"Yes, I do" ปาฏิหาริย์ครั้งสุดท้าย

8.9

เขียนโดย January13

วันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2557 เวลา 16.54 น.

  37 ตอน
  25 วิจารณ์
  43.45K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2562 20.46 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) กลับบ้านเก่า

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     แสงอาทิตย์ยามเช้าลอดผ่านม่านบางสีครีม เข้ามาปลุกร่างเล็กให้ตื่นขึ้น มือเรียวป้องแสงที่กระทบตาก่อนคว้าโทรศัพท์บนสตูข้างเตียงมาดูเวลา

     “ตื่นได้แล้วป้า” นิชนกแซวพี่สาว อริสาดึงหมอนหนุน ปาใส่น้องสาวที่นั่งแต่งหน้าอยู่โต๊ะเครื่องแป้งปลายเตียง

     “หึหึ” นิชนกขำในลำคอก่อนเก็บหมอนโยนไว้บนเตียง

     “ไฮเปอร์จริงๆ น้องฉัน ตื่นกี่โมงเนี่ย”

     “สักพักเนี่ยแหละค่า พึ่งออกจากห้องน้ำเมื่อกี้ พี่ก็รีบไปอาบได้แล้ว น้องเครื่องร้อนอยากเที่ยวเต็มทีแล้วค่า” คนน้องเร่ง

     “จ้า รู้แล้วๆ ยัยน้องบังเกิดเกล้า” อริสาพูดพรางหยิบเสื้อผ้าในกระเป๋าเดินทางที่เก็บไว้ใต้เตียงก่อนจะสอดเข้าที่เดิม เธอไม่จำเป็นต้องนำของในกระเป๋าออกมาจัด เพราะหลังเสร็จพิธีวิวาห์เธอก็ต้องขนข้าวของเข้าบ้านเคนอิจิอยู่ดี

     อริสาและครอบครัวพากันออกเดินทางจากโรงแรมสู่ พิพิธภัณฑ์ระเบิดปรมาณู โดยนิชนกอาสาเป็นผู้ขับรถ ซึ่งรถคันนี้เคนอิจิสั่งให้คนขับรถนำมาจอดไว้เพื่อบริการแฟนสาวและครอบครัว

     “อ๊า ถึงแล้ว” นิชนกพูดหลังจากจอดรถสนิท เลือดนักท่องเที่ยวในตัวเธอกำลังสูบฉีด

     “แหม เวอร์จริงยัยนิช” คนเป็นพ่อที่นั่งอยู่เบาะหลังแซวก่อนลงรถไป

     อริสาเดินนำหน้าไปก่อน เพื่อต่อแถวซื้อบัตรเข้าชม เมื่อได้บัตรเรียบร้อยแล้วก็นำมาแจกจ่ายให้สมาชิกที่รออยู่หน้าทางเข้าพิพิธภัณฑ์ ก้าวแรกที่เข้ามาภายใน มีเสียงสวดมนต์ของคริสตชนดังระงมนำหน้า ก่อนจะเห็นภาพจำลองความเสียหายของโบสถ์อุราคามิหลังจากระเบิดลง ภาพที่เหลือเพียงผนังโบสถ์บริเวณทางเข้า ซึ่งมีประตูโค้งสไตล์โรมันเหมือนของใหม่ที่อริสาได้เห็นเมื่อวาน

     “พี่ดูสิระเบิดลงข้างๆโบสถ์พอดีเลย ย่านเนี่ยเป็นชุมชนชาวคริสเตียนด้วยนะ เสียงสวดประกอบนี่มันช่างสยองจริงๆ นี่ใช่ไหมโบสถ์ที่พี่ไปดูเมื่อวานหน่ะ ไม่แปลกหรอกที่พี่ว่ามันดูวังเวง” นิชนกอ่านป้ายคำอธิบายภาษอังกฤษตามรูปภาพจำลอง

     “นั่นสิ น่ากลัวจริงๆ ด้วย” อริสาพูดพรางกวาดตามองภาพความเสียหายต่างๆที่ผนัง พลภัทรและศิริเดินนำหน้าเข้าไปไกลแล้ว เมื่อเดินเข้ามาเรื่อยๆ นอกจากภาพจำลอง ยังมีหลักฐานความสูญเสียอื่นๆ ที่ถูกเก็บรวบรวมไว้มาจัดแสดง เช่นกระดูกมือกับแก้วที่หลอมรวมกัน สร้อยกางเขนหลอมละลาย ขวดบูดเบี้ยว เศษผ้าไหม้เกรียม หมวกที่มีเศษกระโหลกติดอยู่ภายใน และภาพถ่ายของผู้รอดชีวิต ร่างกายมีบาดแผลพุพองที่ได้รับความร้อนจากกัมมันตภาพรังสี อริสาส่ายหัวอย่างเวทนา

     “ประชาชนที่อยู่ในเขตรัศมีศูนย์กลางจะตายในทันทีโดยไม่รู้สึกตัว ร่างกายจะแปรสภาพเป็นเถ้าถ่านในชั่วพริบตา ส่วนผู้คนที่อยู่ห่างออกไป จะได้รับผลกระทบจากกระแสความร้อนทำให้บาดเจ็บทรมานอย่างมาก ผิวหนังไหม้เกรียม...เฮ้อยัยนิชพาฉันมาดูอะไรเนี่ย” อริสาอ่านคำอธิบายไม่ทันจบก็หยุดอ่าน มันสะเทือนใจเกินไป เธอแอบหันมาค้อนน้องสาว ฐานที่พาเธอมาเที่ยวในที่แบบนี้ โดยที่นิชนกไม่รู้ตัวเพราะมัวแต่เก็บภาพนาฬิกาเรือนสีทองสภาพพังยับ 

     “ถ่ายอะไรอยู่หน่ะ” พี่สาวอดสงสัยไม่ได้เลยเดินเข้ามาถาม

     “ก็นาฬิกาเรือนนี้หน่ะสิ เวลาหยุดตอนที่ระเบิดลงพอดีเลย 11.02 น. ของวันที่ 9 สิงหาคม ปี 1945 คลาสสิคมาก” นิชนกอธิบาย นิ้วกดชัตเตอร์รัว อริสาชะโงกหน้าเข้ามามองแล้วยักหน้าน้อยๆ

     .....ตี๊ด...ตี๊ด...ตี๊ด....เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น

     “ว่ายังไงคะ เคนจัง” อริสาถามหลังจากกดรับสาย

     “อ๋อ ค่ะ ได้คะ จะรีบไปเดี๋ยวนี้เลยคะ” พูดจบเธอก็วางสาย คนน้องละมือจากกล้องคู่ใจหันมาถาม

     “ไปไหนหรอ ยังเดินไม่ทั่วเลย”

     “ไปร้านเวดดิ้งหน่ะ พอดีเคนจังเขาเข้าไปคุยเรื่องงานเลี้ยงนำชา ทีนี้ทางร้านเลยอยากได้ความเห็นว่าพี่ต้องการ ธีมงานแบบไหน แกเดินเที่ยวรออยู่แถวนี้แหละ เดี๋ยวพี่เสร็จธุระจะรีบมารับ ดูพ่อกับแม่ด้วยหละ เดินไปไหนแล้วก็ไม่รู้” อริสาบอกน้องสาว นิชนกพยักหน้ารับคำ

     อริสาขับรถออกมาสักพักก็สังเกตเห็นแหวนมั่นบนนิ้วนางข้างซ้ายหายไป

     “เอ๊ะ หล่นไปตอนไหนนะ” เธอพูดพรางส่องดูบริเวณเท้า แต่ก็ไม่พบแหวนเพชรรูปหัวใจของเคนอิจิ เพียงชั่วพริบตาเดียวอริสาหันกลับมามองถนนด้านหน้า เห็นชายคนหนึ่งยืนขวางหน้ารถอยู่

     “บาทหลวง!!” เธออุทาน โคร่ม!!! อริสาหยีบเบรคไม่ทัน รถจึงชนชายแก่เข้าจังๆ ร่างเล็กกระแทกถุงลมนิรภัยก่อนจะเด้งกลับไปกระแทกเบาะนั่งอย่างแรง ทำให้เธอสลบไปในทันที!!!!

     อริสารู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งตัว โดยเฉพาะที่ข้อเท้าข้างซ้ายเจ็บจี๊ดจนเธอต้องส่งเสียงร้อง ทั้งที่ยังไม่ลืมตา

     “โอ๊ย!!!”

     “อ้าวฟื้นแล้วหรอ” เสียงผู้หญิงที่เธอไม่คุ้นเคย ดังขึ้นอยู่ใกล้ๆ ทำเอาอริสาต้องลืมตาขึ้นมาดูในทันที

     “คะ...คะ...คุณเป็นใครหน่ะ แล้วที่นี่ที่ไหน!!!!” อริสาตกใจกับภาพที่เห็น หญิงสาวดูแล้วอายุไม่ห่างจากเธอนัก ในชุดยูกาตะนั่งคุกเข้าท่าเทพธิดา กำลังเย็บผ้าอยู่ข้างๆ ร่างเล็กของเธอนอนอยู่บนเสื่อหวายสีน้ำตาลอ่อน ในห้องแบบญี่ปุ่นโบราณ

     “อ้าวอะไรของเธอเนี่ยฮิเดโกะ ตกเนินเขาเตี้ยๆแค่นี้ ถึงกับความจำเสื่อมเลยหรอ” ผู้หญิงคนนั้นถามงงๆ

     “ฮิเดโกะอะไรกัน” อริสาพูดก่อนฝืนลุกขึ้นนั่ง จึงสังเกตเห็นว่าตัวเองก็แต่ตัวไม่ต่างจากผู้หญิงคนนั้น  

     “ชื่อตัวเองก็จำไม่ได้หรอ แย่จังสงสัยหัวจะกระแทกแรงไปหน่อย” หญิงแปลกหน้าพูดจบก็ก้มหน้าก้มตาเย็บผ้าต่อ ประตูไม้ลายตารางสี่เหลี่ยมผืนผ้าเลื่อนออก หญิงแปลกหน้าอีกคนในชุดแบบเดียวกันเดินเข้ามา แต่คนนี้ดูมีอายุมากกว่า

     “อ้าวฮิเดโกะฟื้นแล้วหรอลูก นี่แม่ทำมิโซะซุปมาให้ กินซะนะ” เธอพูดพรางวางถ้วยซุปเล็กๆลงข้างอริสา

     “แม่หรอ!?” อริสาอุทานเบาๆ ตอนนี้เธอรู้สึกประหลาดใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก คนที่เรียกตัวเองว่าแม่ หันไปมองหน้าหญิงสาวที่กำลังเย็บผ้าอยู่

     “สงสัยจะความจำเสื่อมหน่ะแม่ จำฉันก็ไม่ได้ ชื่อตัวเองยังจำไม่ได้เลย”

     “โธ่ทำยังไงหละที่นี้ บ้านเราไม่มีเงินพาน้องไปหาหมอหรอกนะซาซาโกะ” ผู้เป็นแม่กล่าวน้ำตาคลอดมองอริสาอย่างสงสาร ทำเอาเธองงเข้าไปอีก

     “ไม่เป็นไรหรอกแม่ เดี๋ยวสักพักก็คงหาย” ซาซาโกะพูดปลอบ ในใจรู้ดีว่ายังไงก็ไม่มีปัญญาพาน้องสาวไปหาหมอ เพราะตั้งแต่เกิดสงครามชีวิตความเป็นอยู่ของทุกคนลำบากมาก ถึงแม้นางาซากิจะไม่ใช่จุดที่โดนโจมตีแทบทุกวันเหมือนตัวเมืองใหญ่ๆ แต่สงครามก็ส่งผลให้ข้าวยากหมากแพงขึ้น เงินที่มีอยู่ต้องเก็บเอาไว้ใช้เมื่อจำเป็นเท่านั้น

     เสียงวิ่งกระแทกเท้าดังมาแต่ไกลและใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เด็กชายวัยสิบขวบโผล่หน้าออกมาจากหลังประตู

     “อ๊า พี่ฟื้นแล้วหรอ ขอโทษนะที่ฉันทำให้พี่ต้องเจ็บตัวหน่ะ ฉันไม่น่าอยากได้เห็ดสีประหลาดๆนั่นเลย พี่เลยต้องพลัดตกลงมา ขอโทษๆๆๆ” เด็กชายโค้งตัวหลายรอบตามคำขอโทษ

     “ฮิคารุแก เนี่ยน้าซนจริงๆ ดูสิพี่แกจำอะไรไม่ได้เลย” คนเป็นแม่ตะหวาดอย่างโมโหพร้อมเขกหัวที่โกนเกลี้ยงของลูกชาย

     “โอ๊ย!! แม่ เจ็บนะ” ฮิคารุบ่นอุบ ซาซาโกะส่ายหน้าน้อยๆอย่างละอาใจ

     ชายร่างท้วมหนวดเครารุงรัง เดินตามมาทีหลัง เข้ามานั่งตรงปลายเท้าของอริสา เขาถอดหมวกบนหัวมาพัดพร้อมกระพือเสื้อเพื่อไล่ความร้อน

     “ฮิคารุแกก็อย่าซนนักสิ ก่อเรื่องได้ทุกวัน ถ้าว่างมากก็ออกไปช่วยน้าหาปลาดีกว่า” เขาหันมาพูดกับหลานชาย

     “วันนี้เป็นยังไงบ้างหละหาปลาได้เยอะไหมจิโร่” หญิงมีอายุถามขึ้น

     “ไม่เลยพี่คุมิโกะ ได้นิดเดียวเองขืนเป็นอย่างนี้ทุกวันเราแย่แน่” จิโร่พูดก่อนถอนหายใจแรง

     อริสาได้แต่มองการสนทนาของคนแปลกหน้ากลุ่มนี้ด้วยความฉงน...เกิดอะไรขึ้น!!!....นี้ฉันฝันไปใช่ไหม...เธอร้องถามตัวเองในใจอย่างสับสน ก่อนจะสลบไปอีกครั้ง

               

ขอบคุณข้อมูลจาก

http://www.guru-tour.com/content_detail.asp?id=248&t=1

http://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2009/08/E8163808/E8163808.html

http://www.trachoo.com/2013/09/19/nagasaki-%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%8B%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B4-%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7/

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา