Castlevania - The Rancor's Funeral
เขียนโดย xanxussama1010
วันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 เวลา 14.22 น.
แก้ไขเมื่อ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 14.27 น. โดย เจ้าของนิยาย
9) บทที่ 9 - ความจริงที่ไม่อาจยอมรับได้
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“เอ๋…ฉ…ฉัน…ฉันน่ะเหรอ…”
มิโกะสาวเอามือมาป้องปากตัวเอง นัยน์ตาของเธอสั่นไหวไม่หยุดจากอาการช็อก
“ใช่แล้ว…เพราะอย่างงั้น…” ฟรานซิสก้ามองใบหน้าที่กำลังช็อกด้วยแววตาเศร้าสร้อยที่เหมือนกับจะบอกว่าเธอจำเป็นต้องทำ “พวกเราจำเป็นต้องฆ่าเธอ…เพื่อทำลายวิญญาณครึ่งนึงนั้นซะ…”
“ทีนี้เข้าใจแล้วใช่มั้ย…เอาล่ะ ถอยไปซะ”
โพรมีเทียสก้าวเข้าไปผลักร่างของหนุ่มผมดำออกไปให้พ้นทาง แล้วยืนประจันหน้ากับซากุระที่ยังคงหลงเหลือแววแห่งความช็อกไม่หาย
“นี่ฉัน…จะต้องตาย…ใช่มั้ยคะ…?”
ซากุระถามซ้ำแม้ว่าจะรู้คำตอบอยู่แล้ว ชายผมทองพยักหน้าให้ด้วยในหน้าไร้อารมณ์
“เข้าใจแล้วค่ะ…”
มิโกะสาวยกมือทั้งสองขึ้นมาอยู่ตรงหน้าหน้าอก และกุมมือทั้งสองเข้าด้วยกันในลักษณะเดียวกับศพที่นอนอยู่ในโลง ดวงตาของเธอค่อยๆ ปิดลงและยืนนิ่งอยู่เช่นนั้นราวกับจะบอกว่าเธอพร้อมแล้ว
“ความตายของเธอจะไม่สูญเปล่าอย่างแน่นอน…”
ชายผมทองก้าวขาซ้ายไปข้างหลังหนึ่งก้าว แล้วยกหอกขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกับหน้าอกอีกฝ่าย ปลายแหลมของมันเล็งไปที่หน้าอกนั้นในท่าพร้อมแทงทะลุได้ทุกเมื่อ
“ไม่นะ…ไม่…”
เสียงพึมพำด้วยความหวาดกลัวเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากของมิโกะสาวที่สั่นระริก เธอรู้สึกเย็นยะเยือกไปทั่วร่างจากการที่ต่อมเหงื่อทำงานอย่างไม่หยุด ร่างกายสั่นสะท้านไปทั้งตัวอย่างไม่อาจควบคุมได้ ถึงแม้เธอจะเข้าใจเหตุผลแล้ว ถึงแม้เธอจะยอมรับว่านี่เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ แต่ที่จริงแล้ว…ใจจริงของเธอนั้น…
“ฉันยัง…ไม่อยาก…ตาย…”
เสียงจากใจจริงเล็ดลอดออกมาอีกครั้ง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ใบหน้าไร้อารมณ์ของคนตรงหน้าเปลี่ยนไปเลย ผู้ใช้หอกสูดหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งครั้ง แล้วตัดสินใจถีบตัวออกไป โดยหมายให้หอกแทงทะลุร่างตรงหน้า และมอบความตายให้เธออย่างไม่ทรมาน
ควับ หมับ!!
แต่ก่อนที่หอกสีทองจะได้ทำหน้าที่ลุล่วง แส้สีดำก็ตวัดแหวกอากาศออกมาอีกครั้ง ปลายของมันพุ่งเข้าไปที่ลำคอของหอก แล้วพันตรงบริเวณนั้นสองสามรอบอย่างรวดเร็วราวกับอสรพิษที่พุ่งเข้ารัดเหยื่อ ทำให้มันถูกยื้อเอาไว้ด้วยแรงจากแขนของผู้ใช้แส้ จนไม่อาจขยับต่อได้
“ว…ไวเวิร์น…” ซากุระลืมตามองร่างของเพื่อนชายด้วยแววตาที่สั่นคลอน
“นี่นาย…จะทำอะไรน่ะ…” โพรมีเทียสหันไปทางผู้ใช้แส้อย่างไม่สบอารมณ์พร้อมกับพยายามออกแรงต้าน
“ย…หยุดนะ…” ไวเวิร์นกัดฟันพร้อมกับออกแรงดึงอย่างไม่ลดละ “ไม่เห็นรึไง…ซากุระกำลังกลัวที่จะตายอยู่นะ…”
“ชั้นเห็นแล้ว แต่ไม่ว่ายังไง เรื่องที่เธอต้องตายก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง…” โพรมีเทียสตอบด้วยเสียงไร้ความลังเล
“ม…มันต้องมีวิธีอื่นอยู่สิ…” ไวเวิร์นยังคงพยายามคัดค้านอย่างไม่ยอมแพ้ “อย่างเช่นว่า…หาวิธีดึงวิญญาณแดร็กคูล่าออกจากร่างของซากุระ…”
“เรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้หรอก” ฟรานซิสก้าส่ายหน้าปฎิเสธความคิดนั้นทันที “เวลามันผ่านมาตั้งสามปีแล้ว คาดว่าวิญญาณของแดร็กคูล่าคงจะรวมเป็นหนึ่งเดียวกับวิญญาณของเธอคนนั้น จนไม่อาจแยกออกจากกันได้แล้วล่ะ”
“ถ…ถึงอย่างนั้น มันก็น่าจะมีวิธีที่…”
“นี่แก…”
ชายแว่นดำกัดฟันอย่างหมดความอดทนแล้วพุ่งเข้าไปหาร่างที่หัวดื้อไม่เลิก
“พอซักทีจะได้มั้ย!?”
ชายผมทองตะคอกอย่างโกรธเกรี้ยว พร้อมกับใช้มือข้างที่ไม่ได้ถือหอกกระชากคอเสื้อคนตรงหน้า
“ชั้นรู้ว่าเธอเป็นคนสำคัญของแก แล้วก็รู้ด้วยว่าแกไม่อยากให้เธอตาย แต่ถ้าเธอยังมีชีวิตอยู่ การที่จะสังหารแดร็กคูล่าก็เป็นไปไม่ได้เลย เพราะว่าวิญญาณครึ่งนึงยังอยู่ในร่างของเธอคนนั้น และถ้าเป็นแบบนั้นต่อไป ก็จะมีคนตายอย่างไม่มีที่สิ้นสุด…แกจะบอกว่าเพื่อให้เธอมีชีวิตอยู่ จะมีคนตายซักกี่คนก็ไม่สนรึไง!?”
ประโยคสุดท้ายของชายผู้เกรี้ยวกราดทำให้ไวเวิร์นถึงกับสะอึก ตัวเขาเองก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ต้องการสังหารแดร็กคูล่า เขาจึงเข้าใจความรู้สึกของชายแว่นดำตรงหน้าดี
แต่ถึงอย่างงั้น เรื่องนั้นกับเรื่องของซากุระมันคนละเรื่องกัน ซากุระเป็นเพื่อนคนสำคัญของเขา เป็นเพียงคนเดียวที่คอยอยู่เคียงข้างเขามาตลอด และตอนนี้ คนสำคัญคนนั้นก็กำลังร้องไห้อยู่ภายในหัวใจ ว่าไม่ต้องการที่จะตาย
จะให้เขาได้แต่มองเธอในสภาพเช่นนั้น แล้วปล่อยให้เธอตายไปต่อหน้าน่ะเหรอ…?
“ด้านเหตุผลน่ะชั้นเข้าใจดี…แต่ว่า…โทษทีนะ…เฉพาะเรื่องนี้เท่านั้นที่ถึงตายชั้นก็ยอมไม่ได้…”
ใช่แล้ว ไม่ว่ายังไงก็ยอมไม่ได้จริงๆ เขารู้ว่าการกระทำของเขามันเห็นแก่ตัว และมีแต่จะทำให้เรื่องมันแย่ลงไปอีก แต่ถึงหยั่งงั้น ยอมไม่ได้ยังไงก็คือยอมไม่ได้อยู่ดี
“ถ้าพวกแกคิดจะฆ่าซากุระล่ะก็…ต้องข้ามศพชั้นไปก่อน!!”
“งั้นเหรอ…นี่คือสิ่งที่แกต้องการสินะ…”
โพรมีเทียสจ้องหน้านั้นด้วยสีหน้าราวกับพญาราชสีห์ที่กำลังจ้องศัตรูตัวฉกาจ เขาตัดสินใจปล่อยคอเสื้อของอีกฝ่าย แล้วหันหลังเดินออกไปสี่ห้าก้าว
“ดูท่าว่าพวกเราจำเป็นต้องสังหารแกก่อนที่จะสังหารเธอสินะ...”
ชายผมทองหันกลับมาอีกครั้งแล้วตั้งท่าเตรียมพร้อมสู้
“เดี๋ยวก่อนสิโพมี่ เขาไม่ใช่เป้าหมายของพวกเรานะ!!”
ฟรานซิสก้าส่งเสียงทักท้วงออกไปหลังจากที่เห็นว่าเรื่องชักเลยเถิดเกินไปแล้ว
“ฟราน…”
ชายผมทองหันหน้าไปทางเพื่อนร่วมทาง สาวผมชมพูยกมือขึ้นมาป้องปากด้วยความตกใจ เพราะสิ่งที่เธอเห็นบนใบหน้าสวมแว่นกันแดดนั้น คือเลือดที่ไหลออกมาจากปากที่เกิดจากการกัดฟันอย่างรุนแรงเพื่อฝืนกลั้นความรู้สึกที่แท้จริงเอาไว้
“จะเป็นการดีกว่าถ้าให้เขาได้ต่อสู้จนตัวตาย แทนที่จะปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่อย่างทรมานนะ…”
คำพูดที่แฝงไปด้วยความเศร้าเปล่งออกมาจากปากที่บ้วนเลือดลงพื้น ฟรานซิสก้าจ้องมองภาพนั้นด้วยนัยน์ตาที่สั่นคลอนซักพักก่อนที่จะหรี่ตาลงแล้วตัดสินใจออกมา
“เข้าใจแล้ว…”
สาวผมชมพูหลับตาลงแล้วยื่นมือขวาออกมาข้างหน้า
“จงออกมา ไม้กวาด”
แว้บ!!
พริบตานั้น ไม้กวาดก็ปรากฏขึ้นมาที่มือข้างนั้น มันเป็นไม้กวาดที่มีด้ามยาวประมาณหนึ่งเมตรครึ่ง ตัวด้ามถูกย้อมด้วยสีชมพูและได้รับการลงแว๊กซ์เป็นอย่างดีจนเปล่งประกายเงางาม ซึ่งเป็นหลักฐานที่บ่งบอกว่ามันได้รับการดูแลเป็นอย่างดี
สาวผมชมพูยกไม้กวาดพาดบนบ่าตัวเอง แล้วหันไปมองทางผู้ใช้แส้พร้อมกับโพรมีเทียส โดยในหัวของทั้งสองต่างก็คิดสิ่งเดียวกันออกมา ว่าก่อนที่จะมอบความตายให้กับเธอคนนั้น…
จะต้องมอบความตายให้กับชายตรงหน้าคนนี้ซะก่อน!
“เอ๋…เดี๋ยวสิ…เดี๋ยว…”
มิโกะสาวผู้เป็นต้นเหตุของเรื่องได้แต่มองเพื่อนชายสลับกับแขกผู้ไม่เป็นมิตรทั้งสองอย่างทำอะไรไม่ถูก
“ซากุระ…”
ไวเวิร์นหันไปทางเพื่อนสาวที่หันมาสบตาทันทีที่ได้ยินเสียงเรียก ทั้งคู่สบตากันโดยไม่พูดอะไรเลยอยู่สักพัก ก่อนที่เพื่อนชายจะเปิดปากออกมาอีกครั้ง
“ไม่ต้องห่วง ชั้นจะไม่ยอมตายไปก่อนหน้าเธอแน่…”
เขากล่าวเช่นนั้นแล้วเปล่งรอยยิ้มออกมา
“เพราะถ้าขืนชั้นตายไปก่อน ยัยหัวอ่อนก็สอบตกเพราะไม่มีคนช่วยติวกันพอดีน่ะสิ~”
คำพูดล้อเล่นที่เปล่งออกมาผิดสถานการณ์นั้นทำเอามิโกะสาวอ้าปากค้างเล็กน้อยอย่างพูดไม่ออก
“…อุ้บ….คิกๆๆๆ~”
แต่เพียงแค่ชั่วครู่ เธอก็ก้มหน้าหัวเราะคิกคักออกมาราวกับเพิ่งได้ฟังเรื่องตลกที่ฮาสุดๆ
“นั่นสินะ~ ยัยหัวอ่อนคนนี้ต้องสอบตกแหงๆ เลย เพราะอย่างงั้น…”
เธอเงยหน้าขึ้นแล้วเปล่งรอยยิ้มที่แสนจะงดงามให้กับอีกฝ่าย
“ต้องกลับมาติวฉันต่อให้ได้นะ นายอันดับหนึ่ง~”
เธอเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมจู่ๆ ถึงได้ยิ้มเช่นนี้ออกมาได้ ทั้งที่สถานการณ์ในตอนนี้กำลังตึงเครียดแท้ๆ ทั้งที่เพื่อนชายของเธอกำลังเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงกับความตายอีกครั้งแท้ๆ ทั้งที่ไม่ใช่สถานการณ์ที่เธอจะยิ้มออกมาได้แท้ๆ
แต่กระนั้น พอได้เห็นอีกฝ่ายยิ้มออกมาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันกลับทำให้เธอรู้สึกสบายใจอย่างไร้สาเหตุ และรู้สึกมีความหวังขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ว่าถ้าเป็นไวเวิร์นล่ะก็จะต้องทำอะไรซักอย่างแน่ ทำอะไรซักอย่าง…ให้เรื่องนี้จบลง…โดยที่พวกเขาทั้งสองยังคงมีชีวิตอยู่ต่อไป
“ชั้นจะขอถามแกอีกครั้งนะ…”
โพรมีเทียสขยับแว่นแล้วจ้องไปที่ชายตรงหน้าด้วยสายตาดั่งพญาราชสีห์
“ไม่ว่ายังไงก็ไม่คิดจะหลีกทางให้ใช่มั้ย…?”
“อา…ถ้าหากว่าชั้นยังมีลมหายใจอยู่ล่ะก็…”
เพียะ!!
“พวกแกก็ไม่มีสิทธิ์แตะต้องซากุระเด็ดขาด!!”
ไวเวิร์นฟาดแส้ลงกับพื้นแล้วชี้นิ้วไปทางฝ่ายตรงข้ามอย่างไร้ความหวาดเกรง
“งั้นเหรอ…ถ้าหยั่งงั้น…ชั้นก็ไม่จำเป็นต้องปล่อยให้แกมีชีวิตอยู่อีกต่อไป…”
โพรมีเทียสยกหอกสีทองขึ้นมาตั้งฉากกับลำตัวอยู่ในท่าพร้อมสู้
“แพนโดร่า…Red Nature!!”
ฟู่ว~!!
สิ้นสุดคำพูดนั้น เปลวเพลิงสีแดงฉานก็ลุกไหม้ขึ้นมาจากหอกสีทองนั้น เปลวไฟนั้นลามไปทั่วอาวุธสีทองในชั่วพริบตา และย้อมเปลี่ยนมันจนกลายเป็นหอกเพลิง ที่เพียงแค่มองก็สัมผัสได้ถึงคลื่นอันร้อนระอุที่แผ่ออกไปทั่ว
“เฮื่อ~~~~~~~~~~~~~~~!!!!!!!”
ทันทีที่ร่างผมทองถีบตัวออกมาพร้อมกับเสียงคำรามอันดังกึกก้อง หอกเพลิงก็บันดาลสร้างเปลวเพลิงพวยพุ่งออกมาทางด้านหลัง เปลวเพลิงนั้นทำหน้าที่ราวกับเป็นไอพ่นของจรวด ซึ่งนำพาหอกเพลิงและผู้เป็นเจ้าของพุ่งเข้าไปหาร่างถือแส้ตรงหน้าได้ในชั่ววินาที
“!!”
ไวเวิร์นถึงกับอึ้งกับความสามารถที่คาดไม่ถึงของอีกฝ่าย แต่โชคยังดีที่สัญชาติญาณออกคำสั่งให้เขากระโดดอย่างรวดเร็ว ทำให้ร่างของเขาลอยขึ้นไปกลางอากาศ และรอดตายจากการโดนหอกเสียบทะลุร่างได้อย่างหวุดหวิด
“ยังหรอกน่า!!”
แต่ผู้ใช้หอกเพลิงเองก็ไหวตัวอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเปลี่ยนทิศของหัวหอกไปทางร่างที่อยู่กลางอากาศ ไอพ่นเปลวเพลิงพวยพุ่งออกมาอีกครั้ง และนำพาร่างนั้นพุ่งเข้าจู่โจมศัตรูอีกครั้ง
“Holy Fire!!”
แต่คราวนี้ผู้ใช้แส้ไม่ยอมเป็นรองท่านั้นอีกเป็นครั้งที่สอง เขาตัดสินใจฟาดแส้ที่โหมกระหน่ำด้วยเพลิงสีฟ้าขาวเข้าไปปะทะกันซึ่งๆ หน้า อาวุธทั้งสองต่างปล่อยเปลวเพลิงโหมกระหน่ำออกมาอย่างเต็มที่อย่างไม่มีใครยอมใคร จนกระทั่ง….
บึ้ม~!!
ความร้อนจากการปะทะกันของเปลวเพลิงทำให้เกิดการระเบิด และพัดพาร่างทั้งสองนั้นกระเด็นกลับไปคนละทาง
“อูย…ร…ร้อน…”
ไวเวิร์นรีบพลิกตัวกลางอากาศมาอยู่ในท่าคุกเข่าโดยที่มือซ้ายยันกับพื้น ร่างกายของเขามีควันลอยออกมาจากแขนทั้งสองข้างที่มีแผลไฟลวกเล็กน้อย
“เฮื่อ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~!!!!!!”
แต่ร่างสวมแว่นดำไม่ยอมให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัวง่ายๆ เขารีบพลิกตัวกลางอากาศแล้วเปลี่ยนทิศของอาวุธไปยังศัตรูเบื้องลาง แล้วพุ่งทะยานลงมาราวกับลูกไฟที่กำลังโหม่งพื้นโลก แต่น่าเสียดายที่ดูเหมือนโชคจะไม่เข้าข้างเขา เพราะผู้ใช้แส้นั้นรู้ตัวซะก่อน จึงได้ออกแรงสปริงตัวจากขากระโดดตีลังกากลับหลังในทันที
ฟู่ว~!!
หอกเพลิงที่พลาดจากการจู่โจมเป้าหมายพุ่งลงสู่พื้นอย่างเต็มแรง ทำให้เกิดคลื่นความร้อนแผ่กระจายออกไปเป็นวงกว้าง แต่เพียงแค่ไม่กี่วินาที คลื่นความร้อนนั้นก็สลายตัวหายไปจนหมด เหลือเพียงหอกเพลิงไร้ไฟที่ปลายแหลมของมันฝังลงไปใต้พื้นดินเกินกว่าครึ่ง กับผู้เป็นเจ้าของที่พยายามออกแรงดึงมันขึ้นมา
“แย่ล่ะสิ…” ผู้ใช้หอกกัดฟันอย่างเสียรู้ เนื่องจากตัวเองดันเปิดช่องว่างให้อีกฝ่ายเข้าเสียแล้ว
“ย๊าก~~~~~~~~~!!!!!!!”
แน่นอนว่าผู้ใช้แส้ไม่ยอมปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไป ร่างของเขาวิ่งเข้าไปหาร่างที่เต็มไปด้วยช่องโหว่อย่างรวดเร็ว แล้วตวัดแส้ตัดเข้าลำตัวอีกฝ่ายอย่างเต็มแรง
เพียะ!!
“อ้อก!!”
โพรมีเทียสยกแขนไขว้เป็นรูปกากบาทเพื่อป้องกันช่วงลำตัว แต่แรงจากแส้สีดำนั้นมหาศาลเกินกว่าที่จะป้องกันได้ ทำให้ร่างนั้นกระเด็นออกไปแล้วกลิ้งขลุกๆ อยู่กับพื้นหลายตลบก่อนที่จะเจ้าตัวจะใช้แขนยันตัวเองขึ้นมาอยู่ในท่าคุกเข่ากับพื้น
“Holy Slash!!”
เฟี้ยว!!
คราวนี้ผู้ใช้แส้เป็นฝ่ายฉวยโอกาสโจมตีตอนอีกฝ่ายยังไม่ทันตั้งตัวบ้าง เขาตวัดแส้ในมือสองครั้งเพื่อสร้างคลื่นตัดอากาศสีขาวรูปกากบาท คลื่นสีขาวพุ่งแหวกอากาศไปอย่างรวดเร็วโดยมีเป้าหมายคือสร้างบาดแผลให้ชายตรงหน้า ชายผมทองมองเห็นคลื่นนั้นอย่างชัดเจน แต่คลื่นนั้นเคลื่อนที่มาหาเขาด้วยความเร็วสูง แถมเขายังอยู่ในสภาพไม่ทันตั้งตัวอีก ไม่ทันแล้ว ยังไงก็หลบไม่ทันแน่ๆ…
“Ice Wall!!”
เคร้ง!!
แต่ทว่า…ในชั่ววินาทีก่อนที่คลื่นสีขาวจะตัดผ่านร่างอีกฝ่าย กำแพงน้ำแข็งสีฟ้าก็โผล่ขึ้นมาจากพื้น และบังร่างผมทองเอาไว้เบื้องหลัง คลื่นตัดอากาศปะทะกับกำแพงนั้นเข้าอย่างจัง แต่ความเฉียบคมของมันไม่อาจที่จะตัดผ่านกำแพงนั้นไปได้ ทำให้คลื่นนั้นแหลกสลายหายไปโดยที่ทำได้เพียงทิ้งร่องรอยรูปกากบาทไว้ที่กำแพงสุดแกร่งเท่านั้น
“อะไรกัน!?” ไวเวิร์นตกตะลึงกับกำแพงี่จู่ๆ ก็โผล่มา แต่เขาก็ตะลึงได้เพียงไม่นานเท่านั้น
“Ice Lances!!”
“!!”
เพราะเขาสัมผัสได้ถึงอันตรายที่มาจากด้านบน ไวเวิร์นหันไปมองบนท้องฟ้าแล้วพบว่าความคิดของเขาถูกต้อง เพราะสิ่งที่เขาได้เห็นจากเบื้องบนนั้น คือหอกน้ำแข็งนับร้อยที่พุ่งลงมาจากท้องฟ้าดั่งห่าฝน โดยมีสาวผมชมพูซึ่งกำลังขี่ไม้กวาดล่องลอยอยู่บนท้องฟ้า เป็นผู้ควบคุมให้หอกเหล่านั้นพุ่งเป้ามาที่ร่างถือแส้เบื้องล่าง
ผู้ใช้แส้รีบตั้งสติตนเองแล้วเค้นสมองหาทางเอาตัวรอด เขาตัดสินใจชูมือที่กำแส้ขึ้นเหนือหัว แล้วเหวี่ยงแขนเป็นวงกลมอย่างต่อเนื่องเพื่อใช้การหมุนของแส้สร้างโล่ขึ้นมา ซึ่งช่วยป้องกันการโจมตีจากหอกน้ำแข็งเหล่านั้น และทำให้มันแตกสลายไปก่อนที่จะเข้าถึงตัวผู้อยู่เบื้องล่าง โดยไม่อาจสร้างบาดแผลให้กับเป้าหมายได้เลย
“!!”
แต่การที่เขาต้องรวบรวมสมาธิไปที่การป้องกันนั้นก็เป็นการเปิดช่องว่างให้อีกฝ่ายเต็มๆ เพราะจอมเวทย์สาวฉวยโอกาสนั้นแอบบินไปอยู่ข้างหลังอีกฝ่าย และใช้มือขวาที่ไม่ได้กำด้ามไม้กวาดวาดวงแหวนเวทย์สีเขียวอ่อนกลางอากาศ พร้อมกับพึมพำคาถาเพื่อร่ายเวทย์โจมตี ซึ่งกว่าผู้ใช้แส้จะรู้ตัวก็สายเกินไปเสียแล้ว
“Cyclone!!”
“ฟิ้ว~~~~~~”
“อุ้บ…..อ๊าก~~~~~~~~~!!!!”
ลมหมุนสีเขียวอ่อนขนาดใหญ่ปรากฏออกมาจากวงแหวนเวทย์และโหมกระหน่ำเข้าใส่ศัตรู ผู้ใช้แส้พยายามยืนกางขาเพื่อไม่ให้ตัวเองถูกพัดปลิว แต่ก็ไม่อาจต้านทานกระแสลมได้และถูกพัดพาลอยไปสู่เบื้องบน จอมเวทย์สาวมองตามร่างที่ถูกพัดพาไปอย่างไม่ละสายตา พร้อมกับทำปากขมุบขมิบแล้ววาดวงแหวนเวทย์สีแดงกลางอากาศ โดยหมายจะปิดฉากการต่อสู้ด้วยเวทย์บทนี้
“Flame…”
ควับ!! เปี๊ยะ!!
“!! อ…อึก…”
แต่เธอก็พลาดท่าเพราะไม่ได้คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะสวนกลับในสภาพเช่นนั้นได้ การร่ายเวทย์ของเธอถูกขัดจังหวะกลางคัน โดยแส้สีดำที่พุ่งเข้ามารัดคอจากฝีมือของศัตรูที่ลอยอยู่กลางอากาศ เธอกัดฟันอย่างทรมานแล้วพยายามใช้มือทั้งสองข้างแกะออก แต่ด้วยแรงรัดอันทรงพลังราวกับงูเหลือมที่กำลังรัดเหยื่อ ทำให้เธอไม่อาจที่จะแกะมันออกได้
“ย้าก~~~~~~~~~~~~!!!!!!”
“!!”
ผู้ใช้แส้แผดเสียงดังลั่นพร้อมกับออกแรงดึงแส้กลับเข้าหาตัวเอง ส่งผลให้ร่างของจอมเวทย์สาวถูกกระชากออกมาจากไม้กวาด และลอยเข้าหาร่างของศัตรูตรงหน้าอย่างมิอาจขัดขืนได้
เพียะ!!
“อั้ก…”
แส้สีดำฟาดเข้าที่กลางลำตัวของจอมเวทย์สาวอย่างเต็มแรง ร่างของเธอแหวกอากาศพุ่งดิ่งตามแรงโน้มถ่วงไปยังเบื้องล่าง ซึ่งมีเพียงพื้นที่เต็มไปด้วยดินที่อัดแน่นอย่างเต็มเปี่ยมเท่านั้นที่รอรับร่างของเธออยู่ ซึ่งแน่นอนว่าทันทีที่ร่างนั้นร่วงลงไปถึงพื้น แรงกระแทกจะส่งผลให้เธอบอบช้ำสาหัสจนลุกขึ้นมาไม่ไหวแน่
“แพนโดร่า!! Hammer Mode!! Blue Nature”
ตึง!!
แต่โชคยังดีที่คู่หูของเธอไม่ยอมนิ่งดูดายให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น ร่างผมทองจึงได้วิ่งเข้าไปที่บริเวณใต้ร่างของเธอพร้อมกับอาวุธในมือที่เปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นค้อนที่ถูกห่อหุ้มด้วยน้ำ เขาออกแรงยกอาวุธขึ้นเหนือหัว แล้วทุบมันลงกับพื้นอย่างเต็มแรงจนเกิดเสียงดังสนั่นไปทั่ว ซึ่งการกระทำนั้นส่งผลให้เกิดเรื่องที่คาดไม่ถึงขึ้น
ครืน!!
เพราะจู่ๆ พื้นดินบริเวณนั้นก็เกิดการสั่นสะเทือนและทรุดตัวลงไปกลายเป็นหลุมขนาดใหญ่ พร้อมกับน้ำจำนวนมากที่พวยพุ่งออกมาจากค้อนเข้าไปเติมเต็มหลุมนั้น และแปรเปลี่ยนมันกลายเป็นแอ่งน้ำในเวลาสั้นๆ
ตูม!! ซ่า~!!
ส่งผลให้ร่างที่พุ่งลงมาร่วงหล่นลงสู่แอ่งน้ำนั้น จนน้ำพุ่งกระจายออกมาทุกทิศทุกทาง แต่ด้วยแรงหนุนจากน้ำ ทำให้จอมเวทย์สาวรอดจากวิกฤตนั้นมาได้
“บ้าน่า!?” ไวเวิร์นที่ลงสู่พื้นได้อย่างปลอดภัยอ้าปากค้างอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
“ฮ้า~ แค่กๆๆๆ…” ฟรานซิสก้าโผล่หัวขึ้นมาจากน้ำพร้อมกับสำลักเพื่อเอาน้ำออกจากปอด “โธ่! เปียกไปหมดทั้งตัวเลย! ช่วยให้มันดีกว่านี้ไม่ได้รึไงยะ!?”
“อย่าบ่นน่า…ก็ชั้นคิดได้แต่วิธีนี้นี่หว่า…”
โพรมีเทียสหันไปมองร่างในน้ำเพียงชั่วครู่ก่อนที่จะหันไปทางศัตรูตรงหน้าอีกครั้ง
“แพนโดร่า Twins Shotgun Mode!!”
กื๊ด! แก๊ก! กิ๊ก!
อาวุธในมือเริ่มทำการเคลื่อนย้ายชิ้นส่วนตามคำสั่งอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้มันได้เปลี่ยนรูปร่างเป็นปืนลูกซองขนาดพอดีมือสองกระบอก ที่ถูกห่อหุ้มด้วยสีฟ้าของน้ำอย่างทั่วถึง
“เฮื่อ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~!!!!!!!!”
เปรี้ยงๆๆๆๆ!!!!
เสียงคำรามดังสนั่นไปทั่วทั้งศาลเจ้าปะปนไปกับเสียงของกระสุนน้ำที่ถูกยิงออกมาอย่างต่อเนื่อง ผู้ใช้ปืนกระหน่ำรัวกระสุนใส่ศัตรูอย่างไม่ยั้ง ส่วนผู้ใช้แส้ก็ได้แต่อาศัยประสาทสัมผัสกับความว่องไวในการเคลื่อนไหวหลบกระสุนเหล่านั้นอย่างไม่มีเวลาหยุดพัก
‘โธ่เว้ย…แบบนี้ก็เข้าประชิดตัวไม่ได้น่ะสิ…’
ผู้ใช้แส้ได้แต่คิดในใจเช่นนั้นในขณะที่ตัวเองได้แต่หลบการโจมตีไปเรื่อยๆ ในขณะที่อีกฝ่ายคอยหันปากกระบอกปืนใส่เขาพร้อมกับออกวิ่งไปรอบๆ เพื่อรักษาระยะห่างเอาไว้ ตัวเขานั้นอยู่ห่างจากอีกฝ่ายมากเกินไป และแส้ของเขาก็ไม่มีทางไวพอที่จะสวนกับปืนของอีกฝ่ายจากระยะนี้ได้ ดังนั้น จึงมีแต่ต้องหาทางประชิดตัวอีกฝ่ายให้ได้เท่านั้น
แต่ทว่าอีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะรู้เรื่องนั้น ถึงได้คอยรักษาระยะห่างพร้อมกับกระหน่ำรัวกระสุนใส่ไม่ยั้ง เพื่อเป็นการปิดกั้นไม่ให้เขาเข้าประชิดตัวได้ ทำให้ผู้ใช้แส้ได้แต่หลบการโจมตีโดยไม่อาจสวนกลับได้ พร้อมกับคิดหาทางเข้าประชิดตัวไปเรื่อยๆ เท่านั้น
‘มันต้องมีวิธีสิ…ขอแค่ทำให้อีกฝ่ายชะงักได้…แค่ครู่เดียวก็พอ…’
‘!! จริงด้วยสิ ใช้วิธีนี้ก็ได้นี่นา!!’
ในที่สุด ชายผมดำก็คิดวิธีที่ว่าออกจนได้ เขาไม่รอช้าและอาศัยจังหวะที่หลบกระสุนอีกฝ่ายได้ทำตามความคิดในสมองทันที
“ย้าก~~~~~~~~~~~!!!!”
ควับ!! ซ่า!!
“อุ้บ!? ตาชั้น!?”
ไวเวิร์นใช้แส้กวาดไปตามพื้น แล้วออกแรงตวัดขึ้นเพื่อเขี่ยทรายจากพื้นใส่หน้าอีกฝ่าย ส่งผลให้ฝุ่นทรายเข้าไปในดวงตาภายใต้แว่นกันแดดและทำให้อีกฝ่ายต้องชะงักไปชั่วครู่ ซึ่งนี่แหละคือสิ่งที่เขาต้องการที่สุดในตอนนี้
‘ตอนนี้ล่ะ!!’
ผู้ใช้แส้พุ่งเข้าไปหาร่างนั้นในทันที แส้ในมือลุกท่วมไปด้วยเพลิงสีฟ้าขาวขึ้นมาอัตโนมัติอย่างรู้หน้าที่ ใช่แล้ว เขาคิดจะปิดฉากการต่อสู้ด้วยการโจมตีครั้งนี้ การโจมตีตอนที่อีกฝ่ายกำลังไร้การป้องกัน การโจมตีด้วยท่าไม้ตายที่รุนแรงที่สุด ถ้าอีกฝ่ายโดนเข้าไปเต็มๆ ล่ะก็ เขาต้องเป็นฝ่ายชนะแน่!
แต่กระนั้น…ดูเหมือนว่าวันนี้ดวงจะไม่เข้าข้างเขาเอาซะเลย…
“Water Lock!!”
“!!”
เพราะก่อนที่ท่าไม้ตายนั้นจะได้แผลงฤทธิ์ รอบๆ ตัวร่างผมดำก็มีน้ำปริมาณมากปรากฏออกมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย น้ำเหล่านั้นเคลื่อนที่ไปหาร่างตรงหน้า แล้วรวมตัวกันกลายเป็นลูกบอลน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งกักขังร่างผมดำเอาไว้ข้างในโดยไม่ยอมให้ออกมาได้
‘นี่มัน…อะไรกัน!?’ ไวเวิร์นได้แต่ประหลาดใจภายใต้การถูกขังในน้ำ
“ทำได้ดีมากฟราน~”
โพรมีเทียสลืมตาพร้อมกับยิ้มอย่างพอใจ ไวเวิร์นที่ได้ยินคำพูดนั้นรู้ได้ในทันทีว่าตัวเองพลาดเสียแล้ว เขามัวแต่ตั้งสมาธิไปกับการจัดการศัตรูตรงหน้าอย่างเดียว เลยไม่ได้ระวังตัวจากศัตรูคนที่สอง ที่ตอนนี้กำลังอยู่ข้างหลังเขา และชูมือทั้งสองออกมาข้างหน้าเพื่อคอยควบคุมลูกบอลน้ำให้คงสภาพเช่นนั้นไว้
“เอาล่ะ ได้เวลาจบเกมกันซักทีสินะ”
ร่างสวมแว่นกันแดดถอยหลังออกไปจนห่างจากร่างที่ถูกขังประมาณห้าเมตร
“แพนโดร่า Lance Mode!! Yellow Nature!!”
อาวุธในมือเริ่มเปลี่ยนรูปร่างอีกครั้ง โดยครั้งนี้ มันเปลี่ยนรูปร่างกลับมาเป็นหอกหัวลูกศรเช่นเดิม แต่ในคราวนี้ มันไม่ได้ถูกห้องล้อมด้วยสีแดงจากเปลวไฟ แต่ถูกห้อมล้อมด้วยกระแสไฟฟ้าสีเหลืองซึ่งเปล่งประกายออกมาพร้อมกับส่งเสียงเปรี๊ยะๆ อย่างไม่หยุด
‘ม…ไม่ดีแล้วแบบนี้!!’
ผู้ถูกขังสัมผัสได้ถึงลางมรณะทันทีที่ได้เห็นหอกนั้น น้ำกับไฟฟ้า ช่างเป็นการจับคู่ที่เลวร้ายสุดๆ ถ้าโดนเข้าไปล่ะก็ยังไงก็ไม่มีทางรอดแน่ เขาตัดสินใจลองพยายามทำลายลูกบอลน้ำด้วยการฟาดแส้หลายครั้ง แต่น้ำภายในลูกบอลเป็นตัวหน่วงการเคลื่อนไหวของเขา ทำให้การฟาดของเขาแทบจะไม่มีแรงเอาซะเลย
“ไม่มีประโยชน์ นายทำลาย Water Lock จากด้านในไม่ได้หรอก…”
“ลาก่อนนะ เจ้าหนุ่มผู้ต่อสู้จนตัวตาย…”
ชายปมทองยกหอกขึ้นในท่าเตรียมขว้าง สายฟ้าเปล่งประกายออกมามากกว่าเดิมราวกับมันรับรู้ได้ถึงเหยื่อที่อยู่ตรงหน้า ไวเวิร์นได้แต่หลับตาลงและยืนนิ่งอยู่ในนั้น หมดหนทาง เขาถูกขังอยู่ในน้ำ ไม่สามารถหลบการโจมตีนั้นได้ เขาจะต้องถูกหอกนั้นเสียบทะลุร่าง และถูกซ้ำด้วยไฟฟ้าที่ถูกเสริมพลังด้วยน้ำ ไม่มีหวังที่จะพลิกสถานการณ์ได้เลยแม้แต่น้อย…
การต่อสู้ครั้งนี้…เขาเป็นฝ่ายแพ้แล้ว…
“อย่านะ!!”
แต่ก่อนที่หอกนั้นจะได้พุ่งออกมือเจ้าของ มิโกะสาวก็รีบวิ่งออกมาแล้วยืนกางแขนขวางร่างที่ถูกขังเอาไว้
‘ซ…ซากุระ!?’
“ได้โปรด…อย่าฆ่าไวเวิร์นเลย…” ซากุระขอร้องพร้อมกับปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมา “เป้าหมายของพวกคุณคือฉันไม่ใช่เหรอ…ฉันจะไม่เอาแต่ใจอีกแล้ว…ฉันจะไม่บอกว่าไม่อยากตายอีกแล้ว…ดังนั้น…ขอร้องล่ะ…ไว้ชีวิตไวเวิร์นด้วยเถอะ…”
คำขอไว้ชีวิตเพื่อนชายของมิโกะสาวทำเอาทุกอย่างในที่นั้นถึงกับหยุดชะงัก ไวเวิร์นได้แต่มองแผ่นหลังของเธออย่างไม่อาจทำอะไรได้ ฟรานซิสก้าก้มหน้าลงด้วยความเศร้าอย่างตัดสินใจไม่ถูก ส่วนโพรมีเทียสจ้องใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตานั้นด้วยสายตาลังเลอยู่ซักพัก ก่อนที่จะตัดสินใจค่อยๆ ลดหอกในมือลง
“…ฟราน”
“อ…อื้ม…”
โพละ~!! ซ่า~
จอมเวทย์สาวเอามือลงเพื่อเป็นการคลายมนต์ ลูกบอลน้ำแตกตัวออกและกลับคืนสภาพเป็นน้ำเช่นเดิม ร่างของเพื่อนชายร่วงลงสู่พื้นพร้อมกับสำลักน้ำออกมา
“ตอนแรกชั้นคิดว่าให้นายตายไปพร้อมกับเธอด้วยจะเป็นทางที่ดีที่สุด แต่ตอนนี้ชั้นเปลี่ยนใจแล้ว…” ชายผมทองยกมือชี้นิ้วไปทางร่างผมดำ “นายจงมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อคนสำคัญของนายซะเถอะ…”
“ไม่นะ…ไม่!!”
ไวเวิร์นลุกขึ้นและตั้งใจจะวิ่งไปหาอีกฝ่าย แต่ก็ถูกเพื่อนสาวที่อยู่ตรงหน้ายกมือห้ามเอาไว้
“ซ…ซากุระ…?”
“ขอโทษนะ ไวเวิร์น…” มิโกะสาวหันมาหาร่างที่อยู่ข้างหลัง “ฉันคงอยู่ติวหนังสือกับไวเวิร์นไม่ได้ซะแล้วล่ะ…”
รอยยิ้มผุดขึ้นมาบนใบหน้าของเพื่อนสาวที่เต็มไปด้วยน้ำตา แต่กระนั้น เพื่อนชายกลับสัมผัสถึงความสุขจากรอยยิ้มนั้นไม่ได้เลย สิ่งที่เปล่งออกมาจากรอยยิ้มนั้นมีเพียงความเศร้า ความเศร้าที่จะต้องลาจากกับคนสำคัญของตัวเองไปตลอดกาล…
“ฉันไปก่อนนะ…”
“ไม่…ไม่นะ…ซากุระ!!”
เพื่อนชายพยายามตะโกนห้ามเอาไว้ แต่มิโกะสาวนั้นไม่มีแม้แต่จะเหลียวกลับมามอง เธอได้แต่เดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ เดินไปหาชายผู้ถือหอกสีเหลืองในมือ ชายผู้เป็นยมทูต ที่มาส่งมอบความตายให้กับเธอ
‘ธ…โธ่เว้ย…โธ่ว้อย~~~~~~~~~~~~~~~~~~!!!!’
ไวเวิร์นได้แต่ก้มหน้าลงพื้นแล้วกรีดร้องอย่างทรมานในจิตใจ เขาคิดว่าถ้าเขาเป็นฝ่ายชนะอาจจะพอหาทางเปลี่ยนแปลงอะไรได้บ้าง แต่สุดท้ายเขาก็เป็นฝ่ายแพ้ และไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย สุดท้ายแล้ว ซากุระก็ต้องถูกฆ่าตาย เพราะว่าเธอเป็นที่กักเก็บวิญญาณครึ่งนึงของแดร็กคูล่า วิญญาณครึ่งนึงที่เล็ดลอดออกมาสิงสู่ในร่างเธอตลอดสามปี โดยที่ไม่มีใครได้รู้ถึงความจริงนี้เลย…
‘หือ…? เดี๋ยวก่อนนะ…?’
แต่แล้ว ความคิดที่ซ้ำเติมตัวเองก็หยุดลงกลางคันเนื่องจากไปสะดุดกับอะไรเข้าซักอย่าง
‘จะว่าไป…นี่มัน…ไม่แปลกไปหน่อยเหรอ…?’
ซึ่งสิ่งที่เป็นตัวทำให้สะดุดนั้นคือความคิดที่ว่ามันมีอะไรที่ไม่ปกติ ในตอนแรกที่เขาได้ฟังเรื่องวิญญาณครึ่งนึงของแดร็กคูล่านั้น เขาเชื่อมันในทันทีโดยไม่ได้สงสัยอะไรเลย แต่พอลองได้มาคิดทบทวนเรื่องนี้อีกครั้ง เขากลับรู้สึกว่าเรื่องนี้มันมีจุดที่ไม่ปกติอยู่
‘แต่ว่า…ทำไมชั้นถึงได้รู้สึกว่ามันแปลกกันนะ…’
แต่กระนั้น เขาก็ยังไม่แน่ใจว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกแปลก เขาพยายามเค้นสมองทบทวนถึงเรื่องเล่าของสาวผมชมพูอีกครั้ง เพื่อหาว่าอะไรคือสิ่งทีทำให้รู้สึกแปลก
‘แดร็กคูล่าพยายามเรียกพลังแห่งความมืดกลับคืนมา…’
‘พลังแห่งความมืดส่งผลย้อนกลับ...’
‘วิญญาณของเขาถูกฉีกออกเป็นสองส่วน…’
‘วิญญาณครึ่งนึงหลุดลอยหายไป…’
‘แดร็กคูล่าตามหาวิญญาณอีกครึ่งนึงอย่างลับๆ มาตลอด…’
‘ไม่ได้บอกให้ใครรู้เลย…’
‘ไม่แม้แต่กับเจ็ดปีศาจบริวาร…’
‘เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครล่วงรู้ถึงวิญญาณส่วนนั้น…’
‘!! รู้แล้ว!!’
ในที่สุดชายผมดำก็ตระหนักได้ว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้รู้สึกแปลก และคำตอบนั้นก็คือ…
‘เรื่องนี้มัน…มีจุดที่ขัดแย้งกับความเป็นจริงอยู่!!’
ใช่แล้ว ในเรื่องเล่าที่ฟังดูเหมือนจะสอดคล้องกันทุกอย่าง กลับมีอยู่จุดนึงที่ขัดแย้งกับความเป็นจริง และทำให้เรื่องเล่านี้แทบเป็นไปไม่ได้เลย ไวเวิร์นรู้สึกโกรธแค้นตัวเองที่เพิ่งจะมาสังเกตเอาป่านนี้ แต่ว่า…ตอนนี้ยังไม่สาย ถ้าเขาพูดเรื่องนี้ออกไปล่ะก็ จะต้องเปลี่ยนแปลงอะไรได้แน่!!
“เดี๋ยวก่อน!!”
ชายผมดำตะโกนออกไปอย่างสุดเสียง ทำให้ร่างทั้งสามหันกลับมามองเขาอีกครั้ง
“อะไรของนายอีกล่ะ? เลิกทำเรื่องให้มัน…”
“พวกคุณน่ะ…ไม่รู้สึกว่ามันแปลกบ้างเหรอ!?”
“ห…หา?”
คำพูดของชายผมดำที่จู่ๆ ก็โพล่งออกมาทำเอาผู้ถือหอกถึงกับเอียงคอด้วยความงง แต่กระนั้น ในสายตาของผู้ถือแส้กลับมีแต่ความกระจ่างแจ้ง ถ้าหากสิ่งที่เขาคิดเป็นเรื่องจริงล่ะก็…เขาจะต้องเปลี่ยนฉากจบของเรื่องนี้ได้แน่ๆ…
เปลี่ยนจากฉากจบอันแสนเศร้า เป็นฉากจบอันแสนดี ที่ทั้งเขาและซากุระสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้!!
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ