บทกลอนแห่งการสูญเสีย (ฉบับทดลอง)

-

เขียนโดย snowred

วันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 เวลา 18.57 น.

  1 บท การร่ำไห้แห่งโทษทัณฑ์
  4 วิจารณ์
  3,445 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 20.19 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) บทที่ ๑: ชมรมที่กำลังถูกยุบ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

          

               “ฉันมาตามคำขอ”

                เสียงดังมาจากนอกประตูห้องแห่งหนึ่งพร้อมกันนั้นประตูก็เปิด

                “ดีจังที่เธอมา เธอเห็นแล้วใช่ไหมว่า---”

                “ไม่--- ฉันไม่เห็นความสำคัญของมัน” คำพูดของเด็กสาวผมหางม้าผู้ที่เข้ามาในห้องนั้นเสียดสีหัวใจของเด็กสาวผมสั้น ปลายผมสั้นไหวไปตามสายลมที่พัดเข้ามาทางหน้าต่าง เด็กสาวผมยาวหางม้ามองกองหนังสืออย่างดูแคลน

                ---เธอเกลียดพวกมัน---

               

                เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว---

                เด็กสาวผมสั้นนามมาลัยนั่งเอกเขนกอย่างสบายๆ ที่สวนหลังบ้านของเด็กสาวผมหางม้านามนาศิกา เธอมองนาศิกาพลางเอ่ย

                “นี่ นาศิกา เทอมสองฉันอยากให้เธอมาอยู่ชมรมเดียวกับฉันน่ะ”

                “ทำไมเหรอ?” นาศิกาถาม “ฉันเป็นเพียงคนเดียวที่สังกัดชมรม มันเหงา… ฉันจึงชวนเธอไง” มาลัยตอบด้วยน้ำเสียงที่เจือไปความเหงา

                “ว่าแต่ชมรมอะไรล่ะ” นาศิกาที่แอบเห็นใจมาลัยกลบเกลื่อนด้วยการถาม

                “วรรณกรรมไทยน่ะ” มาลัยตอบพร้อมกับยิ้มอย่างภาคภูมิใจผิดกับเด็กสาวผมหางม้าที่นั่งนิ่งเสมือนก้อนหินก็ไม่ปาน

                “วรรณกรรม…” นาศิกาทวน มาลัยพยักหน้าแล้วยิ้ม “ใช่! วรรณกรรม ---เธอชอบเหรอ”

                “ไม่--- ฉันเกลียดพวกมันด้วยซ้ำไป” เด็กสาวผมสั้นเบิกตากว้าง เธอไม่เข้าใจในสิ่งที่เพื่อนตนเองตอบอย่างเยือกเย็น นาศิกาหยิบแก้วที่ใส่น้ำโกโก้ส่งกลิ่นหอมหวานที่แสนอันตรายยกดื่มด้วยความรู้สึกที่ขมขื่นเมื่อนึกถึงคำว่าวรรณกรรม

                “ช่างมันเถอะ”

                นาศิกาพูดปัดๆ เหมือนเธอไม่เคยเอ่ยอะไรที่ตึงเคลียด เธอเหลือบมองมาลัยที่เงียบ ใบหน้าแฝงไปด้วยความผผิดหวังต่อบางสิ่ง ดวงตาดำฉายแววครุ่นคิดขัดแย้งกัน มาลัยเปิดหนังสือรวมเนื้อเรื่องย่อวรรณคดีแล้วกางหน้าให้นาศิกาดู

                “น่าสนใจใช่ไหมล่ะ ดูสิๆ ร้อยเรียงได้งดงามเหมือนมีมนต์ขลังเนอะ” เธอวางหนังสือลงกับโต๊ะไม้ก่อนจะชี้ไล่อักษร นาศิกามองไปทางอื่นแล้วพูด

                “หนังสือน่าเบื่อจะตายสู้ไปเล่นกีฬายังน่าจะดีซะกว่า เพราะฉะนั้นฉันจะไม่เข้าชมรมวรรณกรรมนะ”

                “น่า ลองดูเถอะนะ รับรองได้เลยว่าเธอจะต้องเปลี่ยนใจ” มาลัยเอ่ยก่อนจะยิ้มกว้าง “เอาไว้คิดดูอีกทีก็แล้วกัน

                เด็กสาวผมหางม้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงกดดัน

                “จ้ะ แล้วฉันจะรอนะ สัปดาห์หน้าก็เปิดเทอมแล้วคงงมีเรื่องสนุกให้ตื่นแต้นแน่ๆ เลย”

                “อืม…” นาศิกาครางในลำคอพร้อมกับสีหน้าที่เปลี่ยนเป็นตึงเคลียดจนมาลัยต้องเขยิบเข้าไปถามด้วยความเป็นห่วงจากใจจริง “เป็นอะไรไปเหรอ”

                “ฉันไม่เป็นไร”

                ได้ฟังดังนั้นมาลัยก็สวมกอดนาศิกาที่หลังจากนั้นแตกตื่นจนเกือบลืมหายใจ สัมผัสความอบอุ่นแผ่ไปทั่วกายราวกับเติมเต็มบางสิ่งบางอย่างที่ขาดหายไปให้เธอเหมือนมีชีวิตอีกครั้ง

                หลังจากที่ตัวตนของเธอได้สูยเสียไปแล้วเมื่อวันนั้น…

                มาลัยคลายอ้อมกอดแล้วเงยหน้า “อย่าเก็บไว้คนเดียวสิ ---เธอน่ะยังมีฉันอยูนะนาศิกา” เด็กหญิงผมสั้นเอื้อมมือไปลูบไล้แก้มเบาๆ ของเพื่อนเธอ มาลัยพึมพำอย่างอ่อนโยน “ถ้าเกิดเธอเข้าเป็นสมาชิกชมรมฉันสัญญาว่าจะต้อนรับเธออย่างดี จะไม่ทำให้เธอเหงา… เพราะงั้นมาอยู่ข้างกายฉันเถอะนะ …แล้วฉันจะอยู่เคียงข้างเธอ”

                คำพูดนั้นกระตุ้นความปรารถนาบางอย่างที่เด็กสาวผมหางม้าอ้อนวอนมาตลอด…

 

                กลางวัน

                นาศิกาเดินอย่างล่องลอยไม่รู้จะทำอะไรต่อดี …ก่อนเปิดเทอมนั้นคำพูดของเพื่อสมัยเด็กนามมาลัยยังวนอยู่ในหัวของนาศิกา

                ‘…แล้วฉันจะอยู่เคียงข้างเธอ’

                นาศิกาหลุบตาด้วยความรู้สึกที่เหมือนมีมีดกรีดหัวใจเบาๆ เด็กสาวกลั้นความรูสึกที่อยากจะตะโกนออกมาดังๆพร้อมกันนั้นก็ได้ยินเสียงสนทนาในห้องพักครู

                แต่เรื่องที่คาดว่านักเรียนกับคุณครูคุยกันนั้นแทบจะทำให้เธอลืมหายใจ

                “ถ้าสมาชิกมีไม่ถึง ๓ คน ชมรมของหนูก็จะต้องถูกยุบ” น้ำเสียงคุณครูเอ่ยอย่างเย็นชากับนักเรียนคนหนึ่ง

                “อะ อาจารย์คะ หนูขอร้องค่ะ ให้โอกาสหนูสองสามเดือนได้ไหมคะ ชมรมนี้หนูรักจริงๆ ค่ะ นะคะ” นักเรียนคนนั้นวิงวอนต่อคุณครู แต่ท่านก็เอ่ยแบบไม่นึกถึงจิตใจ

                “นานไป ครูว่าคงไม่มีใครเข้าแน่ หนูเองก็น่าจะเข้าใจนะว่าอะไรที่เกี่ยวกับกลอน ประพันธ์น่ะวัยรุ่นเขาไปไม่ค่อยสนใจกันน่ะ หนูต้องเห็นแก่ส่วนรวมนะ สู้ใช้ห้องนั้นตั้งเป็นชมรมอะไรก็ได้ที่คิดว่าเขาจะสนใจกันดีกว่า”

                “…หนู…”

                “มันจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว เอาอย่างนี้ ภายใน ๒ สัปดาห์ ถ้าไม่มีใครเข้าครูจะยุบ”

                “…”

                “หวังว่าจะเข้าใจ”

                “ค่ะ ขอบคุณค่ะ”

                นาศิกาเพิ่มรู้สึกตัวว่าตนนั้นได้เผลอยืนแนบกับผนังแล้วแอบฟัง เมื่อประตูเปิดออกมานาศิกาก็แทบจะล้มลงเสียให้ได้ตรงนั้น คนที่เปิดประตูคือเด็กสาวผมสั้น เมื่อมองหน้าชัดๆ          “มา… มาลัย”

                “นาศิกา… เธอมาทำอะไรที่นี่น่ะ” เธอมองเด็กสาวผมหางม้าอย่างจับผิดแต่มาเห็นชัดตรงนี้หาข้อแก้ตัวก็ไม่ทันเสียแล้ว

                “ฉันเดินผ่านมา… ได้ยิน ฉะ ฉันขอโทษนะที่แอบฟังน่ะ” ผู้ถูกถามตอบย่างร้อนรน มาลัยไม่ได้เอ่ยต่อว่าแต่ยิ้มบางๆ อย่างเหนื่อยล้าแล้วพูดด้วยเสียงที่เศร้าสร้อย “ไม่เป็นไร…”

                “ที่ฉันจะพูดต่อไปนี้ขอเสียมารยาทนะ แต่ฉันอยากรู้ ---เรื่องเมื่อกี้ที่เธอคุยกับครูช่วยอธิบายให้ฟังได้มั้ย?”

                “อื้ม ได้สิ”

 

                หลังเลิกเรียน นาศิกากับมาลัยมาที่เราสองคนนัดกัน มาลัยเดินมากับหนังสือสองเล่มที่ยืมมาจากห้องสมุด เธอยิ้มให้นาศิกามาแต่ไกล ทั้งสองคนนั่งตรงโต๊ะหินอ่อน มาลัยเริ่มบทสนทนา

                "ชมรมของฉันชื่อชมรมวรรณคดี วิชาหลักของชมรมคือวิชาภาษาไทย แต่ด้วยเพราะว่ามันเป็นวิชาที่เราส่วนใหญ่ชอบละเลยจึงไม่ค่อยมีใครอยากเข้า ตำแหน่งของฉันคือประธานชมรม-ไม่มีรอง และเป็นเพียงคนเดียวที่เป็นสมาชิกในชมรม เพราะเหตุนี้ดังที่กล่าวมาชมรมของฉันอาจจะถูกยุบหากสมาชิกมีไม่ถึงสามคน” น้ำเสียงที่ฟังแลดูเหนื่อยอ่อนนั้นเอ่ยแผ่วเบาแต่ก็ยังคงฝืนพูดออกมา ผมจ้องมองเธอแล้วถาม

                “ฉันว่ามันดูสั้นๆ ยังไงไม่รู้ มีเรื่องอื่นอีกไหม?”

                “อืม… มันก็มีนะ แต่… เธออยากฟังเหรอ”

                “อยากฟังสิ เผื่อฉันจะได้ช่วยแก้ไขได้ไง” นาศิกาที่แม้จะไม่เต็มใจแต่พอพูดออกไปเธอกลับรู้สึกว่าสบายใจขึ้น ตัวเธอก็ไม่รู้ว่าทำไม มาลัยหลับตาแล้วลืมตาขึ้นก่อนจะเล่า “นาศิกาเป็นเพิ่งย้ายมำม่ถึงปีคงยังไม่มีใครเล่าให้ฟังล่ะสิ เพราะ ผอ. สั่งห้ามนักเรียนในโรงเรียน เรื่องมันมีอยู่ว่า---

                ช่วงหลังเลิกเรียน ท้องฟ้าที่มืดครึ้มแต่เจือไปด้วยแสงอบอุ่นของดวงอาทิตย์กำลังลับฟ้า นักเรียน ม. ต้น เดินเข้าไปในห้องเก็บหนังสือเก่าๆ ซึ่งปัจจุบันก็คือห้องชมรมวรรณคดี

                ในขณะที่เด็กคนนั้นกำลังเก็บหนังสือที่ยืมมานั้นเองพลันก็ได้ยินเสียงเหมือนมีใครขับเสภา เท่าที่ฉันเคยได้ยินมาน่าจะเป็นเสภาขุนช้าง-ขุนแผน นะ

                จากนั้น เธอก็ได้ยินเสียงอีกเสียงหนึ่ง เสียงหน้ากระดาษพลิกไปมา แต่เมื่อเธอหันกลับไปมอง ก็ไม่พบใคร จริงสิ เธอรู้หรือยังน่ะ ว่าอาจารย์ที่สอนวิชาภาษาไทยน่ะ ท่านชอบเปิดวีดีโอการขับเสภาและท่องบทร้อยกรองอะไรงี้นี้น่ะ เพราะเหตุนี้เด็กคนนั้นจึงคิดว่าอาจจะเป็นอาจารย์เปิดเสียงวีดีโอก็ได้

                “…” นาศิกาตั้งใจฟังโดยที่ไม่แม้แต่จะเอ่ยแทรก

                “แต่ว่า ดูเหมือนเธอจะคิดผิด เมื่อได้ยินเสียงร้องไห้ดังแผ่วเบาจากรอบด้านดังขึ้นพร้อมกัน …เป็นเสียงหัวเราะที่แหลมหูและโหยหวน นักเรียนคนนั้นเผลอไปเห็นเงาที่ไม่ใช่ของเธออยู่ข้างหน้า

                “…”

                “โดยที่มันไม่เชื่อมต่อกับเท้าเธอ… นักเรียน ม. ต้นรีบวิ่งจะออกจากห้องแต่พอเธอก้าวเท้าออกผ่านประตูไปหนึ่งก้าวขาก็ขยับไม่ได้ นักเรียนคนนั้นหวีดเสียงร้องลั่นจนในที่สุดคุณครูที่อยู่สอนเรียนพิเศษนั้นก็รีบมาดู คุณครูท่านนั้นสวดมนต์จนกระทั่งนักเรียนหญิงคนนั้นก็ขยับขาได้อีกครั้ง ---เรื่องมันก็มีอยู่แค่นี้แหละ”

                “มาลัย… นี่เธอแต่งเรื่องขึ้นเองใช่ไหม?” นาศิกาถามหลังจากที่มาลัยเล่าจบ เด็กสาวผมสั้นหัวเราะเบาๆ โบกมือไปมาแล้วตอบ “ฉันจะหลอกเธอทำไมล่ะ หรือว่าเธอกลัว?”

                “เรื่องที่พิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ฉันไม่เชื่อหรอก”

                “งั้นเหรอ… แต่สรุบคือเธอจะเข้าชมรมฉันใช่ไหม?”

                “ฉันยังตัดสินใจไม่ได้ นี่มาลัย ฉันขอถามอะไรหน่อยสิที่เธออยากให้ฉันเข้าชมรมเพราะสมาชิกไม่พอเหรอ” นาศิกาถามเมื่อนึกขึ้นได้เกี่ยวกับเรื่องชมรมที่มาลัยตอบเธอไว้หลังจากที่ขอมาถามเป็นการส่วนตัว

                “ใช่… แต่ที่ฉันเคยบอกว่าจะไม่ทำให้เธอเหงาอันนั้นฉันไม่ได้โกหกนะ” มาลัยเอ่ยอย่างวิตกเมื่อเห็นแววตาที่เหมือนจะจับผิดเธอว่ามาลัยโกหกนาศิกา เด็กสาวผมหางม้าส่ายหน้าก่อนจะเอ่ย

                “ฉันพอจะเข้าใจ …ชมรมวรรณกรรมไทยดูท่าจะสำคัญต่อเธอมากสินะ”

                “อื้ม มันสำคัญต่อฉันมากๆ เลยล่ะ…” ดูเหมือนว่าประโยคต่อไปมาลัยคงไม่อยากจะเล่าต่อเธอถึงได้ชะงักเว้นคำพูดไป นาศิกาพยักหน้าเข้าใจ “ขอบคุณสำหรับคำตอบ ฉันขอตัวลาก่อนล่ะ” เธอกล่าวลาก่อนจะลุกขึ้นแล้วก้าวออกไป

                “…โชคดีนะ”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา