ลิขิตจันทรา ภาค มายาแห่งดวงใจ (注定月下老人 )

8.0

เขียนโดย Wuzhenni

วันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 เวลา 22.20 น.

  22 ตอน
  9 วิจารณ์
  30.96K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 20.59 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

14) แต่งเสร็จแล้ว

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

ไออุ่นจากกล่องข้าวในมือ ทำให้หญิงสาวร่างกระปุก รู้สึกหายง่วงในบันดล

 

พราวฟ้าเดินลัดเลาะผ่านตึกเรียนหลายแห่ง เพื่อมุ่งไปยังเรือนหลังเล็กใกล้กับรั้วโรงเรียนฝั่งหลัง

 

" จะไปไหน?" 

 

เสียใครคนหนึ่งดังขึ้น แม่นางร่างอวบหันไปมองที่มาของเสียงอย่างงุนงง

 

" อาจารย์หลี่หวัง.."

 

ร่างสูงในชุดเสื้อคอจีนสีดำ หัวเราะนิดๆ กับท่าทีเด๋อด๋าของอีกฝ่าย

 

" เพิ่งตื่นรึไง ? มาสายกันทั้งคู่เชียว"

 

" อ่า  ท่านอาจารย์ทราบด้วยหรือคะ?"

 

" ครับ" คนตอบ อมยิ้มนิดๆ  รอยยิ้มหวานเอื่อยอ่อนกับดวงหน้าคมดุ ช่างไม่ประสานกันซะเลย

 

" จะไม่ให้ทราบกันได้ยังไง ก็ผมเป็นคนเช็กบัตรเข้าโรงเรียนของอาจารย์ทุกคนอยู่แล้ว"

 

" ถ้างั้น...ใครมาเช้าที่สุดล่ะคะ"

 

คนหน้าดุชี้นิ้วจ่อมาที่ตัวเขาเอง  พลางยิ้มมุมปากน่ารักน่าชังในคราวเดียว

 

" ผมมาเช้าที่สุด"

 

" โห...." หญิงสาวมองหน้าตาฉงน  

 

ตื่นเช้าขนาดนี้ มีวินัยยอดเยี่ยมไร้ที่ติ

 

สมกับเป็นหัวหน้าครูฝ่ายปกครองของแท้เลยเชียว

 

" แล้วนี่จะไปไหน?"

 

" อาจารย์ห้องครัว วานให้พราวถือกล่องข้าวไปส่งลุงยามน่ะค่ะ"

 

" อ่อ ลุงจัน"  เขาเอ่ยเสียงเรียบก่อนจะก้าวมายืนอยู่ข้างๆ สาวปุ๊กลุก ทันที

 

ไอร้อนจากกล่องสี่เหลี่ยมบนฝ่ามือ คงมิอาจสู้ไอละอุ่นจากกายของคนที่ยืนข้างได้

 

แม้มิได้สัมผัส แต่หากรู้สึก

 

ทว่า..ความรู้สึก  ยังคงห่างไกลกัน

 

ที่จะเปิดเผยให้รับรู้ได้  เพียงแค่ถูกขวางกั้น

 

จากบางสิ่งในหน้าที่

 

ทั้งสองก้าวเท้าเดินเคียง ผ่านพุ่มไม้ใบหญ้าที่ร่วมกันประสานจังหวะให้พร้อมกับบางสิ่งที่กำลังเต้นรัวอยู่ใต้ทรวง

 

คล้ายดั่งบทเพลงในหัวใจ เริ่มบรรเลงขับกล่อม..

 

ให้เจ้าของอารมณ์รู้สึกหวั่นไหวกันไปเท่านั้น

 

" เอ่อ อาจารย์ค่ะ"  

 

"ครับ"  มุมหน้าโหด แลคร้ามครั่นสำหรับผู้คนหมู่มาก

 

หากแต่หล่อน "ใบหน้าเหี้ยมที่คอยเสี้ยมผู้คนทั้งหลายเหล่า" 

 

แท้จริง...ก็แค่หน้ากากที่สวมไว้ให้คนเกรง จนกลัวเสียกันโดยง่าย

 

แต่ถึงกระนั้น...หล่อน..ก็ยังคงเกรงเขา

 

ไม่ถึงกับ "กลัว" จนใจแทบแกว่ง

 

" ต้องทำแบบนี้ทุกวันเหรอคะ?  เอ่อ พราวหมายถึง ส่งกล่องอาหารให้..ลุงยาม"

 

" ครับ ต้องทำแบบนี้ตลอด"

 

"ทำไมค่ะ?"

 

" แกเป็นลุงยาม อยู่ที่นี้มานาน ถ้าจำไม่ผิดก็คงจะเข้ามาช่วงรุ่นๆ คุณพ่อของท่านรองน่ะ อาจารย์หมายถึง ท่านผู้อำนวยการโรงเรียนคนปัจจุบัน"

 

"โห  อยู่นานจัง?"

 

"แน่นอน... เป็นบุคคลที่ใครหลายๆคน เคารพและให้ความสำคัญยิ่งกว่า ท่านรอง ผอ. เสียอีกนา"

 

เขายิ้ม แต่อีกฝ่ายกลับชักหน้างง ไม่เข้าใจเท่ากับคนที่อยู่มาก่อนตน

 

" ใครๆก็เรียก แกว่า ลุงยามปากพระร่วง"

 

" ทำไมค่ะ?"  หญิงสาวร่างอวบหันมาถามพร้อมกับอีกฝ่ายที่หันมาเตรียมพ่นคำตอบใส่

 

" แกชอบไปทำนายทายทักดวงชะตาคนอื่นอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะเรื่องความรัก แกทายแม่นนักเชียวล่ะ ถ้าลุงแกบอกว่าเลิกก็เลิกจริง ถ้าแกบอกว่าสมพงศ์ไปกันรอด มันก็อยู่รอดจนร่อนการ์ดมาเชิญไปงานแต่งกันตั้งหลายคู่"

 

" ดีจัง" แม่ร่างกระปุกฉีกยิ้มกว้าง พลางดันแว่นตาให้เข้าที่

 

" อย่างงี้คงมีนักเรียนหลายคนวิ่งกันวุ่นเลยซิคะ"

 

" โอ๊ย  ถ้ามันทำ ป่านนี้ผมคงโดนไล่ออกไปนานแหล่ะ "

ชายหนุ่มหัวเราะร่า อากัปกิริยาที่ไม่เปิดเผยให้ใครเห็นได้ง่าย

 

คงจะเก็บและกดทุกอย่างไว้...นานเกิน

 

 

  " การเป็นครูฝ่ายปกครองมันไม่ได้ดีอะไรเลย ใช่...เด็กอาจจะไม่กล้าหือตรงๆ  แต่ลับหลังแล้ว ลมปากของคน ทั้งเด็กทั้งผู้ปกครอง เอาไปพูดกันเสียให้เละ  มองว่าไอ้พวกระเบียบจัด มันก็ไม่ได้ดีไปมากกว่ากันซักเท่าไหร่

แต่สุดท้าย....วินัยในตัวเอง จะทำให้เรามีชีวิตรอดอยู่ในสังคมต่อไปได้" 

 

" อาจารย์...คงจะเหนื่อย ?"  เธอถามหน้าซื่อ ขณะที่หัวใจของคนที่จะตอบกลับพองโตขึ้น

 

" มาก" เสียงพ่นลมออกจากปาก พอบ่งบอกความเหนื่อยล้าที่มีอยู่มาก ตามคำพูด

 

" แต่ก็ต้องทำ เพราะมันเป็นหน้าที่"  เขาหันมามองหล่อนอีกครั้ง แววตาลุ่มลึก ยากหยั่งรู้ หากอบอุ่น แผ่ซานรู้สึกได้

 

" เธอเองก็เหมือนกัน หน้าที่สำคัญในวันแรกยังทำได้ไม่ดี  คนที่ทำอะไรเชื่องช้า ไร้วินัย โรงเรียนนี้คงจะอยู่ลำบากหน่อย"

 

" ฟ้าก็ไม่ได้ทำตัวแย่ขนาดนั้น แค่ตื่นสาย" หล่อนเถียงหน้างอน  มุมปากขมุบขมิบคล้ายดั่งจะพูดพล่ามให้มากความ ทว่า..ใครเล่าที่จะกล้าประชันฝีปากผู้เขี่ยวชาญการด่าเด็กมาหลายปีกับเขาผู้นี้ได้

 

" คนเราผิดหนเดียวไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าติดเป็นนิสัยเขาเรียกว่า ไร้สำนึก"

 

พราวฟ้าหันมามองหน้านิ่ง ในขณะคนที่ลับฝีปากไว้จนคมกริบ กลับไม่สะทกสะท้านอะไรมากนัก

 

“ นั้นไง ลุงจัน แหม....ดูสินั่น ขยันอ่านหนังสือยิ่งกว่าเด็กนักเรียนบางคนซะอีก”

 

เขาเปลี่ยนเรื่องคุยได้เร็วเกินกว่าที่แม่นางร่างกระปุก จะแปรเปลี่ยนตามอารมณ์ได้ทัน

 

หญิงสาวลดฝีเท้าลงเมื่อเห็นใครคนหนึ่งตรงเก้าอี้ม้าหินอ่อนสีขาว   

 

ชายแก่กับวัยที่เหมาะกับการนั่งจิบน้ำชาในบ้าน มากกว่าตำแหน่งผู้ตรวจการณ์ในโรงเรียน

 

ลุงยามที่เธอกับเขาเอ่ยถึงเมื่อค รู่กำลังนั่งอ่านหนังสือเล่มเก่าๆที่หล่อนคาดว่า คงเป็นหนังสือที่ไม่มีขายแล้วในยุคนี้

 

“ ท่านผู้เฒ่าครับ”  เสียงล้อเลียนแบบเป็นกันเองของอาจารย์หลี่หวัง ทำให้คนถูกล้อเลื่อนใบหน้า

จากหนังสือ หันมาจับจ้องที่มาของเสียงนั่น

 

ชายร่างสูง ผอมบาง  ใต้อาภรณ์สีเก่าซอมซ่อ ไรหนวดสีขาวเงาวาวสอดรับกับดวงหน้าผุดผ่อง บริสุทธิ์ คล้ายดั่งสายน้ำที่ไหลวนเวียน ชำระความหมองเศร้ามิให้เกิด  

 

หากแต่เพียงแวบแรกที่เห็น ความการุณที่ส่งผ่านรอยยิ้มเล็กๆ บนดวงหน้า กลับทำให้หล่อนรู้สึกแปลก

 

ความรู้สึกที่เหมือนมีบางสิ่งกำลังสัมผัสข้อนิ้วอันอวบอิ่ม

 

บางอย่างที่กำลังทำให้หล่อนรู้สึกหลุดลอยไป

 

มีสิ่งๆหนึ่งที่มิอาจมองเห็นได้

 

มันเคลื่อนไหวไปพร้อมๆ กับแววตาของผู้ที่อยู่เบื้องหน้า

 

บุรุษสูงวัยส่งรอยยิ้มให้อีกฝ่าย แต่ดวงตากลับเลื่อนมามองตัวหล่อนคล้ายดั่ง สำรวจพินิจพิเคราะห์อย่างถี่ถ้วน

 

“สวัสดีครับ ลุง”  ชายหนุ่มเอ่ยทักทายพลาง ก้มหัวยกมือไหว้อย่างนอบน้อม 

 

 “ เปิดเทอมคราวนี้  ดูผอมไปเยอะนะครับ”

 

“ คงเป็นเพราะไม่ได้ทานข้าวจากแม่ครัวโรงเรียนล่ะมั้ง”  

 

คนตอบยิ้มบางๆ ก่อนจะชี้นิ้วที่หยาบแห้งมายัง คนติดตามของคู่สนทนาอย่างแช่มช้า

 

“  อาจารย์ใหม่หรือนั่น?”

 

คนถูกถามเหลียวตาหันไปมองหญิงสาวกายจำแลง เหมือนดั่งฝาแฝดกับตุ๊กตาญี่ปุ่น ที่ดูๆแล้ว ตัวกลมๆไม่ต่างกันมากนัก

 

“ ก็ไม่เชิงหรอกครับ  เป็นนักศึกษามาฝึกสอนเฉยๆ”

 

“สวัสดีค่ะ”  มารยาทที่ถูกอบรมมาอย่างดีไม่ให้เสียเครดิตนักศึกษาครูภาษาไทย กิริยาที่หวานนิ่ง  เรียบร้อย น่ามองชม 

 

นี้กระมัง....ที่ทำให้หัวใจใครคนหนึ่งต้องสั่นไหว

 

ทุกครั้งที่ชายหนุ่มได้พบพานกับสาวงามทั่วแหล่งล้า แม้ภายนอกจะงดงามจับใจยิ่ง  แต่ภายในกลับคุกกรุ่นด้วยแรงปรารถนาเกินตัว

 

หลี่หวังชายตามองคนในความดูแลของเขาทุกท่วงท่า  สายตาที่ไม่ได้เลาะโลมเหมือนชายเจ้าชู้

 

ก็แน่ล่ะ.....ผู้หญิงแบบพราวฟ้า  คงไม่มีอะไรน่าพิศวาส

 

“ ก็แค่เอ็นดู”

 

เด็กตัวเล็กๆ ป้อมๆ ไม่ได้หุ่นดีเพรียวเลิศ

 

ไฉนควรจะมาเคียงคู่กับเขาได้  ใครเห็นจะได้หัวเราะกันทั่ว

 

ไหนจะท่านรอง ผอ. หน้าน้ำแข็งนั้นอีกเล่า

 

“ ถ้าจะหาได้เท่านี้ ก็ไม่ต้องมีมันหรอก ความรัก... เสียเวลา”  วาทะเฉือนเชือดของเจ้านายเขา วิ่งเข้าสู่โสตประสาทในฉับพลัน

 

หัวเราะยังพอว่า .....แต่ ด่า  แบบมีมารยาท  คงไร้ทางจะต่อกรกันได้

 

เห็นเขาเป็นอาจารย์ฝ่ายปกครอง ช่ำชองเรื่องด่าเด็กมาหลายปี

 

สุดท้าย...ก็เถียงสู้คนจ่ายเงินเดือนไม่ได้อยู่ดีนั้นแหล่ะ

 

" อ๋อ นักศึกษาครูที่อยู่บ้านพักหลังนั้นสินะ เออ...ดีๆ เพิ่งจะเคยเจอกัน  แล้วนั้นถืออะไรมาด้วยล่ะครับ"

 

“ อาจารย์ที่โรงครัว ท่านให้ฟ้าถือกล่องอาหารมาให้น่ะค่ะ”

 

“ อ๋อ  คงจะเป็นอาจารย์แม่หน้าแก่ๆล่ะสิ  เออเฮอะ ไม่เคยยอมหนีห่างจากเตาแก๊สกับกระทะเลยนะนั้น

ไหนๆ  ส่งกล่องข้าวมาให้ผมดูหน่อย วันนี้ทำอะไรให้กินกันละหนอ”

 

ลุงจันหยิบกล่องข้าวมาเปิดดูก่อนจะตักข้าวพูนช้อนเข้าปาก เคี้ยวตุ้ยๆ ไม่สนโลก ไม่สนคน

 

ชายหนุ่มเดินมาหย่อนก้นนั่งลงข้างๆ ชะเง้อชะแง้มอง สำรับ ในกล่อง ด้วยอารมณ์อยากรู้อยากเห็น

 

“ กับข้าว ไข่เจียว แค่เนี้ย" อาจารย์ฝ่ายปกครองชี้กับข้าวไข่เจียว สีเหลืองอร่ามที่ตอนนี้กำลังหั่นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยคลุกเคล้าพร้อมกับเม็ดข้าวกลมป่อง

 

" เขาทำให้กินก็ดีถมเถแล้วล่ะครับ ครู"

 

"อันที่จริงอาจารย์แม่  ท่านก็เป็นอาจารย์ประจำห้องครัวมานาน ฝีมือปลายจวักแกก็ไม่เป็นสองรองใคร แต่ทำไมถึงยังครองตัวโสดมาได้ซะขนาดนี้  คงต้องยกเลิกโครงการรับสามีเข้าบ้านแล้วละมั้ง” 

 

ชายหนุ่มพึมพำๆไปเรื่อยเปื่อย หากแต่คนนั่งฟัง ยิ้มแป้น  ราวกับรู้อยู่แล้วว่า เพราะอะไร

 

" ถ้าหาได้ ป่านนี้แกคงเกษียณไปนอนแอ้แต้อยู่บ้านนานแล้วล่ะ ครู...จะมาทนนั่งหน้าดำกับเตาแก๊สไปทามมายย"

  

 

 

" แสดงว่าตอนนี้อาจารย์แกยังหาไม่ได้" อาจารย์หลี่หวังหันมาถาม คนตอบตอบทั้งๆที่ข้าวเต็มปากว่า

 

" อายุปูนนี้ หาไม่ทันแล้วคร๊าบ อาจารย์หวัง"

 

 

" นั้นสิ " ชายหนุ่มหัวเราะเอิ๊กอ๊าก คนนั่งตุ้ยข้าวก็หัวเราะยิ้มๆ  ประหนึ่งกลัวข้าวจะติดคอตาย อายคนเขาสิ!

 

" ผมก็กลัวว่า ตัวเองจะเหมือนกับอาจารย์แม่ โสดเพราะหน้าตัวเอง ดุเกิน"

 

 " หน้าดุสิดี เวลารักกันจะได้รู้ว่าดูที่หน้าหรือดูที่ใจ เอาน่า....จะรีบร้อนไปทำไม๊ รอนิดรอหน่อยเดี๋ยวก็หาเจอ ... ความรัก ถ้าอยากจะได้คู่รักที่ดี ไม่ทิ้งกัน มันก็ต้องใช้เวลานานซักนิดหนึ่ง เดี๋ยวนี้คนเรามันรักกันง่าย แต่จะให้มั่นคงอยู่จนหัวหงอก เท้าง่อยน่ะ หายาก"

 

“ ความรัก ต้องใช้เวลาด้วยเหรอครับ?”   เขาถาม คุณลุงผู้น่าเชื่อถือเรื่องความรัก  หากแต่เม็ดข้าวที่กรอกอยู่เต็มปาก ฉะรอยคล้ายจะอุดตันอยู่ที่คอ เจ้าตัวเลยวิ่งแจ้นไปหยิบขวดน้ำยกดื่มทันทีพลางบุ้ยใบ้ชี้นิ้วไปที่แม่สาว

อาจารย์คนหล่อหน้าเหี้ยมเห็นดังนั้น จึงหันมาถามหญิงสาวร่างกระปุกแทน

 

“ เธอคิดว่า ความรัก ต้องมีเวลามั้ย?”

 

“ ไม่ทราบคะ”

 

“ ไม่ทราบ อ่อ  แสดงว่ายังไม่เคยรักใครสินะ  เอ๊ะ หรือ   ต้องบอกว่า เคยมีใครมารักเธอรึเปล่าใช่มั้ย? ”

 

คำถากถางเมื่อครู่ กล่าวได้ยากว่ากำลังถูกล้อ หรือ หลอกด่าให้เจ้าหล่อนง้างปากพูดกับเขากันแน่ หลังจากที่แม่นางตัวกลมนิ่งเงียบอยู่นานสองนาน

 

“ คุณพ่อคุณแม่ของฟ้าไงคะ  ท่านไม่เห็นต้องกำหนดช่วงเวลาว่ารักแค่นี้หรือรักเท่านี้พอ   ความรักบางทีก็ไม่จำเป็นต้องไขว่คว้าหาคนอื่นมาเติมเต็ม  แค่ความรักของพ่อแม่เติมเต็มทุกอย่างให้กับเราแล้ว”

 

เหมือนมีอะไรกระแทกใส่หัวอย่างจัง  อาจารย์หลี่หวังย่นจมุก บุ้ยปาก ใส่อีกฝ่าย 

 

“ เคยด่าเด็กนักเรียนมาหลายปี  กรรมตามสนองก็คราวนี้แหล่ะ!!!”

 

ชายแก่อมยิ้มบางๆ  รอยยิ้มแห่งความเมตตาที่พราวฟ้ารุ้สึกถึงได้อย่างอบอุ่น  ลุงจันเดินกลับมานั่งตามเดิมพร้อมหยิบหนังสือเล่มเดิม พลิกเปิดอ่านด้วยสีหน้าระรื่นคล้ายกับจะตรวจทานในสิ่งหนึ่ง ก่อนจะพับปิดลงอย่างแผ่วเบา

 

“ พูดได้ไม่เลวเลย  ความรักไม่จำเป็นต้องไขว่คว้าหาคนอื่นมาเติมเต็ม พ่อแม่นี้แหล่ะ..ฐานความรักที่ยิ่งใหญ่  มนุษย์ชอบปล่อยให้เทวดาบนสวรรค์ทำงานหาเนื้อคู่จนหัวโตกันหมด ถึงได้หาแฟนช้าไง”

 

“ลุงจันมีญาติเป็นเทวดาหรือครับ ถึงรู้มากซะขนาดเนี่ย”

 

คนตอบดูเหมือนจะหัวเสียจริงๆ 

 

“ แค่เดาน่ะ  คิดว่า เทวดาเขาก็เหนื่อยของเขา  แต่ละปีมีคนบวงสรวงขอน้ำ ขอฝน บนบานขอหวย ขอโชค ขอนู่นนี้นั่น  ดูเหนื่อยๆจะตายไป”

 

“ ตอนอยู่ไต้หวัน ผมเคยได้ยินตำนานเกี่ยวกับเทพที่ดลบันดาลเรื่องความรัก จำไม่ได้ว่าชื่ออะไร   แม่ผมเคยพาผมไปไหว้อยู่ครั้งหนึ่ง ผมขอพรจากท่านด้วยนะ ผมขอว่า .....”

 

เสียงโทรศัพท์ที่ดังขัดจังหวะอารมณ์ของครูฝ่ายปกครองหน้าโหด สายตาที่เห็นเบอร์โทรเพียงแวบแรก เสียงลมหายใจหนักๆ ก็ดังผ่านโพรงจมูกทันที

 

"หมดเวลาเล่าต่อเลยแห่ะ ผมต้องรีบกลับไปทำงานแล้ว ใกล้ถึงเวลาที่เด็กจะเข้าแถว วันนี้เวรหน้าเสาธงวันแรกซะด้วยสิ”

 

“ ทำแบบนี้มาหลายปี ก็น่าจะชินแล้วนะ อาจารย์หวัง”

 

“ ไอ้ชินมันก็ชินอยู่หรอกครับ แต่มันก็น่าเบื่อที่ต้องทำหน้าขมึงตึง เก๊กหน้าโหดใส่พวกเด็กๆ  ตัวจริงผมไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นนา”

 

หญิงสาวชำเลืองตามอง บุรุษผู้ที่เปล่งวาจา ของคำว่า “ไม่น่ากลัว” ออกมาจากริมฝีปากรูปสวย 

ช่างตรงกันข้ามเสียจริง หลักฐานที่อยู่บนหน้า  ถ้าไม่เรียกว่าโหด จะให้เรียกว่าอะไรเล่า?

 

“หน้าตาเหมือนมาเฟีย ตอนแรกก็เก๊กไว้ท่า  ไปๆมาๆเก๊กไม่ออกเสียแหล่ะ พูดจานิ่มๆหยิ่มๆ ไม่ยักจะเหมือนครูฝ่ายปกครองเลยซักนิด โธ่..น่ากลัวตายหล่ะ ” 

 

เสียงเจ้าโย่งคนงาม ดังแทรกผ่ากลางระหว่างความคิดของหล่อน

 

ไรหนวดเขียว ที่ขึ้นอยู่รอบปาก กับคิ้วหนาที่พาดขนาบกับดวงตาเรียวดุคู่นั้น

 

มองยังไง มันก็ไม่ค่อยต่างกับมาเฟียเลยจริงๆ

 

หล่อนหวนนึกถึง  ครั้งแรกที่ได้เจอะเจอกัน ชายหนุ่มในร่างชุดสูท คำพูดที่ดูน่าเกรงจิตเกรงขาม  

ภาพของคนคุมโรงเรียน ตำแหน่งหน้าที่คล้ายผู้คุมนักโทษ

 

หากใครจะรู้ว่า ยามไกลห่างจากสายตาของผู้คน  จะทำให้เห็นอุปนิสัยช่างพูดจนเกือบจะ “น่ารำคาญหู” ไปด้วย

 

ส่วนเรื่องวางตัวนั่นเล่า......

 

ยิ่งดูยิ่งทำตัวเหมือนคนไร้หน้าที่การงาน  อยากทำอะไรก็ทำ อยากปลดปล่อยสิ่งใดก็ปล่อยมันจนมิเหลือเค้าครูฝ่ายปกครองให้เห็น

 

แม้แต่ดวงตาที่แสนละมุน  ยังเพิ่มลูกเล่นแพรวพราว คล้ายดั่งแววตาของเด็กน้อยที่รอคอยอิสระในบางอย่าง

 

“ ชีวิตก็อย่างนี้แหล่ะอาจารย์หวัง อยู่กับสิ่งเดิมๆ มันก็ย่อมน่าเบื่อเป็นธรรมดา เดี๋ยวก็มีอะไรๆมาเติมเต็มไม่ให้ชีวิตน่าเบื่อเหมือนเเต่ก่อน”

 

“ สิ่งเติมเต็ม มันหมายถึงอะไรเหรอครับ” เขาทำหน้างงๆ พลางบ่นอุบอิบในใจ

 

คงต้องไปเรียนภาษาไทยให้เพิ่มพูนขมองเสียหน่อย...

 

ครูภาษาไทย..คนไหนดีหนอ

 

หรือจะรอคนใกล้...แค่ปลายหางนัยน์!!

 

ชายแก่หัวเราะเบาๆ พลางโบกมือไล่อย่างคนเหนืออำนาจมากกว่า

 

“ เปล่า..อย่าสนใจเลย รีบไปทำงานเถอะครับ อู้งานกันทั้งครูทั้งยาม ประเดี๋ยวท่านรอง จะกินหัวเข้าให้”

 

“ลุงน่าจะถามก่อนนะครับว่า จะมีคนยอมให้ท่านตะครุบกินหัวรึเปล่า? ทุกวันนี้เด็กนักเรียนเจอแกทีไร วิ่งหนีจ้าละหวั่นยิ่งกว่าเจอไม้เรียวผมซะอีก”

 

“คนอย่างท่านรอง อีกเดี๋ยวก็จะดุไม่ออกแล้วละครับ”  ลุงจันอมยิ้มคล้ายมีเลศนัยแอบแฝง หากแต่มองผิวเผินก็คงเป็นรอยยิ้มธรรมดาของคนวัยปล่อยวางแล้วทุกสิ่ง

 

หญิงสาวมองบุรุษผู้โรยราด้วยวัยที่เกินแก่การทำงานท่ามกลางลมแดดที่พัดผ่าน ร่างที่ผ่ายผอม ดูเหมือนคนไร้เรี่ยวแรงจะทำสิ่งใดได้อีก  

 

“ ทำมาหลายปีก็น่าจะพักผ่อนเสียบ้าง งานแบบนี้ให้คนหนุ่มคนโตทำจะดีกว่ามั้ง”

 

พราวฟ้านึกบ่นอยู่ในใจ

 

ทว่า....สิ่งๆหนึ่งกำลังจับจ้องอยู่บนเวหาชั้นฟ้าอันเวิ้งว้าง  แต่เหมือนอยู่ใกล้กันไม่กี่คืบ

 

เสียงพิรุณพัดผ่านมาพร้อมกับเสียงปริศนาของใครคนหนึ่ง

 

“ ขอบคุณที่เป็นห่วง”

 

ถ้อยคำชื่นหูวิ่งเข้าใบหูผ่านย้อนขึ้นไปที่โสตประสาท

นัยนาคู่หวานกวาดสายตามองอย่างใคร่รู้

 

 “ คนดีๆ คิดสิ่งใดก็ย่อมเกิดสิ่งนั้น ”

เสียงยังคงวนเวียนอยู่แทรกผ่านระหว่างความคิดของหล่อน

 

 ดวงตายังคงทำหน้าที่คว้านหาเสียงปริศนานั่น

 

แต่สิ่งที่หล่อนเห็น มีเพียงใบไม้ที่ปลิวไสวบนยอดกิ่งเรียวเล็ก  แสงแดดยามเช้าที่เจิดจ้า

และ ภาพของบุรุษต่างวัยกำลังสนทนากันอย่างครื้นเครง

คนสองคนที่ยืนคู่กัน ไม่มีใครหันมาสนใจเธอเลย

 

แล้วใครกัน

 

เสียงของใคร?

 

“ ยืนเหม่ออะไรอยู่ ไปๆ!!!  กลับเข้าโรงเรียนได้แล้ว ป่านนี้เพื่อนเธอจะไม่ยืนบ่นปากแฉะแล้วเร๊อะ”

 

มือหนาแกร่งตบหัวเธอเบาๆ ก่อนจะสาวเท้าแข่งกับเสียงกริ๊งของโรงเรียนที่ดังขึ้นอยู่ทุกช่วงขณะ

 

พราวฟ้ารีบก้าวเท้ายาวตามคนตัวสูงให้ทัน แต่ทำอย่างไรขาเจ้ากรรมก็ทำได้แค่เดินเหยาะแหยะไปตามพื้นผิวถนน

 

“ เดินตามให้ทันเสียสิ   คนๆเนี่ย จับไว้ไม่ยากหรอกนะ ”

 

เสียงปริศนา ที่ไร้วี่แววเจ้าของเสียงดั่งเคย

หญิงสาวหันกลับไปมองบ้านพักลุงยาม ที่ตอนนี้คงเหลือไว้แค่ความอ้างว้าง ร้างไร้ผู้คน  ณ ที่แห่งนั้น

 

ไม่มีใครอาศัยอยู่ กลอนประตูถูกล็อคไว้อย่างหนาแน่น 

 

แต่ไยเธอถึงมิได้ยินเสียงลงกลอนประตู

 

เนื้อร่างอวบสั่นวาบไปทั่วร่าง

 

ลุงยามหายไปไหน?? 

 

 พราวฟ้าสะบัดหัวเล็กน้อย กระพริบตารัวถี่ ภาพที่อยู่เบื้องหน้ายังคงเป็นภาพบ้านพักหลังเล็กกับชุดโต๊ะม้าหินอ่อนสีขาว

 

แต่ไร้เงาสิ่งมีชีวิตใดๆทั้งสิ้น

 

มีเพียงสรรพเสียงเรียกร้องจากสายลม ที่พลิ้วผ่านเรือนร่าง

 

ความรู้สึกหวาดกลัวเหมือนจะหายไป เพียงลมต้องเนื้อกาย

 

คล้ายดั่งมือใครที่ปลอบประโลมใจตน

 

ร่างกระปุกค่อยๆเคลื่อนกายหายเข้าไปในตัวหมู่อาคารเรียนอย่างทันที

 

....................................................................................................................

 

สายลมที่ปลิ้วไสว หากทว่า..เนื้อตามนุษย์หรือ....จะมองเห็นสิ่งที่ซ่อนไว้ใต้สายพิรุณ

 

ด้ายสีแดงล่องลอยใจกลางห้วงฟ้า

 

พร้อมมือนวลบางที่กำลังขีดเขียนบางอย่างไว้ในตำราสวรรค์

 

เสียงปริศนาบังเกิดก้องไปทั่วหล้า

 

ไม่มีผู้ใดรู้  ไม่มีผู้ใดเห็น  

 

เงาสีขาวปลิดปลิวคล้ายสายลม  หากมิใช่สายลมจริงๆ

 

“ท่านเทพแห่งจันทรา ผู้ลิขิตชะตาแห่งด้ายแดง

คำขอที่กล่าวไว้  กำหนดจากเทพ ปลดปล่อยจากใจ

อุปสรรคหนักหนาแค่ไหน  เพียงผ่านพ้นมันได้  ก็จักโชคดี!!!....”

 

 

 

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.6 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา