Castlevania - The Rancor's Funeral
เขียนโดย xanxussama1010
วันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 เวลา 14.22 น.
แก้ไขเมื่อ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 14.27 น. โดย เจ้าของนิยาย
7) บทที่ 7 - ความจริง และจุดจบของผู้หยิ่งยโส
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความท้องฟ้าในตอนนี้ช่างให้ความรู้สึกสบายใจเหลือเกิน นั่นคือสิ่งที่หนุ่มผมดำคิดในที่ขณะที่กำลังนอนแผ่อยู่บนเบาะลมอย่างหมดเรี่ยวแรง ท้องฟ้าสีส้มของเวลาเย็นที่ตัดกับเมฆสีขาวชวนให้ผู้ที่เฝ้ามองรู้สึกสงบใจ บวกกับภาพของตะวันบนท้องฟ้าที่ฉายแสงอ่อนๆ และกำลังค่อยๆ ลับขอบฟ้าเข้าสู่เวลากลางคืนที่แสนจะสวยงาม การได้เห็นภาพนี้หลังจากต่อสู้อย่างยากลำบากจนได้รับชัยชนะมานั้นช่างเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมเหลือเกิน
แต่ว่า…เวลาแห่งความสบายใจก็คงอยู่ได้ไม่นานนัก…เนื่องจากว่า…
“พ…พวกแก…บ…บังอาจ…มาก…”
“!!”
VADET ทุกคนแสดงอาการตกใจพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย เพราะพวกเขาต่างก็ได้ยินเสียงที่ไม่น่าจะได้ยินอีกแล้ว ทุกคนหันไปทางต้นเสียงโดยคิดเข้าข้างตัวเองว่าเขาแค่หูฝาดไป
แต่ภาพที่เห็นตรงหน้าก็เป็นสิ่งที่ทำลายความคิดนั้นจนแหลกเป็นเสี่ยงๆ ร่างของหญิงสาวในชุดแดงที่กัดฟันด้วยความโกรธแค้นจนลูกตาแทบทะลักออกมา ปีกทั้งสองข้างมีรอยแหว่งที่เกิดจากการถูกไฟเผาจนไม่สามารถใช้การได้ ร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลแสนสาหัสจนแทบจะชวนให้ขาดใจตายได้ทุกเมื่อ
แต่ถึงกระนั้น หล่อนก็ยังคงอยู่ ยังคงยืนอยู่ตรงนั้นได้ ยังคงเคียดแค้นต่อกลุ่มคนตรงหน้าได้…ใช่แล้ว….
คามิลล่ายังไม่ตาย!!
“บ…บ้าน่า!!” ไวเวิร์นได้แต่อ้าปากค้างกับภาพตรงหน้า ท่าไม้ตายสุดท้ายที่เขาทุ่มเทพลังทั้งหมดลงไป ไม่อาจปลิดชีวิตศัตรูได้งั้นเหรอเนี่ย
“น่าอับอายที่สุด…ข้าคนนี้…ดันต้องมา…เสียท่าให้กับ….เศษขยะอย่างพวกแกเช่นนี้~~~~~!!!!!!”
คามิลล่าชูมือขวาขึ้นไปบนท้องฟ้า พลังงานสีดำเริ่มมาหมุนวนบนมือข้างนั้นจนเกิดเป็นก้อนสีดำอีกครั้ง แต่คราวนี้ หล่อนไม่ได้หยุดมันแค่ขนาดเท่าลูกฟุตบอล แต่กลับเพิ่มขนาดมันขึ้นไปอีก ก้อนสีดำค่อยๆ ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จากเส้นผ่านศูนย์กลางหนึ่งเมตร…กลายเป็นสองเมตร…สามเมตร…และยังคงขยายใหญ่ขึ้นไปอีก
“ย…แย่ล่ะสิ…ทุกคน รีบโจมตีใส่เธอเร็วเข้า!!”
เก็นยะรีบออกคำสั่งอย่างร้อนรน หน่วยรบ VADET ทุกคนระดมกำลังโจมตีใส่แวมไพร์สาวตรงหน้าอีกครั้ง แต่หล่อนก็ใช้มืออีกข้างที่เหลือสร้างบาเรียสีดำขึ้นมาป้องกันเอาไว้
“หึๆๆ~ เป็นอะไรไป~โจมตีเบาๆ แบบนั้นมันทำอะไรข้าไม่ได้หรอกนะ~” คามิลล่าหัวเราะออกมาอย่างสะใจ
“ธ…โธ่เว้ย…” เก็นยะกัดฟันอย่างเจ็บใจ ทุกคนรวมทั้งเขาและไวเวิร์นล้วนแต่อาการสาหัสเกินไปจนแทบไม่เหลือแรงต่อสู้แล้ว จึงไม่อาจที่จะทำลายบาเรียนั้นได้เลย เขาได้แต่ปล่อยให้ลูกบอลสีดำนั้นขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนตอนนี้มันมีเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่าแปดเมตรไปแล้ว
“ท…ทุกคน หยุดการโจมตี แล้วเปิดระบบบาเรียเต็มกำลังซะ!!”
เก็นยะตัดสินใจออกคำสั่งสุดท้ายที่ควรทำในตอนนี้ ทุกคนทำตามคำสั่งของบอสอย่างรวดเร็ว บาเรียนั้นแผ่ขยายออกเป็นวงกว้างและคลอบคลุมหน่วยรบทั้งหมดที่อยู่ตรงนั้น
“เลือกที่จะป้องกันแบบนี้ แสดงว่าแกหมดปัญญาตอบโต้แล้วสินะ เก็นยะ อาริคาโด้”
คามิลล่ายิ้มออกมาอย่างสะใจ บอสแห่ง VADET ได้แต่กัดฟันจ้องหน้าศัตรูกลับไป ถูกอย่างที่อีกฝ่ายพูด เขาไม่มีแผนที่จะรับมือสถานการณ์ในตอนนี้อยู่เลย ที่เขาตัดสินใจเลือกที่จะป้องกันเพราะคิดว่าอาจจะพอมีโอกาสรุกกลับหลังจากที่หล่อนโจมตีออกมาแล้ว เพื่อการนั้น พวกเขาต้องรอดจากสถานการณ์ตอนนี้ให้ได้ซะก่อน
แต่เขาก็ไม่มั่นใจเลยซักนิด ว่าบาเรียในตอนนี้จะป้องกันลูกบอลขนาดยักษ์ตรงหน้าได้
“เอาล่ะ…ได้เวลาปิดฉากกันซะที”
คามิลล่าโน้มแขนขวาไปข้างหลังในท่าพร้อมที่จะเหวี่ยงลูกบอลขนาดสิบเมตรใส่ศัตรูตรงหน้า เก็นยะได้แต่หลับตาและกัดฟันอย่างเจ็บใจ เขาทำอย่างอื่นไม่ได้นอกจากภาวนาให้รอดจากสถานการณ์ตอนนี้แล้วเหรอเนี่ย….
“ลาก่อน…ไอ้พวกเศษ…!!”
ตูม~~~~~!!!!
“อ๊าก~~~~~~~~!!!!”
ราวกับพระเจ้าตั้งใจบันดาลปาฏิหาริย์ให้กับมวลมนุษย์ ชั่วพริบตาก่อนที่ลูกบอลสีดำจะทำลายกลุ่มเป้าหมายตรงหน้า จู่ๆ ก็เกิดการระเบิดอย่างรุนแรงขึ้นตรงที่ร่างของแวมไพร์สาวยืนอยู่พอดี ทำให้หล่อนซึ่งบาดเจ็บสาหัสอย่างหนักอยู่แล้วต้องทรุดลงไปคุกเข่ากับพื้นพร้อมทั้งกระอักเลือดออกมา และนั่นส่งผลให้ลูกบอลสีดำที่ไร้ซึ่งการควบคุมจากเจ้าของเกิดการแปรปรวนและแหลกสลายหายไปในทันที
ซึ่งภาพทั้งหมดนั้นล้วนสร้างความประหลาดใจให้กับเหล่า VADET เป็นอย่างมาก เพราะการระเบิดนั้นไม่ใช่ฝีมือของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าตรงนั้นมีระเบิดเวลาที่มองไม่เห็นซ่อนอยู่ แล้วมันบังเอิญระเบิดขึ้นมาตอนนั้นพอดี
“น…นี่มัน…อะไรกัน…”
คามิลล่าไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อยว่าเรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง ทั้งๆ ที่หล่อนกำลังจะเป็นฝ่ายชนะอยู่แล้ว แต่แรงระเบิดเมื่อกี้ก็ดันทำให้หล่อนสูญเสียโอกาสสุดท้ายไปซะได้
หล่อนไม่มีพลังเหลือพอที่จะโจมตีได้อีกแล้ว และถ้าหล่อนยังอยู่ตรงนี้ต่อไป คนที่จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ก็คงจะเป็นตัวหล่อนเองแน่ๆ ดังนั้น หล่อนจึงตัดสินใจยอมเสียศักดิ์ศรีอีกครั้งเพื่อให้ชีวิตของตัวเองอยู่รอด
“ฝาก…ไว้…ก่อน…เถอะ…”
คามิลล่าตวัดมือไปมากลางอากาศ จากนั้น ฝูงค้างคาวนับร้อยตัวก็บินลงมาแล้วค่อยๆ รุมล้อมร่างของหล่อน
“ค…คิดจะหนีเหรอ!?”
“ไม่ยอมหรอกน่า!!”
เก็นยะและไวเวิร์นรู้ตัวในทันที ถ้าปล่อยให้หล่อนหนีไปได้จะต้องลำบากภายหลังแน่ๆ ดังนั้นจะปล่อยให้หนีไปไม่ได้เด็ดขาด
พวกเขาตัดสินใจฝืนตัวเองจับอาวุธวิ่งเข้าไปหาศัตรูตรงหน้าในทันที แต่ดูเหมือนแวมไพร์สาวจะรู้แล้วว่าพวกเขาคงไม่ยอมให้หล่อนหนีไปได้ง่ายๆ หล่อนจึงตัดสินใจรวบรวมพลังเฮือกสุดท้ายพ่นเลือดออกมาเพื่อสร้างหมอกบดบังทัศนวิสัยของอีกฝ่าย
ชายทั้งสองติดกับเข้าเต็มเปาจนมองไม่เห็นอะไรเลย พวกเขาตัดสินใจกวัดแกว่งอาวุธในมือไปมาเพื่อไล่หมอกออกไปให้พ้น ซึ่งในเวลาไม่นาน พวกเขาก็ทำได้สำเร็จ
แต่พอหมอกนั้นเลือนลางจนหายไปหมด ร่างของแวมไพร์สาวก็หายไปจากตรงหน้าของพวกเขาเสียแล้ว
“หนีไปแล้วสินะ…” เก็นยะก้มหน้าอย่างไม่ค่อยพอใจนัก
“โธ่เว้ย..!!” ไวเวิร์นสบถออกมาอย่างเจ็บใจ
“ไม่ต้องเสียใจไปหรอกไวเวิร์น ตราบใดที่พวกเรายังมีชีวิตอยู่ ชัยชนะจะต้องเป็นของเราซักวันนึงแน่…”
เก็นยะกล่าวปลอบใจหนุ่มผมดำ ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ค่อยพอใจกับผลลัพธ์ แต่ในตอนนี้พวกเขาก็ทำอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
“ทุกคน ติดต่อให้ทางฐานทัพจัดเตรียมทีมแพทย์และหน่วยช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน คนที่ยังพอขยับตัวได้ให้ช่วยปฐมพยาบาลและเตรียมการขนย้ายคนเจ็บด้วย”
เก็นยะสั่งการลูกน้องอีกครั้ง ทุกคนขานรับแล้วแยกตัวออกไปตามหน้าที่ในทันที เก็นยะมองภาพนั้นอยู่ซักพักก่อนที่จะหันกลับไปตรงที่ร่างของแวมไพร์สาวเคยยืนอยู่ ซึ่งยังคงหลงเหลือรอยเลือดและร่องรอยจากการระเบิดอยู่อย่างชัดเจน
“ระเบิดนั่น…มันอะไรกันนะ…” เก็นยะมองแล้วพยายามคิดหาคำตอบอยู่ซักพัก แต่หลังจากที่เห็นว่าตนไม่มีเบาะแสเพียงพอที่จะหาคำตอบได้ จึงตัดสินใจเลิกคิดแล้วหันไปช่วยเหลือผู้บาดเจ็บแทน
--- ห้องพยาบาล สำนักงานใหญ่องค์กร VADET ---
“เอาล่ะ…การรักษาเสร็จเรียบร้อยแล้ว”
เสียงของชายรุ่นลุงพูดขึ้นหลังจากที่ทำการรักษาผู้ป่วยตรงหน้าเรียบร้อยแล้ว หนุ่มผมดำค่อยๆ ลืมตาขึ้นแล้วลุกขึ้นนั่งบนเตียงนั้น
“ขอบคุณมากครับ คุณมาร์ตินี่” ไวเวิร์นกล่าวขอบคุณลุงผู้เป็นคนรักษา
“เรียกผมว่ามัลโก้เถอะครับ ผมชอบให้เรียกด้วยชื่อมากกว่าน่ะ” มัลโก้พูดแล้วหัวเราะอย่างร่าเริง
“ว่าแต่…อุปกรณ์การรักษาที่นี่สุดยอดไปเลยนะครับ ขนาดผมอาการสาหัสไม่ใช่น้อย ก็ยังรักษาให้หายได้ภายในไม่กี่ชั่วโมงเอง”
ไวเวิร์นมองร่างตัวเองซึ่งตอนนี้ไม่มีอาการบาดเจ็บหลงเหลืออยู่เลย ไม่ใช่แค่นั้น แม้แต่เสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่งจากการต่อสู้ ก็ยังกลับมาอยู่ในสภาพเดิมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกต่างหาก
“เรื่องนี้ต้องขอบคุณบอสเขาล่ะ เพราะได้บอสคอยไปเจรจากับพวกคนใหญ่คนโตจากหลายประเทศ เพื่อหานักวิจัยและเงินทุนมาให้เสมอ พวกเราถึงได้มีชีวิตรอดมาได้จนถึงทุกวันนี้ไงล่ะ~ ฮ่ะๆๆๆ~”
“ไม่หรอกน่า ถึงจะมีของพวกนั้นแค่ไหน แต่ถ้าไม่มีความร่วมมือจากทุกคนทุกคน องค์กรแห่งนี้ก็เกิดขึ้นมาไม่ได้หรอก”
เสียงหนึ่งพูดขัดจังหวะขึ้นพร้อมกับประตูไฟฟ้าที่เปิดออกโดยอัตโนมัติ พร้อมกับร่างของบอสแห่ง VADET ที่เดินเข้ามาในห้องนั้น โดยมีเพื่อนสาวของชายหนุ่มบนเตียงเดินตามมาติดๆ
“ไวเวิร์น~~~!!” ซากุระรีบวิ่งเข้าไปอยู่ข้างๆ เพื่อนชายในทันที “เป็นอะไรมากมั้ย!? บาดเจ็บตรงไหนบ้าง!? กระดูกหักบ้างรึเปล่า!? แล้ว…!? แล้ว…!?”
“หวา!! ใจเย็นๆ ก่อนซากุระ!!” ไวเวิร์นพยายามพูดให้เพื่อนสาวที่รัวคำถามใส่เป็นชุดแล้วเอาแต่เขย่าตัวเขาอย่างไม่ยอมหยุดให้ใจเย็นลง “ชั้นไม่เป็นไรแล้ว!! คุณมัลโก้รักษาให้ชั้นเรียบร้อยแล้ว!! นี่ไง!! ดูสิๆ!!”
ซากุระหยุดเขย่าร่างของเพื่อนชายพร้อมทั้งกวาดสายตามองไปทั่วร่างนั้น จนแน่ใจว่าอีกฝ่ายไร้ซึ่งบาดแผลออย่างที่พูดจึงยอมปล่อยมือแล้วถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ดีจังเลย~ คุณมัลโก้ ขอบคุณที่ช่วยรักษาไวเวิร์นให้นะคะ” ซากุระโค้งให้ชายรุ่นลุงอย่างนอบน้อม
“เรื่องเล็กน้อยน่า การช่วยเหลือพวกพ้องมันเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้วนี่ครับ~” มัลโก้กวักมือไปมาแล้วหัวเราะอย่างร่าเริง “แหม~ หมุ่มสาวนี่ดีจังเลยน้า~ คอยมีคนเป็นห่วงเป็นใยกันตลอด ช่างเป็นคู่รักที่น่าอิจฉาเสียจริงๆ เลย~”
“พรวด~~~!!”
หนุ่มสาวที่กล่าวถึงมีปฏิกิริยาขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินคำว่าคู่รัก ทั้งสองคนรีบลุกขึ้นมาทันทีแล้วเริ่มพูดแก้ตัวอย่างตะกุกตะกักด้วยความร้อนรน
“ม…ไม่ใช่นะครับ!!...ค…คุณมัลโก้…พ…พ…พ…พวกเราไม่ได้เป็นคู่รักกันซะหน่อย!!”
“ช…ใช่แล้วค่ะๆ!!....พ…พ…พวกเราเป็น…พ…พ…พ…เพื่อนสนิทกันต่างหาก!!”
“อ้าว~ งั้นเหรอๆ~ งั้นไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ทำไมไม่เป็นคู่รักกันจริงๆ ซะเลยล่ะ ทั้งสองคนเหมาะสมกันดีมากเลยนา~” มัลโก้พูดเย้าแหย่ชายหนุ่มทั้งสอง
“ม…เหมาะสมจะเป็น…”
“คู่รัก…งั้นเหรอคะ….”
ป๊อง~!!
ใบหน้าของหนุ่มสาวกลายเป็นสีแดงก่ำและเริ่มมีควันลอยออกมาราวกับมะเขือเทศเผาที่เพิ่งออกมาสดๆ ร้อนๆ จากเตา ทั้งสองคนนิ่งเงียบและไม่ยอมกล่าวอะไรออกมาเลย คาดว่าคงกำลังจินตนาการอะไรซักอย่างที่ไม่อาจบรรยายออกมา ณ ที่นี้ก็เป็นได้~
“เอาล่ะๆ…” เก็นยะตัดสินใจพูดขัดจังหวะขึ้น “ตอนนี้ชั้นมีเรื่องสำคัญที่อยากจะคุยด้วยหน่อย เรื่องพลอดรักกันเอาไว้ทีหลังนะ”
“ไม่ได้พลอดรักกันซะหน่อยนะ!!” ทั้งสองคนรีบค้านออกมาทั้งที่หน้ายังแดงก่ำอยู่ เก็นยะแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดนั้นแล้วหันไปพูดกับชายรุ่นลุง
“มัลโก้ รายงานเรื่องผลการตรวจสอบให้ทั้งสองคนฟังทีสิ”
“เอ๋? ตรวจสอบ?” ไวเวิร์นทำหน้างง
“ลืมซะแล้วเหรอ เรื่องที่ชั้นให้มัลโก้ช่วยตรวจสอบไอ้นั่นไงล่ะ” เก็นยะชี้ไปที่แส้สีดำที่วางอยู่ข้างกายของชายหนุ่ม ไวเวิร์นมองตามแล้วเข้าใจในทันที จริงด้วย อาวุธคู่กายของเขาถูกต้องสงสัยว่าเป็นอันเดียวกับแวมไพร์คิลเลอร์ อาวุธในตำนานของตระกูลเบลมอนต์ ผู้เป็นคู่ปรับของแดร็กคูล่ามาอย่างยาวนานนี่นา
“เข้าใจล่ะ…งั้น…ทั้งสองคน…ฟังให้ดีๆ นะ…” มัลโก้กล่าวออกมาด้วยสีหน้าจริงจังซึ่งดูราวกับเป็นคนละคนกับตาลุงผู้ร่าเริง หนุ่มสาวทั้งสองเกิดอาการเกร็งขึ้นมาอย่างกะทันหันราวกับกำลังลุ้นผลรางวัลล็อตเตอรี่
“จากการตรวจสอบอย่างละเอียดที่ผ่านมา…ทำให้เราสรุปได้ว่า…แส้อันนี้นั้น….” มัลโก้หยุดพักหายใจชุ่วครู่ก่อนที่จะกล่าวต่อ “…..เป็นแค่ของทำเลียนแบบน่ะ…”
“อ…เอ๋…? ข…ของเลียนแบบเหรอครับ…”
“อืม…ใช่แล้วล่ะ…”
มัลโก้ใช้นิ้วจิ้มไปที่นาฬิกาข้อมือสองสามครั้งเพื่อเรียกหน้าจอสามมิติขึ้นมา โดยบนหน้าจอปรากฏรูปแส้และรายละเอียดต่างๆ เต็มหน้าจอ
“เราได้ทำการวิเคราะห์ ทดลอง และเปรียบเทียบกับข้อมูลของแวมไพร์คิลเลอร์เท่าที่ทางเรามีอยู่ ด้านคุณสมบัติต่างๆ นั้น แส้ของไวเวิร์นคุงมีคุณสมบัติคล้ายกับแวมไพร์คิลเลอร์อยู่ถึง 85% แต่พอลองนำมาเปรียบเทียบด้านพลังและประสิทธิภาพดู ปรากฏว่าแส้ของไวเวิร์นคุงกลับมีพลังและประสิทธิภาพไม่ถึง 50% ของแวมไพร์คิลเลอร์ด้วยซ้ำ”
“ตอนแรกทางเราก็ตั้งสมมุติฐานว่าอาจจะเป็นเพราะไวเวิร์นคุงเพิ่งได้รับแส้มาไม่นาน เลยทำให้ยังไม่สามารถดึงพลังออกมาใช้ได้เต็มที่ แต่หลังจากที่พวกเราทดลองเปลี่ยนค่าตัวแปรต่างๆ เพื่อจำลองสถานภาพต่างๆ ที่เป็นไปได้ก็แล้ว ปรากฏว่าผลการตรวจสอบก็แทบจะไม่ต่างออกไปจากเดิมเลย”
“ดังนั้น จึงทำให้ทางเราสรุปได้อย่างเดียว ว่านี่ไม่ใช่แวมไพร์คิลเลอร์ แต่เป็นของที่พยายามทำเพื่อให้เหมือนกับแวมไพร์คิลเลอร์น่ะ”
มัลโก้กล่าวสรุปอีกครั้งพร้อมกับหน้าจอสามมิติที่แสดงรูปกากบาทสีแดงออกมา
“ด…เดี๋ยวก่อนนะครับ” ไวเวิร์นเอ่ยปากขัดจังหวะขึ้น “แต่ตอนที่ผมได้รับแส้มาเป็นครั้งแรก ผมรู้สึกว่ามีพลังเอ่อล้นออกมาอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนด้วยนะครับ”
“นั่นเป็นเพราะว่าแส้ช่วยดึงพลังที่แท้จริงของไวเวิร์นคุงออกมาน่ะ”
มัลโก้ตอบ
“เดิมทีไวเวิร์นคุงมีพลังที่จะใช้ต่อกรกับปีศาจอยู่ในตัวอยู่แล้ว แต่เพราะใช้ชีวิตตามปกติตลอดมา ทำให้ไม่มีความจำเป็นต้องใช้พลังนั้นเลย พลังเลยหลับใหลมาตลอดราวกับว่ามันไม่เคยมีอยู่”
“แต่พอไวเวิร์นต้องต่อสู้กับปีศาจ และได้เป็นเจ้าของแส้ มันเลยช่วยปลุกพลังที่หลับใหลนั้นขึ้นมา อันที่จริงต่อให้เจ้าของแส้นี่ไม่ใช่ไวเวิร์นคุง แต่เป็นคนอื่นที่มีพลังปราบปีศาจหลับใหลอยู่ มันก็คงจะช่วยปลุกพลังของคนคนนั้นขึ้นมาได้เช่นกัน”
“ง…งั้นเหรอครับ…”
“บอกตามตรง ชั้นเองก็รู้สึกผิดหวังนิดหน่อยกับเรื่องนี้เหมือนกัน แต่ก็คาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่าไม่มีทางที่จะเจออาวุธที่สูญหายไปตั้งแต่เมื่อ 45 ปีที่แล้วได้ง่ายๆ แบบนี้หรอก แต่ว่าแค่เราได้คนอย่างไวเวิร์นมาเพิ่มแค่คนเดียวก็ถือว่าคุ้มค่ามากแล้ว ต้องขอขอบคุณจริงๆ นะ” เก็นยะคำนับขอบคุณชายหนุ่มอีกครั้ง
“ม…ไม่หรอกครับ ผมเองก็ต้องขอบคุณคุณเก็นยะด้วยเหมือนกัน” ไวเวิร์นกล่าวแล้วคำนับอีกฝ่ายกลับ
“เดี๋ยวชั้นกับมัลโก้จะไปจัดการเรื่องอื่นหน่อย แต่ชั้นจะให้คนเตรียมวาร์ปเกทสำหรับกลับศาลเจ้าฮาคุบะให้ภายในสามสิบนาที ระหว่างนั้นเชิญพักผ่อนตามสบายไปก่อนนะ”
พอกล่าวเสร็จ เก็นยะและมัลโก้ก็หันหลังกลับแล้วเดินผ่านประตูไฟฟ้าออกไปจากห้อง เหลือไว้เพียงคู่รัก เอ้ย คู่เพื่อนสนิทที่อยู่ในห้องเพียงแค่สองคน
“งั้นเหรอ…สรุปว่าชั้นไม่ใช่ผู้สืบทอดในตำนานอะไรนั่นสินะ…” ไวเวิร์นถอนหายใจแล้วนอนแผ่ลงบนเตียงอย่างไม่ค่อยร่าเริง
“ไวเวิร์น…ผิดหวังงั้นเหรอ…?” ซากุระมองหน้าเพื่อนชายอย่างสงสัย
“เปล่า…จะบอกว่าผิดหวังมันก็ไม่ค่อยถูกนักหรอก…”
ไวเวิร์นเกาแก้มอย่างพูดไม่ถูก
“จะว่าไงดีล่ะ…จู่ๆ ชั้นก็ได้รับแส้อันนี้มา แล้วคุณเก็นยะก็มาบอกว่าชั้นอาจจะเป็นผู้สืบทอดอาวุธในตำนาน มันทำให้ชั้นรู้สึกว่าพวกเขาคาดหวังในตัวชั้น เห็นชั้นเป็นฮีโร่ที่จะช่วยนำความหวังมาสู่พวกเขาได้”
“แต่ใจความจริงแล้วมันไม่ใช่หยั่งงั้นเลย วันนี้…ทุกคนเกือบไม่รอดเพราะชั้นสังหารคามิลล่าไม่สำเร็จ และผลการตรวจสอบก็ดันกลายเป็นว่าเจ้านี่เป็นแค่ของเลียบแบบ ชั้นก็เลยรู้สึกว่าตัวเองมันไม่ได้เรื่องเลย ทั้งที่ทุกคนคาดหวังในตัวชั้น…แต่ชั้นกลับทำให้พวกเขาผิดหวัง….ก็เลย…”
“ไม่ใช่อย่างงั้นหรอกนะ!”
ซากุระพูดขัดออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง ไวเวิร์นมองใบหน้านั้นของเพื่อนสาวอย่างประหลาดใจ
“ซากุระ…?”
“ไม่ใช่อย่างงั้นหรอก ไวเวิร์น”
ซากุระพูดทวนอีกครั้ง
“ทั้งคุณเก็นยะ ทั้งคุณมัลโก้ แล้วก็คนอื่นๆ ก็ไม่ใช่ฮีโร่ เป็นเพียงแค่คนธรรมดา ซึ่งทุกคนต่างก็พยายามอย่างสุดความสามารถมาตลอด แล้วก็พบกับความผิดหวังมาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง เป็นคนไม่ได้เรื่องมาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง แต่พวกเขาก็ยังคงไม่เลิกรา ยังคงพยายามต่อไปเพื่อความหวังของตัวเอง จนกระทั่งพวกเขามีวันนี้ได้”
“ไวเวิร์นเองก็เป็นเหมือนกับพวกเขา ถึงจะไม่ใช่ผู้สืบทอดในตำนาน ถึงจะมีแค่อาวุธทำเลียนแบบ ถึงตอนนี้จะยังผิดหวัง แต่ก็เป็นส่วนที่ช่วยให้ทุกคนมีความหวังมากขึ้น เป็นหนึ่งในคนที่จะนำความหวังของทุกคนกลับมา ดังนั้น เชื่อมั่นในตัวเองเถอะนะ…ไวเวิร์น…”
“ซ…ซากุระ…”
ไวเวิร์นจ้องมองตาสีมรกตคู่นั้นอย่างไม่ละสายตาราวกับต้องมนต์สะกด นานเท่าไหร่แล้วนะที่เขาไม่ได้เห็นเพื่อนสาวของเขาที่มีใบหน้าจริงจังเช่นนี้ ไม่รู้ทำไมพอได้เห็นใบหน้านี้ของเธอเข้าแล้วมันทำให้เขาไม่อยากละสายตาออกไปจากเธอเลย
“ล…แล้วก็…อีกอย่างนะ…” ซากุระเริ่มพูดขึ้นมาอีกครั้ง แก้มของเธอเปลี่ยนสีเป็นสีชมพูอ่อนเล็กน้อย
“อ…อีกอย่าง…อะไรเหรอ?”
“อ…อีกอย่าง…ส…สำหรับฉันแล้ว…” ซากุระหันหลบตาเพื่อนชาย แก้มเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงนิดๆ “สำหรับฉันแล้ว…ไวเวิร์น…เป็น…ฮีโร่…ของฉันล่ะ…”
“อ..เอ๋….เอ๋~~~!?”
ไวเวิร์นร้องออกมาอย่างประหลาดใจที่จู่ๆ เพื่อนสาวก็พูดออกมาเช่นนั้น ใบหน้าของเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงเหมือนกับเพื่อนสาวเช่นกัน
“ก…ก็…ไวเวิร์นช่วยชีวิตฉันไว้ถึงสองครั้งนี่นา…” ซากุระหันกลับมามองอีกฝ่าย ใบหน้าเต็มไปด้วยสีแดงเข้มยิ่งกว่าเดิม “ถ…ถ้าไม่ได้ไวเวิร์นช่วยไว้ ฉันคงจะมานั่งอยู่ตรงนี้ไม่ได้หรอก ว…ไวเวิร์นก็เลย…เป็นเหมือนฮีโร่ของชั้นไง…”
ความเงียบปกคลุมห้องพยาบาลแห่งนั้นอีกครั้ง พร้อมกับบรรยากาศในห้องที่ดูเหมือนกับฉากที่นางเอกกำลังพลอดรักกับพระเอกในหนังแนวโรแมนติก ดวงตาของทั้งสองสบกันโดยไม่มีแม้แต่ท่าทีจะกระพริบตา ใบหน้าสีแดงก่ำที่แสดงถึงความเขินอายฉาดฉายออกมาไม่หยุดราวกับดวงตะวันสองดวง บรรยากาศที่เหมือนเวลาถูกหยุดเอาไว้ยังคงดำเนินต่อไปอยู่หลายวินาที จนกระทั่ง….
โครก~~~!!!
เสียงหนึ่งดังขึ้นทำลายบรรยากาศที่กำลังชวนให้เคลิบเคลิ้ม ทั้งสองคนมองไปทางต้นเสียง ซึ่งไม่ใช่สิ่งอื่นไกลที่ไหน แต่เป็นกระเพาะของชายหนุ่มที่ส่งเสียงประท้วงออกมาเพราะไม่ได้รับอาหารเป็นเวลานานแล้วนั่นเอง
“…อุ้บ…ฮ่ะๆๆๆๆๆๆ~”
ทั้งสองคนเปล่งเสียงหัวเราะออกมาพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย
“โทษทีๆ~ ดูเหมือนชั้นจะใช้พลังงานมากไปหน่อยเลยรู้สึกหิวขึ้นมาน่ะ~” ไวเวิร์นพูดทั้งที่ยังคงหัวเราะไม่หยุด
“ง…งั้นเดี๋ยวฉันจะไปเอาอาหารที่ครัวมาให้ ไวเวิร์นรออยู่ที่นี่ก่อนล่ะกันนะ~” ซากุระยกมือปาดน้ำตาที่ซึมออกมาจากการหัวเราะแล้วลุกเดินออกไปที่ประตู
“อ้ะ เดี๋ยวก่อน ซากุระ” ไวเวิร์นยกมือขึ้นห้ามไว้
“เอ๋? อะไรเหรอ?” ซากุระหยุดเดินอยู่ที่หน้าประตูแล้วหันกลับมามอง
“…ขอบใจนะ” ไวเวิร์นยิ้มกว้างให้กับเพื่อนสาว ซากุระอ้าปากค้างเล็กน้อยอยู่ซักพักก่อนที่จะยิ้มตอบกลับมา
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ก็พวกเราเป็นเพื่อนสนิทกันนี่นา~”
เธอเปล่งรอยยิ้มที่แสนจะน่ารักอยู่ซักพักก่อนที่จะเดินออกจากห้องแล้วเดินออกไปตามทางเพื่อไปยังโรงครัว
“ไวเวิร์นเองก็กำลังพยายามอยู่สินะ…”
ซากุระพูดกับตัวเองระหว่างทางเดิน
“ฉันเองก็…ไม่ควรที่จะทำตัวงี่เง่าให้เป็นภาระของไวเวิร์นสินะ…”
เธอบ่นขมุบขมิบเช่นนั้นก่อนที่จะเดินผ่านประตูไฟฟ้าตรงหน้าไปสู่โรงครัว
--- ปราสาทแดร็กคูล่า ---
“น่าเจ็บใจที่สุด…น่าขายหน้าที่สุด…”
หญิงสาวชุดแดงโอดครวญออกมากลางทางเดินที่ว่างเปล่าในขณะที่กำลังเดินลากขากลับห้องตัวเอง ภายในจิตใจของหล่อนเต็มไปด้วยความเดือดดาลอย่างถึงที่สุด ถ้าเป็นหล่อนในตามปกติคงจะแผดเสียงตวาดออกมาจนลั่นปราสาทไปแล้ว แต่หล่อนในตอนนี้ซึ่งอาการสาหัสจนถึงขั้นต้องเอามือกุมหน้าอกไว้ไม่อาจทำเช่นนั้นได้ หล่อนจึงได้แต่โอดครวญด้วยเสียงแผ่วเบาที่ไร้ซึ่งพลังแทน
“คอยดูเถอะ…ไว้ข้าหายดีเมื่อไหร่…ข้าจะฆ่าให้หมด…ฆ่าไม่ให้เหลือ…”
“อ้าว~? นั่นมันคามิลล่าไม่ใช่เหรอ~?”
เสียงแหลมใสเสียงหนึ่งดังกังวานขึ้น คามิลล่าหันไปตามต้นเสียงแล้วก็พบกับเจ้าของเสียงกำลังเดินเข้ามาใกล้ๆ หล่อน
“อะไรกัน…เจ้าเองเหรอ…ซาคิวบัส...”
คามิลล่าพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยเป็นมิตรซักเท่าไหร่นักกับซาคิวบัส ผู้ซึ่งเป็นปีศาจสาวที่มีผมสีน้ำตาลอ่อนยาวถึงกลางหลัง ใบหน้าที่มีดวงตาสีน้ำตาลอ่อนงดงามราวกับดอกกุหลาบที่เพิ่งผลิบาน
ชุดของเธอเป็นชุดรัดรูปสีดำ ที่เผยรูปร่างที่แสนเซ็กซี่ของหน้าอกคัพดี และเอวกับสะโพกอันงดงามจนชายใดก็ต้องหันมามอง นอกจากนี้เธอยังมีหูที่มีลักษณะแหลมคล้ายกับหูของเอลฟ์ ปีกสีน้ำตาลดำขนาดใหญ่คล้ายกับปีกค้างคาว แล้วเล็บมือเล็บเท้าอันแหลมคม ซึ่งเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าเธอไม่ใช่มนุษย์
“หายากนะเนี่ยที่ฉันคนนี้ได้เห็นเธอในสภาพเช่นนี้เนี่ย~” ซาคิวบัสมองร่างตรงหน้าพร้อมกับหัวเราะคิกๆ
“ชิ…ถ้าทำได้ข้าก็ไม่อยากให้ยัยปากสว่างอย่างแกเห็นนักหรอก…” คามิลล่าหันหน้าหลบอีกฝ่ายอย่างมาสบอารมณ์
“คิกๆๆ~ ฉันก็แค่อยากจะหาเรื่องคุยกับคนอื่นบ้างเท่านั้นเอง” ซาคิสบัสหัวเราะ “ว่าแต่ ดูเหมือนว่าศัตรูของเธอจะแข็งแกร่งกว่าที่คิดสินะ ถ้าไม่รังเกียจ เดี๋ยวฉันจะไปจัดการแทนเธอให้เองเอามั้ยล่ะ~?”
“หึ…ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าช่วยหรอก” คามิลล่าตอบแล้วเดินลากขาต่ออย่างไม่สนใจอีกฝ่าย “ไว้ครั้งหน้าข้าคนนี้จะมอบความตายให้กับพวกมันเอง”
“แหมๆ~ หัวดื้อเหมือนเดิมสมกับเป็นเธอเลยนะ~” ซาคิวบัสพูดพลางถอนหายใจ “แต่ว่าเสียใจด้วยนะ เพราะว่าเธอน่ะ…ไม่มีครั้งหน้าอีกแล้วล่ะ!!”
“!! อ…อะไรน่ะ!?”
คามิลล่าส่งเสียงร้องออกมาเมื่อจู่ๆ ก็มีสายเถาวัลย์หนามจำนวนมากเคลื่อนไหวเข้ามารุมรัดตัวเอง เมื่อหล่อนหันไปมองทางที่เถาวัลย์พุ่งมา ตาของหล่อนก็เบิกกว้างขึ้นอัตโนมัติกับภาพของต้นไม้สีเขียวขนาดประมาณสิบเมตรอันน่าขยะแขยงที่เต็มไปด้วยเถาวัลย์หนามนับร้อย
“พืชปีศาจ Gluttony Sins(บาปแห่งความตะกละ) ไงล่ะ~”
ซาคิวบัสตอบอย่างใจเย็น
“มันจะปล่อยเถาวัลย์ออกมารัดเหยื่อพร้อมกับค่อยๆ ดูดพลังจากเหยื่ออย่างช้าๆ เมื่อเห็นว่าเหยื่อหมดแรงแล้ว ก็จะดึงเหยื่อเข้ามาในร่างตัวเอง แล้วก็ทำการกลืนกินร่างของเหยื่อเข้าไปจนไม่เหลือซาก ถ้าเป็นเธอตามปกติคงจะเป่ามันเละในทีเดียวได้ แต่ถ้าเป็นเธอในตอนนี้ล่ะก็ไม่มีทางหนีรอดจากมันได้แน่~”
“ก…แก…แกเองก็…คิดจะ…กำจัด…ข้างั้นเหรอ” คามิลล่าพยายามตะโกน แต่หล่อนในตอนนี้ไม่เหลือแม้แต่แรงที่จะต้านทานพืชปีศาจ เลยทำให้หล่อนทำได้แค่เพียงพูดด้วยเสียงที่แผ่วเบาเท่านั้น
“ฉันเปล่าน้า~ ที่จริงฉันก็ไม่ได้อยากทำหรอก แต่มันเป็นคำสั่งของนายท่านนี่นา~” ซาคิวบัสยักคอและยกมือทั้งสองขึ้นเป็นการบอกว่ามันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้
“ก…แก…โก…หก…” คามิลล่าพยายามพูดในขณะที่ร่างของหล่อนถูกกลืนไปแล้วครึ่งร่าง
“ฉันเปล่านะ นายท่านพูดอย่างงั้นจริงๆ ท่านยังฝากฉันมาบอกเธอด้วยนะ ว่าแกน่ะมันหมดประโยชน์แล้ว” ซาคิวพูดพูดอย่างเศร้าใจแล้วค่อยๆ หันหลังเดินออกไป “ฉันคงจะเหงาแย่เลยล่ะ~ เพราะจากนี้ไปฉันจะไม่ได้เจอเธออีกแล้วนี่นา~”
“ด…เดี๋ยว…ก่อน…”
คามิลล่าพยายามยกมือห้ามไว้ แต่อีกฝ่ายไม่สนใจแล้วเดินผ่านประตูไปเสียแล้ว ทำไมกัน ทำไมหล่อนที่เป็นถึงเจ็ดปีศาจบริวารถึงต้องเจอเรื่องแบบนี้ด้วย อะไรกันที่ทำให้หล่อนต้องมาจบชีวิตลงเช่นนี้ และในวินาทีนั้น หล่อนก็ได้นึกถึงระเบิดสุดท้ายที่หล่อนโดนมา…
ใช่แล้ว!! เพราะระเบิดนั่น!! ถ้าหากว่าไม่มีระเบิดนั่น หล่อนก็คงยังฆ่าพวกเศษสวะได้สำเร็จ และเอาตัวซากุระ คุรุสุมาได้แน่ ขอแค่ไม่มีระเบิดนั่น….
แต่ว่า…ระเบิดนั่นเป็นฝีมือใครกันล่ะ? ที่แน่ๆ ไม่ใช่ฝีมือของพวก สวะนั่นแน่ เพราะพวกนั้นยังประหลาดใจตอนที่ร่างของหล่อนโดนระเบิดอยู่เลย ถ้างั้นเป็นใครกัน…ใครกันที่มอบจุดจบให้หล่อนเช่นนี้…
ในตอนนั้น หล่อนก็ได้สังเกตเห็นร่างร่างหนึ่ง ร่างนั้นยืนกอดเสาอยู่ในเงามืดจนไม่อาจมองเห็นหน้าตา แต่ด้วยโครงร่างคร่าวๆ จากเงามืดก็ทำให้หล่อนรู้ได้ว่าใครอยู่ตรงนั้น และในวินาทีนั้น หล่อนก็นึกอะไรบางอย่างได้
ระเบิด…คนที่เป็นศัตรูกับหล่อน…ร่างตรงหน้า พอเอามารวมกัน หล่อนก็เข้าใจทุกอย่างกระจ่างแจ้งในทันที
“ก…แก…เป็นฝีมือแกสินะ!!”
คามิลล่ารวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายตะโกนใส่ร่างนั้น แต่ร่างนั้นก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรเลยนอกจากเผยรอยยิ้มออกมาทางมุมปาก
“ข้าจะฆ่าแก…ข้าจะดูดเลือดแก!!”
คามิลล่าตะโกนใส่อย่างเคียดแค้น หล่อนอยากพุ่งเข้าไปฉีกร่างนั้นเป็นชิ้นๆ เหลือเกิน แต่หล่อนในตอนนี้ทำแบบนั้นไม่ได้เสียแล้ว
ร่างของหล่อนโดนพืชปีศาจกินไปจนหมดเหลือแต่ใบหน้าที่ยังโผล่ออกมา ตาของหล่อนเริ่มพล่ามัว หูของหล่อนเริ่มไม่ได้ยินอะไรอีกแล้ว สติของหล่อนเริ่มค่อยๆ หายไป
ใช่แล้ว หล่อนกำลังจะตาย ปีศาจที่มีชีวิตอันเป็นนิรันดร์อย่างหล่อน…กำลังจะตาย
แต่ในวินาทีสุดท้ายก่อนที่ชีวิตหล่อนจะดับลงนั้น หล่อนตัดสินใจแผดเสียงอย่างเคียดแค้นเป็นครั้งสุดท้ายใส่ร่างในเงามืดนั้น
“แกจะต้องไม่ตายดีแบบข้า!! ข้าขอสาปแช่งแก!! คาราสุ!!”
ฉูด!!
เลือดสดๆ พุ่งออกมาจากทุกรูขุมขนของพืชปีศาจ คาราสุเดินออกมาจากเงามืดมาอยู่ตรงหน้าของพืชปีศาจที่ถูกย้อมไปด้วยสีแดง พร้อมกับยิ้มออกมาอย่างพอใจถึงที่สุด
“ลาก่อนนะครับ~ ท่านคามิลล่า~”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ