Thank For Your Smile...น้ำตา...ความฝัน...ความหวัง
เขียนโดย MightySoul
วันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เวลา 19.50 น.
แก้ไขเมื่อ 18 เมษายน พ.ศ. 2557 11.57 น. โดย เจ้าของนิยาย
20) บทที่ 19 เด็กสาวผู้มาพร้อมกับสายฝน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 19
เด็กสาวผู้มาพร้อมกับสายฝน
ท้องฟ้าสาดแสงอ่อนๆเข้ามาผ่านหน้าต่างบานใหญ่ที่ใหญ่พอจะแสดงให้เห็นถึงทิวทัศน์พืชสวนร่มไม้ภายนอกที่สวยงาม
ผมจ้องมองต้นไม่ต้นหนึ่งที่กำลังพลิ้วไหวไปตามแรงลมอ่อนๆ เสียงเสียดสีระหว่างใบไม้เบาๆแต่กลับได้ยินอย่างชัดเจน ราวกับเสียงพนักงานรอบตัวรวมถึงเพื่อนใหม่สองคนที่นั่งอยู่บนโต๊ะเดียวกันได้ถูกปิดกั้นออกไป
สิ่งที่ผมรับรู้ตอนนี้ ก็คงจะเป็นเสียงหัวใจที่เต้นตึกตัก น้ำตาที่ค่อยๆไหลพาความเย็นไปทั่วทั้งใบหน้า ภาพของเธอตอนที่หันมาหายังคงสะท้อนอยู่ในหัวอย่างไม่มีทีท่าว่าจะจางหาย
ทำไมกัน ทำไมตอนนั้นผมถึงไม่ทักเธอออกไปสักคำ ทั้งๆที่นี่น่าจะเป็นโอกาสที่ผมเฝ้าใฝ่หามาทั้งชีวิต หญิงสาวที่มักจะมาปรากฏอยู่ในฝัน หญิงสาวที่เปลี่ยนผมไปทั้งชีวิต ตอนนี้เธอกำลังยืนอยู่ตรงหน้าแล้วแท้ๆ ช่วงเวลาที่คิดว่าไม่มีทางจะมีอยู่จริงตลอดหลายปีที่ผ่านมา อย่างน้อยก็แค่คำพูดสิ้นคิดหรือโง่ๆกันยังดี แต่ผมกลับไม่ได้ทำ และไม่มีโอกาสที่จะย้อนเวลากลับไปเพื่อแก้ไขบางสิ่งบางอย่างที่ได้ทำผิดพลาดลงไป
“ริกะ...” การอุทานชื่อออกมาโดยไม่รู้ตัว ก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเหมือนกัน
เคนซากิและฮิโรชิเพื่อนร่วมโต๊ะทั้งสองของผม ต่างก็กำลังสงสัยกับอาการแปลกๆหลังจากกลับมา แต่ก็ไม่กล้าที่จะถามอะไร อาจเป็นเพราะเราทั้งสามคนยังไม่ได้สนิทกันมากเพียงพอก็เป็นได้
“อะ...เอ่อ ฟีล งั้นฉันขอไปทำงานต่อก็แล้วกัน” เคนซากิซังที่เป็นผู้อาวุโสที่สุด ดึงฮิโรชิออกจากเก้าอี้ อาจเป็นเพราะแกรู้ว่าสถานการณ์นี้ผมอยากจะอยู่คนเดียว มากกว่าจะพูดคุยสนทนากับใคร
แต่แล้วแสงแดดที่ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาก็กลับเบาบางลง ราวกับมีกลุ่มก้อนเมฆกำลังบดบังมันเอาไว้ ผมสังเกตได้ถึงความเปลี่ยนแปลงนี้จึงได้มองผ่านกระจกบางใสออกไป ซึ่งสิ่งที่เห็นก็ทำให้ผมรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย
สติที่จางหายไปเริ่มกลับคืนมา พร้อมกับที่ฟ้าปรากฏก้อนเมฆฝนรูปร่างเป็นแผ่นบางๆที่ไม่ง่ายนักที่จะได้เห็นก้อนเมฆในลักษณะนี้อยู่ตามท้องฟ้าทั่วไป
“ก้อนเมฆแบบนี้...อย่าบอกนะว่า” ภาพของใครบางคนแสดงขึ้นมาในหัว ก่อนที่จะจ้องมองขึ้นไปบนฟ้าเพื่อพยายามมองลักษณะของก้อนเมฆให้ถี่ถ้วนอีกครั้ง
“เป็นไปไม่ได้” ไม่ว่าจะมองกี่รอบต่อกี่รอบ ลักษณะเมฆก็ไม่เปลี่ยนแปลงไป มันยังคงเป็นเมฆที่เรียบแบนแต่กลับแฝงไว้ด้วยน้ำฝนจำนวนมหาศาลมากกว่าลักษณะที่เห็นภายนอก
ระหว่างที่สายตาจ้องมองแต่กับหน้าต่าง ก็ได้มีมือสองมือมาแตะที่บริเวณไหล่ จนแทบจะสะดุ้งล้มลงจากเก้าอี้ มือที่ให้ความรู้สึกเย็นเฉียบ นิ่ง เงียบ
ผมไม่ต้องสงสัยแกแล้วว่าเจ้าของฝ่ามือทั้งสองเป็นใคร ยิ่งรวมกับลักษณะเมฆฝนแบบนี้ด้วยแล้ว ยิ่งทำให้แน่ใจเข้าไปใหญ่
“เธอมาที่นี่ทำไม...พลอย”
“ว้าว ฟีลซังเดาถูกด้วยล่ะ” อากิส่งเสียงร้องใส
ผมหันหลังไปมองหญิงสาวทั้งสอง คนหนึ่งร้อนแรงราวกับไฟที่พร้อมจะแผดเผาทุกสิ่ง แต่อีกคนกลับเย็นเฉียบ เรียบนิ่ง ราวกับน้ำแข็งพันปี
“สวัสดีค่ะ พี่ฟีล คงไม่ได้ก่อเรื่องไว้ที่ไหนอีกใช่ไหม” ช่างเป็นคำพูดที่สุดแสนจะซึ้งกินใจที่พี่ชายคนหนึ่งพึงจะได้รับจากน้องสาวที่ไม่ได้เจอหน้ากันมานาน
“เธอก็น่าจะรู้คำตอบอยู่แล้วนี่นา ยัยน้องแสบ”
“ก็คงงั้นแหละค่ะ” พลอยตอบด้วยใบหน้านิ่งสนิท แต่แอบมีรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปาก
“ยังไม่เปลี่ยนเลยนะเธอน่ะ ยังไม่ค่อยพูดแบบเนี้ยเป็นไอดอลไม่ได้หรอกนะ”
“ถ้างั้นคนซุ่มซ่าม บ้าบอ ไม่รู้จักโต แถมชอบพูดเป็นต่อยหอยอย่างกับตัวเองเป็นไอดอล ก็คงเป็นนักดนตรีที่ดีไม่ได้หรอกค่ะ” สายตาที่นิ่งสนิทของเธอ ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
“เอ๋ๆ พูดเยอะขึ้นแล้วนี่นา”
“ก็เป็นแต่เฉพาะกับพี่นั้นแหละ”
“แล้วตกลงเธอมาที่นี่ทำไมเนี้ย มาเที่ยวเหรอ?” ผมหันไปมองอากิที่กำลังเฝ้าจับตามองพวกเราทั้งสองคนคุยกันอย่างออกรสออกชาติ
“ก็ประมาณนั้นแหละ มันช่วงปิดเทอมนี่นา ก็อยากจะออกมาดูโลกภายนอกบ้าง แล้วอีกอย่าง ปล่อยพี่อยู่คนเดียวมาตั้งนาน ก็อยากมาดูว่าตอนนี้เป็นตายร้ายดียังไงไปแล้วบ้าง”
“ยังไม่ตายก็แล้วกัน ยัยน้องบ้า” ผมใช้มือขวาเอื้อมขึ้นไปลูบหัวผู้เป็นน้องสาว
อากิที่มองอยู่มานาน เมื่อเห็นว่าเราทั้งสองคนไม่ได้มีบทสนทนาอะไรเพิ่มเติม เธอจึงขอพูดบ้างหลังจากที่อัดอั้นมานาน
“ฟีลซัง สบายดีมั้ยค่ะ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน”
ผมหันไปมองเด็กสาวที่สดใส ร้อนแรง รอยยิ้มของเธอดึงดูดสายตาของผมไปได้ทุกที “นานที่ไหน แค่ไม่กี่ชั่วโมงเองไม่ใช่เหรอ”
“แหม แค่นี้ก็นานแล้วนี่ค่ะ”
และแล้วฝนที่ตั้งเค้า ก็ได้เริ่มทำหน้าที่ของมัน ฝนปลอยๆตกลงมาทั้งๆที่ไม่ใช่ฤดูที่ฝนน่าจะตก เสียงเม็ดฝนกระทบกับสิ่งต่างๆราวกับวงดนตรีวงใหญ่ ที่เล่นท่วงทำนองแห่งธรรมชาติที่ยากนักที่ใครจะเลียนแบบ
“เอ๋ ฝนตกได้ยังไงเนี้ย” อากิอุทานด้วยความสงสัย พลางมองผ่านหน้าต่างขึ้นไปบนฟ้า
ผมหันไปมองหน้าพลอย ก่อนที่จะอมยิ้ม ซึ่งดูเหมือนว่าเธอจะรู้ตัวว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่
“พี่ฟีล มันไม่ใช่ความผิดหนูสักหน่อย ฝนมันตกเอง เข้าใจมั้ย มันตกเอง”
“งั้นเหรอ” เสียงหัวเราะยังคงถูกส่งออกมาเป็นจังหวะ นี่ช่างเป็นช่วงเวลาที่น่าคิดถึงเสียจริงๆ
ฝนเริ่มแสดงแสงยานุภาพของมันด้วยการสาดฝนห่าใหญ่ลงมาอย่างไม่บันยะบันยังและมีทีท่าว่าจะแรงขึ้นเรื่อยๆ
“ไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ไหน เมฆฝนแบบนั้นก็จะตามเธอมาทุกที”
“บังเอิญหรอกค่ะ บังเอิญ” พลอยแก้ตัว ทั้งๆที่หลักฐานก็ประจักษ์ชัดอยู่
อากิที่ดูเหมือนจะไม่รู้เรื่องอะไร ก็ไม่ได้ใส่ใจกับบทสนทนาระหว่างเราทั้งคู่นัก สายตาของเธอจับจ้องมองไปบนท้องฟ้า คล้ายกำลังคิดอะไรบางอย่าง ที่คงมีแต่เจ้าตัวที่รู้
“อากิ ขอบคุณนะ ที่นำทางพลอยมาให้” อากิได้สติคืนมา ก่อนที่จะละความสนใจจากหน้าต่าง
“อืม ไม่เป็นไรหรอก แต่ไม่น่าเชื่อเลยนะเนี้ยว่า ฟีลซังจะส่งที่อยู่ไปให้น้องสาวรู้ด้วย”
“ขอโทษก็แล้วกัน ยัยพลอยบังคับให้ส่งไปให้น่ะ ตอนแรกก็ไม่นึกว่าเธอจะบ้าจี้มาจริงๆหรอก” ผมเหล่สายตาไปที่พลอยที่ยังคงนิ่ง ไม่ค่อยพูดอะไร
“พลอย แล้วเธอจะเอายังไงต่อล่ะ”
“พี่ไปไหน หนูไปนั่น”
ผมพยักหน้าคล้ายเข้าใจ “ถ้างั้นก็ต้องช่วยเขาทำงานด้วยนะ จะมาอยู่ฟรีไม่ได้หรอก”
“อืม ทราบแล้ว” พลอยพยักหน้า พร้อมๆกับอากิ ซึ่งทำให้ผมรู้สึกแปลกใจ
“อากิ นี่เธอจะมาอยู่ด้วยเหรอ”
“แน่นอนสิค่ะ ขอพ่อมาแล้วด้วย”
ผมเริ่มรู้สึกมีลางสังหรณ์แปลกที่พวกเธอทั้งสองคนมาอยู่ด้วยกัน ราวกับพวกเธอทั้งสองคนคือเด็กผู้หญิงที่ต่างกันอย่างสุดขั้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะเข้ากันได้
เหตุการณ์เหล่านี้อาจจะทำให้ผมเริ่มรู้สึกสนุกขึ้นมาบ้าง แต่ถึงอย่างไรเรื่องราวของริกะก่อนหน้าก็เป็นสิ่งผิดพลาดที่ไม่อาจลืม
ตอนนี้ผมก็ทำได้แค่เก็บความรู้สึกนั้นไว้ในใจ แล้วทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหมือนกับท้องฟ้าในตอนนี้ ที่ถึงแม้เมฆฝนกำลังจะจางหายไป แต่มันก็จะยังคงวนเวียนอยู่แถวนั้นตราบใดที่พลอยยังอยู่แถวนี้
ตราบใดที่ยังไม่อาจลบภาพเธอออกไปจากจิตใจ นี่ก็จะเป็นความเจ็บปวด ที่ยังคงวนเวียนเพื่อรอวันปะทุขึ้นมาอีกครั้ง
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ