"Yes, I do" ปาฏิหาริย์ครั้งสุดท้าย

8.9

เขียนโดย January13

วันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2557 เวลา 16.54 น.

  37 ตอน
  25 วิจารณ์
  42.46K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2562 20.46 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

13) โบสถ์อุราคามิ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     เด็กชายรูปร่างปราดเปรียววิ่งลิ่วๆเข้าสู่รั่วประตูโรงเรียน นักเรียนคนอื่นๆ เริ่มทะยอยมาบ้างแล้วแต่ก็ยังบางตา ครูหนุ่มใจดีที่พึ่งมาถึงโรงเรียนเหมือนกัน เห็นตัวแสบประจำสายชั้นวิ่งผ่านหน้าไปทำให้เขาต้องขยับแว่นมองอย่างประหลาดใจ

     “นั่นฮิคารุนี่ มาแต่เช้าได้ยังไงกันนะ วันนี้ฝนต้องตกหนักแน่ๆเลย...อ้าว เราลืมเอาร่มมาซะด้วยสิ หึหึ” โกโร่เล่นมุขและขำอยู่คนเดียว

     ฮิคารุมาถึงอาคารไม้สี่ชั้น เขาหยุดหายใจครู่หนึ่งก่อนจะรีบวิ่งขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง แล้วเลี้ยวเข้าห้องเรียนหัวมุม เด็กหญิงที่มาถึงคนแรกของห้อง กำลังถอดกระเป๋านักเรียนวางบนโต๊ะริมหน้าต่างแถวแรก หันมามองคนที่กำลังหอบแฮกๆ ด้วยความประหลาดใจ

     “ฮิคารุ!!  นายมาได้ไง?!?!” เธอถาม

     “ฮานะจัง ฉันขอลอกการบ้านหน่อยสิ” เด็กชายพูดทั้งที่ยังหอบอยู่ ทำเอาฮานะ เพื่อนร่วมห้องของฮิคารุ และเป็นนักเรียนที่เรียนเก่งที่สุดในชั้นประถมศึกษาปีที่สี่ถึงกับอึ้ง ปกติเธอต้องเคี้ยวเข็ญให้เพื่อนคนนี้ลอกการบ้านให้เสร็จด้วยซ้ำไป จู่ๆวันนี้มาขอลอกเองมันเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจมาก

     “เอ่อ..ได้สิ”

     ที่ร้านหนังสือของคริสโตเฟอร์ พนักงานดูแลร้านกำลังขยันขันแข็งกับงานของตัวเอง อริสาใช้ไม้ขนไก่ปัดฝุ่นหนังสือที่วางเรียงรายอยู่หลังหน้าต่างกระจกบานใหญ่ มือเรียวเอื้อมไปขยับหนังสือให้หันหน้าตรงๆ ออกนอกหน้าต่าง เพื่อให้คนที่เดินผ่านไปมาเห็นชัด ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเหลือบเห็นฝูงเครื่องบินรบบินอยู่เหนือศีรษะสูงลิบขึ้นไปในอากาศผ่านหน้าต่างกระจกนั้น เธอหยุดมองจนมันบินผ่านไป ความรู้สึกวูบเหมือนหัวใจหล่นผุดขึ้น อริสารู้สึกไม่ปลอดภัย แน่นอนเธอรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับที่นี่อีกไม่กี่วันข้างหน้า ร่างเล็กถอนหายใจเฮือก ก่อนจะหันหลังมาเห็นเด็กหญิงตัวน้อยวัยห้าขวบ ในชุดยูกาตะสีส้ม ลายใบไผ่สีน้ำตาลเข้มขนาดพอดีตัว ยืนเอียงคอมองเธออยู่

     “หนูชื่ออะไรจ๊ะ” อริสาถาม แต่เด็กแก้มยุ้ยไม่ตอบ กลับเดินไปนั่งลงที่มุมหนึ่งของชั้นวางหนังสือ แล้วหยิบหนังสือเล่มเล็กขึ้นมา ทำท่าเปิดอ่านอย่างขะมักเขม้น

     “ฮิมาวาริจังหนะ หลานสาวของไดกิ เจ้าของร้านพลุ ตรงข้ามร้านเราเนี่ยแหละ ชอบมาอ่านหนังสือทุกเช้า แต่อ่านไม่อออกหรอกนะ ดูภาพเอา เหอๆ น่ารักน่าชัง” คริสโตเฟอร์พูดด้วยความเอ็นดู อริสาจึงเดินมานั่งยองๆข้างเด็กน้อย

     “The Little Match Girl เด็กหญิงไม้ขีดไฟ ฮิมาวาริจังชอบเรื่องนี้หรอจ๊ะ ให้พี่อ่านให้ฟังเอาไหม” หญิงสาวเสนอตัว แต่เด็กแก้มยุ้ยกลับหันมาค้อนให้ ปากอิ่มเล็กบึ้งเบะทำให้แก้มอวบ ดูยุ้ยขึ้นไปอีก ก่อนจะเขยิบตัวออกจากเธอเล็กน้อยแล้วก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือต่อ อริสาหัวเราะเบาๆ ด้วยคามเอ็นดู

     “ฮิเดโกะ เดี๋ยวฉันมานะว่าจะเอาหนังสือพระคัมภีร์ไบเบิลที่ยืมคุณพ่ออาซากิ มาคัดสำเนาไปคืนท่าน ที่โบสถ์อุราคามิหนะ” เจ้านายพุงกลมบอก ในมือถือหนังสือเล่มหนาไว้

     “เดี๋ยวฉันไปให้ก็ได้คะ พอดีมีเรื่องสับสนกำลังหาคนปรึกษาอยู่ บาทหลวงคงช่วยแนะนำอะไรได้บ้าง” ลูกจ้างรีบขันอาสาแล้วเข้ามารับหนังสือไปเล่มใหญ่ไป

     “ขอบใจนะ” คริสโตเฟอร์กล่าวขณะหญิงสาวกำลังก้าวออกจากร้านไป

     โบสถ์อุราคามิไปทางไหนอริสาไม่รู้หรอกเพราะยังไม่เคยไป จริงๆเคยครั้งหนึ่งตอนที่ไปดูสถานที่สำหรับจัดพิธีวิวาห์กับเคนอิจิแต่นั้นคือ 69 ปีข้างหน้านับจากปัจจุบันที่เธออยู่ตอนนี้ ถนนหนทางต่างกันโดยสิ้นเชิง ไม่มีถนนคอนกรีต ไม่มีห้างสรรพสินค้า มีแต่ต้นไม้น้อยใหญ่ ถนนดินสีน้ำตาลอ่อน บ้านและร้านค้าที่ปลูกสร้างแบบญี่ปุ่นสมัยก่อน อริสาเขย่งมองหลังคาโบสถ์สีแดงอิฐที่เห็นอยู่ลิบๆ เพื่อใช้นำทางเธอไป

     ...กรี๊งๆๆๆๆๆ...เสียงออดโรงเรียนดังขึ้น ครูหนุ่มในเสื้อเชิ้ตสีขาวทับในกางเกงสีดำเดินมือไพล่หลังเข้ามาหยุดยืนอยู่หน้ากระดานดำ ในมือมีไม้เรียวติดมาด้วย

     “อรุณสวัสดิ์ทุกคน” โกโร่กล่าวทักนักเรียนที่นั่งอยู่ตรงหน้า วันนี้ไม่ที่ว่างเหลือ และไม่มีเด็กวิ่งเข้ามาในห้องที่หลังเขา เหมือนอย่างทุกวัน เพื่อนๆในห้องต่างพากันหันมามองเด็กชายที่นั่งอยู่ริมหน้าต่างแถวหลังสุดของห้อง แล้วซุบซิบกันใหญ่

     “เอาหละ ทุกคนเอาการบ้านที่ครูสั่งเมื่อวานมาส่ง เดินเรียงแถวออกมาวางที่โต๊ะครูทีละคน” โกโร่สั่งพรางใช้ไม้เรียวชี้ที่โต๊ะ นักเรียนทุกคนทำตามนั้น ฮิคารุเข้ามาวางสมุดการบ้านเป็นคนสุดท้าย เรียกเสียงซุบซิบจากเพื่อนๆ ได้อีกครั้ง ปกติตัวแสบประจำสายชั้นจะต้องโดนไม้เรียวจับก้นทุกเช้าเพราะมาสายและการบ้านไม่เสร็จ แต่วันนี้ต่างออกไป เด็กชายที่ถูกจ้องเป็นตาเดียวเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะ ฮานะเจ้าของต้นฉบับการบ้านที่เขาลอกหันมาชูนิ้วโป้งและยิ้มให้ ผ่านเพื่อนอีกสามสี่คนที่นั่งกั้นอยู่ ฮิคารุรู้สึกเก้อเขิน เขายังไม่ค่อยชินกับการเป็นเด็กดี แต่เด็กชายตั้งใจจะกลับตัวเพื่อไม่ทำให้แม่และพี่ๆหนักใจ เหมือนที่พ่อได้สั่งเอาไว้ในจดหมายฉบับสุดท้าย

     “ทีนี้ก็หยิบหนังสือขึ้นมา เปิดไปหน้าที่ยี่สิบเอ็ด” โกโร่บอก ก่อนเหลือบมองลูกศิษย์ที่เขาหมายหัวแล้วคิดไปว่าฮิคารุคงโดนพี่สาวสองคนจัดการมาแน่ๆ โดยเฉพาะพี่สาวคนโตได้ข่าวว่าดุมาก ฮิคารุเคยบ่นถึงซาซาโกะให้เขาฟัง...พี่สาวแก้มแดง ถึงจะดุแต่ก็น่ารักดี...เขาแอบตั้งฉายาให้ โดยที่ซาซาโกะไม่รู้ตัว โกโร่เดาว่าเธอต้องชอบกินมะเขือเทศมากแน่ๆ แก้มถึงได้ดูมีเลือดฝาดสวยแบบนั้น ครูหนุ่มยิ้มเมื่อภาพของคนที่เขาให้ฉายาว่าพี่สาวแก้มแดงผุดขึ้นมาในหัว โกโร่ไม่รู้เลยว่าจริงๆแล้ว ซาซาโกะแก้มแดงแบบนั้นเฉพาะเวลาที่เจอเขา

     หลังจากเดินลัดเลาะถนนหนทางที่ไม่คุ้นเคยมาสักพักหนึ่ง หญิงสาวในชุดยูกาตะสีชมพูอ่อนที่กอดหนังสือเล่มหนาไว้แนบอก ก็มาหยุดลงตรงโบสถ์สีแดงอิฐหลังใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ลักษณะแทบทุกอย่างเหมือนกับหลังใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นแทนที่ เพียงแต่เล็กกว่า สีของอิฐดูจัดกว่า และหน้าต่างด้านหน้าเป็นทรงกลม ซึ่งของใหม่เป็นสี่เหลี่ยมมนโค้ง บริเวณนั้นเงียบสงบไม่มีผู้คน มีเพียงรูปปั้นนักบวชที่ยืนอยู่หน้าประตูทางเข้า แต่แปลกที่อริสารู้สึกเหมือนถูกจับจ้อง เธอค่อยๆก้าวเข้าไปใกล้ประตูโค้งใหญ่สีขาว ก่อนจะเอื้อมมือไปผลักเปิดออก พรมสีแดงทอดยาวจากหน้าประตูถึงแท่นพิธีเบื้องหน้า เก้าอี้ไม้สีอ่อนเรียงรายอยู่สองข้างทาง ผนังสีขาวถูกประดับด้วยภาพบรรยายเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ อริสามองไปรอบๆ ขณะเดินตรงไปยังแท่นพิธี เธอหยุดยืนอยู่ตรงกลางจ้องมองรูปเคารพไม้สลักของพระแม่มารีที่โอบอุ้มพระบุตรอยู่ในอ้อมกอด

     “ตอนยังไม่โดนเผาไหม้ด้วย ฤทธิ์ระเบิดก็ไม่น่ากลัวนี่นา” อริสาคิดเปรียบเทียบรูปเคารพไม้สลักที่เห็นนี้ก่อนจะกลายเป็นรูปสลักมาดอนน่าที่ชวนขนลุกในอนาคต

     “สวัสดีคะ...ไม่มีใครอยู่เลยหรอเนี่ย” เธอตะโกนทักแต่ก็ไม่มีเสียงใดๆตอบกลับ มีเพียงเสียงสะท้อนของตัวเองเท่านั้น ร่างเล็กจึงเดินไปยังประตูไม้สีน้ำตาลเข้มบานหนึ่งที่อยู่ทางซ้ายมือ

     “ห้องสารภาพบาป” อริสาอ่านป้ายที่อยู่เหนือประตูบานนั้นก่อนเปิดเข้าไป ภายในเป็นห้องแคบๆ ฉากไม้สูงจรดเพดานกั้นห้องให้เป็นสองฝั่ง ตรงกลางของฉากไม้นั้นมีช่องหน้าต่างกระจกทึบเล็กๆ ที่ปิดไว้อย่างมิดชิด ถัดลงมาจากหน้าต่างบนพื้นติดกับฉากไม้มีเบาะหนาสีแดงวางอยู่

     “สวัสดีสาวน้อย เธอมีเรื่องสับสนอะไรที่อยากจะปรึกษาเชิญเล่ามาได้เลย” เสียงคนแก่ดังมาจากด้านหลังของฉากไม้นั้น

     “เอ่อ...คุณทราบได้ยังไงว่าฉันกำลังมีเรื่องสับสน” อริสาถามอย่างประหลาดใจ

     “หึหึหึ...คนที่เข้ามาในห้องสารภาพบาปล้วนต้องมีเรื่องสับสน กังวล ทุกข์ใจ หรือ มีความรู้สึกผิดบาป ด้วยกันทั้งนั้นแหละ” คนที่อยู่หลังฉากตอบกลับ หญิงสาวทำหน้าครุ่นคิด ด้วยความที่เธอเป็นชาวพุทธจึงไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้ และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เข้ามาในห้องสารภาพบาป

     “อ๋อ...เอ่อคุณคือบาทหลวงหรือเปล่าค่ะ”

     “อืม...นั่งลงก่อนสิ” คำเชิญเรียกอริสาให้เดินมานั่งคุกเข่าลงบนเบาะสีแดง หน้าต่างอยู่ในระดับสายตาพอดี เธอพยายามมองผ่านกระจกทึบเข้าไปแต่ไม่สามารถมองเห็นคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามได้ชัด เห็นเพียงเงาที่เป็นโครงร่างของคนนั่งอยู่บนเก้าอี้โยกเท่านั้น

     “มีเรื่องสับสนอะไรก็จงเล่ามาเถิด”

     “เอ่อ...ถ้าเล่าไปอย่าหัวเราะนะค่ะ คือเมื่อสองวันก่อนฉันกำลังขับรถอยู่บนถนนแล้วจู่ๆก็เกิดอุบัติเหตุ พอฉันตื่นขึ้นมาอีกที ก็พบว่าตัวเองหลุดมาในอดีตเมื่อ 69 ปีก่อนหน้าปัจจุบันที่ฉันอยู่ คนรอบข้างเรียกฉันว่าฮิเดโกะ ฉันไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น”

     “หึหึหึหึ” ยังไม่ทันจบประโยคที่อริสาเล่าเสียงหัวเราะในลำคอของคนแก่ก็ดังขึ้นมาแทรก

     “นั่นไง คุณพ่อคงไม่เชื่อสินะ ดีที่ฉันไม่เล่าแบบนี้ให้พี่ซาซาโกะฟัง ไม่อย่างนั้นต้องโดนหาว่าสติฟั่นเฟื่อนแน่ๆ” เธอพรึมพรำก่อนถอนหายใจเบาๆ

     “เธอเชื่อเรื่องปาฏิหาริย์หรือเปล่าหละ ถ้าปาฏิหาริย์บังเกิดไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้หรอก”

     “โดยส่วนตัวไม่เคยเชื่อเรื่องพวกนี้เลยคะ แต่ถ้าคุณพ่อกำลังจะบอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับฉันนี้คือปาฏิหาริย์ ก็คงต้องเชื่อ เพราะไม่สามารถหาคำอธิบายอื่นได้มากไปกว่านี้ แต่มันจะเป็นปาฏิหาริย์อะไรก็ช่าง ฉันไม่สนใจ ฉันแค่อยากกลับไปยังที่ที่ฉันมา”

     “เมื่อถึงเวลานั้นเธออาจไม่อยากกลับไปแล้วก็ได้นะ” ชายแก่กล่าวเสียงเรียบ

     “ไม่มีทาง ฉันต้องอยากกลับไปสิค่ะ ฉันกำลังจะแต่งงานกับคนที่ฉันรัก และครอบครัวของฉันก็อยู่ที่นั้น” ร่างเล็กน้ำเสียงสั่นเครือ เธอก้มหน้าปาดน้ำตาที่ซึมออกมา ทำให้คนฟังเงียบไป อริสาจึงเงยหน้าขึ้นมามองก็พบว่าเงาข้างหลังกระจกทึบเหลือเพียงเงาของเก้าอี้โยกที่กำลังโอนเอนเบาๆ เท่านั้น

     “บาทหลวงหายไปไหนแล้ว” เธอถามลอยๆ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วกลับออกไปด้านนอก อริสาพบชายวัยกลางคนหน้าตาเกลี้ยงเกลาในชุดเสื้อคลุมแขนยาวสีขาว ชายเสื้อยาวถึงข้อเท้าตามแบบนักบวชในคริสต์ศาสนากำลังเดินเข้ามาจากประตูโค้งบานใหญ่

     “สวัสดีคะ นี่คุณพ่ออาซากิใช่ไหมค่ะ” อริสาเอ่ยทัก

     “ใช่จ๊ะ นี่คงเป็นฮิเดโกะใช่ไหม พอดีพ่อพึ่งกลับจากร้านหนังสือที่ตลาด ว่าจะแวะเข้าไปเอาพระคัมภีร์ แต่เห็นคริสโตเฟอร์บอกว่าฝากลูกมาคืนแล้ว ไม่คิดว่าจะสวนทางกัน” บาทหลวงหน้าตาใจดีเล่า อริสาจึงยื่นหนังสือเล่มหนาส่งให้

     “ขอบใจนะ”

     “ไม่เป็นไรคะ แล้วที่นี่มีบาทหลวงประจำอยู่กี่คนหรอค่ะ” เธอถามพรางมองไปรอบๆ หาบาทหลวงอีกคนที่เธอเสวนาด้วยเมื่อครู่นี้

     “อ๋อก่อนหน้านี้มีบาทหลวงที่มาจากยุโรปหลายคน แต่พอสงครามเริ่มยืดเยื้อ ก็พากันเดินทางกลับประเทศไปหมดแล้ว ตอนนี้เหลือพ่อกับแม่ชีสามคนเท่านั้น โบสถ์เลยดูเงียบเหงาไปหน่อย” คำบอกเล่าของผู้ถือศีลทำให้หญิงสาวร่างเล็กถึงกับอึ้งจนเผลอกลั้นหายใจไปชั่วขณะ....หื๊อ!!! มีบาทหลวงคนเดียวแล้วเมื่อกี้เราคุยกับใครกัน!?!?!?...

     หลังจากพูดคุยกับคุณพ่ออาซากิอยู่สักพักหนึ่ง อริสาก็กลับจากโบสถ์อุราคามิมาทำงานที่ร้านหนังสือต่อ ด้วยความสับสนกว่าเดิม...หรือว่า...นี่คือปาฏิหาริย์จริงๆ....

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา