Phantom School
เขียนโดย Wondergirl
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2556 เวลา 18.10 น.
แก้ไขเมื่อ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 21.03 น. โดย เจ้าของนิยาย
13) น้ำตาที่หยุดไหล
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความหลังจากเกิดเรื่องที่ดรงเก็บสัตว์พาหนะโรงเรียนแฟนธอมก็ประกาศปิดเทอมอย่างไม่มีกำหนดว่าจะเปิดและเลื่อนกิจกรรมทุกอย่างออกไป นักเรียนทุกคนสามารถกลับโลกเดิมหรือจะเที่ยวเล่นอยู่ที่โลกบนท้องฟ้านี้ต่อก็ได้ ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บและผู้เสียชีวิตนั้นยังคงจะต้องอยุ่ในดรงเรียนต่อ น่าแปลกที่ผู้เกี่ยวข้องจะอยู่หรือไม่อยู่ก็ได้
ในเวลาเช้าวันหนึ่งของช่วงฤดูหนาวอันยะเยือกซึ่งเป็นฤดูจำศีลของสิ่งมีชีวิตหลายชีวิต
ทั่วทุกหนแห่งถูกปกคลุมไปด้วยปุยขาวหนานุ่มอันเย็นจับใจ ดอกไม้เมืองหนาวต่างแย่งกันโผล่พ้นความหนาวเหน็บเหลือบรรยายขึ้นมารับแสงอาทิตย์อ่อนๆ สายลมหนาวอ่อนๆพัดผ่านไปทั่วทุกหนแห่ง พาเอาทั้งความหนาว หิมะและกลีบดอกไม้หลายสีทำให้ฤดูแห่งการหลับใหลนี่ดูมีชีวิตชีวาขึ้นเยอะ แต่ทว่าผู้ที่เคยยินดีทุกคราที่ถึงเหมันต์และผู้มีอำนาจในการสั่งลมฟ้ากลับยังเศร้าหมองด้วยการนิทราของเด็กสาวคนหนึ่ง
"หิมะตกแล้วนะ... เอาน้ำอุ่นไหม?"เด็กหนุ่มผมเงินเอ่ยถามกับร่างบนเตียงที่นอนขดจับมือเขาเอาไว้ ถึงแม้ว่าจะรู้ว่าถามไปก้คงไม่ได้สิ่งใดตอบกลับแต่เขาก็ยังอยากจะถามไถและพูดคุย น่าแปลกที่เวลาเพียงไม่นานทำให้เขาผุกพันกับคนคนนี้ได้มากมายเยี่ยงนี้ แต่นั่นก็ยิ่งแสดงให้เห้นว่าเธอสำคัญเพียงไหน และให้ความสำคัญกับเขาเพียงใด
"เมื่อไหร่เจ้าจะยอมคุยกับข้าเสียทีเล่า? โกรธข้าเหรอ" เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า นัยน์ตาสีฟ้าครามหม่นหมองเช่นเดียวกับท้องฟ้าในฤดูกาลนี้ ขอบตายังคงรอบแดงช้ำเอาไว้ไม่เลือนหาย "ขอร้องเถอะ... ฟื้นมามองตบข้าสักทีก็ได้ ข้าทนกับการสูญเสียไม่ไหวอีกแล้วนะ..."เขานำมือขาวเรียวของเด็กสาวขึ้นมาทาบกับแก้ม เขาสะกดกลั้นตัวเองไม่ให้ร้องไห้ ถึงแม้ว่ามันจะล้มเหลวอยู่บ่อยครั้งแต่เขาก็รุ้ได้ว่าเด็กสาวไม่ต้องการเห็นน้ำตานี้
"ซีโร่ คิลล์ฟื้นหรือยัง ทำไมนางถึงไม่ฟื้นเสียทีในเมื่อนางก็หายใจ เจ้าช่วยมาได้ไม่ใช่หรือ"เสียงที่เต็มไปด้วยความร้อนรนเอ่ยถามขึ้นเป็นครั้งที่สิบกว่าของวัน และมันจะเป็นเช่นนี้ทุกครั้งและทุกวันที่ผู้อำนวยการผุ้มีอำนาจลึกลับมาเยือนที่แห่งนี้
"นางจะฟื้นแน่แต่อาจจะยังไม่ถึงเวลาเวทย์มนต์ดำนั้นมันทำลายไปเยอะเหลือเกิน ท่านก็ลองรักษาแล้วข้าว่านางจะต้องฟื้น" ซีโร่ส่ายหน้าเบาๆแล้วจ้องมองใบหน้าขาวเนียนอันไร้สติ เส้นผมสีดำเป็นลอนถูกหวีเอาไว้เรียบร้อยด้วยฝีมือของเขา "ทำไมท่านถึงให้ความสำคัญกับคิลล์จัง มีอะไรพิเศษหรือเปล่า" เขาเอ่ยถามอย่างสงสัย
"บุตรสาวของข้าเอง... การที่ข้าไม่บอกนางก็เพื่อให้นางปลอดภัย แต่มันคงไม่มีประโยชน์อีกแล้วเพราะพวกนั้นรู้แล้ว..." เซเรฟนั่งลงที่ข้างเตียงด้านตรงข้าม เขาลูบเส้นผมสีดำนิลนั้นอย่างทนุถนอม "ข้าไม่เหลืออะไรให้เสียอีกแล้ว" เขาเอ่ยเสียงเบา
"อืม...." เสียงครางเบาๆดังมาจากร่างบางที่นอนหลับพริ้มบนเตียงทำเอาชายทั้งสองต้องหันแล พวกเขาดีใจจนพูดไม่ออกที่หญิงอันเป็นที่รักในความหมายต่างกันกำลังจะตื่นขึ้นมามองหน้าพวกเขาอีกครั้ง....
ถึงแม้จะจำไม่ได้ก็ตาม
แพขนตาหนางอนปรือขึ้นช้าๆ เผยให้เห้นนัยน์ตาสีดำสนิทดั่งรัติกาลอันไร้แสนดาว เธอมองไปข้างกายทั้ง2ข้างสลับกันด้วยสีหน้าเรียบเฉยแทบไร้ซึ่งอาการตอบสนอง เด็กสาวหยิบแก้วน้ำข้างๆเตียงขึ้นดื่มแล้วเอ่ยถามคำถามที่ทำเอารุ้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง
"พวกคุณเป็นใคร"
เซเรฟเอื้อมมือลูบเส้นผมหนานุ่มดั่งแพรไหมนั้นแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงห่วงหาว่า "ข้าชื่อเซเรฟ บิดาแท้จริงของเจ้าไงหละ ถ้าไม่เชื่อหรือจะเกลียดแค้นที่ข้าปกป้องเจ้าไม่ได้ถึง2คราก็ไม่เป็นไร"เขาเอ่ยบอกไปถึงแม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายจำเหตุการณ์อะไรไม่ได้ก็ตาม
"คุณพ่อ...?" เธอเอ่ยย้ำแล้วเอียงคอครุ่นคิด "ขออภัยจริง ข้าจำอะไรไม่ได้เลย" เธอยิ้มเศร้าๆแล้วคิดจะหันไปถามถึงเด็กหนุ่มอีกคน แต่เธอก็สัมผัสได้เสียก่อนว่าเขาออกจากห้องไปแล้ว "คนนั้นเขาเป็นใครหรือ" เธอถามผู้ที่บอกว่าเป้นพ่อของตน
"เป็นคนช่วยลูกเอาไว้และเป็นคนที่ลูกให้ความสำคัญ แต่ตอนนี้ลูกแค่จำเขาไม่ไ้ด้เท่านั้น" เซเรฟรู้สึกยิ้มออกในรอบหลายร้อยปีทันทีที่ลูกสาวยอมเรียกเขาว่าพ่ออย่างไร้เงื่อนไขและข้อสงสัยใดๆ "ถ้าลุกไหวจะไปหาเขาก็ได้นะ วันหลังค่อยไปหาพ่อที่ห้องทำงาน พ่อจะให้เจ้าได้เจอกับแม่ นางต้องดีใจแน่ที่ได้เห้นเจ้าอีก" เขาพูดจบแล้วจุมพิตลงบนหน้าผากของบุตรสาวก่อนจะจากไปด้วยอารมณ์เบิกบานสุดๆจนแทบเก็บไม่อยู่
หลังจากเซเรฟออกไปคิลล์ก็ยกมือขึ้นลูบแก้มของตนซึ่งมีน้ำใสๆไหลออกมาอย่างไร้สาเหตุ "ทำไม...? เราถึงรู้สึกเศร้า" เธอถามตัวเองแล้วลุกขึ้นจากเตียงตัดสินใจจะไปเดินหาคนที่พ่อของเธอบอกว่าเป้นคนสำคัญและคนที่ช่วยเธอไว้ โชคดีที่ร่างกายยังคงสภาพที่จะเดินและวิ่งเอาไว้ได้ทำให้เธอสามารถเดินออกจากห้องด้วยตัวเองได้
ณ สวนของหออัศวินที่บัดนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศหนาวเหน็บและควาามเงียบสงบ เด็กหนุ่มผมเงินนั่นยืดขาอยุ่ใต้ต้มไม้สีดำ เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าสีฟ้าหม่นจนเกือบเทาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ดั่งรูปสัก เขาไม่อยากก้มหน้าเลยจริงๆเพราะเกรงว่าน้ำตาจะไหลทันที ถึงแม้เขาจะเต็มใจทำให้เธอสูญเสียความทรงจำเพื่อให้เธอมีชีวิตต่อไปแต่เขาก็ยังไม่สามารถเตรียมใจรับคำว่า 'แปลกหน้า' ได้จริงๆ
อยู่ๆก็มีสัมผัสแผ่วเบาๆวางลงบนบ่าทั้ง2ข้างของเขาพร้อมกับสัมผัสที่ชวนจั๊กจี้ที่ต้นคอ เสียงราบเรียบที่แฝงเร้นด้วยความขี้แกล้งดังขึ้นว่า "เจอตัวแล้วเจ้าคนงี่เง่า" เธอตบบ่าเขาดังป๊าบแล้วเดินอ้อมมานั่งข้างๆ
เด็กหนุ่มผมเงินรู้สึกว่าน้ำตาได้เหือดหายไปจนสิ้น ใบหน้าที่เคยราบเรียบบัดนี้กลับขึ้นสีแดงสุกเหมือนเหล็กรนไฟร้อนๆ เขารีบหันหน้าหนีเด็กสาวทันที ให้ตายเถอะขนาดจำไม่ได้ยังจะอุตส่าห์แกล้งกันได้... อย่าให้ถึงคราวข้านะจะเอาคืนบ้าง
"เจ้าชื่ออะไรเหรอ" คิลล์ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่บ่งบอกอารมณืแน่ชัดเช่นปกติ "คนที่เขาบอกว่าเป็นท่านพ่อของข้าบอกว่าเจ้าสำคัญกับข้า แล้วเจ้าชื่ออะไรเหรอ ข้าจะได้ความทรงจำคืนเมื่อไหร่" เธอถามพรางขืนตัวให้อีกฝ่ายหันมาหาตัวเอง "ถ้าไม่บอกชื่อข้าจะเรียกเจ้าว่า... เจ้างี่เง่า"
"ซีโร่ ข้าชื่อซีโร่" เด็กหนุ่มผมดำรีบบอกชื่อทันทีก่อนที่จะโดนเรียกว่าเจ้างี่เง่าหรืออะไรที่มันเสื่อมยิ่งกว่า ถามจริงว่านี่จงใจแกล้งหรือว่าจำเข้าได้เลยแกล้งเล่นเอาสนุก... แต่ก็ไม่ต่างกันหรอกเพราะคนโดนแกล้งมันก็ไม่พ้นเขาอยู่ดีนั่นแหละ "เจ้าบอกว่าข้าสำคัญกับเจ้างั้นเหรอ? คงเป็นเจ้ามากกว่าที่สำคัญกับข้าจริงๆ... ส่วนความทรงจำคงไม่ได้คืนแล้วหละเพราะข้าทำลายมันไปพร้อมกับมนต์ดำแล้ว" ซีโร่พึมพำเบาๆเหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่าง เขาชันเข่าขึ้นมากอดแล้วมองไปข้างหน้าอย่างเหม่อลอย
"อ้องั้นเหรอ? แล้วข้ายังจะใช้เวทย์มนต์ได้เหมือนเดิมหรือเปล่า"เธอถามด้วยความสงสัย ก็เธอเป็นผู้ใช้มนต์ดำและคำสาปถ้าทำลายมนต์ดำไปบางทีพลังของเธออาจจะเสื่อมได้เหมือนเวลาที่อยุ่ในเขตอาคมแห่งแสง
"ได้สิ..." ซีโร่พยักหน้าทันทีแล้วหันไปมองเธออย่างงุนงง "ไม่โกรธเหรอที่ข้าทำให้เจ้าจำอะไรไม่ได้เลยนอกจากความสามารถของตนเอง"
"อยากให้โกรธ? ไม่หละไม่อยากจะโกรธ" คิลล์พูดแล้วยักไหล่อย่างเฉยชา "เจ้าช่วยข้า ข้าจะโกรธไปทำไม ข้าต้องขอบคุณมากกว่า อีกอย่างข้ารู้สึกโกรธเจ้าไม่ลงจริงๆ" เธอลูบผมสีเงินของเด็กหนุ่มเล่นเหมือนกำลังเล่นกับลูกแมว "ท่าทางเจ้าก็น่ารักดีด้วย ข้าให้อภัยได้อยู่แล้ว!" เธอพูดเสริมด้วยรอยยิ้ม
"อย่าทำเ้หมือนไม่เคยรู้สึกอะไรแบบนั้นจะได้ไหม!!?" ซีโร่ปัดมือของเด็กสาวออกแล้วจับไหล่เธอเอาไว้แน่นไม่ยอมให้อีกฝ่ายดิ้นหนีได้ง่ายๆ "ทำไมถึงชอบทำหน้าแบบนี้อยู่เรื่อย ทำไมชอบบอกว่าไม่เป็นไร ทำไมถึงต้องให้ข้าห่วงมห้ช้าเดาอยู่ได้ว่าเจ้าคิดอะไร ทำไมต้องให้ข้าทำอะไรที่ข้าไม่อยากให้เกิด! " เขาจ้องเข้าไปในดวงตาอันเรียบเฉยนั้นราวกับกำลังเคว้งหาความจริงท่ามกลางความมืดมิดอันไร้จุดหมาย ตอนนี้เขารุ้สึกเหมือนสะกดกลั้นอารมณ์อะไรไม่ได้สักอย่าง ทำได้เพียงระเบิดมันออกมาใส่เจ้าตัวเท่านั้น
"ข้าไม่เข้าใจ" คิลล์พูดเบาๆด้วยน้ำเสียงวังเวงน่ากลัว นัยน์ตาสีดำนิลยังคงไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ
"ทำไมต้องเป็นแบบนี้... ทำไมข้ายอมรับความจริงไม่ได้เสียที ทั้งๆที่ข้าเป็นคนทำให้เป็นเช่นนี้แท้ๆ ทำไมข้าถึงได้อ่อนแอเช่นนี้" เขาค่อยๆคลายมืออ่อนลงจากไหล่ของเธอแล้วก้มหน้าลง ไหล่ทั้งสองสะท้านขึ้นลงเบาๆแต่ไร้ซึ่งสุ่มเสียงใด
เด็กสาวผมดำรู้สึกหวั่นไหวกับท่าทางและอารมณ์อันขึ้นๆลงๆเหมือนแผ่นเสียงตกร่อนของเด็กหนุ่ม เธอเลิกใช้สายตาเฉยชาในการหลีกหนีความเศร้าของคนตรงหน้าทำให้มีความอ่อนโยนและสงบงันเข้ามาแทนที่แทน คิลล์โอบไหล่ทั้งสองของเด็กหนุ่มเอาไว้แล้วดึงเข้าหาตัวให้เขาซบลงร้องไห้ที่ไหล่ของเธอเหมือนแม่ปลอบเด็กน้อยอย่างไรอย่างนั้น
"ไม่ร้องนะไม่ร้อง เจ้าทำดีแล้ว..." เธอเอ่ยปลอบเบาๆพรางลูบเส้นผมสีเงินขึ้นลงช้าๆอย่างเบามือ "เรื่องนั้นช่างมันเถอะ แต่ไม่ร้องไห้นะข้ายอมแพ้แล้ว เรื่องความทรงจำข้าไม่ติดใจแล้ว อยู่กับข้าแล้วสร้างมันใหม่ก็ได้นะ ไม่ต้องร้องแล้ว" คิลล์พยายามจะปลอบสุดชีวิตแต่เธอกลับนึกไม่ออกจริงๆว่าเขาร้องไห้เพราะอะไรทำเอาเธอรู้สึกเจ็บใจอบ่างบอกไม่ถูกที่ไม่สามารถหาสาเหตุได้
ซีโร่พยายามจะหยุดร้องไห้เหมือนผู้หญิงแบบนี้แต่มันกลับไม่หยุดตามที่ต้องการเลย น่าขายหน้าจริงๆ ร้องไห้แบบนี้ เขาพยบายามข่มอารมณ์ทั้งหมดแล้วยกมือขึ้นกอดเด็กสาวตอบอย่างข่มไม่อยู่
"ถ้าไม่หยุดร้องเดี๋ยวข้าก็ปิดปากซะเลยเจ้าคนขี้อาย" คิลล์ขู่เสียงดุอย่างจริงจังเนื่องจากนึกคำปลอบไม่ออกจึงได้แค่ขู่ที่จุดอ่อนอีกฝ่าย แต่แน่นอนเธอเอาจริงแน่
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ