รวมผลงานชุด วิวาห์ชำระแค้น
เขียนโดย ploythara
วันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เวลา 12.03 น.
แก้ไขเมื่อ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2556 19.16 น. โดย เจ้าของนิยาย
บทนำ
ปฐมบท
อาณาจักรลิ่วกั๋ว เมืองหลิ่งเฟย ชายแดนหนานหลี่-เป่ยมู่ สี่สิบปีก่อน
เด็กชายวัยรุ่นราวคราวเดียวกันสองคนแลเด็กหญิงวัยอ่อนกว่าอีกนางหนึ่งกำลังนั่งเล่นอยู่ใต้ต้นอิง* ใบอิงหล่นเกลื่อนกลาดไปทั่วบริเวณ ด้านข้างของเด็กทั้งสามเป็นเหล่าบ่าวแลสาวใช้จำนวนสิบสองคน
“หยาเอ๋อร์” เด็กชายวัยแปดปีที่นั่งอยู่ด้านซ้ายของตลิ่งเรียกเด็กหญิงวัยหกปีที่นั่งอยู่ริมตลิ่ง
“มีอันใดหรือเจ้าคะพี่เหล่ย” เด็กหญิงเจ้าของนามเอ่ยถาม
“เจ้าว่าดอกอิงสวยหรือไม่” เขามิได้ตอบแต่ถามนางกลับไป
“สวยมากเจ้าค่ะ” นางตอบ
“หยาเอ๋อร์” ครานี้เป็นเสียงเรียกของเด็กชายวัยเจ็ดปีทางด้านขวา
“เจ้าคะพี่เหวิน” นางรับคำ
“เจ้าว่าดอกซิ่ง**ของข้าหรือดอกอิงของเขางามกว่ากัน” เด็กชายถามพลางมองไปยังเด็กชายอีกคน
“งามเท่าๆกันเจ้าค่ะ” นางตอบอย่างยุติธรรมเพราะมิอยากให้เด็กชายทั้งสองทะเลาะกัน
“มิได้/มิได้” พี่ชายร่วมสาบานทั้งสองเอ่ยแทบจะพร้อมกัน
“เจ้าบอกมาอีกครั้งเถิดว่าดอกไหนงามกว่ากัน” ทั้งสองถามนางอีกครั้ง
“’งามเท่าๆกันเจ้าค่ะ” ยังคงเป็นคำตอบเดิม
…. เฮ้อ ! พวกเขาล่ะเบื่อยามนางตอบคำถามแบบนี้เสียจริงรู้ทั้งรู้ว่าพวกเขาต้องการคำตอบที่ชี้ขาด แต่นางมักจะตอบแบบนี้เสมอเพราะกลัวทั้งสองทะเลาะกัน ……
เก้าปีผ่านไป
วันนี้เป็นวันปักปิ่น***ของดรุณีน้อยผู้งดงามนาม “ เย่เฮ่อนาลาหยาเอ๋อร์” หรือ “ หยาเอ๋อร์” องค์หญิงสี่แห่งชนเผ่าเย่เฮ่อ บัดนี้เจ้าของงานกำลังแต่งกายอยู่ในห้องบรรทมส่วนพระองค์โดยมีนางกำนัลคนสนิททั้งหกช่วยเหลือ
“จย่าเอ๋อร์หยิบปิ่นจันทร์เพ็ญให้เราหน่อย” องค์หญิงสี่ตรัส
“เพคะ” จย่าเอ๋อร์รับคำแล้วเดินไปยังกล่องเครื่องประดับที่อยู่บนโต๊ะเตี้ยข้างพระแท่นนบรรทม
“นี่เพคะ องค์หญิงสี่” จย่าเอ๋อร์ทูล
“ขอบใจเจ้ามาก” องค์หญิงสี่ตรัส
“ฟาต๋าลี่ออกไปดูด้านนอกหน่อยว่าพี่เหล่ยแลพี่เหวินมาถึงหรือยัง” ตรัสสั่งนางกำนัลอีกนาง
“เพคะ”ฟาต๋าลี่รับคำ
ท้องพระโรง
ผู้คนมากมายกำลังรอคอยเวลาเริ่มพิธีอย่างใจจดใจจ่อเพราะพวกเขาต้องการยลโฉมธิดาองค์สุดท้องของเกอเอ๋อร์ข่านผู้งดงาม แน่นนอนว่าในพิธีสำคัญเช่นนี้จะขาดคนที่นางรักแลเชื่อใจดุจพี่น้องร่วมสาบานมิได้ทว่ากลับไร้เงาของบุรุษสูงส่งทั้งสอง
“ฟาต๋าลี่มายืนตรงนี้ด้วยเหตุใด ไปตามองค์หญิงน้อยได้แล้ว” เกอเอ๋อร์ข่านสั่ง
“เพคะ” ฟาต๋าลี่ยอบกายถวายบังคมแล้วเดินกลับไปยังห้องบรรทมขององค์หญิงสี่
หน้าห้องบรรทมส่วนพระองค์
องค์หญิงสี่ทรงดำเนินนอกมาด้านนอกนานแล้ว เมื่อนางเห็นฟาต๋าลี่จึงถามขึ้นว่า
“พี่เหล่ยแลพี่เหวินมาถึงแล้วใช่หรือไม่” ฟาต๋าลี่ได้แต่ก้มหน้ามิยอมทูลตอบแม้เพียงคำ
“ฟาต๋าลี่เราถามเจ้าอยู่มิได้ยินหรือ” องค์หญิงน้อยทรงพิโรธรีบเดินไปยัง
ท้องพระโรงทันที
“บัดนี้ได้ฤกษ์มงคลแล้วเริ่มพิธีได้ เชิญเสด็จองค์หญิงเข้าท้องพระโรง” ทหารจากกรมพิธีการทูลเชิญ
เมื่อองค์หญิงน้อยดำเนินข้ามธรณีประตูก้าวแรกเหล่าบุรุษทั้งหลายก็ตะลึงในพระสิริโฉมอันงดงามของพระองค์
“องค์หญิงน้อยช่างงามเหลือเกิน” ข่านแห่งอุยกูร์ตรัส
“ใช่ๆๆ” เสียงบุรุษทั้งหลายดังระงมไปทั่วท้องพระโรง
“เสี่ยวหยา มานั่งตรงนี้แล้วนำปิ่นจันทร์เพ็ญมาให้แม่” อาน่าหลันตรัสกับธิดา
“เพคะเสด็จแม่” ตรัสพลางมองหาพระเชษฐาร่วมสาบานทั้งสอง
“พี่เหล่ย พี่เหวินบ้าชาตินี้ข้าจะมินับญาติกับพวกท่านอีกหากมิมาภายในสิบเฟิน**ข้างหน้า” นางบ่นเบาๆแต่พระมารดายังทรงได้ยิน
“เจ้านี่นะเหยียนเหล่ยกับเหวินกวางเป็นถึงรัชทายาทพวกเขาย่อมต้องเข้าหารือราชกิจกับเสด็จพ่อทุกเช้าเหมือนมู่น่าชื่อพี่ใหญ่ของเจ้า” ผู้เป็นมารดาส่ายพระพักตร์พลางลูบพระนลาฏของพระธิดาอย่างเอ็นดู
“ท่านพี่มู่น่าชื่อมิเหมือนกับพวกเขาดอกเพคะ วันๆพวกเขาแสนจะสบายเด็จแม่จำได้หรือไม่เพคะว่าเมื่อเก้าปีก่อนพวกเขาพากันมาเล่นกับข้าแทบจะทุกวัน ในขณะที่ท่านพี่มู่น่าชื่อต้องฝึกขี่ม้า ยิงธนูแลศึกษาทำท่านราชครูอย่างหนักเพื่อให้เป็นข่านที่ดีในอนาคต” มิวายบ่นกระทบกระเทียบถึงรัชทายาทต่างแคว้นทั้งสองที่บัดนี้ยังมามิถึง
“เอาล่ะ นั่งดีๆได้แล้วเลยฤกษ์มามากแล้วหากรอต่อไปเดี๋ยวมิได้เริ่มพิธีกันพอดี” เกอเอ๋อร์ข่านตรัส
“เพคะ/เพคะ” มารดาแลธิดาตรัสพร้อมกัน
พิธีดำเนินไปจนจบนางก็ยังมิเห็นพระพักตร์ของรัชทายาทต่างแคว้นทั้งสองที่สัญญาว่าแม้จะมีราชกิจรัดตัวเท่าใดก็ต้องมาร่วมพิธีสำคัญครานี้ของนางให้ได้ แขกทุกผู้ต่างก็ยินดีกับนาง แต่ในใจนางกลับรู้สึกเบื่อหน่ายการเฉลิมฉลองในวันนี้พอๆกับการเรียนขี่ม้าซึ่งเพิ่งจบลงไปมินาน เมื่อไร้เงาบุรุษทั้งสองทุกอย่างก็ดูแย่ลงทันทีเพราะนางชอบยามที่ได้พูดคุยเล่นหัวกับพวกเขาที่สุด
… คอยดูนะถ้าพวกเขามาพบนางอีกเมื่อใด นางจะมิยอมพบหน้าพวกเขาเป็นการลงโทษที่บังอาจผิดสัญญากับนาง …
ตำหนักส่วนพระองค์ สามวันให้หลัง “องค์หญิงสี่เพคะ รัชทายาทเหล่ยมาแล้วเพคะ” นางกำนัลทูล
“ขวางไว้มิต้องให้เขาเข้ามา” นางตรัสสั่ง
“ผู้ใดกล้าขวางข้า ข้าจะลงโทษมัน” บุรุษสูงส่งที่อยู่ด้านนอกตรัส
“ที่นี่มิใช่ถิ่นของท่าน อย่าวางอำนาจเลยพี่เหล่ยเชิญกลับไปเสียเถิด” เสียงใสดังมาจากด้านใน
“ต้าเหล่ยเจ้ามิเข้าไปพบน้องเสี่ยวหยาหรือ” พระชายาอาน่าหลันที่เสด็จมาหาพระธิดาตรัสถาม
“หยาเอ๋อร์ไล่กระหม่อมออกมาพะยะค่ะ” รัชทายาทแห่งเป่ยมู่ตรัสตอบ
“ลูกคนนี้คงงอนเจ้า ที่มิมาร่วมพิธีปักปิ่นของนางเป็นแน่แท้เดี๋ยวน้าจะคุยให้เอง” ตรัสพลางสาวบาทข้ามธรณีประตู
“ขอบพระทัยพะยะค่ะท่านน้า” เขาตรัสขอบพระทัยพระชายา
ในห้องทรงพระอักษร ข้างห้องบรรทม
“เสี่ยวหยาเจ้าเป็นขัตติยนารีมิควรขี้ใจน้อยเช่นนี้ ขัตติยนารีที่ดีต้องเข้มแข็ง อดทน มิไร้เหตุผล เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้มิควรเก็บมาใส่ใจ อีกอย่างเข้าอยู่ในวัยออกเรือนแล้วหากออกเรือนไปแล้วความขี้ใจน้อยของเจ้าจะทำให้ตนเดือดร้อนได้ในภายหน้า” ผู้เป็นมารดาตรัสสอน
“เด็จแม่ดีแต่เข้าข้างพวกเขา มิเคยเข้าข้างลูกเลย นี่พี่เหล่ยคงให้เด็จแม่มาขอร้องลูกใช่ไหมเพคะ” องค์หญิงสี่ตรัสด้วยความน้อยพระทัย
“แม่มิได้เข้าข้างผู้ใดทั้งนั้น แต่แม่อยากเห็นเจ้ามีเหตุผลกว่านี้” มารดาตรัส
“ลูกมิอยากพบพวกเขานี่เพคะ” องค์หญิงสี่ยังคงตรัสอย่างดึงดัน
“เสี่ยวหยาเจ้าโตแล้วนะ อย่าดื้อเพ่งอีกเลย ให้ต้าเหล่ยเข้าพบเถิดอีกหน่อยเจ้าออกเรือนไปอาจจะมิได้พบพวกเขาอีก” มารดาตรัส
“เด็จแม่พูดเช่นนี้หมายความเช่นไรหรือเพคะ ลูกยังมิอยากออกเรือนนะ” องค์หญิงสี่ตัดด้วยน้ำเสียงตกพระทัย
“หมายความว่า ข่านแห่งซยงหนูต้องการให้เจ้าแต่งกับเขาเพื่อยุติสงครามระหว่างชนเผ่าเราแลซยงหนูที่ยืดเยื้อมายาวนานน่ะสิ” มารดาตรัส
“เขามีพระชายาอยู่แล้วมิใช่หรือเพคะ นางกินส้ม**** แรงด้วย อีกอย่างเขาก็มีสนมเป็นโขยงแล้วตั้งแต่สองสามปีก่อน ลูกยอมพบพี่เหล่ยก็ได้แต่มิยอมแต่งให้เขาแน่นอน” องค์หญิงสี่ตรัส
“ขัตติยนารีที่ดีนอกจากจะต้องเข้มแข็ง อดทน มีเหตุผลแล้ว ยังต้องเสียสละเพื่อความสงบสุขของบ้านเมืองด้วย” มารดาตรัส
“แต่ลูกยังมิเคยเห็นหน้าเลยสักครั้งนะเพคะ ลูกจะแน่ใจได้อย่างไรว่าหากแต่งกับเขาแล้วจะมีความสุข” องค์หญิงสี่ตรัสถาม
“แม้เขาจะมีชายาแลสนมเป็นโขยงแล้วก็ตาม แต่เขาสัญญากับท่านข่านว่าจะดูแลเจ้าให้ดีที่สุดมิให้ชายาเอกขี้หึงรุกรานเจ้า” พระชายาดำริไปถึงคำกล่าวของข่านซยงหนูที่ให้สัตย์สัญญากับสวามี
“ลูกมิแต่ง มิแต่ง เช่นใดก็มิแต่ง” องค์หญิงสี่ตรัสอย่างน้อยพระทัยที่เสด็จพ่อตกลงให้นางออกเรือนทั้งที่ยังมิถามความเห็นจากนางจากนั้นก็วิ่งออกจากห้องทรงพระอักษรไป
ตุบ!!! ตุบ!!! ตุบ!!!
ความรีบร้อนทำให้นางชนเข้ากับอะไรบางอย่างจนเกิดเสียงดัง ‘ตุบ’ สามครา นางจึงหยุดยืนแล้วมองหาวัตถุที่ถูกตนชนเมื่อครู่
“หยาเอ๋อร์ มองที่ด้านบนสิเจ้าจะรีบไปที่ใดกัน” เสียงเรียกนามนางดังขึ้นจากด้านบน
“พี่เหล่ยเองหรือ” นางมองไปตามเสียงเรียกพลางตรัสด้วยพระพักตร์ที่แดงฉาน
“ข้าเอง เจ้าจะรีบไปที่ใดกันเหตุใดจึงหน้าแดงเช่นนั้น” เขาถาม
“ป…เปล่า… ข….ข้าจะไปเข้าเฝ้าเด็จพ่อ เดินชนท่านขอโทษด้วย” นางตอบตะกุกตะกัก
“มิเป็นไร ไปเข้าเฝ้าท่านน้าชายหรือมิเห็นต้องรีบเร่งเช่นนี้เลย” เขากล่าว
ทั้งสองเดินมาท้องพระโรงด้วยกัน เวลาเดียวกันนั้นเองที่สวนหย่อมหน้าท้องพระโรงรัชทายาทผู้สูงส่งอีกองค์กำลังเดินชมพรรณไม้อย่างสบายพระทัยโดยมิทราบเลยว่าอีกมินานความเป็นพี่น้องของเขาและรัชทายาทแห่งเป่ยมู่จะถูกแทนที่ด้วยความเกลียดชังเข้ากระดูกดำ
“อ้าว! เอ้อร์กวางเจ้าก็มาพบเสี่ยวหยาเหมือนกันหรือ นั่นต้าเหล่ยกับเสี่ยวหยามาโน่นแล้ว” ข่านน้อยมู่น่าชื่อตรัสพลางชี้พระดัชนี*****ไปข้างหน้า
“พะยะค่ะ พี่น่าชื่อ” รัชทายาทแห่งหนานหลี่ตรัสพลางมองหนึ่งบุรุษ หนึ่งสตรีที่เดินมาเคียงกันก่อนจะตรัสเรียกทั้งสองพระองค์ด้วยสุรเสียงอันดัง
“ต้าเหล่ย หยาเอ๋อร์!”
“พี่เหวินกวาง !”
“เอ้อร์กวาง!”
ทั้งสองตรัสเรียกรัชทายาทแห่งหนานหลี่ด้วยความปีติไม่แม้สุรเสียงอันดังเมื่อครู่ จากนั้นก็พากันดำเนินไปเข้าเฝ้าเกอเอ๋อร์ข่านตามความประสงค์ของหยาเอ๋อร์
ท้องพระโรง
“ถวายบังคมเพคะเด็จพ่อ” องค์หญิงสี่ตรัสพลางยอบกายทำความเคารพ
“ถวายบังคมพะยะค่ะท่น้าชาย” รัชทายาทต่างแคว้นทั้งสองตรัสเป็นเสียงเดียว
“เสี่ยวหยา ต้าเหล่ย เอ้อร์กวางมาพบข้ามีอันใดหรือ” เกอเอ๋อร์ข่านตรัสถาม
“เด็จพ่อ เด็จแม่บอกว่าข่านซยงหนูขอลูกเป็นชายารองเพื่อยุติสงครามจริงหรือไม่เพคะ”พระธิดาตรัสถาม
“จริงอย่างที่นางกล่าว อีกสองเดือนเจ้าต้องออกเรือน อันที่จริงพ่อก็มิให้เจ้าแต่งกับเขา” เกอเอ๋อร์ข่านตรัสตอบ
“แต่ลูกมีคนที่ชอบพออยู่แล้วเพคะ ลูกเพิ่งรู้ตัวเมื่อครู่นี้ก่อนที่จะเฝ้าเด็จพ่อ” นางตรัส
“เจ้าชอบผู้ใดกัน” ผู้เป็นบิดาถาม
“ลูกชอบพี่เหล่ยเพคะ” นางตอบ
“ต้าเหล่ยเจ้าคิดเช่นไร”ตรัสถามรัชทายาทเป่ยมู่
“หยาเอ๋อร์อย่าตอบเพียงเพื่อให้ตนรอดจากเงื้อมือของข่านซยงหนูเลย” รัชทายาทที่ถูกพาดพิงตรัสขึ้น
“ข้าชอบท่านจริงๆนะพี่เหล่ย เมื่อครู่ที่ชนท่านข้าถึงได้หน้าแดงเช่นไรล่ะ ท่านขอข้าจากเด็จพ่อสิ ข้ามิอยากแต่งกับข่านมักมากนั่นเลย” นางตรัส
“แต่ข้าเพิ่งแต่งชายานะ หากเจ้าแต่งกับข้าก็ต้องเป็นชายารองเช่นกัน เจ้าแต่งให้เอ้อร์กวางเถิดเขาก็ชอบเจ้าเช่นกัน” เขากล่าวพลางชี้ไปยังรัชทายาทต่างแคว้นอีกผู้หนึ่ง
“เอ้อร์กวางเจ้าล่ะคิดเช่นไร” เกอร์เอ๋อร์ข่านตรัสถาม
“หยาเอ๋อร์งดงามมากอีกทั้งกริยายังนุ่มนวลอ่อนหวาน เก่งทั้งศิลป์แลงานบ้านหากบุรุษใดได้เป็นภรรยานับว่าโชคดี จริงอยู่ที่กระหม่อมรักนางแบบชายหญิงแต่กระหม่อมเองก็มีชายาอยู่แล้วสององค์เรื่องนี้นางทราบดีที่สุด งานวันปักปิ่นของนางที่ข้ามิสามารถมาร่วมได้ก็เพราะชายาเอกมีประสูติกาลพะยะค่ะ หากนางแต่งกับข้าก็มิพ้นต้องเป็นชายารองหรือสนมเป็นแน่แท้” รัชทายาทหนานหลี่ตรัสตอบ
“อืม พวกเจ้าทั้งสองล้วนเห็นความสุขของเสี่ยวหยาเป็นที่ตั้ง ยอมสละความสุขเพียงชั่วคราวของตนเพื่อธิดาสุดท้องของน้าชายนับว่ามิเสียทีที่ญาติผู้พี่ของน้าอบรมสั่งสอนมา เสี่ยวหยายอมเสียสละเพื่อบ้านเมืองสักคราเถิดพ่อขอร้องเจ้า” ผู้เป็นบิดาตรัส
“พี่เหล่ย พี่เหวินกวางพวกท่านส่งข้าไปมาเหมือนเป็นสิ่งของไร้จิตใจเช่นนี้ได้เช่นไร หากพวกท่านมิอยากแต่งกับข้า ข้าก็ยินดีแต่งกับข่านมักมากผู้นั้นเพื่อบ้านเมือง ต่อแต่นี้เราทั้งสามมิรู้จักกันหากพบกันที่ใดอย่าได้ทักกันอีก น้องสามน้องพวกท่านได้ตายลง
ตั้งแต่วินาทีที่พวกท่านปฏิเสธนางแล้ว ต่อไปกรุณาเรียกข้าว่าองค์หญิงน้อยดังเช่นผู้อื่นอย่าได้เรียกขานนามข้าโดยพลการอีก” ตรัสพลางปาดพระอัสสุชลที่ไหลลงมาอย่างลวกๆ
“หยาเอ๋อร์ / หยาเอ๋อร์” รัชทายาทต่างแคว้นทั้งสองตรัสพร้อมกัน
“ความจำสั้นเสียจริงรัชทายาททั้งสอง ข้ามิใช่นางอีกต่อไปแล้ว หยาเอ๋อร์ของพวกท่านตายไปแล้ว ทหารลากตัวพวกเขาไปโบยสามสิบไม้ฐานดูหมิ่นข้า” องค์หญิงสี่ตรัสสั่งท่ามกลางความตกตะลึงของพระบิดาแลรัชทายาทต่างแคว้นทั้งสอง
“ผู้ใดกล้าลากพวกเขาไปโบย จะโดนลงโทษหนักกว่าเป็นสิบเท่า เสี่ยวหยาเจ้ามิเคยแม้แต่จะฆ่ามดสักตัวแล้วเหตุใดครานี้เจ้าถึงจะโบยเขาทั้งสองล่ะ” เกอเอ๋อร์ข่านตรัสปรามทหารที่เดินเข้ามาแล้วหันไปถามพระธิดา
“เด็จพ่อพวกเขาทำให้ลูกเสียใจสมควรถูกโบยแล้วเพคะ” พระธิดาตรัสตอบ
กำหนดสองเดือนมาถึงขบวนขันหมากของเจ้าบ่าวก็มาถึงเช่นกัน เจ้าสาวไร้ชีวิตกำลังนั่งรอเจ้าบ่าวในห้องส่วนพระองค์
“องค์หญิงท่านข่านมารับแล้วเพคะ” นางกำนัลตรัส
“องค์หญิงน้อยไปไหนมิได้ทั้งนั้น นางต้องไปกับข้า” บุรุษชุดดำที่ปีนหน้าต่างเข้ามาเมื่อครู่กล่าวขึ้น
“ท่านเป็นผู้ใดกัน” นางกำนัลถามก่อนล้มพับลงในวินาทีต่อมา
“ปล่อยเรา เรามิไปกับเจ้าไอ้โจรสกปรก” เจ้าสาวชุดแดงตรัส
“ข้ามิใช่โจร ข้าคือรัชทายาทแห่งเป่ยมู่” บุรุษชุดดำทูล
“มู่เหยียนเหล่ยท่านทำแบบนี้ทำไม” นางตรัสถาม
“ข้ารักเจ้า รักเจ้ามานานแล้ว ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าเสียใจเจ้าแต่งเป็นชายาข้าเถอะนะ” เขากล่าว
“ท่านมิใช่เขา เขามิเคยพูดเช่นนี้กับเราได้โปรดส่งเรากลับสู่พิธีเถิดอย่าพาเราไปไกลกว่านี้เลย ท่านกำลังนำความเดือดร้อนมาให้ผู้อื่น” นางตรัส
“มิได้ ข้าได้รับคำสั่งมาเช่นไรเจ้าก็ต้องเป็นฮูหยินข้า ก่อนเจ้าตายข้าจะบอกทุกสิ่งให้เจ้ารู้” กล่าวพลางเหวี่ยงร่างบางลงข้างทางแล้วใช้ร่างกำยำของตนทาบทับร่างนาง
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย ช่วยเราด้วย” นางตรัสขอความช่วยเหลือเสียงแผ่ว
“มิมีผู้ใดมาช่วยเจ้าดอก” บุรุษใจทมิฬกล่าว
“ปล่อยเรา ปล่อยเรา ปล่อยเรานะไอ้บ้ากาม” นางตรัสบริภาษ
“เจ้าช่างหอมหวานยิ่งนัก นับว่าคุ้มที่ข้ารับงานนี้” เขากล่าวพลางมองร่างบางอย่างหื่นกระหาย แล้วหยุดหายใจก่อนกล่าวเสริมว่า
“ข้าจะบอกความจริงให้เจ้ารู้ ข้านามว่าต่งฉีเล่ย มีฉายาในยุทธภพว่า ‘บุรุษใจทมิฬ’ ผู้ที่จ้างข้าคือนายท่านหลงแห่งเป่ยหลี่ เขาชอบพอเจ้ามากแต่เจ้ากลับมิเคยสนใจมิหนำซ้ำยังทำให้เขาหมดหนทางในการค้ากับเย่เฮ่ออีก” บุรุษใจทมิฬกล่าว
“เขารนหาที่เองข้ามิได้ทำ” นางกล่าวแล้วหลับตาลงช้าๆ วินาทีถัดมาองค์หญิงสี่ผู้เป็นกุหลาบงามแห่งเย่เฮ่อก็สูญสิ้นลมหายใจ
หลังจากนางตายลง ‘บุรุษใจทมิฬ ’ ก็ทิ้งร่างไร้วิญญาณของนางแลกระบี่ประจำตัวของรัชทายาทเป่ยมู่ไว้แล้วหนีไป งานแต่งที่จัดอย่างเอิกเกริกในวังหลวงของเย่เฮ่อไร้เงาบ่าวสาวเพราะเจ้าบ่าวออกตามหาตัวองค์หญิงสี่ที่หายไป แขกเหรื่อเริ่มทยอยกลับด้วยความโมโห
“ผู้ใดมาชิงตัวเสี่ยวหยาไป” เกอเอ๋อร์ข่านถามนางกำนัลที่ช่วยนางแต่งตัว
“เรียนจอมข่านคนผู้นั้นคลุมหน้าเจ้าค่ะ แต่บ่าวเห็นหน้าเขาแวบหนึ่งคิดว่าคงเป็นรัชทายาทต้าเหล่ยเพคะ” นางกำนัลทูล
“อะไรนะต้าเหล่ยหรือ” เกอเอ๋อร์ข่าน พระชายา รัชทายาทมู่น่าชื่อ แลรัชทายาทแห่งหนานหลี่ตรัสอย่างไม่เชื่อหูตนเอง
“เพคะ”นางกำนัลทูลย้ำอีกครา
“ข้าจะไปดูด้วยตนเองขอท่านน้าชายทรงอนุญาตด้วย” รัชทายาทแห่งหนานหลี่ตรัส
“ไปสิไปพร้อมน้านี่แหละ” เกอเอ๋อร์ข่านตรัส จากนั้นทั้งสองก็ขึ้นหลังอาชาคู่กายแล้วห้อตะบึงไปยังเส้นทางที่คิดว่าจะพบองค์หญิงสี่แลรัชทายาทแห่งเป่ยมู่ทันที
ณ ป่าหญ้าถนนสายหลักสู่เมืองหลวง
ผู้คนที่ผ่านไปมาแถวนั้นเป็นประจำยืนมุงดูร่างไร้ลมหายใจของสตรีผู้โชคร้ายนางหนึ่งอยู่ เกอเอ๋อร์ข่านแลรัชทายาทเอ้อร์กวางผ่านมาพบพอดีจึงถามว่า
“ท่านลุง ท่านป้าดูอันใดกันอยู่หรือ”
“ศพสตรีนางหนึ่งมิรู้ผู้ใดเอามาทิ้งไว้ ข้างกายนางมีดาบเล่มหนึ่งวางอยู่ด้วย” บุรุษผู้หนึ่งตอบ
“ศพสตรี ? ดาบ?” ทั้งสองรู้สึกฉงนยิ่งนักว่าเหตุใดกลางเส้นทางสัญจรที่คนพลุกพล่านเช่นนี้จึงมีศพสตรีได้จึงลงจากหลังยอดอาชาแล้วแหวกฝูงชนเข้าไปภายใน
“เสี่ยวหยา! /หยาเอ๋อร์ !” ทั้งสองอุทานแทบจะพร้อมกันเมื่อทราบว่าสตรีผู้นั้นคือผู้ที่ตนกำลังตามหา
“ท่านน้าชายนางสิ้นลมแล้ว” รัชทายาทหนานหลี่ตรัส
“นั่นดาบคู่กายของต้าเหล่ยมิใช่หรือ มันมาอยู่ที่นี่ได้เช่นไร” เกอเอ๋อร์ข่านตรัส
“ใช่ พะยะค่ะเป็นของต้าเหล่ยจริงๆหลานจะไปคุยกับเขาให้รู้เรื่อง” รัชทายาทหนานหลี่ตรัส
“เอ้อร์กวางอย่าใจร้อนหากมิใช่ฝีมือของต้าเหล่ยแต่เป็นการป้ายสีให้พวกเจ้าแตกกันจะทำเช่นไร มีมิตรย่อมดีกว่ามีศัตรูนะ” เกอเอ๋อร์ข่านพยายามตักเตือนแต่มันสายไปแล้วเพราะรัชทายาทแห่งหนานหลี่ขึ้นอาชาแล้วรีบห้อตะบึงมันออกไปตั้งแต่เขาพูดได้เพียงคำว่า “อย่า…” แล้ว
วังหลวงเป่ยมู่
“รัชทายาทพะยะค่ะ รัชทายาทหนานหลี่มาขอพบ” หลินกงกงทูล
“ให้เขารอที่ศาลาริมน้ำ หาดาบพบแล้วข้าจะไปพบเขา” รัชทายาทแห่งเป่ยมู่ตรัส
“พะยะค่ะ” หลินกงกงรับคำ
ศาลาริมน้ำ
“เอ้อร์กวางมาพบข้ามีกิจธุระอันใดหรือ” มู่เหยียนเหล่ยถาม
“เจ้าฆ่าหยาเอ๋อร์ทำไมกันต้าเหล่ย” หลี่เหวินกวางมิได้ตอบแต่ถามกลับ
“ข้านี่นะ ฆ่าหยาเอ๋อร์ ข้าจะฆ่านางได้เช่นไร ในเมื่อแปดเก้าวันมานี้ข้ายังมิได้ก้าวออกจากวังหลวงเป่ยมู่สักก้าว เจ้ามิควรกล่าวหาโดยไร้หลักฐาน” มู่เหยียนเหล่ยกล่าว
“นี่ไงล่ะหลักฐาน ดาบคู่กายของเจ้าหรือเจ้าจะปดว่ามิใช่ของเจ้ากันต้าเหล่ย” หลี่เหวินกวางกล่าว
“ดาบของข้าไปอยู่ที่เจ้าได้เช่นไรเอ้อร์กวาง ข้าหามันมาหลายวัน” มู่เหยียนเหล่ยกล่าว
“เจ้านั่นล่ะที่ฆ่าหยาเอ๋อร์ เจ้าฆ่านางมิเช่นนั้นดาบเล่มนี้จะอยู่ข้างกายนางได้เช่นไร” หลี่เหวินกวางกล่าว
“ข้าเพิ่งบอกไปว่ามันหายไปหลายวันแล้วเจ้ามิได้ฟังหรือ” กล่าวด้วยน้ำเสียงกรุ่นเพราะเริ่มมีโทสะแล้ว
“เจ้าอย่าหนีความผิดเลยต้าเหล่ย เสียแรงที่ข้าแลหยาเอ๋อร์นับถือเจ้าเป็นพี่ใหญ่เสมอมา เจ้าทำลายชื่อเสียงนางจนย่อยยับแล้วยังมิรับผิดอีกหรือ” กล่าวพลางเงื้อกระบี่คู่กายหมายฟันรัชทายาทเป่ยมู่สักคราสองคราให้หายแค้น
“เอ้อร์กวาง จงจำไว้ว่านับแต่วันนี้เป็นต้นไปเจ้ากับแหล่ยเอ๋อร์มิใช่พี่น้องร่วมสาบานกันอีก เป่ยมู่จะเป็นศัตรูกับหนานหลี่ไปชั่วลูกชั่วหลาน” ฟงอวี้ฮ่องเต้แลฮองเฮาที่มาเยี่ยมรัชทายาทเห็นภาพพอดีจึงตรัสสะบั้นความสัมพันธ์ของสองรัชทายาทเมื่อพบว่าโอรสได้รับบาดเจ็บสาหัส
“ดี ข้าก็มิอยากเป็นพี่น้องกับไอ้ฆาตกรดอก” รัชทายาทหนานหลี่ทูลแล้วดำเนินออกไปทันที
.......................................................................................................................................
สนทนาก่อนจาก
* ต้นอิง หมายถึง ต้นซากุระ
** ดอกซิ่ง หมายถึง ดอกแอพริคอต
*** พิธีปักปิ่น หมายถึง ประเพณีจีนโบราณที่ถูกจัดขึ้นในวันเทศกาลฉีเฉี่ยว เพื่อระลึกถึงความรักของหนิวหลางและเทพีจือหนี่ว์ ( ราชธิดาองค์เล็กของเง็กเซียนฮ่องเต้ ) เป็นการให้พรและบอกเป็นนัยว่าดรุณีน้อยวัย 16 ปีในปีนั้นได้เข้าสู่วัยสาวและพร้อมที่จะออกเรือนแล้ว การปักปิ่นจะกระทำโดยญาติผู้ใหญ่ฝ่ายหญิง
**** กินน้ำส้ม หมายถึง อาการหึงหวง
***** พระดัชนี หรือ ดรรชนี หมายถึง นิ้วชี้
บทนี้น่าจะยาวนะคะแต่จะพยายามแต่งให้อยู่ใน 8-12 หน้า A 4 เพื่อให้มีความยาวเท่าๆกับบทต่อจากนี้
แจ้งค่ะ
บทความนี้เป็นการรวมเนื้อหาทุกเรื่องในชุด วิวาห์ชำระแค้น ที่ไรท์เตอร์เปิดเพื่อให้รีดเดอร์ทุกท่านได้อ่านแบบต่อเนื่องไม่ขาดตอน ( กันอารมณ์ค้างนั่นเอง ) สามารถคอมเม้นท์ติชมได้ทุกกรณีนะคะ ในบทความนี้มีตอนพิเศษเพิ่มอีก 2 ตอนนะ คือ ปฐมบท และ ปัจฉิมบท
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ