คฤหาสน์เร้นรัก [[My Mansion Of Love]]

-

เขียนโดย Murasaki

วันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2557 เวลา 21.27 น.

  8 chapter
  3 วิจารณ์
  12.21K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2557 19.48 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

บทนำ

โลกใบนี้ที่แสนกว้างใหญ่ต่างมีผู้คนต่างเชื้อชาติต่างเผ่าพันธุ์มากมายอาศัยอยู่แต่ใครเล่าจะรู้ว่าทุกคนต่างมีความกลัวที่ฝังลึกในอยู่ภายในจิตใจ เพียงแค่มองก็ยากแท้จะหยั่งถึงจิตใจที่ส่วนลึกนั้น รอแค่เพียงวันเวลาที่จะถูกเปิดเผยจากความกลัวไม่ว่าจะเป็นความกลัวในความมืดมิดที่ไร้ซึ่งแสงสว่างหรือความกลัวและหวาดระแวงในการสูญเสีย แต่คงไม่มีใครมานั่งเล่าว่าทั้งหมดที่พวกเขากลัวนั้นมันคืออะไร เหมือนกับผม...นายศตรรฆ วิริยะเทวากุล ที่มีความกลัวบางอย่างที่ไม่กล้าเอ่ยปากบอกกับใครสักคน จนมาถึงวันนี้ที่ชีวิตเปลี่ยนไปอย่างไม่มีวันหวนคืน...เพราะว่าผมกลัว...ตัวตนของผมที่ซ่อนอยู่และไม่มีใครได้ล่วงรู้จนกระทั่ง...

 

กุ๊งกิ๊ง กุ๊งกิ๊ง

เสียงโมบายแท่งเหล็กสีสวยกระทบกันดังกังวานยามเมื่อสายลมพัดผ่าน บ้านเรือนไทยโบราณที่มีอาณาบริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยพันธุ์ไม้นานาชนิด เพียงแค่ได้พบเห็นก็รู้สึกได้ถึงความร่มรื่นที่อยู่ล้อมรอบบ้านเรือนไทยหลังนี้ ผู้ที่แวะเวียนมาที่นี่ต่างก็รู้สึกผ่อนคลายไปกับธรรมชาติที่เจ้าของบ้านเป็นผู้สรรค์สร้างไว้อย่างสวยงาม แต่ไม่ใช่กับเด็กหนุ่มที่นั่งเล่นอยู่ตรงชานบ้าน ผู้ที่เป็นเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลสลวย ดวงตาสีน้ำตาลอัลมอนด์กลมโตใสราวกับตากวาง และรูปร่างบอบบางไม่ต่างจากสตรี ริมฝีปากเล็กน่ารักที่ประดับอยู่บนใบหน้าขาวนวลเนียนนั้นกำลังนั่งขมวดคิ้วราวกับเจ้าตัวกำลังครุ่นคิดถึงอะไรบางอย่างจนคนที่เดินผ่านไปมาก็เห็นอดที่จะยิ้มนึกเอ็นดูเด็กหนุ่มหน้าหวานคนนี้ไม่ได้

 

“เฮ้ย! เอคิว มานั่งทำอะไรตรงนี้คนเดียวว่ะ ?” เด็กหนุ่มหน้าหวานหันไปมองเด็กหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ผิวขาว ใบหน้าตาคมเข้มนั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้มสดใสอย่างอารมณ์ดีที่เห็นเพื่อนวัยเด็ก

 

“ก็เห็นอยู่ว่ากูกำลังนั่ง โง่จริง!” เอคิวตอบเสียงเรียบพลางทำหน้าตาไร้อารมณ์ใส่คนที่ยิ้มแย้มราวกับโลกสวยงามตลอดเวลาอย่าง “น้ำเย็น” หรือ นายเปมทัต วิริยะเทวากุล ลูกพี่ลูกน้องที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน

 

“เอ้า! ไอ้นี่มันอ้อนซะแหละ เดี๋ยวจัดหลังเท้าให้ซะเลยนี่” น้ำเย็นที่ถูกเอคิวกวนประสาทก็ถึงกับหมั่นใส้อยากเตะคนตรงหน้าให้หายจากโรคปากสุนัขลิซึ่มนี่เสียให้ได้

 

“ก็ไม่มีใครบอกให้มึงทักนี่...ไอ้เสล่อ” เอคิวยังคงตอบกวนอารมณ์น้ำเย็นไม่เลิก เพราะรู้ว่าน้ำเย็นไม่มีทางโกรธเขา แต่ใครๆ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนพ้องหรือครอบครัวต่างก็โกรธไม่ลงเพราะรู้ดีว่านี่แหละคือนิสัยของเอคิว ปากหมาแต่หน้าสวย

 

“โว๊ะ! คุยกับมึงทีไรแล้วคันเท้าว่ะ เออ! แล้วรู้ป่ะว่าวันนี้คุณปู่เรียกพวกเรามาทำไม?” น้ำเย็นเอ่ยถามเอคิวถึงสาเหตุที่เขาต้องรีบเดินทางมาที่นี่เพียงเพราะคุณปู่ต้องการพบและมีเรื่องสำคัญจะบอกกับทุกคนในครอบครัวหรือจะเรียกว่า “วันรวมญาติ” ก็ว่าได้

 

“ไม่รู้ว่ะ กูก็กำลังนั่งคิดอยู่นี่ไง ไม่บอกกันสักคำว่ามันเรื่องอะไร”

 

“เหอะ! สงสัยจะเป็นเรื่องสำคัญจริง ไม่งั้นคงไม่เรียกมาทั้งตระกูลหรอกว่ะ แล้วลูกหลานบ้านนี้มันจะมีเยอะไปไหน? ตอนที่เห็นจำนวนญาติในบ้านวันนี้นะ กูนึกว่าที่นี่มีปาร์ตี้ว่ะ” น้ำเย็นบ่นกระปอดกระแปดพลางทำหน้าเซ็งที่ไม่รู้จะทำอะไรดีระหว่างรอเวลาที่พวกเขาจะได้รู้เรื่องสำคัญที่ว่านั่น

 

“ถ้าขาดกูไปก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย เมื่อคืนกูปั่นรายงานจนไม่ได้นอน แถมวันหยุดของกูก็ดันมาลั้ลลาที่นี่อีก ทำไมมันรุมเร้าอย่างนี้ว่ะ”

“มึงนี่ก็ขี้บ่น เอ! ว่าแต่ไม่เจอกัน 2 ปี มึงสวยขึ้นเยอะเลยว่ะ มาจุ๊บทีดิ”

“เหอะ! ไม่เจอกัน 2 ปี มึงนี่ปากดีน่าโดนเท้าตบสักทีนะ” เอคิวพูดประชดประชันน้ำเย็นที่มาพูดแทงใจดำเรื่องความสวย ที่เขาไม่ชอบให้ใครพูดถึงมากที่สุดตั้งแต่เด็กในเมื่อเขาเป็นผู้ชาย ใครจะชอบกันล่ะ!

 

ระหว่างที่สองหนุ่มกำลังพูดคุยกันอยู่นั้นก็มีหญิงสูงวัยผู้มีรอยยิ้มอบอุ่นและมีศักดิ์เป็นถึงนายหญิงใหญ่ของบ้านนี้กำลังเดินเข้ามาหาหลานชายที่รักยิ่งของเธอโดยเฉพาะเอคิวที่มีหน้าตาเหมือนกับลูกชายของเธอราวกับพิมพ์เดียวกัน ทำให้เธออดคิดถึงลูกชายไม่ได้เมื่อเห็นเอคิว

 

“ทำอะไรกันอยู่น่ะ? ตาเอ ตาน้ำ”

“สวัสดีครับคุณย่า ผมกำลังชมว่า คิวสวยขึ้นครับ” ใบหน้าหล่อคมเข้มของน้ำเย็นหันไปฉีกยิ้มหวานใส่คุณย่ายังสวยของเขา

“ตายแล้ว! ตาน้ำไปพูดอย่างนั้นได้ยังไง?” คุณย่ายกมือทาบทำหน้าตกอกตกใจที่หลานชายดันมาชมกันว่าสวย

“เห็นไหมไอ้น้ำ? คุณย่าตัดน้ำเย็นออกจากกองมรดกเลย” เอคิวที่ได้ทีก็รีบยุให้คุณย่าจัดการกับไอ้ลูกพี่ลูกน้องตัวดีที่ชอบแกล้งเขาทุกทีที่เจอหน้า

“จะตัดทำไมล่ะ ก็ตาน้ำพูดถูกใจย่านี่ เดี๋ยวย่าเอาส่วนของเอคิวไปเพิ่มให้นะลูก หึๆ” คุณย่าหัวเราะอย่างชอบใจที่เห็นหลานชายขี้ฟ้องของเธอกำลังงอนที่ไม่มีใครเข้าข้าง

“คุณย่าเอามาให้ผมหมดเลยนะครับ ไม่ต้องเลี้ยงเอคิวมันหรอก เปลืองมรดก ฮ่าๆๆ”

“คุณย่าอ่า” เอคิวที่เห็นคุณย่าของเขาเห็นดีเห็นงามกับน้ำเย็นก็กระเง้ากระงอดพลางสะบัดหน้างอนใส่ทั้งคุณย่าและลุกพี่ลูกน้องตัวดีที่ชอบแกล้งเขา ระหว่างที่พวกเขากำลังพูดคุยอย่างสนุกสนาน หนุ่มหล่อผิวขาวหน้าตาคมเข้มและข้างแก้มที่มีรอยบุ๋มยามที่เขาฉีกยิ้มอยู่เสมออย่าง นายวรทย์ วิริยะเทวากุล หรือ วานิช อายุ 22 ปี กำลังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่คณะบริหารธุรกิจที่กำลังเดินยิ้มเข้ามาทักคุณย่าและน้องๆที่เขาสนิทที่สุดในบรรดาญาติ

 

“สาวๆมาทำอะไรกันตรงนี้ครับ?”

 

“ผมให้พี่วาพูดใหม่ Again Please?” เอคิวพูดขึ้นแล้วพลางทำหน้าตาจริงจังใส่จนคนเป็นพี่เริ่มงง

 

“เอคิวจะให้พี่พูดอะไรหรอ?”

 

“โห่! พี่นี่เต่ามาก ไอ้คิวมันหมายถึง ให้พี่ทักมันใหม่ มันไม่ชอบคำว่า สาวๆ อ่ะพี่ ฮ่าๆๆ” น้ำเย็นเอ่ยขึ้นพลางหัวเราะเอ

คิวที่ไม่ชอบใจกับคำที่บ่งบอกว่าเขาเป็นผู้หญิง

 

“หึๆ เผอิญว่าพี่เป็นคนชอบพูดความจริงน่ะน้องคิวคนสวย” วานิชส่งยิ้มและสายตาล้อเลียนเอคิวที่ตอนนี้งอนแล้วหันหน้าหนีเขาไปซะแล้ว

 

“พอเลยหนุ่มๆ โตแล้วยังจะล้อกันเป็นเด็กๆไปได้ แล้ววามายังไงล่ะลูก? พ่อกับแม่ไปไหน?” คุณย่าพูดขึ้นพลางหัวเราะกับหลานๆของเธอที่ชอบล้อกันไปมาไม่หยุด และถามหาลูกชายกับลูกสะใภ้ผู้เป็นพ่อแม่ของวานิชที่วันนี้ไม่เห็นแม้แต่เงา

 

“อ้อ! ท่านทั้งสองติดธุระสำคัญไปต่างประเทศครับ วันนี้ผมเลยมาคนเดียว” วานิชตอบคุณย่าเรื่องพ่อแม่ของเขาที่แอบไปเที่ยวต่างประเทศเมื่อรู้ว่าคุณปู่จะเรียกคุยเรื่องสำคัญในวันนี้แล้วปล่อยให้วานิชมาคนเดียวและฝากบอกคุณปู่คุณย่าว่าเขาไปทำธุระ

 

บทสนทนาระหว่างคุณย่าและหลานๆกำลังดำเนินไปด้วยความสนุกครื้นเครงจน”ป้านวลจันทร์”แม่นมที่อยู่บ้านหลังนี้มานมนานและเคยเลี้ยงดูหลานๆของบ้านนี้ก็อดยิ้มไม่ได้กับภาพความน่ารักของครอบครัวนี้ แต่แล้วเธอก็ตัดสินใจเดินเข้าไปบอกธุระกับนายหญิงของบ้านว่าตอนนี้ทุกคนกำลังรอพวกเขาทั้ง 4 คนอยู่ที่ศาลาริมน้ำ ทำให้หลานๆพากันจูงมือคุณย่าตามป้านวลจันทร์ไปที่นัดหมายนั้น

 

ศาลาริมน้ำ

 

“วันนี้ที่ฉันนัดทุกคนมาก็เพราะมีเรื่องสำคัญจะประกาศ นั่นก็คือ อีก 1 เดือนจะถึงเวลาที่ตระกูลวิริยะเทวากลุต้องรักษาสัญญากับครอบครัวคีรีรัตนกรณ์ด้วยการส่งลูกหลานไปเพื่อเป็นเกี่ยวดองกัน 4 คน”

 

“ทำไมต้อง 4 คนล่ะครับคุณปู่?” หนึ่งในบรรดาลูกหลานถามขึ้นอย่างข้องใจที่ทำไมจะต้องแต่งงานทีตั้ง 4 คน

 

“เพราะว่ามันเป็นสัญญาระหว่างฉันกับเพื่อนรักของฉันว่าเราจะให้รุ่นลูก 2 คนและรุ่นหลาน 2 คนมาเกี่ยวดองกันเป็นครอบครัวแต่เพราะไอ้ลูกตัวดีต่างก็ชิงแต่งงานกันไปก่อน คราวนี้ฉันจะต้องให้หลาน 4 คนแต่งงานให้ได้”คุณปู่พูดพลางไล่สายตามองบรรดาลูกๆตัวดีที่ทำเสียเรื่อง ทำให้ลุง ป้า น้า อาทั้งหลายก็ต่างส่งยิ้มแห้งๆไปที่ลูกหลานที่มองตากันปริบๆ

 

“แล้วพ่อฉันเป็นหนึ่งในนั้นด้วยหรือเปล่าว่ะ?” เอคิวหันไปกระซิบกับน้ำเย็นเมื่อได้ยินที่คุณปู่พูดถึงการหนีการถูกจับแต่งงานของญาติผู้ใหญ่ แล้วพ่อเขาล่ะ?

 

“กูจะไปรู้ไหมล่ะ..ผมกับคุณเกิดทันหรอครับ?” น้ำเย็นตอบกลับพลางมองหน้าเอคิวที่ดันมาถามคำถามประหลาดกับเขา

 

“อ้าว! ก็เห็นมึงหน้าแก่นึกว่ารุ่นเดียวกับพ่อกูว่ะ โทษทีๆ”

 

“ไหว้พ่อสิ เดี๋ยวพ่อให้เงินไปกินขนม ถุย! เดี๋ยวเตะโชว์ญาติเลยนี่” น้ำเย็นพูดประชดใส่เอคิวที่กวนไม่เลือกเวลา

 

“อ้าว! ไอ้สองหน่อนั่นน่ะจะมาฟังหรือจะพูดเอง โดยเฉพาะเอ็ง..เจ้าน้ำเย็นปากนี่พูดไม่หยุด” คุณปู่ที่เห็นไอ้หลานตัวแสบกำลังกระซิบกระซาบกันจนไม่ได้ฟังที่กำลังพูดเลยทักขึ้น

 

“ขอโทษครับ” แล้วทั้งสองคนก็รูดซิบปากทันที

 

“งั้นเลือกเลยล่ะกันว่าใครจะเป็นผู้โชคดีได้แต่งงานก่อน เอาล่ะ คนแรก...วานิช” หือ! ทุกคนต่างมองไปที่วานิชที่ตอนนี้กำลังทำหน้าเหวอเมื่อได้ยินชื่อของตัวเองเป็นชื่อแรกที่จะต้องแต่งงาน เพราะไม่มีใครคาดคิดว่าชายหนุ่มเจ้าของลักยิ้มเสน่ห์ที่ภายนอกสุภาพและแสนจะเรียบร้อยอย่างวานิชจะโดนหมายตาจากคุณปู่เอาไว้คนแรก ท่ามกลางเสียงหือหาของญาติๆและเสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกของบรรดาหลานๆที่รู้ว่าตนไม่ใช่คนที่ถูกเลือก

 

“อะ..เอาจริงดิ!” เอคิวตาโตเป็นไข่ห่านที่ได้ยินญาติผู้พี่อย่างวานิชเป็นผู้ถูกเลือก

 

“คนที่สอง...ฟรีเซีย” และแล้วหญิงสาวที่มีดวงหน้าหวาน ผมยาวสีดำขลับก็ถึงกับร้องไห้อย่างน่าสงสารที่ได้ยินชื่อของตนแล้วหันไปกอดเอวคุณแม่ของเธอ

 

“น่ากลัวว่ะมึง กูได้ข่าวมาว่ายัยฟรีเซียน่ะมีแฟนและตั้งใจจะแต่งงานกันตอนเรียนจบด้วย ชอกช้ำระกำใจเลยทีนี้” น้ำเย็นหันไปพูดกับเอคิวที่เห็นผู้โชคดีคนที่สองด้วยความสงสาร

 

“คนที่สาม...น้ำเย็น เอ็งเป็นผู้โชคดีของข้าเลย ไอ้หลานรัก ส่วนคนที่สี่...อืม..ใครดีล่ะ?” คุณปู่พูดแล้วหันไปยิ้มเย็นให้น้ำเย็นที่นั่งตัวแข็งตกตะลึงเมื่อได้ยินชื่อผู้โชคดี แต่โชคร้ายสำหรับเขาในเวลานี้ ใครจะไปคิดว่าคุณปู่จะจับคนอย่างเขามาแต่งงานด้วยอายุเพียง 18 ปีกันล่ะ ระหว่างที่คุณปู่กำลังชั่งใจว่าจะเลือกใครอยู่นั้นก็มีเสียงของหลานคนหนึ่งคะยั้นคะยอให้คุณปู่รีบๆบอกชื่อของผู้ถูกเลือกคนสุดท้ายอย่างใจร้อน เพื่อพวกเขาจะได้ไม่ต้องมารอลุ้นว่าจะคนสุดท้ายจะเป็นตัวเองหรือเปล่า?

 

“โห่! เร็วๆสิครับคุณปู่ ถึงบอกช้าก็ค่าเท่ากัน ผมลุ้นจนจะเยี่ยวราดแล้วเนี่ย”

 

“เอ็งจะใจร้อนไปไหนว่ะ ก็กำลังดูอยู่นี่ไง อ่ะๆ ได้แหละ คนสุดท้ายคือ...เอคะ”

 

“ไม่ได้!!” อยู่ๆคุณย่าก็พูดเสียงดังแทรกคุณปู่ขึ้นมาทำให้ลูกหลานต้องหันไปมองคุณย่าที่คัดค้านคนสุดท้ายที่คุณปู่ได้เลือกแล้ว

 

“ทำไมล่ะ..เอคิวนั่นแหละดีแล้ว หน้าตาสวยหวานอย่างนั้นถ้าไม่รีบหาคู่ให้ตอนนี้แล้วต่อไปสาวไหนจะมามองกัน พอดีหลานเราก็ต้องอยู่คนเดียวน่ะสิ”

 

“แล้วตาอัลล่ะ คุณลืมเรื่องของตาอัลหรอว่าเราสัญญาอะไรกันไว้? ฉันไม่อยากเสียเอคิวไปเหมือนกับตาอัลอีกแล้วนะ” คุณย่ามองตาคุณปู่ด้วยแววตาเศร้าสร้อยที่นึกภึง “อัลมอนด์” เด็กหนุ่มผู้เป็นทั้งความหวังและการรอคอยของเธอและสามี ผู้เป็นพ่อของเอคิว คุณปู่มีสีหน้าเคร่งเครียดขี้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อนึกถึงเรื่องของลูกชาย

 

“เฮ้ย! อะไรว่ะ ทีแกทำไมคุณย่าค้านว่ะไอ้คิว มึงเล่นของใช่มั้ย?” น้ำเย็นหันไปถามเอคิวที่มีสีหน้าครุ่นคิด ริมฝีปากเล็กเม้มแน่นอย่างใช้ความคิดระคนสงสัย

 

“พี่ว่ามันน่าจะมีมากกว่าเรื่องแต่งงานแล้วล่ะ” วานิชที่นั่งเงียบอยู่นานขึ้น

 

“อะไรหรอครับพี่?” น้ำเย็นถามอย่างกระตือรือร้นในเรื่องที่ตนอาจจะไม่รู้

 

“เอคิว...จำเมื่อตอนเรายังเด็กๆได้มั้ย? เรามาเล่นที่บ้านหลังนี้ 3 คนแล้วเย็นวันนั้นคุณพ่อของเอคิวก็หายตัวไปตอนไปเดินที่สวนวงกตน่ะ” เอคิวที่ได้ยินเรื่องเก่าที่เขาจำได้ขึ้นใจก็ยิ่งคิดหนักเข้าไปใหญ่ นั่นสิ! พ่อไม่ได้ตาย...แต่หายตัวไปต่างหากล่ะ

 

“พี่จะบอกว่า..มันเป็นอาถรรพ์ของสวนวงกตที่อยู่หลังบ้านทำให้อาอัลมอนด์หายไปอย่างนั้นหรอ?” วานิชพยักหน้าให้กับน้ำเย็นที่เดาความคิดของเขาดูกราวกับมานั่งอยู่ในใจ

 

“เราลองไปดูกันมั้ย? พี่ว่าในนั้นต้องมีอะไรซ่อนอยู่ ไม่งั้นคงไม่มีคนเฝ้าแน่นหนาขนาดนั้น”

 

“มันเป็นนิทานหลอกเด็กไม่ใช่หรอพี่? ผมเคยได้ยินพี่สาวใช้บอกว่าไอ้สวนวงกตนั่นมีไว้แค่ตกแต่งและกั้นเขตบ้านนะ” น้ำเย็นพูดพลางทำหน้าไม่เชื่อว่าสวนหลังบ้านจะเป็นที่อาถรรพ์อย่างที่ล่ำลือกันของคนเฒ่าคนแก่ที่อยู่รอบๆบ้านหลังนี้

 

“แล้วนายไม่สงสัยหรอว่าทำไมไม่เคยมีใครได้เข้าไปนอกจากครั้งนั้นที่พ่อของเอคิวเข้าไปและไม่ได้กลับออกมา หลังจากนั้นก็มีเวรยามมาเฝ้าน่ะ  ใครมันจะบ้าจ้างคนมาเฝ้าสวนกั้นเขตบ้านล่ะว่ะ” วานิชพยายามพูดข้อสงสัยของตนให้น้องๆฟังถึงเหตุการณ์แปลกๆที่เกิดขึ้นตอนเขาอายุ 10 ปี และน้องๆอายุเพียง 6 ปีจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ

 

“เออ! พูดอีกก็ถูกอีก” น้ำเย็นทำสีหน้าครุ่นคิดตามที่ญาติผู้พี่พูดถึงเหตุการณ์ปริศนาที่เขาพอจำได้ลางๆเท่านั้น

 

“ผมจะไป ผมอยากรู้ทั้งความลับของสวนวงกตและทำไมพ่อของผมถึงหายไปไหนด้วย”แววตาของเอคิวมุ่งมันจนทำให้เขาตัดสินใจพูดโพล่งออกมาโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด

 

“เฮ้ย! นี่มึงเอาจริงดิ อะๆ งั้นกูไปด้วย” น้ำเย็นหน้าเหวอตกใจที่เอคิวตัดสินใจกะทันหันเหมือนไม่เกรงกลัว

 

“งั้นเราเจอกันที่หน้าประตูสวนตอน 2 ทุ่มนะ เอาไฟฉายมาด้วยล่ะ”

 

หลานชายทั้ง 3 คนของตระกูลวิริยะเทวากุลก็นัดหมายกันจะไปพิสูจน์ความจริงที่สวนวงกต เรื่องเล่าที่ไม่มีใครกลับมาบอกได้และเป็นที่สุดท้ายที่พ่อของเอคิวหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ส่วนคุณปู่และคุณย่าก็นั่งเงียบอย่างใช้ความคิดเกี่ยวกับงานแต่งงาน สุดท้ายผู้ถูกเลือกคนสุดท้ายก็ยังเลือกกันไม่ได้จนคุณปู่ให้ลูกหลานแยกย้ายกันไปพักผ่อนพร้อมกับนัดเจอกันเพื่อคุยเรื่องนี้กันต่อในวันพรุ่งนี้

 

เวลา 20.05 น.

 

ตอนนี้เป็นเวลาที่คุณปู่และคุณย่ารวมทั้งญาติๆต่างพากันนอนพักผ่อนเพื่อจะได้ตื่นแต่เช้ามาวางแผนเรื่องแต่งงานที่จะจัดขึ้นร่วมกัน แต่มีเพียงเด็กหนุ่ม  3 คนที่มายืนคุยกันหน้าทางเข้าสวนวงกต

 

“เอาล่ะ มีไฟฉายกันแล้วนะ ข้อตกลงของเราคือ ห้ามส่งเสียงดัง และเราจะไม่แยกกันเด็ดขาด เข้าใจใช่มั้ย?” วานิชพูดกับน้องๆที่ชอบจะแหกกฏจนเขากลัวว่าจะพลัดหลงกันในสวนวงกตแห่งนี้ ถ้าไม่มีข้อตกลงคอยบังคับ

 

“รู้แล้วล่ะน่า เร็วๆสิ ยิ่งมืดก็ยิ่งน่ากลัว” น้ำเย็นรีบพูดเร่งอย่างใจร้อน

 

“ผมสงสัย...ทำไมเวลานี้ถึงไม่มีเวรยามเฝ้าล่ะ?” เอคิวพูดขึ้นพลางทำคิ้วขมวดเป็นปมเมื่อเห็นสิ่งผิดปกติ

 

“พี่ก็ไม่รู้ว่ะ แต่เคยได้ยินมาว่าเวลานี้ของทุกวันจะไม่มีใครเข้าใกล้ที่นี่เลย มันก็น่าแปลกแหละ เฝ้าตอนกลางวัน ตอนกลางคืนไม่เฝ้าซะงั้น”

 

“โว๊ะ! อากูเกิลมาเองป่ะเนี่ย!” น้ำเย็นพูดแซววานิชที่รู้ไปทุกอย่างเกี่ยวกับสวนหลังบ้านนี้

 

“ใครจะไปควายอย่างนายล่ะ มีตาแต่ไม่ใช่สังเกตสังกาซะบ้าง”

 

“โอ๊ย! ผมก็ใช้พี่เป็นสปายมาบอกผมนี่ไง”

 

“มัวแต่คุยกันแล้วเมื่อไหร่จะได้เข้าไป ตอนนี้ก็มืดแล้วนะโว้ย!” เอคิวที่เริ่มจะหงุดหงิดเมื่อเห็นลูกพี่ลูกน้องมัวแต่พูดเล่นกัน

 

“ครับๆ กูให้แม่หญิงเอคิวคนแรกเลย เข้าไปดิ! Gentleman รออยู่” น้ำเย็นพูดกวนประสาทเอคิวพร้อมกับผายมือเชิญเอคิวเข้าไปคนแรก โดยมีวานิชยืนขำน้ำเย็นที่ชอบแกล้งเอคิวได้ทุกสถานการณ์

 

“แม่หญิงบ้านมึงสิ เคยกินไหม?...ฝ่าเท้าอ่ะ” แล้วเอคิวก็เดินนำไปก่อนด้วยใบหน้าบูดบึ้ง ขณะที่เอคิวกับลูกพี่ลูกน้องอีก 2 คนกำลังเดินเข้าไปในสวนวงกตที่มืดมิด มีเพียงแสงจันทร์และแสงไฟจากกระบอกไฟฉายที่ค่อยส่องนำทางให้เห็นหนทางข้างหน้าที่พวกเขาทั้ง 3 คนเริ่มเดินซอกแซกไปโดยไม่รู้ว่าหนทางนั้นจะพาไปที่ใด แต่เมื่อเดินลึกเข้ามาเรื่อยๆบรรยากาศโดยรอบก็เปลี่ยนไปเป็นอากาศหนาวเย็นจนทำให้น้ำเย็นที่ไม่ค่อยชอบเวลากลางคืนต้องขนลุกแล้วรีบเดินไปเกาะไหล่เอคิวที่เดินนำอยู่ข้างหน้า

 

“ไอ้นี่ มึงเป็นสัมภเวสีหรือไง? มาสิงร่างกูเลยมั้ย? ไอ้น้ำเย็น” เอคิวหันไปว่าน้ำเย็นพลางทำสีหน้ารำคาญใส่คนที่เริ่มมาเกาะเขาเป็นลูกลิง

 

“โห่ย! เนื้อมึงเป็นทองหรือไงว่ะ กูแตะทีเล่นด่าให้กูตายไม่มีญาติเลยนะมึง คนอะไรช่างหยาบคาย” แล้วน้ำเย็นก็สะบัดหน้างอนๆแต่ก็ยังเกาะไหล่เอคิวต่อไปจนเอคิวต้องส่ายหน้าให้กับความปัญหาอ่อนของน้ำเย็น

 

“มึงดูพี่วาสิ เขายังรู้จักสงบเลย มึงหะ...เห็น...”เอคิวที่หันไปทางญาติผู้พี่ที่เดินตามหลังก็ต้องเบิ่งตากว้างอย่างตกใจที่วานิชกำลังยืนนิ่งแล้วหลับตาตัวสั่นโดยมีผู้หญิงที่มีรูปร่างคริ่งบนเป็นคนครึ่งล่างเป็นงู ผมยาวดำ ไม่มีลูกตา กำลังเลื้อยมาทางที่วานิชยืนอยู่

 

“ไอ้เชี้ย!” น้ำเย็นตกใจเผลอพูดออกมาจนปีศาจรูปร่างประหลาดหันมามองทางน้ำเย็นและเอคิว

แล้วเลื้อยเข้ามาใกล้จากนั้นก็โน้มใบหน้าที่ไร้ลูกตานั้นมาทางที่ทั้ง 2 คนยืนอยู่แล้วพลางทำสูดดมกลิ่นของคนข้าหน้า

 

“อัลมอนด์ นั่นเจ้าหรอ?” ปีศาจครึ่งงูก็เอ่ยถามเอคิวด้วยชื่อของพ่อราวกับรู้จักกันดี นี่พ่อยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม?

 

“อะ..อืม”

 

“ข้านึกว่าเป็นผู้บุกรุก ได้กลิ่นแปลกๆ ส่วนเจ้าก็ควรจะรีบกลับคฤหาสน์ได้แล้ว” แล้วปีศาจครึ่งงูก็เลื้อยไปทางสวนวงกตอีกทางหนึ่งเหมือนไม่ใส่ใจ

 

“เฮ้ย! น้องคิวเจ๋งว่ะ ไล่ปีศาจได้” น้ำเย็นพูดขึ้นพลางทำหน้าเหลือเชื่อที่พ่อของเอคิวรู้จักกับปีศาจ

 

“ตะ..แต่พี่ว่ามันปะ...แปลกนะ ทะ..ทำไมปีศาจมาอยู่ทะ..ที่นี่ล่ะ” วานิชที่เพิ่งหาเสียงตัวเองเจอก็พูดขึ้นด้วยความสงสัย

 

“นี่แหละความลับ..โชคดีที่ปีศาจตนนั้นตาบอด ไม่งั้นเราก็ตายกันหมดนี่แหละ” เอคิวเอ่ยเสียงเรียบ

 

“แต่ข้าไม่ได้ตาบอดเลยหาพวกเจ้าเจอ จริงไหม?” เสียงทุ้มเย็นดังมาจากด้านหลังของเด็กหนุ่มทั้ง 3 คนที่กำลังยืนคุยกัน ทำให้พวกเขาหันหลังกลับไปมองแล้วเห็นงูขนาดใหญ่มี 8 หัวกำลังแลบลิ้นแยกเขี้ยวและพร้อมดวงตาวาวนั้นกำลังจ้องมองมายังเหยื่ออันโอชะที่หลงเข้ามาที่นี่ พรึ่บ!!!! หมดเวลาสนุกแล้วสิ...หมดเวลาสนุกแล้วสิ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา