Thank For Your Smile...น้ำตา...ความฝัน...ความหวัง
เขียนโดย MightySoul
วันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เวลา 19.50 น.
แก้ไขเมื่อ 18 เมษายน พ.ศ. 2557 11.57 น. โดย เจ้าของนิยาย
18) บทที่ 17 แค่เริ่มก็วุ่น
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 17
แค่เริ่มก็วุ่น
ผมนั่งตากลมอยู่บริเวณม้านั่งใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ที่ถูกปลูกอยู่ใจกลางของสนามหญ้า ที่ร่มรื่นจนอาจจะเรียกได้ว่าเป็นสวนสาธารณะขนาดย่อมๆ
หลังจากที่รถได้มาหยุด ณ สถานที่แห่งนี้ เวลาก็ล่วงเลยไปกว่าชั่วโมง ของทุกอย่างที่จำเป็นถูกขนเข้าไปกองไว้ภายในฮอลต์ขนาดใหญ่ที่มีป้ายโฆษณาคอนเสิร์ตต่างๆแปะอยู่ประปราย
“ขอบคุณนะที่มาช่วย ทั้งๆที่ไม่ใช่ธุระของนายแท้ๆ”
“ไม่เป็นไรครับ มันเป็นสิ่งที่ผมต้องทำอยู่แล้ว”
ผู้ชายวัยราวๆสามสิบต้นๆไว้หนวดเคราดูท่าทางน่ากลัว แต่กลับใจดีอย่างไม่น่าเชื่อ
“หึๆๆๆ ได้ยินมาว่านายเป็นเพื่อนกับฮานะเหรอ ไม่อยากจะเชื่อเลยนะเนี้ย”
“จะเรียกว่าเพื่อน...ก็คงไม่ถูกต้องนักหรอกครับ” ผมตอบไปตามความจริง การที่ผมได้มาเจอกับฮานะแค่ไม่กี่ชั่วโมงนั้น จะให้เรียกว่าเพื่อนเลยก็คงจะกระดากปากไม่น้อย
ชายแปลกหน้าเทน้ำแปลกๆสีเขียวๆออกมาจากระติกที่พกติดตัวอยู่ตลอดเวลา ก่อนที่จะยื่นมาให้ ซึ่งผมก็รับไว้ด้วยความยินดี
“ไม่ใช่เพื่อน อืม เป็นแฟนงั้นเหรอเนี้ย”
น้ำสีเขียวๆที่เพิ่งทยอยเข้าไปในปาก พุ่งทะลักออกมาทันที่ชายแปลกหน้าพูดจบ
“อ้าวๆ เสียของนะเนี้ย สงสัยฉันจะพูดถูกสินะ”
“มะ...ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่เลย เป็นเพื่อนครับ เป็นเพื่อน ผมและฮานะเป็นเพื่อนกัน”
“อ่า อย่างงั้นหรอกเหรอ” สายตาที่ชายแปลกหน้าส่งมา ทำให้ผมไม่อาจแน่ใจได้ว่าเขาเข้าใจแบบที่ผมอยากให้เขาเข้าใจหรือเปล่า
เมื่อปัญหาทุกอย่างคลี่คลาย และไม่มีทีท่าว่าชายคนนี้จะพูดอะไรที่ทำให้ผมตกใจอีก ผมจึงดื่มน้ำสีเขียวที่ยังหลงเหลืออยู่เกินครึ่งแก้วลงไป
“อร่อยมั้ยล่ะ”
“นี่มันน้ำอะไรกันครับเนี้ย เป็นรสชาติที่ไม่เคยเจอมาก่อนเลย”
“แน่นอนสิ นี่เป็นสูตรลับของฉันเชียวนะ หนุ่มน้อย”
เจ้าน้ำสีเขียวๆให้ความรู้สึกสดชื่นกระปรี่กระเปร่า รสชาติหวานๆที่ไม่ได้หวานจนเลี่ยนเหมือนน้ำอัดลม คล้ายเจ้าสิ่งนี้จะเป็นชาเขียวที่ถูกปรุงแต่งด้วยวัตถุดิบและเทคนิคบางอย่างที่ไม่อาจคาดเดา
“เอาอีกมั้ยล่ะ” ชายแปลกหน้าหันหน้ามาถาม พลางกระเขย่ากระติกเพื่อให้รู้ว่ายังมีเหลืออยู่อีกมาก
ผมไม่รีรอที่จะยื่นแก้วส่งกลับไปให้ ก่อนที่เขาจะเทน้ำเขียวๆจนเต็มแก้วอีกครั้ง
คราวนี้ ผมค่อยๆดื่มอย่างช้าๆ เพื่อที่จะเก็บเกี่ยวรสชาติและวิเคราะห์เจ้าน้ำแปลกนี้ให้ได้มากที่สุด
รสชาติฝาดๆที่สัมผัสได้ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของชา แต่กลับแฝงไว้ด้วยความหวานแบบเครื่องดื่มสำเร็จรูปที่หาซื้อได้ตามร้านสะดวกซื้อ
“ขอโทษนะครับ นี่มันอะไรกันแน่ครับ”
“อ้อ จะเรียกง่ายๆว่าชาอัดลมก็คงจะไม่ผิดนักหรอกนะ”
“ชาอัดลม?”
“เป็นส่วนผสมที่ไม่น่าจะเข้ากันสินะ แต่ถ้าเราทำดีๆแล้วล่ะก็ ต่อให้สิ่งที่ไม่เข้ากันที่สุด ก็เข้ากันได้เหมือนกัน” ชายแปลกหน้ายื่นกระติกทั้งกระติกมาให้ ซึ่งผมก็รับไว้ด้วยความยินดี
“ฉันชื่อเคนซากิ ยินดีที่ได้รู้จัก”
“ผม ฟีลครับ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน”
ผมดื่มชาอัดลมไปอีกหนึ่งแก้ว ก่อนที่จะส่งมันกลับไป เรี่ยวแรงที่หายไปจากการขนของกลับมาอีกครั้งหลังจากได้นั่งพัก และดื่มเครื่องดื่มท่ามกลางบรรยากาศดีๆที่ไม่นึกว่าจะได้เห็นในใจกลางเมืองแบบนี้
ผมนั่งคุยเรื่องสัพเพเหระกับเคนซากิซังอยู่อีกเกือบครึ่งชั่วโมง จนเวลาล่วงเลยไปเกือบสิบเอ็ดโมงเช้า
“โอ๊ย ลุง มากินข้าวกลางวันได้แล้ว เดี๋ยวเราต้องไปจัดเวทีอีกนะ”
ผมและคุณลุงหันไปมองชายหนุ่มอายุราวๆยี่สิบต้นๆ ที่กำลังตะโกนพลางโบกมือกระโดดไปมาเพื่อให้เราสังเกตได้ง่าย
“โอ๊ย ไอ้ฮิโรชิ บอกกี่ทีแล้วว่าอย่าเรียกว่าลุงน่ะ เดี๋ยวคนอื่นเขาก็เข้าใจผิดหมดหรอก ฉันอายุแค่ 33 เองนะ เรียกว่าพี่สิพี่น่ะ”
“จ้าๆ ลุง รีบๆมากินข้าวได้แล้ว”
“ป๊ะ ไอ้นี้ก็บอกแล้วไงว่าอยากเรียกว่าลุงน่ะ”
บทสนทนาที่ทั้งสองคนตะโกนกลับไปกลับมา ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะกับบทสนทนาที่ทำให้รู้เลยว่าพวกเขาทั้งสองคนสนิทกันมากขนาดไหน
“ฟีล จะไปทานอาหารกับเรามั้ยล่ะ”
“เอ๊ะ ได้เหรอครับ”
“แน่นอนสิ” เคนซากิซังกระโดดออกจากม้านั่งเดินไปหาชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าฮิโรชิ โดยมีผมเดินตามไปติดๆ
ทันที่ฮิโรชิเห็นผมเขาก็รีบกล่าวทัก “อ๊ะ นี่มันคนที่เป็นเพื่อนกับฮานะซังนี่นา”
ท่าทางผมจะถูกรู้จักในนามนี้ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ครับ ผมชื่อฟีล ยินดีที่ได้รู้จัก”
“ผมชื่อฮิโรชิ หรือจะเรียกผมว่าฮิโระก็ได้”
ชายหนุ่มย้อมผมสีแดงฟูฟ่อง หน้าตาดี แต่งตัวทะมัดทะแมง โค้งคำนับด้วยความนอบน้อม ทั้งๆที่ผมอายุน้อยกว่าเขา แต่เขาก็ยังแสดงความเคารพที่ดูเป็นบุคลิกที่ไม่เข้ากับทรงผมเอาซะเลย
“โอ๊ย ไอ้ฮิโรชิ มื้อแรกวันนี้มีอะไรกินล่ะ อร่อยรึเปล่า?”
“แหมๆ ก็มีแกงกระหรี่เมนูธรรมดาๆบ้านๆแหละครับ ส่วนเรื่องรสชาติก็อย่าไปใส่ใจมากเลย ไม่เคยมีทัวน์ครั้งไหนที่รสชาติถูกปากอยู่แล้ว”
“นั้นสินะ ชินแล้วนี่นา”
คำพูดของทั้งสองทำให้ผมยิ่งอยากรู้ว่ารสชาติของอาหารจะแย่ขนาดไหน เขาถึงได้ทำหน้าปลงโลกถึงขนาดนี้
พวกเราทั้งสามเดินเข้าไปในอาคารที่มีลักษณะคล้ายเป็นโรงอาหาร ซึ่งภายในประกอบด้วยโต๊ะแล้วเก้าอี้จำนวนหนึ่งที่พอจะบรรจุคนได้ประมาณ 50 คน ได้อย่างสบายๆ เสียงโหวกเหวกโวยวายของพนักงานที่มารับประทานอาหารก่อนหน้าถ้าลองฟังดีๆแล้ว จะสังเกตได้เลยว่าแต่ล่ะคนกำลังบ่นเรื่องรสชาติอาหารที่สุดแสนจะถูกปากกันอย่างออกรสออกชาติ
“เอ้า ไปรับอาหารกันเถอะ ฟีล” เคนซากิซังจับแขนผมเชิงให้กำลังใจ สายตาของเขาสื่อได้ออกมาเป็นคำพูดว่า พยายามเข้านะ
ผมเดินเข้าไปในครัวพลางกลืนน้ำลายคล้ายคนที่กำลังจะโดนสำเร็จโทษประหาร แต่ล่ะก้าวที่เดินหนักขึ้นๆเมื่อเข้าใกล้กับใบหน้าของป้าแก่ที่ยืนเฝ้าหม้อแกงกระหรี่ของเธออยู่ในห้องสี่เหลี่ยมที่เพียบพร้อมไปด้วยอุปกรณ์ทำครัวต่างๆอย่างครบครัน
“เฮ้อ ทัวน์ครั้งนี้คนทำอาหารก็เป็นป้าแก่อีกแล้วเหรอ” เคนซากิซังบ่นเบาๆเพื่อไม่ให้ใครได้ยินนอกจากทั้งสองคนที่ติดตามเขามา
ทันทีที่คุณป้าเห็นเราทั้งสามคนเข้ามาระยะสายตา เธอก็ทำหน้าที่แม่ครัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ เธอรีบตักข้าวพร้อมราดแกงกระหรี่ร้อนๆพูนๆ โดยไม่คำนึงว่าเราจะกินหมดเหรอเปล่า
ผมเป็นคนสุดท้ายที่เข้าไปรับแกงกระหรี่จากมือของคุณป้า โดยมีเคนซากิซังและฮิโรชิซังยืนรอถือจานแกงกระหรี่อยู่ข้างๆ
คุณป้าทำหน้าไม่พอใจเมื่อเห็นผมทำท่าทีไม่ค่อยอยากจะรับเท่าไหร่นัก แต่ทันทีที่ผมตัดสินใจหยิบจานออกไปจากมือเธอ ก็ดูเหมือนว่าคุณป้าจะยิ้มออกได้บ้าง
“ขอบคุณครับ”
“ไมอร่อยหรอก แต่ก็พอยาไส้ได้”
ผมหันขึ้นมามองคุณป้าที่กำลังคนแกงกระหรี่ของเธออย่างใจเย็น ใบหน้าที่นิ่งสนิททำให้ผมพูดอะไรต่อไม่ออก นอกจากรีบเดินออกมา
คำพูดของคุณป้า หมุนวนอยู่ในหัวตลอดทุกย่างก้าวที่เดินออกมา ราวกับมีความมีความรู้สึกบางอย่างปรากฏขึ้นมาในจิตใจ รับรู้ได้ถึงความรู้สึกบางอย่างที่ส่งผ่านมาด้วยคำพูดเหล่านั้น
คุณป้ารู้ดีว่าอาหารของเธอไม่อร่อย แต่ถึงกระนั้นก็ยิ่งเจ็บปวดเมื่อเห็นคนที่รับประทานอาหารของเธอบ่นและติในเรื่องที่เธอก็รู้ตัวอยู่ เหมือนกับหินก้อนใหญ่ที่ล่วงหล่นลงมาทับลิ่มไม้ที่ปักติดอยู่กลางใจให้ฝังลึกลงไป
เราเลือกนั่งที่นั่งที่อยู่บริเวณมุมของโรงอาหาร กลิ่นของแกงกระหรี่ที่หอมยั่วยวนยิ่งทำให้รู้สึกแปลกใจกับอาการที่คนอื่นสื่อออกมาให้กับอาหารจานนี้
“น่ากินดีนะครับ”
“นั้นสิ ฮิโรชิ มึงมั่วรึเปล่าเนี้ย” เคนซากิซังหันไปถามเพื่อนต่างวัย
“ไม่รู้เหมือนกันสิครับ แต่คนอื่นเขามาบอกมางี้อ่ะ”
“ผมว่าเราอย่ามามั่วพูดกันเลยครับ ลองชิมพร้อมกันเลยดีกว่า” ทั้งเคนซากิซังและฮิโรชิซังต่างก็เห็นด้วยกับคำพูดของผม เราทั้งสามคนค่อยๆตักข้าวขึ้นมาช้อนใหญ่ก่อนที่จะนับหนึ่งถึงสามพร้อมกันในใจ
ทันทีที่นับถึงสาม รสชาติมากมายจากอาหารก็ถูกถ่ายทอดผ่านลิ้นราวกับน้ำตกที่ไหลเชี่ยว ผมหันขึ้นไปมองชายอีกสองคนเพื่อขอความคิดเห็น แต่พวกเขากลับยังไม่นำอาหารเข้าปากตามที่ตกลงกันไว้ พูดง่ายๆว่ามีแต่ผมเท่านั้นที่กำลังชิมแกงกระหรี่หม้อนี้อยู่
“เป็นไงบ้าง” เคนซากิซังถามขึ้น
รสชาติเปรี้ยวปนเผ็ดแต่กลับมีความหวานแซกขึ้นมาคลุกเคล้ากับรสเค็มแผ่ซ่านเข้าทั่วร่างกาย จนขนลุกชัน ในตอนนี้แค่พยายามกลืนอาหารช้อนนี้ลงไปในท้องให้ได้ก็นับได้ว่าเป็นเรื่องที่ยากเกินพอ
เสียงช้อนหล่นกระทบกับจานราวกับเป็นเสียงระฆังที่บ่งบอกถึงรสชาติอาหารให้กับชายตรงหน้าทั้งสองได้เป็นอย่างดี
“ไอ้ฮิโรชิ ฉันว่าเราไปหาอะไรกินข้างนอกกันดีกว่าว่ะ”
“นั้นสิครับ เคนซากิซัง”
ความรู้สึกวิงเวียนหัวจากรสชาติ แทบจะกระชากสติให้หลุดลอยไป อยากจะเอาหัวไปโขกกับกำแพงเพื่อลบล้างความรู้สึกแย่จากรสชาติๆให้มลายหายไป
“รสชาติ...แย่มากๆ” ผมรีบถือจากแกงกระหรี่นั้นเดินไปหาคุณป้าที่ยังคงคนแกงกระหรี่ของเธอราวกับร่างไร้จิตวิญญาณ
“ขอโทษนะครับคุณป้า แต่ผมกินมันไม่ไหวจริงๆ”
คุณป้าแทนที่จะทำสีหน้าไม่พอใจ แต่กลับกัน เธอกลับยิ้มออกมา
“งั้นเหรอ ขอบคุณนะที่เธอมาบอกกับฉันตรงๆ” คุณป้าหยิบแกงกระหรี่ไปจากมือผม ก่อนที่จะเดินไปเททิ้งพร้อมเดินกลับมาด้วยขนมปังหนึ่งก้อนในมือ
“เอ้า รองท้องซะนะ” ขนมปังก้อนกลมสีน้ำตาลอ่อน ที่ผิวเนื้อแข็งแตกระแหงจากการที่โดนปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลานานถูกยื่นมาให้ผม
“ขอบคุณครับ”
“แล้วแม่หนูล่ะ จะเอาแกงกระหรี่หรือขนมปัง” คุณป้าหันไปพูดกับผู้หญิงคนหนึ่งที่เพิ่งเดินเข้ามา
ผมหันไปมองตามสัญชาตญาณ ภาพที่เห็นต่อจากนี้...เป็นภาพที่แม้แต่ผมเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อว่ามันจะเป็นความจริง
เส้นผมดำตรงยาวสลวยดั่งแพรไหมที่ถูกทักถอโดยช่างฝีมือชั้นยอด นัยต์ตาดำสนิทสะท้อนประกายเป็นแววตาที่ไม่ว่าใครก็ไม่อาจลืมเมื่อแรกเห็น ผิวขาวดั่งหิมะที่ไม่เคยถูกต้องด้วยแสงใดมาก่อนทั้งชีวิต ยิ่งเข้าคู่กับรอยยิ้มที่ยากที่ใครจะเลียนแบบแล้ว ยิ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้หญิงตรงหน้าคือใคร
ถ้านี่เป็นความฝัน...ก็เป็นความฝันที่อยากจะให้คงอยู่ตลอดไป แต่ถ้านี่คือความจริง...นี่ก็คงจะเป็นปาฏิหารย์ที่ผมเฝ้ารอคอยมาทั้งชีวิต
ใจของผมเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ แม้ไม่มีกระจกก็รู้ได้ว่าใบหน้าตอนนี้คงจะแดงราวกับผิวหนังที่เพิ่งโดนน้ำร้อนลวกใหม่ๆ ใบหน้าร้อนผ่าวเกินกว่าจะควบคุม
...คิเซกิ ริกะ...ซัง
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ