COFFEE HOT แผนรุก ซ่อนรัก! SM

8.2

เขียนโดย ช็อกโกเมล

วันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 เวลา 17.46 น.

  3 ตอน
  3 วิจารณ์
  13.53K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 4 เมษายน พ.ศ. 2557 17.09 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) ตอนที่3 COFFEE HOT : L'LL TAKE CARE OF YOU

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

เมื่อผู้หญิงเลวๆ อย่างเธอถูกหมายหัวด้วยผู้ชายที่หื่นขึ้นสมองอย่าง 'ฮอล์ก้า' หนึ่งในแก๊ง SWEET DEVIL ที่ขึ้นชื่อเรื่องความดิบเถื่อนแต่ก็หล่อร้ายจนผู้หญิงหลายๆ คนต้องยอมพลีกายถวายชีวิต แล้วอย่างนี้เธอจะเอาตัวและหัวใจให้รอดพ้นจากวิกฤตินี้ได้อย่างไร  

ฝากเพจ

อัพเดทนิยายและเข้ามาพูดคุยกันได้ที่

https://www.facebook.com/NovelMAIL

 

เว็บลงนิยายอีกที่

http://my.dek-d.com/dek-d/writer/view.php?id=1042371

 

 

 

ตอนที่3

COFFEE HOT L'LL TAKE CARE OF YOU

 

 

           “ไม่อยากจะเชื่อเลย ว่านายจะบอกแบบนั้นกับเพื่อนของฉัน”

 

            “แล้วมันเสียหายตรงไหน?”

 

            “ก็เสียหายตรงที่!”

 

            ฉันไม่ได้คิดจะเป็นแฟนกับนายจริงๆ ที่เรื่องราวทั้งหมดต้องลงเอยแบบนี้ ก็เป็นเพราะว่านายใช้กำลังบีบบังคับฉันไม่ใช่หรือไงเล่า ยังจะมาถามอีก!!

 

            และเพราะไอ้โรคจิตตอบยัยเมเพอร์ไปแบบนั้น ฉันก็เลยต้องรีบลากเขาออกมาหน้ามหา’ลัยแทน ป่านนี้ยัยนั้นคงคิดไปไหนต่อไหนแล้วมั้งเนี้ย โอ๊ย! อยากจะบ้าตาย

 

            “….ช่างมันเถอะ”

 

          พูดออกไปตรงๆ เขาคงเล่นงานฉันอีกแน่ สงบปากสงบคำเอาไว้จะดีที่สุด

 

            “^^”

 

            และฉันคิดว่า เขาคงจะเป็นคนฉลาดมากพอ ที่จะรู้ว่าฉันคิดอะไรอยู่ ถึงได้ลอบยิ้มออกมาแบบนั้น เหอะ! รู้ก็รู้ไป อย่ามาแตะเนื้อต้องตัวฉันก็พอ

 

          “แล้วจะไม่กินข้าวเหรอ”

 

          “กิน! แต่จะไปกินที่อื่น จะไปไหนก็ไป”

 

          “หึ!^^”

 

          ให้ตายเถอะ ฉันไม่ชอบรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของเขาเอาซะเลย มองยังไงมันก็ดูเหมือนซาตานในคราบเทพบุตร ที่เอาใบหน้าหล่อๆ กับรอยยิ้มหวานๆ มาล่อใจเหล่าหญิงสาวให้ยอมสยบภายใต้แทบเท้าของเขา ถึงแม้ว่าฉันจะไม่เคยตกหลุมรักใครมาก่อน แต่ถ้าเจอแบบนี้ทุกวัน มันก็ต้องมีบ้างละน่า

         

          “ตามมา”

 

         ฉันเดินตามเขาต้อยๆ ไปยังลานจอดรถของมหา’ลัย จนกระทั่ง มาหยุดยืนยังหน้ารถคันหนึ่ง สีแดงเพลิง พร้อมที่จะเผาไหม้ทุกสิ่งที่เฉียดเข้าไปใกล้ ซึ่งต่อให้ฉันตายไปกี่สิบชาติ ก็คงเก็บตังไปซื้อมันมาขับบ้างไม่ได้

 

          “เฟอร์รารี่ซะด้วย ที่บ้านทำงานอะไรละเนี้ย”

 

          “สุจริต”

 

          ไอ้บ้านี่ คนเขาถามดีๆ ทำไมต้องกวนประสาทกันด้วยเนี้ย

 

          ฉันเงื้อมือขึ้นสุดหัว หมายจะตบเขาสักทีสองทีในขณะที่เขากำลังหันหลังเผื่อที่จะไขกุญแจรถอยู่

 

         “ยกมือขึ้นมาทำไม จะตบผมเหรอ”

 

         “ปะ…เปล่า คันหัวต่างหาก”

 

         เออนะสิ แล้วเห็นได้ไงเนี้ย หันหลังอยู่ไม่ใช่เหรอ

 

         “กระจกรถนะ”

 

         ตอบกลับมาอย่างกับอ่านใจได้แน่ะ น่ากลัวแหะคนๆ นี้

 

         “ไม่ได้ถามสักหน่อย”

 

         “เห็นหน้าคุณ ผมก็รู้แล้ว”

 

         หน้าฉันมันมีตัวหนังสือเขียนบอกว่าคิดอะไรอยู่หรือไง เจ้าบ้า รู้มากนักนะ

 

         ฉันทำเป็นไม่สนใจที่เขาพูดแล้วเดินอ้อมไปนั่งอีกฝั่ง ก่อนที่เขาจะตามเข้ามาแล้วถือดีมาคาดเข็มขัดนิรภัยให้ แถมยังค้างอยู่ท่านั้นเพื่อมองตาฉันอีกแน่ะ เห็นฉันยอมหน่อยแล้วเอาใหญ่เลยนะ

 

        “จะมองอีกนานมั้ย ฉันหิว!”

 

        “หึ”

 

       แล้วเขาก็ถอยตัวออกไปทำหน้าที่ของสารถีในที่สุด ทำให้ฉันค่อยหายใจหายคอได้สะดวกหน่อย จริงๆ แล้วก็ไม่ได้รู้สึกอะไรหรอกนะ ก็แค่หิวอยากกินอะไรเร็วๆ ก็เท่านั้น จริงๆ นะ

 

       เอี๊ยด!!!

 

       

เสียงเบรกรถตัวโกร่ง ทำให้ฉันต้องตื่นลืมตาขึ้นมาดูในที่สุด แล้วนี่ฉันเผลอหลับไปตอนไหนละเนี้ย สงสัยเพราะนั่งเกร็งไปตลอดว่าเขาจะทำให้ฉันหรือเปล่า ก็เลยหลับไปจนได้ แล้วนี่เขาคงจะไม่ได้ทำอะไรตอนที่ฉันหลับไปหรอกนะ

 

            แล้วนี่บ้านใครเขาละเนี้ย อย่างกับพระราชวัง ซ้ายมือเป็นลานจอดรถที่มีรถจอดอยู่ประมาณสิบกว่าคันได้ แล้วแต่ละคันก็แพงๆ ทั้งนั้น ส่วนทางขวาเป็นสนามกอล์ฟแบบสุดลูกหูลูกตา ตรงกลางก็น้ำพุรูปผู้ชายห้าคนยืนกอดอกวางมาด และถ้าให้ฉันเดา หนึ่งในนั้นต้องมีฮอร์ก้าอยู่ด้วยแน่ๆ

 

 

            ฉันก้าวขาลงจากรถอย่างช้าๆ ราวกับนางหงส์ ที่กลับมาถึงพระราชวังโดยมีคนรอที่จะเปิดประตูให้ทุกย่างก้าวที่ฉันเดินผ่าน รู้สึกดีเป็นบ้า โฮะๆ

 

            “คิดอะไรอยู่ รีบเข้ามาสิ”

 

           เพล้ง!

 

           แล้วความคิดเพ้อๆ ของฉันก็ต้องแตกสลายลงไป เพราะเสียงเรียกของฮอร์ก้าที่ยืนรอฉันอยู่หน้าประตูบ้านบานใหญ่ ปล่อยให้คิดอะไรบ้างสักนาทีมันจะตายหรือไงย่ะ

 

          ฉันเดินมาหาเขาเอื่อยๆ อย่างกับเจ้านายเรียกสัตว์เลี้ยงของตัวเองยังไงอย่างงั้น ทุเรศตัวชะมัด

 

         “ไหนว่าจะพาไปกินข้าวไง แล้วพามาที่นี้ทำไม”

 

         “บ้านผมเชพจากทุกมุมโลก รับรองว่าอร่อยกว่าโรงอาหารของมหา’ลัยแน่”

 

         “หะ! นี่บ้านนายเหรอ”

 

         

นี่! รอด้วยสิ จะเดินไปก็ไม่บอก ถ้าฉันหลงขึ้นมาจะว่ายังไง

 

ฉันเดินตามเขามานั่งยังห้องกินข้าวในที่สุด แหม นี่แค่กินข้าวนะ โต๊ะยาวอย่างกับประชุมธุรกิจ จากนั้นฉันก็เห็นว่าเขาโบกมือให้สาวใช้ที่อยู่หน้าประตู ก่อนที่เธอจะหายออกไปและกลับมาพร้อมสาวใช้อีกห้าคนและอาหารที่นำมาเสริฟ

 

“เอ๊ะ! ทำไมมีข้าวสามจานละ ของใครอีกคนเหรอ”

 

“ของหนูเองละคะ”

 

ฉันหันไปตามเสียง ก็เห็นว่าเป็นเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักคนหนึ่ง ที่อยู่บนรถเข็นของประตูอีกบานที่สาวใช้เข้ามาก่อนหน้านี้ เธอค่อยๆ หมุนล้ออย่างช้าๆ เพื่อที่จะได้เข้ามายังเก้าอี้ตรงข้ามกับฉัน

 

พอมาถึงเก้าอี้กินข้าว เธอถึงได้เรียกให้ฮอร์ก้าลุกขึ้นมาอุ้มไปยังเก้าอี้แทน เพราะขาของเธอคงจะใช้การไม่ได้

“สวัสดีค่ะ อย่างที่เห็นขาของหนูใช้งานไม่ได้ หวังว่าพี่คงจะไม่หึงใช่มั้ยคะ ^^”

 

“ไม่สักนิด”

 

ดูๆ แล้ว เด็กนี่คงจะอยู่มอปลาย พิการแบบนี้ คงจะเรียนหนังสือที่บ้านละสิ น่าเบื่อแย่

 

“อมยิ้มเป็นลูกสาวเพื่อนพ่อผม ที่เธอมาอยู่ที่นี้ เพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่พ่อผมอยู่ด้วย เธอรอด แต่พ่อผมไม่รอด”

 

“นายก็เลยต้องรับผิดชอบเธอ”

 

เขาพยักหน้าเป็นการตอบรับอย่างช้าๆ

 

“แล้วแม่นายละ ไปไหน”

 

“ตายแล้ว”

 

“งั้นเหรอ”

 

และแล้วบทสนทนาก็จบลงในที่สุด เราสามคนต่างตั้งหน้าตั้งตากินอาหารในจานของตัวเองอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จนกระทั่ง…

 

“เอิ่ม…ห้องน้ำ ไปทางไหนเหรอ”

 

ฉันถามอมยิ้มเสียงเบา เพราะยังไม่กล้าคุยกับฮอร์ก้า กลัวเขาจะเอาจานข้าวเขวี้ยงหน้าเข้าให้นะสิ

 

“ทาง”

 

“ไม่ต้องคะอมยิ้ม พี่พาโซฮอล์ไปเอง”

 

ฉันรู้สึกลางสังหรณ์ไม่ดียังไงชอบกลแหะ

 

            ฉันเดินตามเขามายังห้องน้ำที่ดูยังไง มันก็ใหญ่กว่าห้องนอนกับห้องนั่งเล่นที่บ้านฉันรวมกันซะอีก ชาตินี้ทำบุญมาด้วยอะไรกันนะ ดูสิ โถส้วมยังทำด้วยทองคำเลย นี่ฉันทุบเอาเศษไปขายซะหน่อยจะดีมั้ยนะ แต่ถ้าทำแบบนั้น ก็ติดตรงที่ว่าฮอร์ก้าที่ยืนรออยู่ข้างนอก จะได้ยินเสียงแล้วพังประตูเข้ามาจัดการฉันซะก่อนได้ทองไปขายนะสิ เพราะงั้น ฉันควรจะคบกับเขาต่อ จะได้เข้าออกบ้านของเขาได้ โฮะๆ ฉันนี่ฉลาดๆ จริงๆ แหะ

 

            “นานมาก! เข้าไปหาวิธีครูดทองออกหรือไง”

 

            หมอนี่มันปีศาจชัดๆ

 

            “เปล่า ทำไมนายถึงคิดว่าฉันจะทำแบบนั้นละ”

 

            เขาเดินเข้ามาหาฉันอย่างช้าๆ ราวกับพญามัจจุราชที่พร้อมจะขย่ำเหยื่อ จนฉันต้องถอยตัวกรูดไปติดกับประตูห้องน้ำ หลังจากนั้นเขาถึงเคลื่อนใบหน้าหล่อๆ มาชิดกับปลายจมูกของฉัน พาให้หัวใจเต้นแปลกๆ ไปชั่วครู่

 

            “โถส้วมบ้านผม มันมีกลิ่นเฉพาะนะ และคุณ…กำลังมีกลิ่นนั้น ที่ปลายจมูก ^^”

 

          “เห็นว่าแปลก ก็เลยก้มไปดู นายอย่ามาตุ๊ต๊ะ ออกไปไกลๆ ด้วย”

 

            ฉันพยายามดันตัวเขาออก แต่เขากับเบียนตัวเข้ามาใกล้ฉันมากยิ่งขึ้น จนบางส่วนของเราเฉียวโดนกันไปมาให้ฉันขนลุกเล่น แถมพอฉันจะเดินหนีไปอีกทาง เขากลับกดแขนฉันไว้กับประตูห้องน้ำซะอย่างนั้น ก่อนที่เขาจะฉกริมฝีปากของฉันไปในที่สุด

 

            เขาไม่เพียงแค่จูบฉันเฉยๆ มือไม้ของเขาก็ยังเลื้อยไปมาตามตัวของฉัน จนฉันต้องปัดป้องถึงรู้ว่ามันจะไม่เป็นผลก็ตาม

 

            หลังจากจูบฉันจนพอใจแล้ว เขาเลยหันไปคลอเคลียกับต้นคอของฉันแทน ปากของฉันก็เลยเป็นอิสละให้ช่วยจมูกสูดลมหายใจเข้าปอด เพราะขาดอากาศหายใจเป็นเวลาหลายนาที แต่คงเพราะขาดอากาศหายใจเป็นเวลานานเกินไป ร่างกายของฉันก็เริ่มจะอ่อนปวกเปียกจนยืนแทบไม่ไหว ถึงแม้จะยังได้สติดีอยู่ว่าเขากำลังทำอะไรกับฉันบ้าง

 

            ฮอร์ก้าที่เห็นว่าฉันไม่สามารถจะยืนต่อได้ อุ้มพาฉันไปยังห้องนอนของเขา ก่อนที่จะค่อยๆ วางฉันลงกับเตียงนอนขนาดใหญ่ไซต์บิ๊กเบิ้ม ตามด้วยถอดเสื้อของเขาออกอย่างเชื่องช้า วินาทีนี้ ฉันรู้เลยว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นกับฉัน เพียงแต่ว่า ฉันไม่มีแรงพอที่จะขัดขืนได้ก็เท่านั้น มีแค่แรงเฮือกสุดท้ายที่จะคลานหนีเขาลงจากเตียงได้แค่นี้จริงๆ

 

            แต่เขาก็ตามมาขึ้นคล่อมฉันในที่สุด ตามด้วยโลมเล้าฉันด้วยริมฝีปากบางๆ ของเขา จากล่าง ขึ้นบน อย่างช้าๆ และมาหยุดยังเนิ่นอกของฉัน พร้อมกับส่งสายตาเจ้าเลห์มาให้

 

            ฉันถึงได้บอกไงละ ว่าฉันเกลียดรอยยิ้มเจ้าเลห์แบบนี้จริงๆ

 

            “ปล่อย…”

 

            “แน่ใจเหรอครับ ว่าอยากให้ผมปล่อยจริงๆ”

 

            เขาบอกทั้งๆ ที่เอื้อมมือไปปลดตะขอบราเซียร์ของฉัน แต่ฉันก็ดิ้นหนีเขาสุดชีวิต ใครจะไปยอมกันละ ถึงตายฉันก็ไม่ยอม

 

          แต่เหมือนกับว่าเขาจะไม่ตามมากระชากลากถูฉันอีก ทำให้ฉันต้องหันไปมองเขาอย่างหวาดระแวงว่าจะมาไม้ไหนกันแน่ ผู้ชายอย่างเขา ไว้ใจได้ที่ไหนกันละ

 

            ฉันลอบมองเขาอย่างไว้เชิง แต่เขากับส่งรอยยิ้มบางๆ มาให้ พาให้ต้องวิตกกังวลไปต่างต่างนานา ก็เขาเคยยิ้มแล้วมีเรื่องดีๆ ที่ไหนบ้างละ

 

            “ผมชอบคุณ อะไรที่ทำให้คุณไม่สบายใจ ผมก็จะไม่ทำ ^^”

 

          พอดีว่านายทำในสิ่งที่ฉันไม่ชอบซะจนนับไม่ถ้วนแล้วละย่ะ แต่ก็ต้องขอบคุณที่อุสาห์มาหยุดเอาตอนที่ถอดบราเซียร์ของฉันออกไปเรียบร้อยแล้ว ไอ้บ้าเอ้ย!

 

          ปังๆ

 

            เสียงประตูที่ดังขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้ฉันต้องรีบดึงผ้าห่มมาคุมท่อนบนที่เปลือยเปล่าอย่างคนที่มียางอาย ก่อนที่ฮอร์ก้าจะเดินเปลือยท่อนบนไปแง้มประตูคุยอย่างคนที่หาคำว่ายางอายไม่เจอจริงๆ

 

            “ว่าไงคะ”

 

            “เห็นพี่กับพี่โซฮอล์หายไปนานกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น หนูก็เลยขึ้นมาตามนะค่ะ”

 

            ที่แท้ก็อมยิ้มนี่เอง แต่จริงๆ น้องควรมาให้เร็วกว่านี้นะ

 

            “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ พอดีพี่จะขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อ ก็เลยพาโซฮอล์มาเข้าห้องน้ำข้างบนแทน ^^”

 

            ตอแหลอ่ะผู้ชายอะไร!

 

            “อ้าว พี่เขาจะกลับแล้วเหรอคะ”

 

            “ค่ะพอดีพวกพี่มีเรียนต่ออีก ระหว่างที่พี่ไม่อยู่อมยิ้มอย่าดื้อกับพี่พยาบาลเขานะคะ”

 

            “คะ อมยิ้มจะเป็นเด็กดีเพื่อพี่ชาย ^^”

 

          ดูน้องอมยิ้มจะน่ารักเกินไปละ ฟังอยู่ไกลๆ ยังอยากจะอ้วกออกมาเลย ติดอยู่ตรงที่ว่าเป็นอาหารมื้อที่ดีที่สุดที่เคยกินมาเนี้ยนะสิ ชิ

 

            “พาน้องกลับไปที่ห้องด้วยครับ”

 

            ประโยคสุดท้าย ฮอร์ก้าคงจะบอกกับพยาบาลที่เข็นรถอมยิ้มขึ้นมาให้ อย่างว่า คนรวยคงไม่มานั่งเข็นรถช่วยตัวเองให้ลำบากหรอก เอาเงินฟาดไปที่จะไปไหนมาไหนก็ได้ สบายกว่าคนมีขาเดินได้เองด้วยซ้ำ

 

“ยังไม่แต่งตัวอีกเหรอ หรือว่าอยากให้ผมทำจริงๆ กันแน่”

 

ฉันมองเขาค้อนๆ อย่างเอาเรื่อง ไม่รู้ว่าเขาพูดจริงหรือพูดเล่น แต่ก็กลัวเอาไว้ก่อนนั้นแหละ

 

“นายก็หันหลังไปสิ!”

 

มองมาตาไม่กระพริบแบบนี้ ใครจะไปกล้าแต่งตัวให้เห็นกันเล่า

 

             

“เห็นไปหมดแล้วยังจะอายอะไรกันอีก เร็วๆ เถอะน้า เรายังต้องไปที่อื่นกันอีกนะ”

 

ชิ ดูพูดจาเข้า ฉันละเกลียดหมอนี่จริงๆ ให้ตายเถอะ ใครก็ได้เอามันไปเก็บที

 

            และเพราะไอ้หื่นนี่ไม่ยอมหันหน้าไปที่อื่นซะที ฉันเลยต้องวิ่งหันหลังเข้าไปแต่งตัวในห้องน้ำที่อยู่ถัดจากเตียงไปนิดเดียวแทน

 

            ผู้ชายคนนี้ หาความเป็นสุภาพบุรุษไม่เจอจริงๆ ให้ตายเถอะ

 

            หลังจากที่ฮอร์ก้าขับรถออกจากบ้านของเขามาได้สักระยะ ฉันก็เริ่มกังวลขึ้นมาอีกรอบ เพราะยิ่งเขาขับไปได้ไกลมากเท่าไร และยิ่งเขาเงียบไม่พูดกับฉันมันก็ดูส่อแววว่าเขาจะคิดเรื่องอกุศลกับฉันมากขึ้นเท่านั้น เพราะอะไรนะเหรอ ก็ถนนที่เขาขับไปมันไม่ได้กลับไปที่มหา’ลัยยังไงละ

 

            อย่าหาว่าฉันระแวงหรือว่าคิดไปเองเลยนะ เพราะมันคิดไปทางอื่นไม่ได้แล้วจริงๆ จากการกระทำของเขาก่อนหน้านี้ และอีกหลายๆ อย่าง ที่ฉันได้รับจากเขามันสอนให้ฉันต้องกลัวและหาทางรับมือไว้ก่อน

 

          “นี่นายกำลังจะพาฉันไปไหนนะ”

 

           “ม่านรูด”

 

            เห็นไหม ฉันบอกแล้ว ผู้ชายคนนี้นี่มันคิดเรื่องอื่นนอกจากเรื่องบนเตียงไม่เป็นจริงๆ ฉันละอยากจะผ่าสมองของเขาออกมาดูให้รู้กันไปเลยว่ามันจะมีคำว่าเซ็กซ์สักกี่ประโยคกัน

 

            “หึ! ดูทำหน้าเข้า ผมล้อเล่นน่ะ ไปดูหนังต่างหาก”

 

          ล้อไม่จริงฉันฆ่านายแน่ ไม่กลัวด้วยว่าอยู่บนรถ ตายเป็นตาย!

 

            พอมาถึงฮอร์ก้าก็เดินเลี่ยงไปซื้อตั๋วซื้อ โดยไม่ถามความเห็นฉันสักนิดว่าฉันอยากดูเรื่องอะไร

 

            “เรื่องอะไรอะ”

 

            “จดหมาย ไปรษณีย์”

 

            “ที่เจมส์ จิ้ม เล่นอะนะ”

 

            “ทำไมอะ ไม่ชอบเหรอ”

 

            ฉันไม่เชื่อเรื่องรักแท้ แล้วคงจะชอบดูหนังรักหรอกนะ แค่นี้ก็คิดไม่ได้ แต่ฉันก็บอกเขาอย่างที่ใจคิดไม่ได้ ต้องรีบกลับคำพูดทันทีที่เห็นเขาหยิบเครื่องบันทึกเสียงขึ้นมาชูเพื่อเป็นการขู่นัยๆ

 

            “ชอบจ้าชอบ เรารีบเข้าไปดูกันเถอะมายดาร์ลิ่ง ฉันอยากดูจะแย่อยู่แล้วเนี้ย”

 

            ฉันกัดฟันพูดอย่างทุเรศตัวเอง เพราะในชีวิตนี้ฉันยังไม่เคยพูดอะไรทำนองนี้กับใครเลยสักคน

            ฮอร์ก้ากุมมือพาฉันเดินเข้าไปยังโรงหนังที่มืดสลัว แวบหนึ่ง ที่ฉันหลงคิดว่าฉันกับเขาเป็นแฟนกันจริงๆ เพราะมันทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่เพราะอะไรหลายๆ อย่างที่เคยสอนบทเรียนราคาแพงให้กับฉัน ทำให้ฉันไม่หลงเผลอไผลตัวและหัวใจไปกับช่วงโปรโมชั่นของเขา

 

            ผลัก!

 

          ฉันเซไปตามแรงเล็กน้อยที่โดนคนข้างหลัง ดันให้เดินขึ้นบรรไดไปเร็วๆ  ไม่รู้จะรีบไปไหน หนังยังไม่มาสักหน่อย

 

            “ขอโทษคะ…นังโซฮอล์!”

 

            คำขอโทษถูกเปลี่ยนเป็นเรียกชื่อฉันอย่างจิกๆ ทันทีที่อีกฝ่ายเห็นหน้าฉันแทบจะในทันทีแทน

 

            “นึกว่าใคร แฟนเก่าที่ฉันส่งไปอัดถั่วดำให้นี่เอง”

 

            “หยุดพูดน่ะ!”

 

            คงจะอายเพื่อนที่มาด้วยอีกสองคนสินะ แหมๆ แค่นี้ทำเป็นรับไม่ได้ คงจะเป็นเพื่อนใหม่สินะ ถึงไม่อยากให้รู้ว่าตัวเองเคยผ่านอะไรมาบ้าง

 

            “ทำไมจะพูดไม่ได้ หรือว่ากลัวเพื่อนๆ ของแกจะรู้ว่าของโปรดของแกก็คือถั่วดำ!”

 

            “ปากดีนักน่ะ วันนี้ฉันไม่ปล่อยเธอเอาไว้แน่ ขอคิดบัญชีกับเรื่องที่เธอทำเอาไว้กับฉันทั้งต้นทั้งดอกมันตรงนี้ละว่ะ”

 

            พูดจบอดีตแฟนเก่าของฉันก็ง้างหมัดมาเต็มแรงแบบไม่เกรงใจสถานที่อีกต่อไป แต่ฮอร์ก้าก็ไวที่จะรับหมัดไว้ได้ซะก่อน

 

            “ทำผู้หญิงไม่มีทางสู้แบบนี้ ไม่เป็นสุภาพบุรุษเลยน่ะครับ”

 

            นัดหรืออดีตแฟนเก่าของฉัน สะบัดมือออกจากการเกาะกุมของฮอร์ก้าอย่างหัวเสีย เช่นเดียวกับเพื่อนๆ ของเขา ที่ดูท่าจะนักเลงพอตัว

 

            “อีเนี้ยอะนะไม่มีทางสู้ เข้าใจอะไรผิดหรือเห็นมันสวยจนไม่เห็นสันดานแย่ของมันกันแน่”

 

            “พูดจาอะไรระวังปากด้วย ยังไงเขาก็เป็นผู้หญิง ถ้าคุณไม่ได้ทำอะไรผิด เธอคงไม่ทำแบบนั้นกับคุณหรอก”

 

            ฉันมองฮอร์ก้าอย่างทึ่งๆ ที่เขาพูดแก้ตัวให้กับฉัน จนไม่ได้สนใจรอบตัวเลยว่าเขาตะลุมบอนกันไปแล้ว กว่าสติของฉันจะกลับมาก็ตอนที่พนักงานเขาวิ่งเข้ามาไล่ จนฮอร์ก้าต้องพาฉันวิ่งหนีออกมานั้นเอง

 

            เราสองคนวิ่งกลับลงมาที่รถอย่างคนหนีตายแบบสุดชีวิต ก่อนที่ต่างฝ่ายต่างยืนหอบและอมยิ้มข่ำๆ กับเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้น

 

            “หัวเราะอะไร”

 

            “แล้วคุณละหัวเราะอะไร”

 

            “เรื่องมะกี้อะ ขอบคุณน่ะ”

 

            เหมือนว่าฉันจะเป็นฝ่ายผิดที่ทำให้เขาชวดหนังทั้งๆ ที่ซื้อตั๋วมาแล้ว ฉันก็เลยชวนเขาไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะใกล้ๆ จนเวลาล่วงเลยไปมืดค่ำ เขาถึงต้องมาส่งฉันที่บ้านในที่สุด

 

            ยอมรับเลยว่า ฉันมองเขาดีขึ้นจากครั้งแรกที่พบกันและหลายๆ อย่างที่เขาทำไม่ดีกับฉัน แต่ก็แค่นิดเดียวเท่านั้นแหละ คนอย่างฉัน เจ็บแล้วจำคือบทเรียนเสมอ

 

            “สนุกไหม”

 

            “ก็ดี นายกลับไปได้แล้ว”

 

            ฉันรีบเปิดประตูลงมาจากรถทันทีที่เห็นเขาเอี้ยวตัวเข้ามาใกล้ ระวังตัวเอาก่อนดีที่สุด

 

            [ฮอร์ก้า]

 

            เห็นโซฮอล์รีบพรวดพราดลงจากรถผมก็อดที่จะอมยิ้มข่ำๆ กับท่าทีกระต่ายตื่นตูมของเธอไม่ได้ อันที่จริงแล้วผมแค่จะบอกฝันดีเธอก็เท่านั้น รู้อะไรไหม ท่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงเลวๆ ที่ผมต้องมากำราบแล้วล่ะก็ ผมอาจจะชอบเธอขึ้นมาจริงๆ ก็ได้

 

            พอพูดถึงเรื่องนี้แล้ว ถ้าวันนั้นมาถึง เธอจะทำหน้ายังไงกันนะ?

 

          ผมสะบัดความคิดต้นเรื่องที่พาผมมารู้จักกับเธอ ก่อนที่จะหันไปเห็นกระเป๋าที่เธอลืมเอาไว้ด้านหลัง นี่ขนาดเธอกลัวว่าผมจะปล้ำยังจะวางกระเป๋าไว้เบาะหลังรถของผมอีกน่ะ นี่ถ้าสมมุติผมเกิดทำอย่างนั้นบนรถขึ้นมาจริงๆ เธอคงหนีไปแต่ตัวแล้วทิ้งกระเป๋าเอาไว้ให้ผมไปคืนสินะ

 

            ผมถือกระเป๋าเซอร์ๆ ตามสไตล์ของเธอเข้าไปที่หน้าบ้าน แต่เพราะเสียงโวยวายที่ดังลอดออกมาจากภายในบ้าน ทำให้ผมต้องแอบไปซ่อนตัวอยู่ข้างบ้านเพื่อแอบฟังอย่างอยากรู้ พอดีกับตรงที่ผมซ่อนมีหน้าต่างแง้มอยู่ ทำให้เห็นภายในบ้านอย่างชัดเจนว่าโซฮอล์กำลังยืนอยู่มุมหนึ่งของบ้าน ไม่ไกลเป็นเด็กผู้ชายมอปลายนั่งเล่นคอมแบบไม่สนใจโลก ให้ผมเดา เด็กนั้นคงจะเป็นน้องของโซฮอล์นั้นแหละ ส่วนคนที่โวยวายว่าเธออยู่เป็นแม่และพ่อที่ยืนสนับสนุนไม่ห้าม แต่กลับพูดจุดประเด็นให้เรื่องราวมันไปกันใหญ่

 

            “กลับมามืดค่ำ! งานบ้านก็ไม่ทำ วันๆ เอาแต่เรื่องผู้ชาย ดูคอมันสิเนี้ย งามหน้าไหมละนั้น ไม่รู้ว่าฉันมีลูกหรือว่ามารที่ไหนมันโผล่มาแหกอกฉัน ฉันละอยากให้ใครก็ได้เอามันไปให้พ้นๆ หน้าฉันที เด็กที่เขาจนๆ ไม่มีพ่อไม่มีแม่ยังจะดีกว่ามันด้วยซ้ำ”

 

            “รู้ไหมโซฮอล์ ตอนที่เราออกจากบ้านไปคราวก่อน ที่บ้านอยู่กันสามคนยังมีความสุขกว่านี้ เราน่าจะคิดเป็นอยู่นะ”

 

            ฟังๆ แล้วโซฮอล์ก็ผิดอยู่บ้างน่ะ แต่พ่อแม่ที่ไหนเอาแต่ไล่ลูกออกจากบ้านแบบนี้ มืดค่ำป่านนี้แล้วด้วย พ่อแม่เธอคิดอะไรกันแน่ โตเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว ทำไมไม่ใช่เหตุผลถามลูกดีๆ บางทีที่เธอทำตัวแย่ๆ อาจเพราะส่วนหนึ่งที่ไม่เคยได้รับความรักความอบอุ่นที่แท้จริง ขนาดพ่อแม่ตัวเองเธอยังไม่ได้รับ นับประสาอะไรกับคนอื่นๆ

 

            “ไปเลย ออกจากบ้านไปเลย ห้องมันก็ทุบทิ้งไปเลย เหม็นขี้หน้ามันจริงๆ เลย”

 

            ผมมองโซฮอล์ที่ถูกแม่ตัวเองไล่ออกจากบ้าน โดยมีพ่อของเธอไล่ให้ไปเก็บเสื้อผ้า ส่วนน้องของเธอก็เอาแต่เล่นคอมอย่างไม่สนใจพี่ตัวเองสักนิด ผมละแปลกใจกับครอบครัวเธอจริงๆ

 

            เธอเดินหายขึ้นไปบนบ้านก่อนที่จะลงมาพร้อมกระเป๋าใบใหญ่ โดยไม่ร้องไห้สักนิดจนผมอยากจะรู้ว่าจริงๆ ว่าเธอรู้สึกยังไง

 

เธอก้าวเดินออกจากบ้านและก็เหมือนเคย ที่ไม่ได้รับความสนใจจากใครเลย ทุกคนทำเหมือนเธอเป็นอากาศธาตุ นี่ถ้าผมไม่เห็นกระเป๋าของเธอและเดินเข้ามา ผมคงไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วเธอมีอีกมุมที่น่าสงสารมาก

 

            หลังจากที่ประตูบ้านปิดลงตัดขาดกับคนภายในบ้าน ผมก็ต้องตกใจอย่างคาดไม่ถึง ที่คนเข็มแข็งอย่างเธอจะปล่อยโฮออกมาอย่างหนัก ชนิดที่ไม่ทันมองเลยว่ารถของผมยังจอดอยู่ที่เดิมไม่ได้ขยับไปไหนเลยสักนิด แถมฝนเจ้ากรรมยังตกลงมากะทันหันแบบตอกย้ำสถานการณ์ที่เธอพึ่งเจอมาอีก

 

            ผมเดินเข้าไปหาเธออย่างช้าๆ ก่อนที่เธอจะเงยหน้าขึ้นมามองเหมือนคนถูกจับได้ว่าซ่อนความอ่อนแอเอาไว้ข้างใน

 

            “ทะ…ทำไม นายยังไม่ไปอีก”

 

            “คุณลืมกระเป๋าไว้ไงครับ”

 

            ผมเอื้อมมือออกไปเช็ดน้ำตาที่ไหลมาพร้อมกับสายฝนของเธอ อย่างต้องการปกป้อง วินาทีนี่ผมลืมไปแล้วจริงๆ ว่าผมมาหาเธอด้วยจุดประสงค์อะไรและเพราะอะไร จุดจบของเรื่องจะเป็นยังไงผมลืมมันไปแล้วจริงๆ

 

            “ผมจะดูแลคุณเอง”

 

            ผมดึงเธอเข้ามาโอบ โดยที่เธอเองก็ไม่ได้ขัดขืนเหมือนอย่างเคย มีเพียงเสียงสะอื้นเบาๆ ที่ส่งมาให้รู้ว่าเธอเจ็บปวดมากแค่ไหน

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
6.9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา