ลิขิตรักสัญญาหัวใจ
เขียนโดย พัชรีพร
วันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เวลา 22.15 น.
แก้ไขเมื่อ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2556 11.59 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) วิวาห์ป่วน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ6
วิวาห์ป่วน
เสียงเพลงที่หน้าบ้านพักหลังใหญ่ดังขึ้นเป็นระยะ บ่งบอกว่าค่ำคืนนี้กำลังมีปาร์ตี้ริมสระ ซึ่งปาร์ตี้กลางคืนนี้ไม่ได้มีเพื่อนเจ้าบ่าวเจ้าสาวเหมือนดั่งตอนเช้า แต่ยังเชิญแขกในรีสอร์ทมาร่วมปาร์ตี้ทำให้ปาร์ตี้ดูคึกครื้น แสงไฟจากคบเพลิงที่จุดเป็นแนวทางยาวสว่างไสว แต่ก็ไม่สว่างไปกว่าดวงดาวบนท้องฟ้าที่กำลังส่องแสงระยิบระยับน่ามอง ลลนาที่ถูกจับเปลี่ยนเป็นชุดกระโปรงสีขาวคอกลม แขนตุ๊กตา ชุดเป็นระบายลูกไม้ที่ปลายกระโปรงทำให้เจ้าสาวดูนุ่มนวลอ่อนหวาน ไม่หวือหวามากนัก เหมาะกับบรรยากาศริมทะเล บนศีรษะสวมมงกุฎดอกไม้ ผมที่ตอนนี้ยาวกว่าเมื่อสองเดือนก่อนเล็กน้อยถูกย้อมกลับมาเป็นสีดำ ใบหน้าแต่งแต้มเครื่องสำอางสีหวานบาง ๆ พอเหมาะกับงานในคืนนี้ ซึ่งกว่าจะจับเจ้าตัวใส่ชุกนี้และแต่งตัวได้ทำเอาคนแต่งตัวถึงกับลมจับเมื่อเจ้าสาวไม่ให้ความร่วมมือสักนิด
“ฉันไม่เคยฝันมาก่อนเลย นับตั้งแต่วันที่แกคิดจะเป็นทอม ฉันไม่เคยคิดอีกเลยว่าแกจะได้แต่งงานอีก แต่วันนี้ พวกเราอยากร้องไห้” ธิติยาเอ่ยและจับมือเพื่อน
“ไม่ต้องทำหน้าซาบซึ้งใจ เพราะฉันไม่ได้รู้สึกดีใจเลยสักนิด” ลลนาเอ่ย
“แต่พวกฉันดีใจนี่นา แกเป็นคนแรกให้หมู่พวกเราที่ได้แต่งงาน มันซาบซึ้ง กว่าจะถึงพวกฉันก็เมื่อไหร่ไม่รู้ บางทีมันอาจจะไม่มีวันนั้นก็ได้
“แกก็รู้มันก็แค่งานแต่งงานแก้ขัดของเขา มันจะเป็นงานแต่งครั้งเดียว เพราะหลังจากหย่า ฉันจะไม่แต่งงานอีกตลอดชีวิต ฉันจะไม่เอาหายนะมาผูกติดตัวฉันไปตลอดชีวิตแน่นอน”
“ปากไม่เป็นมงคลแบบนี้ขอเอาไม้ตีปากสักทีเถอะ” แพรวพิมลเอ่ย
“ก็มันจริงนี่ งานแต่งหลอก ๆ ไม่ใช่งานแต่งจริง ๆ ถือว่าซ้อมแทนพวกแกไง ถึงวันพวกแกฉันจะได้ช่วย” ลลนาเอ่ย
“ไม่เอาแล้วค่ะ มันจะเป็นงานแต่งจริงหรือหลอก หนูนาไม่รู้หรอกนะคะ แต่สำหรับหนูนา มันคือวันที่ดีที่สุดของเพื่อนหนูนา ถ้ารู้ว่าลินินจะได้แต่งงาน วันนั้นหนูนาจะห้ามไม่ให้ลินินหั่นผมตัวเองทิ้ง” เพชรนารีเอ่ยและจับปอยผมซอยสั้นที่ยาวเพียงประบ่าของเธอ
“คิดว่าถ้าห้ามแล้วจะฟังไหมล่ะ”ทั้งสามไม่ตอบและพาเจ้าสาวออกจากห้องตรงไปที่งาน คืนนี้แขกในงานแต่งกายสีขาวไม่ต่างจากเจ้าบ่าวเจ้าสาว ติดที่ว่าที่เสื้อของแขกทุกคนจะติดเข็มกลัดดอกลีลาวดีสีขาวที่มีเกสรประกายสีเหลือง ธิติยาเดินจูงเจ้าสาวมาถึงสถานที่จัดงาน ตอนนี้เจ้าบ่าวกำลังยืนหน้าเซ็งอยู่ในกลุ่มเพื่อน ถึงแม้จะอยู่ในชุดสีขาวกลืนกับทุกคนแต่เขาก็ยังดูโดดเด่นมีออร่าประกายออกมา วันนี้เขาอยู่ในเสื้อเชิ้ตสีขาวกลัดกระดุมสี่เม็ด โดยปลดเม็ดบนออก แขนเสื้อเชิ้ตสีขาวยาวพับแขนขึ้นเล็กน้อย สวมทับด้วยกางเกงสีขาวขายาวพับขากางเกงขึ้นเล็กน้อย บนหัวของเขาสวมมงกุฎดอกไม้เช่นเดียวกับเธอ ลลนาได้แอบเดาในใจว่าคงต้องคะยั้นคะยอนานมากำแน่กว่าเขาจะยอมใส่มงกุฎดอกไม้นั่น แต่วันนี้เขาดูหล่อมากเมื่ออยู่ในลุคสบาย ๆ แบบนี้ และถ้าเขายิ้มอีกนิดมันจะทำให้เขาหล่อขึ้นอีกแน่นอน
“พี่ติณห์หล่อใช่ป่ะล่ะ” ธิติยาเอ่ย
“งั้น ๆ แหละ หล่อหน้าตายแบบนี้ เจ้าสาวที่ใช้ชีวิตด้วยคงเฉาตาย โชคดีของเจ้าสาวสามคนที่หนีไป แต่โชคร้ายมาตกอยู่ที่ฉัน” ลลนาเอ่ย ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ความรู้สึกตื่นเต้นก็ยิ่งทะยานเข้าใส่เธออย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งที่ปากก็บอกว่างั้น ๆ แต่พอเดินไปใกล้กลับควบคุมอาการแทบไม่อยู่ เธอจะเป็นแบบนี้ไม่ได้เธอไม่มีวันกลับไปชอบผู้ชาย ไม่มีวัน
“เฮ้!!! เจ้าสาวมาแล้วครับ เอาล่ะครับขอเวลาสักห้านาทีก่อนจะเริ่มงานกันต่อ ขอเชิญบ่าวสาวขึ้นมากล่าวอะไรเล็กน้อย เชิญครับ” ธนกฤตที่ถือไมค์ยืนอยู่บนเวทีไม้ยกระดับขึ้นมาหนึ่งขั้นบันไดเอ่ยเรียก เจ้าบ่าวยังยืนนิ่งจนติณภพสะกิด ทำให้เจ้าบ่าวเดินไปหาเจ้าสาว ติณภัทรมองสาวมาดทอมที่ปกติแต่งตัวห้าว ๆ ตามประสาคนที่บอกว่าตัวเองเป็นทอม ถึงอยู่ในลุคทอมเธอก็ยังสวยและดูดี แต่พอมาแต่งตัวสวย ๆ หวาน ๆ ลลนากับยิ่งสวย สวยมากจริง ๆ เขายืนมองเจ้าสาวด้วยแววตานิ่ง ทั้งที่ใจของเขากำลังสั่นไหว ความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นแบบนี้มันเรียกว่าอะไรกันนะ
“ยืนมือให้เจ้าบ่าวสิคะลินิน” ลลนาลังเลอยู่พักหนึ่ง จน
“ให้เกียรติแขกสักนิด” ติณภัทรเอ่ยเสียงเรียบ ลลนามองเพื่อนที่พลักดันเธอให้เข้าใกล้เจ้าบ่าวอย่างไม่พอใจแต่สุดท้ายลลนาก็วางมือลงบนมือของติณภัทร มือของเขายังคงอบอุ่น แต่มือของลลนากับเย็นเชียบ และนั่นทำให้ลลนาเงยหน้ามองตาคมดุที่เหมือนกำลังยิ้มออกมาทางแววตา มันทำให้เธอรู้สึกเหมือนโดนเค้าแกล้งอย่างไรเธอก็ไม่ทราบสาเหตุ แต่ที่แน่ ๆ มันทำให้เธอเสียเซลฟ์
“อย่ามัวแต่มองตาหวานกัน เอาไว้มองกันในห้องหอ ตอนนี้เชิญขึ้นมาได้แล้วนะครับ คุณติณภัทร คุณลลนา” ธนกฤตเอ่ยแซว ยิ่งทำให้เจ้าสาวรู้สึกเสียเซลฟ์ แต่ติณภัทรก็กึ่งลากกึ่งดึงเจ้าสาวขึ้นไปบนเวทีท่ามกลางเสียงโห่แซว
“เอาล่ะครับ บ่าวสาวให้เกียรติเราแล้ว งั้นก็เริ่มที่เจ้าบ่าวดีกว่าครับ เจ้าบ่าวมีอะไรอยากพูดหรืออยากจะบอกกับเจ้าสาวบ้างไหมครับ หรืออยากจะบอกแขก ตามสบาย” เจ้าบ่าวยังตีหน้านิ่งขรึมไม่ยิ้มรับ แทบอยากจะบอกไปว่าไม่มีอะไรจะพูดทั้งนั้นแหละ แต่ก็ยอมรับไมค์มาถือไว้ ดวงตาคมดุหันมองเจ้าสาวที่ขยับริมฝีปากพูดเสียงเบาให้ได้บินกันสองคน
“ในงานไม่ได้มีแค่คุณและเพื่อน มีคนอื่นด้วย ช่วยสร้างภาพสักนิดถ้าไม่อยากให้คุณพ่อคุณเสียหน้า”
“ครับ ก่อนอื่นก็ต้องขอขอบคุณแขกผู้มีเกียรติทุกท่านที่ให้เกียรติมาร่วมงานครั้งนี้ ขอบคุณจริง ๆ ที่มาร่วมเป็นสักขีพยานให้กับเราทั้งสอง ถึงแม้ผมกับเจ้าสาวจะรู้จักกันได้ไม่นาน” แน่นอนสี่วัน ไม่เกินห้า เจ้าสาวคิดในใจ
“แต่ผมก็รู้สึกดีใจและเป็นเกียรติที่ได้รู้จักกับเธอ จากวันนี้เธอจะมาเป็นคู่ชีวิตของผม ผมก็จะดูแลเธอให้ดีที่สุด จะทำตามที่ได้สัญญากันไว้อย่างแน่นอน ขอบคุณครับ” เจ้าบ่าวส่งไมค์ให้เจ้าสาวบ้าง เจ้าสาวได้แต่คิดในใจ แล้วเธอจะพูดอะไรล่ะ
“เอ่อ...คือว่า...ก็อย่างที่เจ้าบ่าวได้พูดไปหมดแล้วค่ะ ฉันดีจากที่ทุกคนมาร่วมเป็นสักขีพยานในครั้งนี้ ดิฉันขอสัญญาเลยว่านี่จะเป็นการแต่งงานครั้งเดียวในชีวิตฉัน” แน่นอนก็เธอจะไม่แต่งงานกับใครอีกไงล่ะหลังจากหย่าแค่เธอมาแต่งงานกับผู้ชายมันก็คือหายนะของทอมแล้ว
“หิ้ว” เสียงแซวจากข้างล่างทำให้เจ้าสาวปั้นหน้าไม่ถูก
“ดิฉันขอบคุณเจ้าบ่าวที่ให้เกียรติฉันเสมอมาตั้งแต่วันแรกที่เจอ เขาเป็นผู้ชายคนเดียวที่ฉันจะยอมรับค่ะ ขอบคุณค่ะ” ไมค์ถูกยื่นคืนให้ธนกฤตธนกฤตมองหน้าลลนาและยิ้ม แต่ก่อนจะได้พูดต่อ
“หอมแก้ม” เสียงหนึ่งเล็ดลอดขึ้นมากลางวง และเมื่อมีเสียงหนึ่ง เสียงสองสามสี่ก็ตามมา และทั้งงานก็
“หอมแก้ม หอมแก้ม หอมแก้ม” เสียงตะโกนดังขึ้น ทำเอาเจ้าสาวเจ้าบ่าวถึงกับนิ่งงัน เจ้าบ่าวมองลงไปด้านล่าง เขารู้ว่าต้นเสียงคือใคร จะเป็นใครไปได้อีกล่ะ ก็เพื่อนตัวแสบที่กำลังยื่นกลั้นหัวเราะอยู่ข้างล่างนั่นไง
“เอ่อ...เจ้าบ่าวหอมแก้วเจ้าสาวหน่อยสิครับ แขกเขาขอมา”
“แล้วทำไมฉันต้อง” เจ้าบ่าวกำลังจะอ้าปากด่า แต่
“หอมสิติณห์ แขกอุตสาห์สละเวลามาร่วมเป็นสักขีพยานแกจะไม่ตามใจแขกหน่อยหรอ” ติณภัทรมองหน้าบิดาที่ตอนนี้ส่งสายตาดุ ๆ มาทางเขาและเขาก็หันกลับมามองหน้าเจ้าสาวที่กำลังส่ายหน้า ใบหน้าขาวซีดมากจนเขาแยกอารมณ์ไม่ถูกระหว่างจะหัวเราะหรือเป็นห่วง
“เอาน่าคุณ ถือเป็นการพิสูจน์ตัวเองไง”
“ไม่ ฉัน”
“คุณกลัว” คำสบประหม่าทำเอาเจ้าสาวนิ่ง หน้าตาบึ่งตึง เสียงเรียกร้องยังคงดังขึ้น เจ้าบ่าวโน้มตัวลงมาหอมแก้วเจ้าสาวตามคำขอ กลิ่นแก้มสาวหอมกรุ่นทำให้เจ้าบ่าวนิ่งชะงัก เขารู้สึกเหมือนแก้มนุ่ม ๆ นี่มันมีมนตร์สะกด แต่
“ออก..ไป...ได้...แล้ว” ลลนาเอ่ย ตอนนี้ใจเธอมันเต้นแรงมาก ใบหน้าสาวแดงอย่างเห็นได้ชัด ความรู้สึกโกรธและเขินอายผสมปนเปกันไป อยากจะได้หน้าของใครสักคนมาลองรับอารมณ์โกรธที่กำลังจะปะทุขึ้น
“เจ้าสาวหอมแก้มเจ้าบ่าว” ครั้งนี้ดวงตาหวานมองเสียงนั้นทันที ธิติยายิ้มอยู่ด้านล่าง ไม่เกรงกลัวสายตาอาฆาตมาดร้ายของเจ้าสาวบนเวทีเลยสัดนิด
“หอมกลับ หอมกลับ หอมกลับ”
“คุณ...ฉันไม่”
“แล้วแต่คุณนะ ถ้าคุณไม่หอม พวกเขาก็จะตะโกนอย่างเนี้ย คุณกับผมก็ไม่ได้ลงไปข้างล่างจนกว่าพวกเขาจะพอใจ” ลลนาไม่เคยรู้สึกอายเท่าวันนี้ ใบหน้าหวานตอนนี้แดงจนไม่รู้จะแดงยังไงแล้ว ยิ่งเห็นว่าเจ้าบ่าวกำลังยิ้มอยู่ เธอก็ยิ่งโมโห แน่สิเขาไม่อายแต่เธออาย เกิดมานอกจากแก้มพ่อเธอเคยหอมแก้มผู้ชายที่ไหนอีกล่ะ แม้แต่อดีตคนรักเธอยังให้จับได้แค่มือ แล้วเขาเป็นใครรู้จักกันแค่ห้าวัน เขากล้าดียังไง พูดแล้วอยากจะกรี๊ดออกมากลางงานแต่เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่ชอบกรี๊ดกร๊าด ดังนั้นเวลานี้ขอหน้าใครสักคนมารองรับหมัดของเธอจะดีกว่า
“หอมกลับ หอมกลับ หอมกลับ” ดูเหมือนทุกคนจะสนุกบนความทุกข์ของเธอมาก สุดท้าย
“ฉันลงไปเมื่อไหร่ ฉันจะฆ่าพวกมันทุกคน ...เร็วสิคุณ ฉันอายเป็นนะ” และคนตัวสูงก็โน้มหน้าลงมา เจ้าสาวรีบจรดปลายจมูกลงที่แก้วอย่างรวดเร็วและขืนตัวกลับมา แขกในงานต่างพากันยิ้ม มองในมุมข้างล่างช่างเป็นภาพที่ดูน่ารัก และน่าอิจฉามาก
“จะ...จู...”
“พอแล้วครับ ตอนนี้ขอให้แขกทุกท่านช่วยดื่มให้กับผมและเจ้าสาวด้วยครับ” เขาเอ่ยขัดเสียงที่กำลังจะเอ่ยต่อ เขารู้ว่าเสียงนั้นจะพูดคำว่าอะไร และเขารู้สึกสงสารเจ้าสาวที่ตอนนี้หน้าแดงเป็นลูกตำลึงแล้ว ถ้าถึงขั้นจูบรับรองเจ้าสาวเขาเป็นลมแน่แก้วน้ำส้มถูกส่งให้เจ้าสาว
“งั้นก็ เชียร์ส!!!” ทั้งงานร่วมดื่มให้คู่บ่าวสาว และทั้งสองก็เดินลงจากเวที โดยที่เจ้าบ่าวประคองเจ้าสาวลงมา เพราะตอนนี้เจ้าสาวของเขาตัวแข็งไปแล้วเจ้าบ่าวยิ้มยากยิ้มขึ้นมานิด ๆ ซึ่งไม่มีใครสังเกตเห็นแน่นอน และเขาก็ได้ยินเสียงเจ้าสาวของเขาพึมพำ ๆ ตลอดทางว่า
“ฉัน...จะ...ฆ่า...พวก...แก...ทุก...คน” นั่นคือคำที่เขาได้ยิน และไม่มีใครหรือเพื่อนคนไหนเข้ามาทักเจ้าสาวเขาสักคน คงกลัวใบหน้าที่ตอนนี้มันกลายเป็นสีเขียวไปแล้ว ลลนายืนนิ่งในมือถือแก้วน้ำส้มที่เจ้าบ่าวเป็นผู้หยิบมาให้ ทั้งที่ตอนนี้เธออยากได้พั้นซ์ หรืออะไรก็ได้ที่ทำให้เธอรู้สึกหายเจ็บใจ
“ดื่มน้ำส้มนี่แหละ ถ้าเกิดเมาไปเซ็นสัญญาใครอีกจะยุ่ง”
“ฉันขออะไรก็ได้ที่แรง ๆ ที่ทำให้ฉันลืมมันไปได้ในตอนนี้ ขอเหล้าขออะไรก็ได้เป็นคำตอบสุดท้าย”ลลนาเอ่ยและยื่นแก้วน้ำส้มคืนกลับมือติณภัทร
“น้ำส้มเป็นคำตอบสุดท้าย” และเขาก็ยื่นกลับคืนมือเจ้าสาว
“แต่”
“ดื่มไปซะ ถ้าคืนนี้คุณดื่มอย่างอื่นนอกจากน้ำส้ม ผมจะจัดการคุณแน่” ลลนาหันไปมองหน้าติณภัทร พึ่งแต่งงานกับเธอได้ไม่กี่ชั่วโมง เขากำลังล้ำเส้นเธอแล้ว เขากำลังทำผิดสัญญา
“ผมไม่ได้ทำผิด คุณอ่านสัญญาไม่จบสินะ ข้อสุดท้ายที่ผมลงเพิ่มเติม คือคุณจะต้องเชื่อในสิ่งที่ผมบอกทุกอย่างโดยไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ และคุณไม่มีสิทธิ์ขัดใจผม”สิ่งที่เขาทำไม่ใช่บอก แต่มันคือการสั่งต่างหาก ผู้ชายคนนี้ต้องแยกไม่ออกกับคำว่าบอกและสั่งแน่นอน
“ข้อนั้นมีที่ไหน ฉันไม่เห็นรู้ คุณไปเขียนหลังจากนั้น ถือว่าโมฆะ”
“เปล่า ผมเขียนที่โรงพยาบาล และคุณก็เซ็นกำกับอีกครั้งไปแล้ว ไม่เชื่อก็ดูได้” และสัญญาก็ถูกส่งมาให้เธอดู เขาพกมันมาด้วย ลลนามองสัญญาข้อที่ต่อท้ายจากคำขอเพิ่มเติมของเธอและหลังคำเพิ่มเติมก็มีการลงลายเซ็นกำกับซ้ำของเธอด้วย
“คุณขี้โกง”
“ตอนไหน....”เขาทำหน้านิ่งและปรายตามองเธอ
“คุณโกงฉันแน่ ๆ เพราะฉัน ตอนนั้น....”
“คุณเซ็นไม่มองเองนะ โทษผมไม่ได้” และเขาก็ดึงสัญญากลับไป
“คุณมันขี้โกง คุณต้องล่มจมแน่ คุณโกงฉัน”
“ไม่ทันไรคุณก็แช่งสามีตัวเองแล้ว ผมไม่ได้เอาสัญญากลับไปเขียน แต่คุณเซ็นไม่มอง มันเป็นความสัพเพร่าของคุณเอง แล้ว...”
“ขอเชิญบ่าวสาว มาเปิดฟลอร์เต้นรำ เพื่อเป็นเกียรติในค่ำคืนที่แสนงดงามนี้ด้วยค่ะ” และเสียงเรียกจากไมค์ก็ดังขึ้น ธิติยาและแพรวพิมิลเดินมาลากเจ้าสาวไปที่ลานโล่งหน้าเวที ที่ตอนนี้พื้นทรายถูกวาดเป็นวงกลมวงใหญ่เพื่อใช้เป็นฟลอร์เต้นรำสำหรับคืนนี้
“เร็วสิบ่าวสาวยืนช้าทำไม” เสียงเพลงช้าเบา ๆ ดังขึ้น สุดท้ายเจ้าสาวก็ทำได้แต่ชักสีหน้าเมื่อทั้งเพื่อเจ้าบ่าวและเพื่อนเจ้าสาวลากทั้งสองมากลางฟลอร์ได้สำเร็จ เธอไม่มีสิทธิ์คิดใด ๆ ทั้งสิ้นเพราะทุกอย่างถูกเตรียมไว้หมดแล้ว ดูเหมือนเจ้าบ่าวเองก็ไม่ได้คิดจะท้วงติงใด ๆ
“เอาน่าถือว่าเต้นรำงานพรอมแล้วกันนิน” ธิติยาเอ่ย ลลนาวางมือลงบนมือเจ้าบ่าว เมื่อบ่าวสาวขยับกายตามเพลง ได้สักครู่หนึ่ง พื้นที่ในวงกลมก็มีแขกคู่ต่อมา แพรวพิมลมองเพื่อนตนและยิ้มออกมา เพื่อนเธอกำลังจะโชคดีแล้ว กำลังจะมีชีวิตใหม่ เธอมั่นใจว่าติณภัทรจะดูแลลลนาได้แน่นอน
“ให้เกียรติพี่สักเพลงได้ไหม” เสียงทุ้มที่ดังขึ้นจากด้านหลังทำให้เธอหันกลับไปมอง
“พี่...พูห์” ใบหน้าสวยแปลเปลี่ยนเป็นโกรธขึงขึ้นมาทันที
“นะครับ” คำพูดแสนสุภาพทำให้เธอยอมวางมือลงบนมือนุ่มของหมอหนุ่ม ดวงตาเคยที่สดใสตอนนี้เย็นชาเหลือเกิน เย็นชาจนแผ่ซ่านเข้าไปในใจของหมอหนุ่ม
“แพรว...พี่”
“ถ้ายังอยากเต้นรำต่อ อย่าพูดถึงมันอีก” แพรวพิมลเอ่ยขึ้น ธิติยาที่เต้นอยู่กับอติพงศ์มองเพื่อนด้วยสายตาเป็นห่วง และธิติยาก็เสไปมองเพชรนารีที่เต้นอยู่กับธนกฤตก็กำลังมองมาที่เธอ
“สองคนนั้นเคยมีอะไรหรือเปล่า” อติพงศ์ถาม
“เอ่อ...ไม่รู้สิคะ ลองไปถามพี่หมอเอาเองดีกว่า เราเปลี่ยนคู่กันบ้างดีกว่า” เมื่อเสียงเพลงลงจังหวะก็เริ่มมีการเปลี่ยนคู่เธอมาอยู่แทนตำแหน่งแพรวพิมลเป็นที่เรียบร้อย
“สวัสดีค่ะ ตั้งแต่มายังไม่ได้คุยกับพี่หมอเลย”
“ครับ” ภูริตอบและยิ้มบาง ๆ ส่งให้
“พี่หมอหายไปนานมากเลยนะคะ หายไปจนพวกเราคิดว่าพี่จะไม่กลับมาอีกแล้ว”
“เอ่อ...เพลงจบแล้ว พี่ขอไปพักก่อนดีกว่า” ภูริผละออกและเดินเลี่ยงไป ธิติยามองตาม เพลงที่ตอนนี้เริ่มเปลี่ยนจังหวะเป็นเร็วขึ้นให้แขกได้แดนซ์กระจาย กลางวงเริ่มเปลี่ยนเป็นการดวลเต้นแทนเพลงจังหวะเบา ๆ ลลนายืนมองอยู่นอกวงและยิ้มเมื่อเห็นเพื่อนเริ่มแดนซ์กันไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหม
“คุณไม่อยากไปร่วมวงบ้างหรอ”
“คุณไปก่อนสิ แล้วฉันจะไป” ติณภัทรยิ้มและเดินหนีไป ลลนาเองก็อยากไปร่วมบ้าง แต่ก็ตัดใจ ลลนาเห็นชายอีกคนที่ยืนอยู่คนเดียวในคืนนี้ อดีตฝังใจของใครคนหนึ่ง
“สวัสดีค่ะพี่พูห์ ไม่สิต้องหมอพูห์”
“พี่ดีใจด้วยนะ นินโชคดีมากที่เจอกับติณห์ ผู้หญิงที่ได้หัวใจมันจะเป็นผู้หญิงที่โชคดีที่สุด ติณห์มันเป็นผู้ชายที่ถ้ารักใครแล้วมันจะรักไปจนวันตายเลยล่ะ”
“เหมือนกับพี่พูห์ไหมคะ”
“เอ่อ...อาจจะใช่”
“แล้วพี่พูห์ยัง...”
“ตอนนี้เข้าเวลาสี่ทุ่มตรงได้ฤกษ์ส่งตัวเจ้าสาวแล้ว” เสียงที่ดังนี้มาจากเพื่อนเจ้าสาวที่เอ่ยขึ้น
“มีฤกษ์ด้วยหรอ”
“ก็คุณพ่อง่วงแล้ว พี่ว่าก็น่าจะได้เวลาสมควรแล้ว ไปกัน....”ยังไม่ทันพูดจบ
“จะไม่มีใครไปไหนทั้งนั้นแหละ จนกว่าจะอธิบายให้วินดี้เข้าใจ ว่านี่มันอะไรกัน งานแต่งบ้า ๆ นี่มันอะไรกัน วินดี้ต้องการคำอธิบายที่ดีพอ ไม่อย่างนั้นวินดี้จะฟ้องคุณหญิงป้า” เสียงแหลมแปดหลอดดังขัดขึ้น แม่คุณถือไมค์ไว้ในมือ ทุกคนมองหน้ากันว่าผู้หญิงคนนี้มาจากไหน
“วินดี้!!!” เสียงจากบรรดาเพื่อนเจ้าบ่าวดังขึ้นแผ่วเบาแต่ก็ยังไม่สามารถรอดพ้นหูเจ้าสาวไปได้
“อย่าบอกนะว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นกิ๊กคุณอ่ะ นี่ยังไม่ทันพ้นคืนแต่งงานคุณก็นัดเจอกิ๊กแล้วหรอ ฉันถึงเกลียดผู้ชายไงล่ะ แย่ที่สุด”
“คุณอย่าพึ่งเล่นบทภรรยาขี้หึง”
“นังวินดี้” แพรวพิมลเอ่ยขึ้นอย่างเข่นเขี้ยว ศัตรูขู่อาฆาตที่คอยขัดขวางงานของแพรวพิมลแทบจะทุกงานและประกาศสงครามเย็นกับเธอตั้งแต่วันแรกที่เธอเข้ามาอยู่ในวงการบันเทิง
“ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร ถ้าคุณไม่บอกฉัน งานแต่งล่มแน่ และคุณพ่อคุณจัดการคุณแน่”
“วินดี้ เป็นหลานสาวของคุณลักษมี เพื่อนของคุณย่าผมเอง และเธอก็เป็นลูกพี่ลูกน้องกับไอ้ไตรด้วย เธอชอบผม ตามผมมาตั้งแต่เธอยังผูกคอซองค์ แต่ผมไม่ได้คิดอะไรกับเธอ แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ยอม”
“แล้วผู้หญิงคนนั้นรู้เรื่องงานแต่งงานของเรา....เอ่อ...งานแต่งของคุณได้ไง” คำว่าของเราทำให้ติณภัทรยิ้ม
“ผมก็ไม่รู้ เพราะงานแต่งรู้แค่วงใน”
“คุณจำงานแต่งไอ้ไตรได้ไหม ผู้หญิงคนนั้นเป็นเพื่อนดารณี” ลลนาจ้องหน้าเอียงคอไปมาอย่างน่าเอ็นดู ก่อนจะเริ่มนึกออกสังเกตจากสีหน้า วิมาดานั้นไม่ชอบแพนทิรารุ่นพี่ของเธอ แต่ยังไม่ทันได้คิดอะไรไปมากกว่านี้เธอก็เห็นวิมาดากระโดดลงจากเวทีและตรงเข้ามาหาเธอและติณภัทร ไตรภูมิเดินมาแทรกหน้าไว้ก่อนที่วิมาดาจะเดินมาถึงตัว
“หลบไปนะคะพี่ไตร”
“พี่ว่าวินดี้กลับไปเถอะ วันนี้เป็นวันดีอย่าทำให้วันดี ๆ ต้องกลายเป็นวันไม่ดีเลยนะวินดี้” ไตรภูมิมองลูกพี่ลูกน้องของตนที่ตั้งท่าจะไม่ยอมง่าย ๆ พลันเธอก็ผลักอกไตรภูมิกระเด็นไป และสาวเท้าเข้าไปเร็วขึ้น มีคนจะเดินเข้าไปห้าม เธอหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋าและจ่อมันชี้ไปที่ทุกคน
“ตายแล้ว” ธิติยาเอ่ย เมื่อปืนกระบอกสีดำชี้ไปที่ทุกคน แขกพากันตื่นฮือ วิ่งหนีไปอย่างกลัวลูกหลง ลลนาถอนหายใจ และคิดในใจว่าบางทีงานแต่งครั้งที่สี่ของติณภัทรอาจจบไม่สวยเสียแล้ว วิมาดาเดินดิ่งเข้าหาเจ้าสาวที่ยืนอยู่เคียงข้างเจ้าบ่าว เมื่อเดินมาถึงตัวก็จ่อปืนใส่เจ้าสาวทันที
“วินดี้!!!” เสียงทุกคนดังออกมาเมื่อวิมาดาตั้งท่าจะลั่นไกลแต่เจ้าสาวกลับไม่ได้มีท่าทีตื่นกลัว กลับมองหน้าวิมาดานิ่ง ๆ วิมาดาที่ยังถือว่าตัวเองมีปืนและเหนือกว่าเดินก้าวเข้าไปใกล้อีก
“คุณกล้าหรือคะ คุณเป็นคนดังของสังคม ถ้าเกิดคุณลั่นไกลและฉันบาดเจ็บหรือตาย ไม่ใช่ฉันที่เสียหาย แต่เป็นคุณที่จะต้องเสียหายกว่าฉันแน่ เอาเลยสิคะ ถ้ากล้าก็ยิง เพราะถ้าคุณไม่ยิง ฉันจัดการคุณแน่” เสียงลลนาที่เฉียบขาดทำให้วิมาดาถึงกับใจแป้ว เธอกะจะแค่มาขู่เจ้าสาวแต่ใครจะคิดว่าขณะที่ถือปืนจ่ออยู่เจ้าสาวจะขู่เธอกลับแบบนี้
“เอ่อ....”
“ว่าไงล่ะคะ ถ้าไม่ยิงฉันจะยิงคุณเองนะ” พลันเจ้าสาวก็ยกปืนขึ้นมาชูใส่หน้าวิมาดาบ้าง ทุกคนพากันนิ่งอึ้ง ไม่คิดว่าเจ้าสาวจะพกปืนมาด้วย อติพงษ์แปลกใจว่าเจ้าสาวไปเอาปืนมาจากไหน จึงลองคลำไปด้านหลัง พบว่าปืนที่พกอยู่มันไม่อยู่แล้ว และปืนที่เจ้าสาวถืออยู่เป็นปืนของเขาแน่นอน เขาไม่คิดว่าเจ้าสาวจะไวขนาดนั้น เพียงแค่เขาเดินมายืนข้าง ๆ เธอกลับคว้าปืนเข้าไปได้โดยที่เขาไม่รู้ตัว เขาคิดไม่ถึงว่าเจ้าสาวของติณภัทรจะบ้าดีเดือดขนาดนี้ แปลว่าเธอสังเกตมาตั้งแต่แรกว่าเขาพกปืนมาด้วย ผู้หญิงคนนี้เก่งมาก อติพงศ์คิดในใจ
“ว่าไงคุณจะยิงหรือให้ฉันยิงคุณ... คุณวิมาดา” ลลนาเอ่ย และสาวเท้าเข้าไปหาวิมาดา วิมาดาถอยหลังหนีมือไม้สั่นเมื่อเห็นเจ้าสาวหน้าสวยกำลังทำอะไรเกินความคาดหมายของเธอ เธอคิดว่าเจ้าสาวเห็นปืนแล้วจะกลัววิ่งหนีตาลีตาเหลือกไป แต่ทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะ
“เอาสิอยากยิงไม่ใช่เหรอ กล้าขู่ฉันก็ยิงสิ แต่ถ้ายิงแล้วฉันไม่ตาย ต่อไปฉันนี่แหละจะเป็นฝ่ายยิงคุณ”
“กะ....แก” วิมาดาหน้าเสีย
“คุณคงไม่กล้ายิงสินะ ก็ปืนคุณมันเป็นปืนอัดลม ถ้ายิงออกมามันก็ไม่ระคายผิวฉัน คิดจะขู่ฉันอย่าใช้มุกเด็กเล่น คุณรู้ไหมคนที่ขู่ฉันเมื่อคนที่แล้วมีสภาพยังไง อ๋อ...คุณจำดารณี เพื่อนคุณที่สวมรอยว่าท้องกับพี่ไตรได้ไหม ฉันนี่แหละเป็นคนเตะแม่นั่นคว่ำ วันนี้อาจเป็นบุญขาได้เตะเพื่อนอีกคนของแม่นั่น เป็นไฮโซเสียด้วย เกิดมาไม่เสียชาติเกิดได้ไฮโซ”
“แก นังทอมนั่น” วิมาดาเริ่มนึกออก ว่าผู้หญิงที่หน้าตาคุ้น ๆ คนนี้เป็นใคร มือของเธอสั่นจนปืนตกลงไปบนพื้นทราย เมื่อเห็นเจ้าสาวง้างขาขึ้น เธอก็ร้องเสียงหลงออกมา
“อย่าทำฉันนะ กรี๊ด!!!” แพรวพิมลยิ้ม เมื่อเห็นวิมาดาถอยหลังและเสียหลักล้มลงนั่งกับพื้น มือทั้งสองข้างพนมยกมือไหว้อย่างตื่นกลัว
“เห็นแก่วันมงคล ฉันจะปล่อยคุณไป แต่อย่าให้ฉันเห็นคุณที่นี่ในวันนี้อีก เพราะถ้ามีครั้งต่อไป คุณได้ตายแน่ ไปสิ!!!” ลลนาตะคอกเสียงดัง วิมาดากลัวฉี่แทบลาดเมื่อเงยหน้าขึ้นมาเจอดวงตาสวยหวานที่ตอนนี้มันดูน่ากลัวมาก เหมือนถ้าคิดจะฆ่าเธอ ผู้หญิงคนนี้พร้อมลั่นไกลปืนในมือเธอทันที
“เดี๋ยวพี่ไปส่ง” ไตรภูมิเอ่ย
“ไม่ต้องค่ะ แต่จำไว้เลยนะ มันจะไม่จบแค่นี้แน่ ว้าย!!!” วิมาดาร้องเสียงหลงเมื่อเห็นลลนาเดินเข้ามาหาเธอ ในขณะที่มือยังถือปืน วิมาดามองไปที่ขาของลลนาอย่างหวาด ๆ ทุกคนแทบจะกลั้นเสียงหัวเราะออกมาไม่ไหวเมื่อเห็นสภาพวิมาดาวิ่งขลุกขลักทั้งที่ยังใส่ส้นสูง ล้มลุกคลุกคลายอยู่บนพื้นทราย เมื่อวิมาดาวิ่งหายไปแล้วทุกคนยิ้มออกมาทันที ลลนาเดินเข้าไปหาอติพงศ์ อติพงศ์ก้าวถอยหลังเหมือนเป็นปฏิกิริยาตอบโต้เล็กน้อย เป็นผลพวงจากเหตุการณ์เมื่อครู่
“โหดโคตร ชีวิตแกไม่จืดชืดแน่ไอ้ติณห์” ณัฐพลเอ่ย เมื่อเห็นเจ้าสาวยื่นปืนส่งคืนให้อติพงศ์
“เอาล่ะตอนนี้ได้เวลาอันเป็นสมควรแล้ว งานเลี้ยงคืนนี้คงต้องจบลงแต่เพียงเท่านี้ บ่าวสาวถึงเวลาที่รอคอยแล้ว” ลลนามองติณภัทรที่เดินเข้ามาจับมือเธอและเดินตามทุกคนเข้าไปข้างใน
“พี่ติณห์คะ ฝากเพื่อนของพวกเราด้วย ถึงแม้มันจะไม่ใช่งานแต่งงานจริง ๆ อย่างที่ทั้งสองคนต้องการ แต่สองขอให้พี่ติณห์ให้เกียรติไอ้นินมันด้วย มันอาจเป็นหญิงที่ไม่สมประกอบไปบ้าง แต่ถ้ารู้จักแล้วพี่จะบอกว่ามันนี่แหละแม่ศรีเรือนตัวจริงเลยล่ะคะ มันทำอาหารอร่อยมาก คนได้กินรับรองขึ้นสวรรค์แน่ มีโอกาสลองให้มันทำให้กินนะคะ”ธิติยาเอ่ย หลังจากที่คุติณภัทรและคุณตรีศูลได้กล่าวโอวาทและอวยพรเสร็จและยืนรออยู่ด้านหลัง
“ครับ”
“ไอ้นิน แกไม่ใช่นินคนเดิมแล้วนะ จากนี้ไปจนถึงอีกสามเดือนแกคือผู้หญิงที่เป็นภรรยาผู้ชายคนหนึ่ง ไม่ใช่ผู้ทอมแล้วนะ พวกเราหวังว่ามันจะไม่จบแค่สามเดือน เราอยากเห็นแกมีความสุขกับใครสักคน อยากให้แกกลับมาเชื่อในรักแท้ ใช้เวลาจากนี้ให้คุ้มค่าล่ะ ส่วนของขวัญวันแต่งงานแกไปเอาที่ร้านนะ พวกเราเตรียมไว้ให้แล้ว”
“ขอบใจ แต่งานแต่งนี้มันไม่”
“เลิกพูดได้แล้ว เอาเป็นว่าขอให้แกได้รักแท้ของแกกลับคืนมา บางทีสิ่งที่หัวใจแกต้องการอย่างแท้จริงอาจเป็นสิ่งนี้ ไม่ใช่สิ่งที่แกพยายามสร้างมันขึ้นมาใหม่”
“เอาล่ะคนไม่เกี่ยวเตรียมตัวออกไปได้ ต่อจากนี้เป็นเรื่องของคู่บ่าวสาว โชคดีนะเว้ยไอ้ติณห์” แล้วทั้งหมดก็พากันเดินออกไป ทิ้งให้คู่บ่าวสาวนั่งมองหน้ากัน ลลนามองกลีบกุหลาบที่ถูกวางเป็นรูปหัวใจ และเบ้ปาก เธอไม่ใช่คู่บ่าวสาวจริง ๆ เสียหน่อยไม่จำเป็นต้องทำอะไรเสียเยอะแยะแบบนี้ก็ได้
“คุณนอนในนี้แล้วกัน ฉันจะกลับห้องฉัน” แต่ติณภัทรกลับคว้ามือเจ้าสาวไว้ทัน
“คุณจะไปไหนของคุณ”
“ก็ไปนอนห้องฉันไง คุณจะให้ฉันนอนกับคุณหรือไง”
“ใช่” ลลนามองติณภัทรด้วยสายตาไม่ไว้ใจ
“คุณกำลังจะฝ่าฝืนข้อตกลง ฉันจะถือว่าทุกอย่างเป็นโมฆะ” ลลนาสะลัดมือตนออกจากมือของติณภัทรได้สำเร็จ จะก้าวเดินไปที่ประตูห้อง
“ถ้าคุณออกไป คุณก็จะเจอกับพวกไอ้หนึ่งที่มันดักรออยู่ พ่อผม พ่อของไอ้ไตรก็ยังเฝ้าอยู่ จากวันนี้คุณก็เห็นแล้วว่าพวกนั้นพยายามจะให้เราแต่งงานกันจริง ๆ ดูอย่างงานเลี้ยง ใบทะเบียนทุกคนตกลงกันเสร็จสรรพโดยที่พวกเราไม่รู้ และจนกว่าจะเช้าคุณจะออกไปไหนไม่ได้ เพราะว่าประตูมันล็อคอยู่” ลลนามองหน้าติณภัทรอย่างไม่เชื่อ และวิ่งไปที่ประตูห้อง พยายามจะเปิดมันออก แต่ดูเหมือนมันจะถูกล็อคจากด้านนอกด้วยฝีมือของพวกที่คิดว่าตัวเองหวังดี
“อย่าให้ฉันพังออกไปได้นะไอ้สอง ไอ้แพรว หนูนาด้วย ไม่ว่าใครก็ตาม ถ้าฉันออกไปได้ฉันจะฆ่าทุกคน” ลลนาตะโกนลั่นเมื่อพยายามพลักประตูออก ติณภัทรมองว่ามันเป็นการกระทำที่โง่เขลามาก
“ระเบียง” ลลนาจะวิ่งไป แต่ก็ต้องชะงัก
“ผมว่าเอาเวลาไปอาบน้ำแล้วมานอนดีกว่า พรุ่งนี้เช้าพวกเขาก็เปิดให้แล้ว ถ้าคุณมาวิ่งวุ่นอยู่แบบนี้มันก็ไม่ช่วยอะไรคุณแน่ และถ้าคุณคิดจะโดดระเบียงลงไปก็ตามสบาย ผมไม่ห้าม เพราะนี่มันชั้นสอง ข้างล่างคือพื้นปูน ตกลงไปคงไม่ถึงกับพิการแต่คงจะขาหักแน่นอน แต่ถ้าเอาหัวลงคุณเละแน่ ทำให้อะไรคิดให้ดีนะคุณ ผมขอตัวไปอาบน้ำ คุณอยากทำอะไรเชิญตามสบาย” และเจ้าบ่าวก็เดินเข้าห้องน้ำไป ทิ้งให้เจ้าสาวตีหน้ายับเดินไปที่ระเบียง ถึงแม้มันจะดูเหมือนไม่สูงมากแค่ชั้นสอง แต่สำหรับเธอคนกลัวความสูง มองยังไงชั้นสองมันก็ดูสูงมากเหมือนสิบชั้น ถ้าตกลงไปรับรองเธอขาหักอย่างที่ติณภัทรบอก แต่ถ้ามันหนักกว่านั้นขึ้นมาล่ะ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ