Real Breaker

7.6

เขียนโดย คันศร

วันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 17.46 น.

  19 บท
  18 วิจารณ์
  21.80K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2558 19.50 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

9) ย่ำสนธยา 1

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

          เสียงหวีดร้องโหยหวนที่เกิดจากสายลมแรงจนชวนให้ขนลุก ในไม่ช้าท้องฟ้าที่เคยสว่างสดใสกลับมืดมิดลงราวกับว่ามันได้พัดพาเอาความมืดมากับมันด้วย ผู้คนต่างเร่งรีบเข้าที่ร่มก่อนที่ฝนจะเริ่มโปรยปรายลงมา จนเหลือเพียงชายหนุ่มคนหนึ่งที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมราวกับว่าโลกที่เขาอยู่ได้พังทลายลงไปเสียแล้ว

          เขาได้แต่นั่งทบทวนถึงสิ่งที่เกิดขึ้น หลังจากผ่านเรื่องราวในนครแห่งน้ำตานับตั้งแต่วันนั้นมารีอาก็ไม่เคยลืมตาตื่นขึ้นมาอีกเลย ถึงแม้เวลาจะล่วงเลยไปถึงสองเดือนแล้วก็ตาม จนทีมแพทย์ที่ทำการรักษาก็เริ่มถอดใจเมื่อความรู้ในปัจจุบันไม่สามารถช่วยเธอได้ทำได้เพียงแค่ประคองร่ายกายที่แทบไร้ซึ่งลมหายใจเท่านั้น ศาสเองก็พยายามทำทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือเธอแต่ทุกอย่างที่เขารู้เกี่ยวกับเธอก็มีเพียงในตำราเวทย์เท่านั้น  ถึงแม้รินจะรับอาสาช่วยแปลเอกสารโบราณให้ก็ตามแต่ก็ยังคงไร้ซึ่งเงื่อนงำ แม้แต่ฐานวิจัยลับของรีอาก็ถูกปิดตายจนเขาไม่สามารถติดต่อกับทีมนักวิจัยได้เลย ความหวังของเขาจึงเลือนลางลงทุกที

          “ขอโทษทีที่มาขัดจังหวะ...ขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม” เสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมๆกับเงาของร่มที่ยื่นให้กับเขา เมื่อศาสแหงนหน้าขึ้นก็พบพันธมิตรเก่าของเขานั่นเอง

          “คุณเชน...คุณมาที่นี่ได้ยังไง...” ศาสถามด้วยความแปลกใจ

          “ขอโทษทีนะ จริงๆ ก็เพราะสนใจเรื่องของพวกนายนั่นล่ะก็เลยให้คนลองสืบดู...แต่ไม่คิดเลยว่าจะเป็นนักศึกษาแถมเรียนอยู่แถวๆ กระทรวงที่ชั้นทำงานอีก” ศาสยิ้มราวกับว่าเขาคาดการณ์ในเรื่องนี้ไว้แต่แรกแล้ว

          “ชั้นได้ข่าวมาว่านายขาดเรียนไปร่วมสองเดือนแล้วคงกำลังหาทางช่วยเธอ...รีอาอยู่ใช่ไหม...” เชนถามต่อด้วยน้ำเสียงจริงจังดูเหมือนว่าเขาเองยังคงแบกความรู้สึกผิดต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นเดียวกัน ส่วนศาสก็ได้แต่พยักหน้ารับ

          “ถ้าอย่างนั้นสนใจมาทำงานกับพวกชั้นไหมล่ะ นายอาจพบวิธีช่วยเธอก็ได้นะ”เชนถามต่อแต่ก็ไร้ซึ่งคำตอบใดๆ จากศาส เขาจึงยื่นนามบัตรให้กับศาสก่อนที่จะเดินจากไป

 

          “ไม่สำเร็จสินะครับหัวหน้า...”  เลโอถามขึ้นทันทีที่เขาเห็นเชนเดินกลับออกมา เชนพยักหน้าตอบก่อนที่พวกเขาจะเดินออกจากสถานที่แห่งนี้ไป

           “บางที...เขาคงต้องการเวลาน่ะ....แต่ยังไงพวกเราก็ยังถือว่าติดค้างพวกเขาจริงๆ” เชนตอบพร้อมกับถอนหายใจ

          “แต่หากต้องการคนเรา ก็สามารถขอจากหน่วยอื่นมาก็ได้นี่ครับ”

          “เลโอนายก็เห็นใช่ไหมในรังของไอ้พวกปีศาจนั่นมันมีเครื่องมือบางอย่างควบคุมพวกมันอยู่ ไหนจะตัวทดลองที่เราเจอในหลอดแก้วพวกนั้นอีก...ชั้นสังหรณ์ใจว่าศัตรูของพวกเรามันคงเป็นกลุ่มคนที่รู้เรื่องศาสตร์โบราณเป็นอย่างดี..และมันคงไม่หยุดอยู่แค่นี้แน่” เชนพูดด้วยสีหน้าที่เป็นกังวลเพราะแม้แต่เขาเองก็ยังไม่รู้ถึงผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้เช่นเดียวกัน

          “ผมเองก็ยอมรับในความสามารถเขาครับ ไม่น่าเชื่อจริงๆ ว่าเด็กอายุ19ปีจะเยือกเย็นและสามารถวางแผนได้อย่างแยบยลขนาดนี้... แล้วเรื่องของบริษัทที่หนุนหลังเด็กผู้หญิงคนนั้นอยู่ล่ะครับ”

          “ถึงเบื้องหน้าจะเป็นแค่บริษัทผลิตอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยก็เถอะ แต่มันก็มีอิทธิพลจนกระทรวงของเราไม่อาจเข้าไปตรวจสอบได้เลย เลโอนายก็คิดแบบเดียวกับชั้นใช่ไหมหากบริษัทธรรมดาๆ คงไม่มีปัญญาส่งเฮลิคอปเตอร์เข้ามายังเขตหวงห้ามได้หรอก”

          “แต่ก็เพราะมันพวกเราเลยถูกช่วยเหลือออกมาได้นะครับ”

          “เอาเถอะในตอนนี้เราแค่ทำหน้าที่ของเราต่อไปก็พอ แล้วเรื่องพ่อค้าข่าวที่ให้ข้อมูลกับทางเราเรื่องมรดกโบราณที่ให้สืบไปถึงไหนแล้ว...”

          “ดูเหมือนว่าพ่อค้าข่าวคนนั้นจะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเลยครับ...ตอนนี้ให้หน่วยสืบสวนกระจายกำลังกันค้นหาครับ”

          “ไอ้ข่าวเกี่ยวกับสมบัติที่อยู่ในตึกนั่นมันคงเป็นข่าวลวงมาตั้งแต่แรกแล้ว....หรือว่าพวกมันแค่อยากได้เหยื่อเพื่อทดลองกับปีศาจพวกนั้น.....” เชนพูดอย่างหัวเสียเมื่อคิดว่าเรื่องที่พวกเขาเอาชีวิตเข้าเสี่ยงเป็นเพียงแผนการที่คนบางกลุ่มสร้างขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง

 

          “ขอโทษนะคะ นี่ค่ะผ้าเช็ดตัว ปล่อยให้ตัวเปียกมันไม่ดีต่อสุขภาพนะคะ” เสียงจากนางพยาบาลที่เดินเข้ามาหาศาสพร้อมกับยื่นผ้าขนหนูให้กับเขา

          “เอ่อ...ขอบคุณครับ”

          “ช่วงนี้เห็นมาที่นี่บ่อย มาเยี่ยมใครเหรอคะ” คำพูดที่เป็นเหมือนประโยคสนธนาทั่วไปกลับทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจ เพราะมันทำให้ภาพเหตุการณ์ในวันนั้นผุดขึ้นมาในหัวของเขาอีกครั้ง ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นหลังจากที่พวกเขาจัดการกับพวกปีศาจลงได้ ในขณะที่พวกของเชนส่วนหนึ่งได้แยกไปค้นหามรดกโบราณที่อยู่ในตึก ส่วนตัวเขาเองก็พยายามช่วยชีวิตของรีอาอย่างไม่คิดชีวิต ไม่ช้าเสียงใบพัดเฮลิคอปเตอร์ก็ดังขึ้นพร้อมๆ กับกองกำลังหนึ่งเข้าล้อมพวกเขาไว้ ก่อนที่จะมีชายคนหนึ่งเดินออกมาเบื้องหน้าแต่สิ่งที่ชายคนนั้นสนใจกลับมีเพียงแค่หญิงสาวที่นอนสลบอยู่บนพื้นเท่านั้น ศาสยังคงจดจำแววตาของชายคนนั้นได้ดี มันมีทั้งความเป็นห่วงและความโกรธแค้นอย่างสุดหัวใจผสมปนเปกันไปหมด เขาทำได้เพียงแค่ส่งร่างของรีอาให้กับชายคนนั้น...และนั้นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่เขาได้เห็นเธอ ไม่กี่วันต่อมาก็มีจดหมายฉบับหนึ่งส่งมายังเขาภายในเนื้อจดหมายมีเพียงข้อความที่เขียนด้วยลายมือว่า “ขอให้ใช้ชีวิตต่อไปอย่างปกติและอย่ามาข้องเกี่ยวกับรีอาอีก” พร้อมกับเช็คใบหนึ่ง ถึงแม้ศาสจะพยายามขอเยี่ยมรีอาหลายต่อหลายครั้งแต่เขาก็ถูกปฎิเสธทุกครั้งไป

          “-ณคะ คุณคะ เป็นอะไรหรือเปล่าเห็นนั่งเหม่อมาตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว...” พยาบาลพยายามเรียกสติเขา

          “...ผมแค่มาหลบฝนน่ะครับ...คงต้องไปแล้วขอบคุณสำหรับผ้านะครับ.....”

 

          ในที่สุดสายฝนก็เริ่มซาไฟตามบ้านเรือนและถนนหนทางต่างค่อยๆ สว่างขึ้นตามท้องฟ้าที่มืดมิดลง  ในขณะที่ศาสกำลังเดินไปตามซอยเล็กๆ ที่เขาใช้เป็นประจำเพื่อกลับที่พักทันใดนั้นก็มีเงาดำหนึ่งพุ่งออกมาจากพงหญ้าจนชนเข้ากับศาสอย่างจังจนทั้งคู่เสียหลักล้มลงไปกับพื้น เมื่อแสงไฟบนท้องถนนต้องกระทบกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เขาก็พบเป็นหญิงสาวคนหนึ่งในชุดคลุมแปลกตาเธอมีสภาพมอมแมมไม่ต่างอะไรกับชุดที่เธอสวมใส่ ถึงแม้ว่าศาสจะรู้สึกระแวงแต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้เขาจึงเดินเข้าไปรีบพยุงเธอขึ้นมา ในตอนที่เธอเอื่อมมือมาจับแขนของศาส เขาก็สังเกตุเห็นรอยแผลหลายแห่งบนแขนของเธอ

          เธอพยายามพูดบางอย่างด้วยเสียงที่แหบแห้งราวกับคนที่อดน้ำมาเป็นเวลานาน ในขณะที่เขากำลังตั้งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น หญิงสาวได้ผลักตัวของศาสจนเขาเซออกไป ก่อนที่เลือดของเธอจะกระเซ็นอาบแก้มของศาส ในจังหวะเดียวกับที่แท่งเหล็กพุ่งเสียบทะลุร่างของเธอจนตัวเธอถูกปักติดอยู่กับพื้น

          ศาสรีบหันไปทางที่แท่งเหล็กพุ่งออกมาเขาก็พบเงาของชายร่างใหญ่คนหนึ่งเดินมาทางพวกเขาด้วยท่าทางสบายๆ

          “เฮ้อ...ช่วงนี้ฆ่าจนเบื่อแล้วข้าจะนับถอยหลังให้โอกาสแกได้หนีแล้วกัน” มันเดินเข้ามาพร้อมกับนับถอยหลังไปเรื่อยๆ จนมันเองก็รู้สึกแปลกใจเช่นกันที่เห็นศาสตั้งท่าสู้อย่างไม่เกรงกลัว

          เมื่อมันเดินเข้ามาในระยะประมาณสิบเมตรมันก็พุ่งเข้าใส่ศาสอย่างรวดเร็ว มันคิดจะใช้ร่างกายอันใหญ่โตของมันบดขยี้เขา พริบตาหนึ่งก่อนที่มันจะเข้าถึงตัวศาสก็เบี่ยงหลบพร้อมกับใช้เท้าของเขาขัดไปยังขาของมัน จนตัวมันเสียหลักกลิ้งล้มลงไปกับพื้น

          “คิดไม่ผิดเลย...เป็นแค่พวกกระจอกที่มีดีแค่แรงเยอะสินะ พุ่งเข้าใส่แบบโง่ๆ แบบนี้ไม่มีทางโดนผมหรอก” คำพูดของศาสดูเหมือนจะจี้ใจดำของมันไม่น้อย

          “แก!! ปากดีได้แค่ตอนนี้ละว้อยยยย!!!” เมื่อพูดจบมันก็ตั้งท่าพร้อมกับพุ่งเข้าใส่ศาสเต็มกำลังราวกับคนบ้า

          ชั่วพริบตาหนึ่งมันรับรู้ได้ถึงวัตถุบางอย่างต้องกระทบแสงไฟจนสะท้อนเข้าตาของมันพร้อมกับร่างที่เสียศูนย์จนมันพุ่งเข้าชนกับกำแพงเข้าอย่างจัง

          “บัดซบ!! แกทำบ้าอะไรวะ!!!...ฮะ  เฮ้ย นะ นี่มันเลือดของข้า” มันร้องเสียงหลงเมื่อเห็นใบมีดปักอยู่บนร่างกายของมันจนเลือดอาบไปทั่ว

          ศาสไม่รอช้าเขารีบชักสายรัดออกมาจากเสื้อ ในวินาทีที่มันถูกชักออกมามันก็กลายสภาพเป็นคมดาบที่พร้อมจะสังหารศัตรู ศาสค่อยๆ เดินเข้าไปหามันอย่างใจเย็น

          “วันนี้แกโชคร้ายว่ะ โผล่มาตอนที่ผมกำลังอารมณ์เสียสุดๆ เลย” เมื่อเห็นดังนั้นมันก็ได้แต่ดิ้นรนอย่างสุดชีวิตมันใช้เศษอิฐที่ตกอยู่แถวนั้นขว้างใส่ แต่ศาสก็สามารถหลบพวกมันได้อย่างง่ายดาย ทันใดนั้นเองก็ปรากฏชายในชุดสีดำกระโดดลงมายืนอยู่ด้านหน้าของศาส พร้อมกับเข้าไปพยุงชายคนนั้นโดยที่ไม่สนใจถึงคู่ต่อสู้ที่อยู่ตรงหน้าของมันเลย

          ศาสรีบใช้โอกาศนี้หมายจะจัดการพวกมันทั้งคู่เขาพุ่งเข้าโจมตีพวกมันอย่างรวดเร็วแต่ดูเหมือนชายชุดดำจะรู้ทันความคิดของเขามันใช้โอกาสนี้ใช้แขนของมันแทงสวนออกมา ศาสรีบยกดาบขึ้นมากันไว้ได้ทันก่อนที่ตัวของเขาจะกระเด็นออกไป ชายชุดดำจึงใช้โอกาสนี้พาชายร่างยักกระโดดขึ้นไปบนหลังคาก่อนที่พวกมันจะหายไป

          “ไอ้เจ้าบ้านั่นฮึ่ม!!...” ศาสพูดอย่างหัวเสียเมื่อเขาลุกขึ้นมา ก่อนที่เขารีบเข้าไปดูอาการของหญิงสาวผู้โชคร้ายถึงแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าเธอไม่มีทางรอดแน่ๆ  แต่สิ่งที่เขาพบกลับมีเพียงแค่แท่งเหล็กที่เต็มไปด้วยคราบเลือดแห้งกรังปักอยู่บนพื้นเท่านั้นร่างที่ควรมีอยู่กลับหายไป

          ก่อนที่เขาจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายบางอย่างจากด้านหลัง ทันทีที่เขาจะหันไปจู่โจมมันบางอย่างก็พุ่งเข้ามาจับตัวของเขาไว้พร้อมกับความรู้สึกปวดอย่างรุนแรงที่ต้นคอความเจ็บปวดมันแผ่ซ่านลงไปจนถึงปลายนิ้ว จนเขาไม่อาจแม้แต่จะขยับแขนได้เลยราวกับว่าพลังในกายถูกสูบไปจนหมด ในที่สุดนิ้วของเขาไม่สามารถประคองดาบที่อยู่ในมือได้ ก่อนที่ความเจ็บปวดจะวิ่งไปถึงส่วนในสุดของสมอง จนในที่สุดสติของเขาก็ขาดห้วงไป

 

          เสียงข่าวจากทีวีเครื่องเก่าและกลิ่นของไอแดดที่ส่องลอดผ่านหน้าต่างเข้ามา บรรยากาศที่อบอวลไปด้วยกลิ่นกำยานทำให้รู้สึกผ่อนคลายและสงบลง ซึ่งเป็นเหตุการ์ที่เกิดขึ้นเป็นปกติในทุกๆ เช้าของศาส แต่แล้วภาพเหตุการณ์บางอย่างทำให้เขาฉุดคืดถึงบางสิ่งที่ผิดเพี้ยนไปในขณะนี้จนเขาสะดุ้งตื่นขึ้นมา ความเจ็บปวดที่ยังหลงเหลือจากบาดแผลที่ไหล่เป็นเครื่องยืนยันอย่างดีสำหรับสิ่งที่เขาได้เผชิญมา ไม่นานนักเสียงฝีเท้าหนึ่งก็ดังขึ้นจากในครัวมันเดินเข้ามาใกล้เขาเรื่อยๆ ศาสพยายามมองหาสิ่งใกล้ตัวที่สามารถใช้เป็นอาวุธแต่ก็ไม่มีเลย เมื่อเขาลุกขึ้นเพื่อจะไปหยิบมันเท้าของเขากลับไม่สามารถพยุงร่างของเขาเอาไว้ได้ จนศาสทรุดลงไปกับพื้น

          “บ้าจริงในเวลาแบบนี้...แรงมัน...” ศาสพูดพร้อมกับพยายามเกร็งขาที่สั่นไปด้วยความอ่อนล้าเพื่อลุกขึ้นมา ทันใดนั้นก็มีมือหนึ่งเข้ามาประคองเขาเอาไว้ เมื่อศาสหันไปก็พบหญิงสาวแปลกหน้าในชุดโทนสีดำสไตโกธิค เธอมีผมสีขาวและนัยตาสีแดงที่ชวนให้รู้สึกน่าพิศมัย จนศาสเผลอมองอย่างไม่วางตา ในระหว่างที่เธอช่วยประคองเขาลงบนเตียง

          “สวัสดี ข้า อเดล เจ เอเวอลาส (Adel  J Everlast)แล้วเจ้าล่ะชื่ออะไร” เธอกล่าวทักทายอย่างเป็นกันเองและภาษาที่เธอใช้ทำเอาศาสรู้สึกสับสนไปหมด

          “เอ่อ...ผมศาสตรา พันแสง ว่าแต่เธอเป็นใครกัน...”

          “ต้องขอโทษเจ้าจริงๆ สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ยังโชคดีนะที่เจ้าต่างจากมนุษย์คนอื่นไม่อย่างนั้นคงตายไปแล้ว” เมื่อได้ฟังคำของเธอศาสก็พอจะรู้ตัวจริงของเธอแล้ว เธอคือหญิงสาวที่เขาพบเจอในคืนนั้นนั่นเอง ทำให้เขายิ่งรู้สึกหวาดระแวงในตัวเธอมากขึ้นไปอีก

          “เดี๋ยวก่อน ข้าไม่ใช่ศัตรูของเจ้านะ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นข้าก็ไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนั้น แต่เพราะร่างกายข้าต้องการเลือดจนมันคลุ้มคลั้งขึ้นมา” อเดลพยายามอธิบายเรื่องราวอย่างใจเย็น

          “เธอเป็น อะไรกันแน่...แวมไพร์อย่างนั้นเหรอ”

          “ใช่มนุษย์เรียกพวกข้าแบบนั้น”

          “มันเกิดอะไรขึ้น...เธอและพวกที่เจอกันเมื่อวันก่อนเป็นใครและมีจุดประสงค์อะไรกันแน่”

          “เรื่องนั้นข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน พวกมันก็บุกเข้ามาในสุสานจนทำให้ข้าตื่นขึ้นมา...แล้วก็เป็นอย่างที่เจ้าเห็นนั่นล่ะ จนตอนนี้ข้าคิดทบทวนหลายครั้งแต่ก็ยังไม่แน่ใจจุดประสงค์ของพวกมันนัก”เธอพูดด้วยท่าทางครุ่นคิดในขณะที่การสนธนาเป็นไปอย่างเคร่งเครียดทันใดนั้นเสียงท้องร้องของศาสก็ดังขึ้น จนเธอปล่อยเสียงหัวเราะออกมาเสียงดังจนทำให้ศาสรู้สึกเสียหน้าไม่น้อย แต่ก็ช่วยทำให้สถานการณ์ของทั้งคู่ผ่อนคลายลง

          “โฮ่ ท้องร้องแบบนี้หมายความว่าร่างกายเจ้าดีขึ้นแล้วสินะ เดี๋ยวข้าจะยกอาหารมาให้ก็แล้วกัน” เมื่อพูดจบเธอก็เดินเข้าครัวไปไม่นานนักเธอก็กลับมาพร้อมกับถาดอาหาร

          “เดี๋ยวสิทำไมเธอถึงรู้เรื่องพวกนี้ได้ล่ะ” ศาสพูดด้วยความสงสัยเมื่อเห็นเธอใช้เครื่องใช้ต่างๆ ได้อย่างคล่องแคล่ว

          “ตอนที่เจ้าหลับไป มีเพื่อนของเจ้าที่ชื่อกริซมาเยี่ยมน่ะข้าเลยให้เขาช่วยสอนอะไรหลายๆ อย่างให้”

          “หา! ” ศาสร้องด้วยความตกใจ

          “เจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้าสะกดจิตเขาไว้แล้ว เขาจะลืมเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นี่ ไม่ต้องกลัวว่าจะมีคนเข้าใจผิดว่าเจ้าโดนพรากพรหมจรรย์ไปหรอก” อเดลพูดอย่างภูมิใจในฝีมือของเธอส่วนศาสเองก็ถึงกับพูดไม่ออกเลยทีเดียว

          หลังจากทานเสร็จจนเริ่มรู้สึกว่ามีแรงขึ้นแล้วศาสจึงเริ่มเดินเพื่อยืดเส้นยืดสายภายในห้อง ขณะนั้นเองสายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นถึงสิ่งผิดปกติบางอย่าง เมื่อมีกล่องรูปร่างแปลกตาถูกซุกอยู่มุมห้องทั้งที่ควรจะไม่มีอะไรวางอยู่แท้ๆ

          “วิคตอเรีย...นี่มันแบรนเสื้อผ้าสไตล์โกธิคที่โครตจะแพงเลยนี่หว่า.......ห๊า!!” ศาสร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่อมองไปยังชุดที่อเดลใส่ไม่ว่าจะดูยังไงมันก็เป็นของใหม่ผิดจากของเดิมตอนที่เขาพบเธออย่างสิ้นเชิง

          “เป็นอย่างไรล่ะ ข้าซื้อของออนไลน์เป็นด้วยนะ ยุคของพวกเจ้านี่มันช่างสะดวกสบายจริงๆ” เธอพูดพร้อมกับหัวเราะอย่างพอใจ

          “พี่กริซ....พี่นี่ทำผมซวยได้ตลอดเลยจริงๆ...แล้วเดือนนี้จะเอาอะไรกินวะเนี่ย....” ศาสบ่นพร้อมกับรีบหยิบโทรศัพท์มือถือเพื่อเช็คยอดเงินในบัญชีด้วยสีหน้าเจ็ดปวด แต่สิ่งที่ทำให้เขาตกใจยิ่งกว่าเมื่อเขาเห็นวันที่ที่แสดงอยู่บนหน้าจอทำให้เขาพบว่าตนเองสลบไปนานถึงสามวัน ซึ่งในสถานการณ์เช่นนี้แม้แต่หนึ่งนาทีก็ถือว่ามีค่ายิ่งสำหรับเขา จนทำให้เขาอดเป็นกังวลถึงเรื่องของรีอาไม่ได้

          “ไม่ต้องเครียดน่า เรื่องเงินในสุสานของข้ามีเยอะเลย รวมถึงของที่เจ้าต้องการเพื่อใช้รักษาแม่มดตนนั้นด้วยนะ”

          “เธอรู้ได้ยังไง!?” ศาสรีบหันไปหาเธออย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เขาได้ยิน

          “เผ่าพันธุ์ของข้าน่ะนอกจากดื่มเลือดเพื่อดำรงชีพแล้ว  หากคนผู้นั้นมีพลังแก่กล้าพอก็จะสามารถเรียนรู้อดีตของสิ่งต่างๆ ผ่านทางเลือดที่ดื่มได้เช่นเดียวกัน...ข้าจึงรู้มันผ่านเลือดในกายเจ้า...”

          “เธอพูดจริงๆ ใช่ไหมอเดล” ศาสถามย้ำอีกครั้งพร้อมกับมองตาเธอด้วยสายตาที่เริ่มมีความหวัง

          “แต่พลังของข้าในตอนนี้ ข้าไม่รู้ว่าจะสามารถสู้กับพวกมันได้แค่ไหน และบางทีพวกมันอาจจะกำลังรอข้าอยู่ที่สุสานก็เป็นได้” อเดลพูดด้วยสีหน้าครุ่นคิดและน้ำเสียงที่แสดงถึงความกังวล

          “ผมจะไปด้วย หากเป็นเรื่องการต่อสู้ล่ะก็คงพอมีอะไรที่ผมจะช่วยได้...”

          “แต่อาการบาดเจ็บของเจ้าน่ะยัง...” เมื่ออเดลเห็นแววตาของศาสเธอจึงตัดบทไปเพราะคงไม่มีอะไรที่จะเปลี่ยนใจเขาได้แน่ๆ

          “เข้าใจแล้วเวลามีไม่มาก อีกไม่นานดวงอาทิตย์คงจะลับขอบฟ้าแล้ว หากสู้กับพวกมันตอนนั้นพวกเราคงเสียเปรียบ”

          “แล้วตัวเธอล่ะเป็นแวมไพร์เหมือนกันไม่ใช่เหรอ...”

          “อย่าเอาข้าไปรวมกับพวกเลือดผสมแบบพวกมันสิ...ตัวข้าน่ะหลุดพ้นจากช่วงเวลาพวกนั้นมาตั้งแต่แรกแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลไป”

          เมื่อได้ฟังดังนั้นศาสจึงรีบเตรียมอุปกรณ์ซึ่งดูเหมือนว่าอเดลจะเก็บของๆ เขาเอาไว้เป็นอย่างดี ในไม่ช้าศาสก็ได้อุปกรณ์ที่เขาต้องการจนครบ ทั้งคู่จึงออกเดินทาง

 

          ในที่สุดพวกเขาก็มาหยุดยืนอยู่ ณ สถานที่หนึ่งซึ่งทำให้ศาสรู้สึกแปลกใจไม่น้อยเพราะมันคือเขตก่อสร้างที่ตั้งอยู่ใจกลางชุมชน เมื่อศาสเห็นชื่อบริษัทผู้รับเหมาก็นึกออกทันทีว่ามันคือเขตก่อสร้างที่รัฐบาลต้องการพัฒนาเป็นจุดกระจายสินค้าแทนโบสถ์เก่าแก่ในชุมชน ถึงแม้ชาวบ้านจะออกมาคัดค้านแต่ก็ไม่เป็นผล รัฐก็ยังคงเดินหน้าโครงการต่อจนเกิดเหตุการณ์แผ่นดินทรุดเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตหลายรายและโครงการก็มีอันต้องปิดตัวลง และถูกประกาศเป็นพื้นที่อันตรายเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงมีร่องรอยการบุกรุกของพวกวัยรุ่นและกลุ่มคนจรจัด

          “ดูเหมือนกับดักที่ทำเอาไว้จะให้ผลดีเกินคาดนะ...หากพวกเขาเชื่อคำเตือนของเราเหตุการณ์แบบนี้คงไม่เกิดขึ้น” อเดลพูดขึ้นในขณะที่ทั้งคู่เดินเข้าไปภายในและเห็นความเสียหายที่เกิดขึ้นโดยรอบ

          “...พูดอะไรของเธอน่ะ อย่าบอกนะว่าทั้งหมดนี่เป็นฝีมือของเธอ”

          “จะพูดอย่างนั้นก็ไม่ผิดหรอก เมื่อหลายร้อยปีที่ก่อนข้าและชาวบ้านช่วยกันสร้างสถานที่นี้ขึ้นมา เพื่อใช้เป็นสุสานของข้าในขณะที่ชาวบ้านให้คำสัตย์ว่าจะคอยปกป้องสถานที่แห่งนี้ไว้” ในขณะที่ทั้งคู่กำลังสนธนากันอยู่นั้นอเดลก็เห็นสีหน้าของศาสที่เต็มไปด้วยความรู้สึกทึ่งกับเรื่องที่ได้ฟัง

          “เป็นยังไงล่ะ เรื่องราวของข้าคนอย่างเจ้าจะรู้สึกชื่นชมกับมันก็สมควรแล้วล่ะ” อเดลพูดอย่างภูมิใจ

          “เปล่า...แค่คิดว่าเธอน่ะอายุเท่าไหร่กันแน่ แล้วผมควรใช้สรรพนามอะไรเรียกเธอดี........” ศาสพูดด้วยสีหน้าครุ่นคิดพร้อมกับทำมือเหมือนกำลังคำนวนอะไรบางอย่าง จนอเดลรู้สึกเคืองไม่น้อย

          “หนอย...ไอ้เด็กนี่.......”

          ในที่สุดทั้งคู่ก็เข้ามาถึงเขตก่อสร้างด้านใน พวกเขาพบโบสถ์คริสต์โบราณหลังหนึ่งที่ยังอยู่ในสภาพดีจนไม่น่าเชื่อว่ามันจะรอดจากเหตุการณ์ดินถล่มทั้งๆ ที่สิ่งปลูกสร้างโดยรอบกลับถูกธรณีสูบลงไปลงไปหลายเมตร

          “ทางเข้าอยู่ข้างหน้านี้ ข้างในคงมีพวกมันรออยู่แน่ เจ้าเตรียมใจพร้อมแล้วใช่ไหม”

          “อเดลแวมไพร์นี่มองเห็นในความมืดใช่ไหม...” ศาสถามขึ้น อเดลพยัคหน้าตอบด้วยความสงสัย

          “ผมจะเข้าไปก่อนนับถึงสามแล้วค่อยตามมานะ...” ศาสพูดต่อพร้อมกับเดินนำเข้าไปในขณะที่ท้องฟ้าเริ่มมืดลงไปทุกที

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา