Tale of Aerenia
เขียนโดย ปลายปากกาสีน้ำเงิน
วันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 เวลา 09.50 น.
แก้ไขเมื่อ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 13.22 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) ....Introduction....
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เสียงนกน้อยร้องร่ำเจื้อยแจ้วน่าฟังในหมู่บ้านอันแสนสงบสุข กราเดียร์ไม่เลื่องลือแต่เป็นที่โจดจันในความเลื่องชื่อทางด้านดนตรีและความอุดมสมบูรณ์ของสภาพแวดล้อมอันเขียวขจีและอากาศอันเย็นสบายตลอดทั้งปี หมู่บ้านเล็กๆแห่งนี้เป็นสถานที่หนึ่ง…ที่หญิงชราผู้ลึกลับผ่านมาเยี่ยมเยียน
ฝูงกระต่ายวิ่งตามร่างสูงวัยที่คลุมกายด้วยผ้าคลุมสีน้ำตาลหม่น เสียงเพลงอันไพเราะดังก้องไปทั่วตามทางเดินอันเงียบสงบ สายลมอ่อนพัดเบาๆให้ชุดของนางปลิวไสว
นางเดินมายังใต้ต้นมัลเบอร์รี่อายุนับร้อยปี และนั่งลงบนเก้าอี้ตัวยาวที่มีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งกำลังนั่งก้มหน้าด้วยความโศกเศร้า มือเรียวที่เหี่ยวตาอายุปลดฮูทคลุมศีรษะออกเผยให้เห็นใบหน้าสูงวัยแต่ยังคงความสวยอย่างน่าประหลาด ก่อนที่นางจะเงยหน้ามองผลมัลเบอร์รี่สีสดฉ่ำ ที่ใครได้เป็นต้องอยากลิ้มลองสักครั้งทุกร่ำไป
“มีเรื่องเศร้าอะไรล่ะแอลเจ” เสียงนุ่มถามขึ้นอย่างสนิทสนม นางรู้ว่าเด็กหนุ่มผู้นี้เป็นใคร แต่เด็กหนุ่มรู้เพียงว่านางเป็นหญิงชราคนหนึ่งเท่านั้น
“ทำไมท่านถึงรู้จักชื่อข้า” เด็กหนุ่มหันไปมองหญิงชราด้วยความแปลกใจ
“เจ้ารู้คำตอบดี” นางหันมามองเขาพร้อมกับรอยยิ้มอันอบอุ่นแต่แฝงไปด้วยนัย
แอลเจมองคนข้างกายพลางหรี่ตาลงเล็กน้อย คิ้วหนาดกขมวดเข้าหากันโดยอัตโนมัติ ก่อนที่ใบหน้าที่เต็มไปด้วยกระจะหันกลับไปมองเบื้องหน้าอีกหน เหมือนดั่งไม่สนว่าหญิงชราที่ล่วงรู้ชื่อของเขานั้นเป็นใคร
“ข้ารู้ว่าท่านเป็นใคร” เสียงห้าวบอก “แล้วท่านมาทำอะไรที่นี่ล่ะแม่เฒ่านักเล่านิทาน”
หญิงชราอมยิ้มก่อนที่นางจะเอนตัวไปหาเด็กหนุ่มเล็กน้อย “มาหาเจ้าไง”
“มาหาข้างั้นเหรอ” เขาหันไปทวนคำกับนางด้วยความสงสัย ใบหน้าสูงวัยจึงพยักหน้ารับคำทวนนั้น “ทำไมล่ะ? มีเหตุผลอะไรท่านถึงมาหาข้า”
“เจ้ายังไม่ได้ตอบข้าว่าเจ้ามีเรื่องอะไรถึงทำหน้าเศร้าเป็นตัวบีเว่อร์เหงาอย่างนี้” นางกลับเปลี่ยนเรื่องไม่ยอมตอบคำถามเขา ทำให้คนที่กำลังเศร้าต้องกลับมานั่งก้มหน้าทำตัวหดหู่เช่นเดิม
“ข้าพึ่งถูกพวกฟรานซิสกลั่นแกล้งมา”
“อู้ว…นั่นฟังดูไม่ดีเลยนะ”
“พวกนั้นล้อข้า บอกว่าข้ามีกระเต็มหน้า…น่าขยักแขยง” เขาทำน้ำเสียงเหมือนกับว่าเป็นคนขยักแขยงเสียเอง “ข้ามันอ่อนแอไร้ความสามารถ หมู่บ้านกราเดียร์เลื่องชื่อเรื่องดนตรีนัก แต่ข้ากลับเล่นไม่เป็นเลยสักชิ้น ข้ามันช่างน่าสมเพชเสียจริง”
คำพูดท้ายประโยคทำให้หญิงชราอดที่จะอมยิ้มเสียไม่ได้ “เจ้าไม่ได้น่าสมเพชหรอกแอลเจ มันมีเหตุผลที่ทำให้เจ้าเล่นดนตรีเหล่านั้นไม่เป็น แถมยังมีกระอยู่เต็มใบหน้าอย่างนี้” นางเอียงตัวไปหาเข้าเล็กน้อยก่อนจะพูดเสริมต่อว่า “ข้าว่ามันเท่ดีออก”
“เท่งั้นเหรอ” เด็กหนุ่มหันมามองหน้านางอย่างไม่อยากจะเชื่อ ก่อนจะพูดบางอย่างให้นางต้องหัวเราะออกมาเบาๆอย่างชอบใจ
“ข้าว่าท่านมีปัญหาทางระบบประสาทแล้วล่ะ ข้าเนี่ยนะเท่…หญิงในกราเดียร์ไม่เคยเหลียวแลข้าเลยสักนิด”
เมื่อสิ้นสุดประโยคชวนน้อยใจความเงียบปกคลุมไปรอบต้นมัลเบอร์รี่ผลดกอีกครั้ง สายลมเริ่มโบกพัดแรงขึ้นดั่งกำลังเกิดลูกพายุเล็กๆ กระรอกตัวน้อยออกมาจากโพรงและเริ่มเด็ดผลมัลเบอร์รี่กินเป็นอาหารมือแรก
“ข้าเล่านิทานให้เจ้าฟังเอาไหม” เสียงนุ่มพูดขึ้นเพื่อทำลายความเงียบ
“นิทานงั้นเหรอ…ข้าไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ ข้าโตเป็นหนุ่มแกร่งกล้าสามารถมีภรรยาได้แล้วหากท่านไม่รู้” เสียงห้าวตอกกลับอย่างเบื่อหน่ายในอารมณ์
“มันไม่ใช่นิทานหลอกเด็กหรอกหน่า มันเป็นนิทาน…เป็นตำนานที่เล่าขานกันมาช้านาน” นางกล่าวพลางเคาะหัวไม้เท้าเล่น
“ข้าไม่แปลกใจเลยว่าทำไมผู้คนถึงเรียกท่านว่าแม่เฒ่านักเล่านิทาน” แอลเจบอกพลางเอนหลังพิงพนักเก้าอี้และหันไปมองทางอื่นอย่างเบื่อหน่าย
“ข้าจะถือว่านั่นเป็นคำชม” หญิงชราเอนตัวใกล้เขาอีกครั้งและพูดออกมา ให้คนที่หันหน้าหนีต้องหันกลับมามองนางพร้อมกับขมวดคิ้ว นางจึงถอยห่างและกลับมานั่งในท่าสบายๆบ้าง
“เจ้าอยากจะลองฟังไหมล่ะ”
เด็กหนุ่มชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบออกมา “ก็ตามแต่ท่านเถอะ แต่บอกไว้ก่อนข้าไม่มีอารมณ์ฟังมากนักหรอกนะ”
ใบหน้าสูงวัยแต่คงความสวยอมยิ้มพลางมองไปข้างหน้า ก่อนจะหลับตาลงพร้อมกับที่สายลมพัดกระหน่ำแรงกว่าเก่า สัตว์ตัวน้อยต่างทยอยมาอยู่โดยรอบต้นมัลเบอร์รี่อย่างลับๆ และเมื่อนางลืมตา…ทุกสิ่งทุกอย่างก็นิ่งสงัด ลมที่เคยโบกพัดอย่างแรงกลายเป็นอ่อนกำลังลงอย่างน่าประหลาด
“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ดินแดนอันไกลโพ้น อาณาจักรที่ซึ่งไม่มีผู้ใดหยั่งรู้ได้ มันตั้งอยู่ทางตอนเหนือในแผนที่โลก ไม่มีทางออกทางทะเล ตอนเหนือรายล้อมด้วยภูเขาตอนกลางถึงตอนล่างเต็มไปด้วยป่าดิบทึบ มีแม่น้ำหนึ่งสายพาดผ่านไปทั่วทั้งอาณาจักร มันถูกขนามนามว่า…เอรีเนียร์”
‘อาณาจักรเอรีเนียร์ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนมาเนิ่นนาน เมื่อหมดสงครามแก่งแย่งอาณาจักรระหว่างเหล่าเอลฟ์ผู้สูงส่งและมนุษย์ผู้บ้าอำนาจ โดยมีแม่น้ำเป็นเขตกางกั้นมิให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมารุกราน อันนำพาซึ่งความสงบสุขตามชื่อของอาณาจักร ส่วนที่หนึ่งถูกปกครองด้วยผู้วิเศษแห่งขุนเขาจันทรา ส่วนที่สองถูกแบ่งออกเป็นแว่นแคว้นอีกต่อหนึ่ง แคว้นใหญ่สุดตั้งอยู่บนพื้นที่ราบลุ่มทางตอนกลางของอาณาจักรในเขตของมนุษย์ ถูกปกครองด้วย ‘สมเด็จพระราชาธิบดีจูปิเตอร์ ซีอา’ ผู้ซึ่งเกิดมาพร้อมมนตราแห่งวาจาอันศักดิ์สิทธิ์ เพราะหากพระองค์ได้ดำรัสสิ่งใดออกไปแล้ว สิ่งนั้นก็จักเป็นจริงแท้ดั่งต้องมนตร์อย่างน่าอัศจรรย์ และทรงยังเป็นนักพยากรณ์อันแสนแม่นยำ ที่ไม่ว่าจะทรงทำนายทายทักเรื่องไหนๆ มันก็จักเกิดขึ้นจริงทุกร่ำไปในกาลต่อมา
ราชาจูปิเตอร์มีพระราชธิดาเพียงหนึ่งเดียวนั่นคือ ‘เจ้าหญิงนาร์เดีย ซีอา’ ผู้ซึ่งเกิดมาพร้อมกับความงามที่หาหญิงใดในแคว้นเปรียบได้ไม่ สมบูรณ์แบบด้วยหัวใจอันอ่อนโยนดุจดั่งแม่พระของแผ่นดิน และในวันประสูตินั้น ราชาจูปิเตอร์ได้ลั่นวาจาอันเป็นมนตราศักดิ์สิทธิ์ไว้ว่า…
“พระราชธิดาของข้านี้ จะเป็นความหวังแก่บ้านเมืองและประชาชนอันเป็นที่รัก ตามพระนาม ‘นาเดียร์’ ที่ข้าตั้งใจมอบให้แก่นาง และนางจะเป็นกษัตริย์ผู้ครองราชย์โดยชอบธรรมสืบต่อจากข้า เป็นสมเด็จพระราชินีนาร์เดีย ซีอา ผู้ซึ่งหลอมรวมอาณาจักรเอรีเนียร์ให้กลายเป็นหนึ่งเดียว…”
เอรีเนียร์
ตอน ราชินีต้องคำสาป
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
++
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ