"Yes, I do" ปาฏิหาริย์ครั้งสุดท้าย
เขียนโดย January13
วันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2557 เวลา 16.54 น.
แก้ไขเมื่อ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2562 20.46 น. โดย เจ้าของนิยาย
27) การตัดสินใจ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเช้าวันหยุดที่แสนสดใสเริ่มต้นขึ้นด้วยแสงเจิดจ้าของพระอาทิตย์ฤดูร้อน แต่ลมที่พัดโชยมาจากชายฝั่งทะเลทำให้อากาศปลอดโปร่งเย็นสบาย ซาซาโกะตื่นแต่เช้ามาตระเตรียมอาหาร วันนี้เธอกับโกโร่นัดกันไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะในชุมชน นี่ถือเป็นเดทแรกของพวกเขาทั้งสองคน หญิงสาวในชุดยูกาตะสีเขียวอ่อนแต้มลายดอกไม้สีชมพูเล็กๆ เดินหิ้วตะกร้าที่บรรจุอาหารและเครื่องดื่มสำหรับมื้อเช้าออกมาจากบ้าน ชายร่างสูงในชุดลำลองที่ยืนประครองจักรยานรออยู่หน้าบ้านส่งยิ้มทักทาย
“อรุณสวัสดิ์ซาซาโกะจัง วันนี้อากาศดีมากๆเลยนะ” โกโร่พูดแล้วสูดหายใจเอากาศบริสุทธิ์เข้าไปเต็มปอด
“อืม นั่นสิ” ซาซาโกะเห็นด้วย
“ถ้าอย่างนั้นเราไปกันเถอะ ที่สวนสาธารณะหนะ ดอกอาจิไซยังบานอยู่เลยนะ สวยมากๆเลยหละ ซาซาโกะจังต้องชอบแน่” เขาเล่าก่อนจะขึ้นนั่งจักรยานในท่าเตรียมพร้อม หญิงสาวยักหน้ารับอย่างตื่นเต้น เพราะโดยปกติเธออยู่แต่บ้าน จะไปก็แค่ตลาด ถ้าไม่มีเทศกาลอะไรก็แทบจะไม่ไปไหนเลย ซาซาโกะซ้อนท้ายจักรยานโดยนั่งพาดข้าง มือหนึ่งจับตะกร้าวางไว้ที่ตัก อีกมือหนึ่งจับชายเสื้อโกโร่ไว้
“จะไปแล้วนะ” สารถีหันมาบอก
“อือๆ” หญิงสาวขานรับ ได้ยินดังนั้นโกโร่ก็เริ่มปั่นจักรยานออกตัวไปอย่างช้าๆ ด้วยความระมัดระวัง
ฮิคารุหลังจากทานอาหารเช้าฝีมือแม่เรียบร้อยแล้วก็สะพายกระเป๋านักเรียนออกจากบ้าน เดินมุ่งหน้าไปยังบ้านของฮานะซึ่งอยู่ละแวกโรงเรียน แถบนั้นส่วนใหญ่จะเป็นคนมีฐานะ บ้านช่องจึงค่อนข้างหลังใหญ่โตและสวยงาม
“ฮิคารุ!!!” ฮานะที่ยืนรอเพื่อนอยู่หน้าบ้าน เห็นเด็กชายเดินมาแต่ไกลจึงโบกมือให้และตะโกนเรียก
“อรุณสวัสดิ์ฮานะจัง” เขารีบวิ่งเข้ามาทักทาย
“อืม เข้ามาในบ้านก่อนสิ” เธอพูดเชิญก่อนเดินนำเข้าไปสู่ตัวบ้าน ทางเดินเป็นพื้นหญ้าสีเขียวตัดกับหินภูเขาสีเข้มหลากหลายรูปทรงที่เรียงเป็นทางเดิน ข้างทางมีต้นบอนไซขนาดน้อยใหญ่จัดวางไว้อย่างลงตัว ก่อนถึงตัวบ้านมีบ่อปลา ที่น้ำใสมากจนสมารถมองเห็นปลาคราฟลายส้มแดงบ้าง สีเงินลายดำบ้างแหวกว่ายอยู่ไปมา ข้างบ่อปลาก็มีตะเกียงหินรูปทรงคล้ายศาลาขนาดจิ๋วประดับอยู่ด้วย มากิโนะแม่ของฮานะในชุดเสื้อคอกลมกว้างสีขาว แขนตุ๊กตา กับกระโปรงทรงตรงยาวคลุมเข่า สีชมพูดอกซากุระยืนยิ้มรออยู่หน้าประตูบ้าน
“อรุณสวัสดิ์ครับแม่ของฮานะจัง” ฮิคารุกล่าวทักทายพร้อมโค้งอย่างสุภาพ
“สวัสดีจ้าฮิคารุ เข้ามาในบ้านก่อนนะ แม่พึ่งอบเค้กเสร็จพอดีเลย เดี๋ยวเอาไปเสิร์ฟนะจ๊ะ” ผู้ใหญ่พูดอย่างใจดี
“ขอบคุณครับ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ” เด็กชายกล่าวและโค้งอย่างสุภาพอีกครั้ง มากิโนะยิ้มอย่างเอ็นดู ก่อนพาเดินเข้าบ้านผ่านห้องโถ่งขนาดใหญ่ไปยังห้องทานอาหาร เด็กๆนั่งลงบนเบาะสีเหลี่ยม หยิบสมุดการบ้านพร้อมหนังสือขึ้นมาวางบนโต๊ะไม้เตี้ยสีแดงเข้ม และเริ่มลงมือทำการบ้านวิชาคณิตศาสตร์ด้วยสีหน้าคร่ำเคร่งอยู่ครู่หนึ่ง มากิโนะก็เดินออกมาจากห้องครัวพร้อมขนมเค้กสีเหลืองนวลฉาบครีมสีขาวที่ประดับด้วยลูกเชอร์รี่แดงอยู่ด้านบน ในจานแก้วทรงกลมเล็กๆ สองใบ
“มาแล้วจ๊ะเด็กๆ พักทานขนมกันก่อนนะ”
“น่าทานจังเลยฮะ” ฮิคารุพูดนันย์ตาเป็นประกาย
“จริงหรอจ๊ะ ถ้าอย่างนั้นก็ทานเยอะๆเลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ แม่ไม่กวนหละขอตัวไปทำงานบ้านก่อน” มากิโนะพูดแล้วเดินออกจากห้องทานอาหารไป
“ฮิคารุลองชิมเค้กฝีมือแม่ฉันสิ” ฮานะเลื่อนจากเค้กให้เข้ามาใกล้เพื่อน
“อื้อหื้อ!! อร่อย!!” เด็กชายอุทานในลำคอ หลังจากตักเค้กเข้าปากคำหนึ่ง แล้วก็ตามมาด้วยคำต่อๆไปอย่างไม่หยุด
“ช้าๆก็ได้ ฮิคารุ เดี๋ยวก็ติดคอหรอก” ฮานะปราม พรางหัวเราะท่าทางตะกละตะกลามของเพื่อน
“แหม ก็มันอร่อยนี่นา...แอ๊กๆๆๆ” เด็กชายพูดทั้งๆที่ขนมยังเต็มปาก ฮานะพูดยังไม่ทันขาดคำ ขนมก็ติดคอฮิคารุเข้าจริงๆ
“นั่นไงฉันว่าแล้วเชียว นี่ดื่มน้ำก่อนๆ” เธอส่งแก้วน้ำให้เพื่อนที่ไอโค่งๆ พอดื่มน้ำจนหายแล้วฮิคารุก็ยิ้มแห้งๆ ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นค่อยๆตักเค้กกินทีละน้อย
ยูทากะมาที่บ้านพ่อแม่ของนามิตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อช่วยหมอแฮรี่เก็บข้าวของเตรียมตัวเดินทางในเช้ามืดวันพรุ่งนี้ โดยมีคนงานของพ่อนามิสองคนช่วยอีกแรง คืนก่อนนามิเล่าเรื่องราวตามที่ได้ฟังจากสามีกับพ่อแม่ และขอร้องให้ย้ายไปอยู่ที่ประเทศอังกฤษด้วยกัน แต่ผู้อาวุโสทั้งสองคนกลับปฏิเสธพร้อมให้เหตุผลว่าพวกเขาเองก็อายุเยอะแล้ว ชีวิตที่ผ่านมาใช้คุ้มค่าแล้ว ถ้าจะต้องตายในกองระเบิดก็ไม่ได้หวั่นเกรงอะไร ขอแค่ได้ตายในบ้านเกิดเมืองนอนนอนก็พอ แต่ตัวนามิเองกำลังจะมีอีกหนึ่งชีวิตที่รอวันลืมตาดูโลก เห็นสมควรที่จะต้องไป นามิร้องไห้ใหญ่สามีต้องคอยปลอบใจทั้งคืน เธอเข้าใจเหตุผลดี เพียงแต่เหตุการณ์ทุกอย่างมันเร็วเกินกว่าที่จะทำใจ
ระหว่างช่วยกันขนของขึ้นรถคันเก่งของหมอแฮรี่เพื่อขนไปลงเรือที่ท่าเรือชายฝั่งทะเล เขาก็พึ่งนึกได้ว่ายูทากะยังไม่ได้ให้คำตอบเรื่องที่เขาชวนไปอยู่ด้วยกันเลยจึงถามขึ้นมา
“ยูทากะ ตกลงว่านายจะไปด้วยกันไหม พรุ่งนี้แล้วนะ”
“อ่อ เอ่อ เรื่องนั้นหนะผมยังไม่ได้ตัดสินใจเลยครับ” เขาอึกอักตอบ อาการป่วยของคาซูมิที่มีแนวโน้มดีขึ้น ทำให้เขาเบาใจไปเปราะหนึ่ง ถึงแม้สภาพร่างกายของผู้เป็นแม่ยังดูอ่อนแอ แต่จิตใจของเธอฟื้นฟูขึ้นมาก ส่วนเรื่องที่ยังเป็นกังวลอยู่ก็คือเรื่องอนาคตของเขา และการต้องพลัดพรากจากคนรัก
“ยังไงก็รีบตัดสินใจเถอะ ไปอยู่ที่นู้นนายจะมีอนาคตที่ดีกว่านี้นะ” หมอแฮรี่อยากให้เขาไปด้วยจริงๆ ตัวเขาเอ็นดูยูทากะเหมือนลูกเหมือนหลานอยู่แล้ว และไม่อยากให้คนดีๆ เก่งๆ อย่างยูทากะต้องรีบด่วนจากโลกนี้ไป
“หลังจากพวกเราไปแล้ว ถ้ามีชาวบ้านในชุมชนเจ็บป่วยใครจะดูแลพวกเขานะ โรงพยาบาลในตัวเมืองถึงไม่ได้ไกลมากแต่การเดินทางก็ไม่ได้สะดวกมากนัก” ยูทากะถามขึ้นลอยๆ เชิงถามตัวเอง หมอแฮรี่ได้ยินแล้วก็นิ่งงันไป เขาไม่ได้คิดคำตอบสำหรับคำถามนี้เผื่อเอาไว้ เพราะรู้ดีว่าหลังจากวันพรุ่งนี้ ชาวบ้านในชุมชนจะไม่มีโอกาสป่วยอีก ทุกคนจะล้มตายกันมากมายด้วยฤทธิ์ระเบิดนิวเคลียร์อย่างที่เกิดขึ้นที่เมืองฮิโรชิมาเมื่อสองวันก่อน
“อืม...ถ้าอย่างนั้นผมไม่ไปดีกว่า แต่ขอผมมาโรงหมอเป็นครั้งคราว เกิดมีชาวบ้านเจ็บป่วยจะได้ช่วยดูแล ได้ไหมครับ” ยูทากะพูดออกมาอย่างซื่อตรง ทำเอาคนฟังกลั้นน้ำตาไว้แทบไม่ทัน หมอแฮรี่ข่มความรู้สึกสงสารไว้อย่างอยากลำบากก่อนตอบ
“ได้สิ นายจะมาทุกวันเลยก็ได้นะ เครื่องมือเครื่องใช้และยาฉันไม่ได้เอาไปด้วยหรอก เอาไปแต่ของส่วนตัว นายใช้ได้เต็มที่เลยฉันยกให้”
“คุณหมอพูดจริงหรอครับ ขอบคุณนะครับ ขอบคุณมากๆเลย” ยูทากะดีใจใหญ่เขาโค้งขอบคุณอยู่หลายรอบ อย่างน้อยเขาก็ได้ทำงานเดิม แม้รู้ว่าจะไม่ได้รับเงินเดือนก็ตาม
“นายหนะก็อย่าลืมหมั่นศึกษาตำราแพทย์สมัยใหม่เอาไว้เยอะๆนะ โลกเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา การแพทย์ก็พัฒนาไปตามไปด้วย นายเป็นคนหัวดี มีความสามารถและที่สำคัญมีจิตใจอุทิศในการช่วยเหลือคนอย่างแท้จริง ไม่แน่นายอาจกลายเป็นหมอชุมชนคนแรกที่ไม่ต้องมีใบปริญญาเลยก็ได้”
“แหม คุณหมอก็ ผมไม่ได้เก่งขนาดนั้นหรอกนะครับ แต่ผมจะอ่านตำราแพทย์เยอะๆ ครับผมสัญญา” ยูทากะรับปากหนักแน่นก่อนหันไปขนของต่อ หมอแฮรี่เริ่มรู้สึกลังเล เขาควรจะบอกความจริงกับยูทากะดีไหมว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นที่นางาซากิ มันจะทำให้ยูทากะเปลี่ยนใจได้หรือเปล่า
อริสาที่นัดหมายกับนายจ้างไว้ว่าจะไปเยี่ยมฮิมาวาริที่โรงพยาบาลในเมือง แวะมาร้านดอกไม้ไฟฝั่งตรงข้ามก่อน เพื่อชวนไดกิไปด้วย เธอคิดว่าเขาคงอยากไปเยี่ยมหลานสาวมากเช่นกัน พวกเขาทั้งสามคนพากันขึ้นรถเต่าสีครีมคันเก่าเก็บของคริสโตเฟอร์ ด้วยความที่รถไม่ได้ใช้การมาพักใหญ่ทำให้ต้องใช้เวลาสตาร์ทอยู่นาน รถคันเล็กแล่นไปช้าๆ ตามถนนดินแดง ผ่านตลาด และบ้านเรือนสไตล์ญี่ปุ่นอนุรักษ์นิยมที่อริสาเห็นจนคุ้นตา เมื่อพ้นแหล่งชุมชนออกมา เธอก็พบกับวิวชายหาดสีน้ำตาลนวลข้างทาง ที่ทอดยาวออกไปหลายกิโลเมตร คลื่นเกลียวเล็กซัดน้ำทะเลเข้าฝั่งอยู่เนืองๆ ที่ไกลออกไปเป็นท่าเรือขนาดใหญ่ อริสาสังเกตเห็นเรือจอดเทียบท่า มีผู้คนขนข้าวของสัมภาระต่างๆ ขึ้นบนเรือ ส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ รถขับพ้นท่าเรือมาแล้ว แต่อริสาก็ยังเอี้ยวคอมองตาม จนนายจ้างซึ่งตอนนี้กลายเป็นคนขับรถพูดขึ้น
“เรืออพยบหนะ”
“อ่อ....คะ” อริสาเอ่ยเสียงเรียบ
รถเต่าสีครีมขับชะลอความเร็วเข้ามาจอดหน้าตึกสีขาว ความสูง 4 ชั้น อริสาได้ข้อมูลจากพยาบาลคนหนึ่งว่าฮิมาวาริถูกนำตัวออกจากห้องปลอดเชื้อแล้ว หลังจากเข้าไปถามทาง พวกเขาสามคนเดินขึ้นบันไดไม้สีอ่อนขัดเงา มายังชั้นผู้ป่วยห้องพักรวมขนาดใหญ่ที่มีเตียงผู้ป่วยเรียงอยู่สองฝั่ง ฝั่งละ 10 เตียง ไดกิรีบวิ่งถลาเข้ามาหาหลานสาวที่นอนอยู่เตียงในสุดริมหน้าต่างฝั่งหนึ่ง
“ฮิมาวาริจังหลานตา เป็นยังไงบ้าง” คนแก่พูดน้ำตาคลอ เห็นภาพหลานสาวตัวเล็กถูกเจาะแขนให้น้ำเกลือและเซรุ่มระโยงระยาง
“ปู่จ๋าๆ เจ็บๆๆ แง้ๆๆ” เด็กน้อยที่สะลึมสะลือ กระพริบตาถี่ๆ ก่อนจะเบะปากร้อง ไดกิโค้งตัวลงไปกอดหลานรัก แต่ทำยังไงก็ไม่ยอมหยุด คริสโตเฟอร์เห็นดังนั้นจึงเดินเข้าไปยื่นถุงกระดาษสีน้ำตาลที่มีหนังสือนิทานหลายเล่มให้
“ฮิมาวาริจัง ดูนี่สิฉันมีอะไรมาให้ด้วยนะ” เขาพูดจูงใจก่อนค่อยๆหยิบหนังสือเล่มเล็กออกมาทีละเล่ม ดึงความสนใจให้เด็กน้อยขี้แยหยุดแผดเสียง แต่ยังสะอึกสะอื้นอยู่หันมามอง ตากลมๆ เปียกน้ำตาส่งแววไร้เดียงสา
“อุ๊ย นี่ซินเดอเรลล่านี่นา ฉันเคยอ่านเรื่องนี้ให้ฮิมาวาริฟังหรือยังน้า” อริสาพูดหลังจากรับนิทานมาจากคริสโตเฟอร์ เด็กแก้มยุ้ยส่ายหัวตอบ
“ฮิมาวาริอยากฟังไหม” เธอถามต่อ คนถูกถามยักหน้าหงึกๆตอบ ว่าแล้วพนักงานดูแลร้านหนังสือก็ไม่รอช้า อริสาทรุดตัวลงนั่งบนเตียงข้างๆเด็กน้อย ก่อนจะเล่าเริ่มนิทาน
“กลาครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเด็กหญิงกำพร้าแม่คนหนึ่งชื่อว่า ‘เอลลา’ อาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กกับพ่อ หลังจากที่แม่ของเธอจากไปได้ไม่นาน พ่อก็แต่งงานใหม่กับหญิงหม้ายซึ่งมีลูกสาวสองคน ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ชอบเธอเท่าไหร่ อยู่มาวันหนึ่งพ่อของเอลลาได้ล้มป่วยและจากไปอย่างกระทันหัน จากนั้นเธอก็กลายเป็นคนรับใช้ของบ้าน แม่เลี้ยงกับพี่สาวใจร้ายของเธอพากันเรียกเธอว่า ‘ซินเดอเรลล่า’ อันหมายถึง ‘เอลลาผู้มอมแม’...” อริสาเล่านิทานไปเรื่อยๆ เด็กน้อยฟังอย่างใจจดใจจ่อ แววตาใส่ซื่อเป็นประกายเหมือนกำลังพยายามจินตาการภาพตามคำบอกเล่า จนลืมอาการเจ็บป่วยไปชั่วขณะ ในที่สุดก็เคลิ้มหลับไป อริสาปิดหนังสือก่อนยื่นมือไปลูบหัวฮิมาวาริเบาๆ เธอสงสารเด็กน้อยจับใจที่ต้องมามีอายุไขสั้นขนาดนี้ อริสาจำข้อมูลที่อ่านในพิพิธภัณฑ์ได้ว่า คนที่อยู่ห่างจากจุดศูนย์กลางการทิ้งระเบิดจะไม่เสียชีวิตในทันที แต่จะล้มป่วยและตายอย่างทรมาน เนื่องจากได้รับสารกัมมัตรังสี ยิ่งรู้อย่างนิ้เธอยิ่งเจ็บปวดไปทั้งหัวใจ ทั้งๆที่รู้แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
อริสาเดินนำออกมาจากห้องพักผู้ป่วย เธอกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ไหว มือเรียวยกขึ้นป้องหน้า ร่างเล็กสั่นเทา นายจ้างร่างกลมที่เดินตามหลังออกมาเห็นดังนั้นจึงลูบหลังปลอบใจเธอเบาๆ เขาเข้าใจความรู้สึกของเธอดี เพราะเขาเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน
“ทำไมต้องเป็นอย่างนี้ด้วยค่ะ คริสโตเฟอร์ ทำไม”
ประวัติซินเดอเรลล่า อ้างอิง
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%8B%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ