั่งลงบนม้านั่ง พวกผมจึงนั่งตาม “รู้แล้ว ท่านครูห้อง ๑ เป็นผู้บอก ว่าแต่ภารกิจเริ่มวันไหนล่ะ”
“มิรู้ซี”
ตื๊ด… ตื๊ด…
มีเสียงดังขึ้น บรรพตสะดุ้งด้วยความตกใจก่อนจะล้วงมือไปหยิบบางอย่างในกระเป๋าซึ่งวันนี้เธอสะพายมาด้วย เครื่องสีดำคล้ายโน้ตบุ๊คแต่เล็กกว่านั้นถูกเปิดบานพับขึ้น บรรพตขมวดคิ้วแล้วอ่านออกเสียงคาดว่าอ่านให้คาตานะฟัง
“ภารกิจสืบเบาะแสผู้ลักดาบอรัญญิกเริ่มวันนี้ได้เลย… เอ๋! ทำไมกะทันหันจังเลยล่ะ” เด็กหญิงสวมแว่นกันลมร้องเสียงหลง คาตานะดื่มน้ำจากกระบวยตักน้ำกะลาซึ่งตักจากถังน้ำที่ทำจากไม้ ริมฝีปากผละจากกระบวยตักน้ำซึ่งเยิ้มไปด้วยของเหลวใสๆ ขยับ
“ก็ดีแล้วมิใช่ฤ จะได้มิยืดยาด”
“งั้นเจ้าก็เตรียมพร้อมแต่แรกแล้วสินะ”
“แน่นอน ข้าเป็นถึงหัวหน้าห้องราชาเชียวนะ อย่าริอาจมาหมิ่นเชียวล่ะ” คาตานะว่ายิ้มๆ ก่อนจะตักน้ำแล้วยื่นให้ศรีคนแรก ศรีจ้องกระบวยตักน้ำไม่วางตาแล้วเลื่อนไปมองคาตานะ เขาถามเธอ
“มิชอบน้ำฤ?”
“เปล่าจ้ะ แต่ฉัน…” เธอลังเลไม่กล้าพูดความจริง เด็กชายผมสีเงินเหมือนจะรู้จึงยิ้มขันแล้วพูด “อย่าบอกนะ เจ้ากลัวว่าข้าจะใส่ยาพิษ ฮ่ะๆ มันไม่มีดอกข้าสาบานได้ หากข้าพูดเท็จขอให้ฟ้าผ่าตอนนี้เลย---”
“ย่ะ อย่าสาบานนะ ฉันเชื่อแล้ว” ศรีรีบคว้ากระบวยตักน้ำมาดื่ม เนื่องจากรีบมากไปน้ำจึงไหลย้อยลงมา ผ่านคาง ลำคอและหน้าอก…
พอคิดมาถึงตรงนี้ผมก็รู้สึกว่าหน้าตนเองร้อนขึ้นมา
ผมเบือนหน้าหนีกลัวจะเป็นลมเฉียบพลันหรือเลือดหมดตัว บรรพตมองผมอย่างสงสัยว่าเป็นอะไร ผมไม่ตอบสายตานั้นก่อนจะลุกขึ้นเป็นช่วงเดียวกับที่คาตานยื่นกระบวยตักน้ำมาให้ ผมมองด้วยสายตาเย็นชาแล้วพูด
“นายดื่มไปเถอะ” ผมเดินไปประชิดกับขอบสระบัว ทอดสายตายังผืนน้ำที่สะท้อนร่างผม แววตาที่ไร้ความอบอุ่นสะท้อนกลับมา ผมเป็นแบบนี้มาเสมอ
---ตั้งแต่ที่รู้ตัวว่าตนเองไม่มีพ่อแม่
ตั้งแต่ครั้นตนเองมักจะถูกล้อว่าเป็นเด็กไม่มีพ่อแม่
ตั้งแต่ตัวเองถูกหาเรื่องรังแก…
…แต่ผมก็สู้เสมอ
คนอย่างผมไม่ยอมให้ใครมาเหยียบย่ำเพราะกะอีแค่เรื่องไม่มีพ่อไม่มีแม่หรอก!
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ