ดาวเสี่ยงเธียร(ปาฏิหาริย์รักในคืนฝนดาวตก)

8.1

เขียนโดย มะมาย

วันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2556 เวลา 11.02 น.

  8 ตอน
  5 วิจารณ์
  12.88K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 18.34 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) ผ้าเช็ดหน้าลายปัญญาอ่อนกับแผนสกปรกของ…!!

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

รุ่งขึ้น  ประกายดาวเดินตามหาเธียรทัดจนมาพบเขาที่นั่งเหม่อลอยเธอจึงเดินย่องเข้าไปเงียบๆพร้อมกับวางเอกสารลงตรงหน้า  “หมดเวลาใจลอยแล้วล่ะ”  ชายหนุ่มสะดุ้งแล้วเงยหน้ามองหญิงสาวด้วยสายตาเนือยๆ

“อะไร?”  เธียรทัดมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าของเขา

“ทำตามสัญญาไง”

ชายหนุ่มยิ้มแห้งๆแล้วหยิบสมุดสเก็ตภาพขึ้นมาจะวาดต่อทำไม่รู้ไม่ชี้  พฤติกรรมดังกล่าวเป็นสัญญาณว่าเขาคงต้องคิดเบี้ยวเธอแน่ๆแต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้ต้องเป็นกังวล  ว่าแล้วจึงดึงสมุดนั่นมาหล่อนจ้องตาชายหนุ่มเขาควรละอายแต่เปล่าเขากลับจ้องเธอตอบไม่สะทกสะท้าน

“ฉันจะไม่บังคับแต่นายควรทำตามที่พูดไว้”

เขายังทำเป็นยิ้มแย้มแจ่มใสเพราะคงคิดว่าไม่จำเป็นต้องรักษาคำพูดในเมื่อเขาได้สิ่งที่ต้องการมาครอบครองแล้ว(รูปใบนั้น)  ประกายดาวเบือนหน้าไปนอกหน้าต่างเธอไม่อยากใช้วิธีนี้แต่ในเมื่อพูดบอกกันดีๆแล้วไม่ทำตามเห็นทีจะยังใจเย็นต่อไปไม่ได้

“นายคิดหรอว่าได้คืนไปแล้วจะวางใจได้”  หญิงสาวแสยะยิ้มเยือกเย็น

“อย่าบอกว่าเธอ…”

เขาตอบไม่จบประโยคหญิงสาวก็งัดหลักฐานเด็ดที่ตัวเองแอบถ่ายเก็บเอาไว้ขึ้นมาโชว์ต่อหน้า  ชายหนุ่มกัดฟันกรอดๆเขาประเมินเธอต่ำเกินไป

“ทีนี้นายคงไม่ต้องให้ฉันบอกว่านะว่าควรจะทำอะไร”

หญิงสาวตบไหล่เธียรทัดที่นั่งอยู่  ชายหนุ่มมองตามหลังทำท่าจะกินเลือดกินเนื้อให้ได้  วันนี้ประกายดาวจะออกไปที่ไหนสักแห่งชายหนุ่มได้ยินมาจากคนในบ้านซึ่งนั่นน่าสนใจมากกว่าไอ้สิ่งบ้าบอตรงหน้านี้อีก

นี่ก็สิ้นเดือนถึงกำหนดส่งดอกเบี้ยให้กับเสี่ยประยูรที่มีมานะส่งลูกน้องหัวรุนแรงมาทวงเก็บถึงที่บ้านดังนั้นฉันจึงต้องรีบไปให้ถึงที่บ้านก่อนเจ้าพวกนั้นจะโผล่มา  เหมือนเคยฉันนั่งรถบัสสายประจำเพื่อนำเงินที่ขอเบิกล่วงหน้าจากคุณลุงมาก่อนกลับไปจ่ายให้พวกมันที่จะมากันทีหลายๆคน  รายไหนไม่มีให้มันก็จะลงไม้ลงมือไม่เท่านั้นยังยึดข้าวของเครื่องใช้ไปขัดดอกอีก  แต่เดี๋ยวก่อนนะตอนนี้ฉันรู้สึกว่าเหมือนกำลังมีคนคอยจ้องมองอยู่ตลอกเวลา  หญิงสาวมองไปทั่วรถตั้งแต่หน้าจนหลังสุดแต่ก็ไม่มีอะไรผิดแปลกบางทีคนที่เต็มคันรถอาจจะทำให้เธอคิดมากไปเองก็ได้  (เธอไม่ได้รู้สึกไปเองหรอกภายนอกหน้าต่างของรถมีรถคันหนึ่งขับไล่ตามมาติดๆพร้อมกับสายตาที่จับจ้องมองไปยังเธอ)

รถบัสจอดแค่หน้าปากซอยเท่านั้นทำให้ประกายดาวต้องเดินเข้าไปอีกในระยะทางที่ไม่ใช่น้อย  ขณะที่เธียรทัดขับตามหลังเธอห่างๆอย่างใจเย็นเพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกต  อยู่ๆรถก็เกิดยางแตกขึ้นมากะทันหันทำให้ชายหนุ่มตามเธอต่อไปไม่ได้  เขาตัดสินใจจอดรถเอาไว้ข้างทางก่อนจะก้าวยาวๆสุ่มๆตามต่อไปแต่ก็ดูเหมือนจะคลาดกัน

เสียงฝีเท้าที่ค่อยๆตามฉันมาทำให้ฉันแน่ใจว่าจะต้องมีใครตามฉันมาไม่ผิดแน่  ฉันจึงตัดสินใจหลบอยู่ข้างรถคันหนึ่งที่จอดอยู่เพื่อรอดูสถานการณ์แล้วก็เป็นอย่างที่ฉันคิดไว้ไม่มีผิด  ชายหนุ่มคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นเขาดูมีท่าทางที่กำลังมองหาใครคนหนึ่งซึ่งฉันเองก็ต้องรู้ให้ได้  ฉันเดินออกมาจากข้างรถช้าๆและเอ่ยปากถามเขาที่ยืนหันหลังให้

“มองหาใครอยู่!”

ชายหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อยแล้วก็เงียบไปก่อนจะยอมหันมาทางหญิงสาว

“อ้าวประกายดาวเธอมาทำอะไรที่นี่”

“คุณเธียร!...ฉันตั้งหากที่ต้องเป็นฝ่ายถามว่าตามฉันมาทำไม”

“ใครบอกว่าฉันตามเธอมา  ฉันมาหาเพื่อนตั้งหากเล่า”

สีหน้าและแววตาดูจะเชื่อถือไม่ได้  เขาจงใจที่จะตามมาจับผิดฉันเพื่อหาข้ออ้างไล่ฉันออกสิไม่ว่า

“เอาล่ะนายกำลังทำให้ฉันเสียเวลาอยู่  นี่ไม่ใช่เวลางานนายกลับไปได้แล้ว”

“ก็บอกแล้วไงว่าฉันไม่ได้ตามเธอมา อีกอย่างถ้าเธอไม่ได้จะมาทำอะไรที่ไม่ดีก็ไม่เห็นต้องกลัวนี่”

“ได้งั้นก็ต่างคนต่างไป...เอาตามนี้”

ฉันรีบมุ่งหน้ามาที่บ้านเพราะใกล้เวลานัดเต็มทีแล้ว  และก็ดูเหมือนว่าเขาจะตามฉันมาแทบทุกฝีก้าวแต่ฉันก็ไม่ได้สนใจเพราะที่ฉันเป็นห่วงมากที่สุดในตอนนี้ก็คือ  พ่อ  เมื่อมาถึงภาพที่เห็นก็ทำเอาเข่าแทบทรุด  พ่อลงไปนอนกองอยู่ที่พื้นและพวกที่มาท้วงหนี้ก็กำลังยกอุปกรณ์ทำมาหากินของพ่อฉันอยู่นั่นทำเอาฉันรีบวิ่งเข้าไปห้ามไม่ให้พวกมันยกเอาไปและประครองร่างพ่อที่ดูเหมือนว่าจะยังคงมีสติอยู่ขึ้นมา

“พ่อเป็นยังไงบ้างจ๊ะ!”

หญิงสาวมองใบหน้าที่บอบช้ำของปกรณ์  ชายหนุ่มพอมีสติพยักหน้าว่ายังไหว

“ไหนล่ะเงิน”

ลูกน้องเสี่ยประยูรทวงถาม  ประกายดาวกำมือแน่นทนไม่ได้ที่เห็นพ่อของตัวเองถูกทำร้ายหญิงสาวเตรียมลุกจะโต้กลับแต่ถูกปกรณ์ที่ดูหล่อนออกปรามไว้  หญิงสาวทนทั้งที่จะทนไม่ไหวหยิบซองเงินยื่นให้ไป

“ความจริงถ้าเธอยอมอ่อนข้อกว่านี้สักนิดคงไม่ต้องลำบากเหมือนที่เป็นอยู่  เสี่ยคงดูแลเลี้ยงดูปูเสื่อเธอกับพ่อเป็นอย่างดี”

“ฉันไม่ได้ขายตัว”  เธอเน้นเสียงหนักย้ำทุกครั้ง

“แต่เสี่ยเขาอยากได้ตัวเธอมากเลยนะ”

ชายหนุ่มยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะส่งสัญญาณให้ลูกน้องที่ยืนอยู่ตรงนั้นเข้ามาจะคว้าตัวเธอไปแต่ก็ต้องชะงักเมื่อมีใครคนหนึ่งเข้ามาขวาง

“ลังแกผู้หญิงตัวคนเดียวอย่างนี้มันต้องเรียกว่าอะไรนะ  หน้าตัวเมียหรือเปล่าวะ”

“เองเป็นใครวะสะเออะมายุ่งวุ่นวายอะไรแถวนี้”

“ชั่วๆอย่างพวกแกไม่สมควรรู้หรอก”

“พูดอย่างนี้มันก็วอนหาเรื่องสิวะ  เฮ้ยพวกเรา!สั่งสอนไอ้หน้าจืดนี่ดีกว่าว่ะ”

หาเรื่องใส่ตัวเข้าแล้วไอ้คุณเธียรเอ๊ย  ตอนแรกก็ทำท่าว่าจะสู้กับพวกมันได้อยู่หรอกแต่ก็อย่างว่าห้ารุมหนึ่งต่อให้เป็นจาพนมก็ต้องเดี้ยงบ้างแหละ  พูดไม่ทันขาดคำเขาก็ถูกอัดเละจนลงไปนอนรับส้นรองเท้าของพวกมันอยู่ที่พื้น  ฉันเองที่กำลังตกใจก็พยายามหาวิธีช่วยเขาอยู่และดูเหมือนว่าจะมีอยู่วิธีหนึ่ง

“ตำรวจมา!  ตำรวจมา!  มีคนถูกทำร้ายอยู่ทางนี้ค่ะ”

ฉันตะโกนสุดเสียงคอแทบแตก  เป็นผลเพราะเมื่อได้ยินอย่างนั้นพวกมันก็ต่างวิ่งหนีกระเจิดกระเจิงขึ้นรถเอาตัวรอดถึงแม้จะไม่เห็นแม้แต่เงาของตำรวจก็ตาม(- -^)ปล่อยทิ้งไว้ก็แต่รอยเท้าบนตัวของเขา  เห็นสภาพเขาในตอนนี้ใช่ว่าฉันเองจะสงสารแต่กลับยืนหัวเราะคิกคักจนพ่อเองต้องบอกให้ฉันไปพยุงเขาเข้าไปในบ้าน  พ่อเป็นคนแรกที่ฉันทำแผลให้ดีนะที่แค่โดนต่อยไปไม่กี่หมัดแต่อีกคนน่ะสิไม่รู้ว่าโดนไปเท่าไหร่นับไม่ถ้วนจริงๆ  ฉันใช้สำลีชุบน้ำเกลือเพื่อล้างแผลที่ข้างมุมปากให้คนอวดดีที่นั่งบิดไม่ยอมให้ทำนิ่งๆ

“โอ้ยเบาๆหน่อยสิ!”  เขาร้องแหกปากดังลั่นบ้าน

“แหมแผลเท่าขี้เล็บทำเป็นร้องไปได้”

“เธอพูดกับคนที่ช่วยเธออย่างนี้เหรอ”

“ฉันไม่ได้ขอให้นายมาช่วยสักหน่อย”  ประกายดาวเบ้ปาก

“เหอะ รู้อย่างนี้ปล่อยให้พวกนั้นจับตัวไปให้ไอ้เสี่ยนั่นตั้งแต่แรกซะก็ดีแล้ว”

ยิ่งเขาพูดไม่เข้าหูฉันเท่าไหร่ฉันก็ยิ่งกดไปที่แผลแรงอีก  โอ้ย!!

“ไม่กลัวหรอกฉันก็มีมือมีขาเหมือนกัน……ไม่ยอมให้โดนรุมอยู่ฝ่ายเดียวและ  ไม่เก่งแต่ปากเหมือนใครบางคน”

ฉันเน้นคำหลังหนักๆ

“ดาวทำไมลูกพูดแบบนี้ล่ะลูกเขาอุตส่าห์ช่วยเราเอาไว้ไม่งั้นลูกนั่นแหละที่จะแย่” 

ปกรณ์ออกความเห็นบ้างหลังนั่งฟังมานาน

คุณเธียรผมขอบคุณคุณมากเลยนะครับถ้าไม่ได้คุณช่วยผมกับลูกไว้ถ้าไม่อย่างนั้นไม่รู้ว่าเราจะเป็นยังไง

ไม่เป็นไรครับ” 

เขาหันไปยิ้มอย่างน้อมน้อมให้พ่อแล้วหวนกลับมายิ้มแขวะใส่คนที่นั่งตรงหน้าอย่างฉัน

“หนูเห็นพ่อเตรียมของไว้เดี๋ยววันนี้หนูไปขายให้เองนะจ๊ะพ่อจะได้พักผ่อน”

“ไม่ต้องหรอกลูกพ่อก็ไม่ได้เป็นอะไรแล้ว”  พูดพลางจะเดินไปคว้าผ้ากันเปื้อนประจำตำแหน่งมาใส่

“ได้ไงล่ะจ๊ะ” 

ฉันเดินเข้าไปควงแขนพ่อแล้วหยิบผ้ากันเปื้อนจากมือเขามา  พ่อมองฉันด้วยสายตาที่อยากจะปฏิเสธ

“ไม่ต้องห่วงนะครับผมจะดูแลเธอเป็นอย่างดี”

ฉันแยกเขี้ยวใส่เมื่อเขาเดินเข้ามาใกล้เราสองคนพ่อลูกแถมยังพูดโชว์พาวซะตัวเองดูดีเชียว

“เอางั้นก็ได้”  พ่อลูบหัวฉันเบาๆ

ขณะที่ฉันกำลังจะเดินไปขึ้นรถโดยมีเขาตามมาติดๆ  ฉันหยุด

“นายเองก็กลับบ้านไปได้แล้ว”  ฉันออกปากไล่ให้เขาไปให้พ้นๆทาง

“เธอไม่กลับไปพร้อมกันล่ะอีกอย่างฉันเจ็บขนาดนี้แล้วยังไล่ฉันไปอีกเหรอ”

“แล้วนายไม่ต้องไปหาเพื่อนหรอไง”  ฉันถามเสียงห้วน

ชายหนุ่มจวนตัวแล้วเขาคงต้องยอมบอกความจริง  “โอเคๆฉันยอมรับก็ได้ว่าตามเธอมา”

“ไปเหอะน่า”  เขาดันฉันไปที่ประตูคนขับก่อนจะเดินอ้อมไปขึ้นอีกทาง

~บนรถบาร์บีคิวของพ่อซึ่งมีฉันเป็นคนขับ

เธียรทัดมองออกไปนอกหน้าต่างรับอากาศและลมเย็นๆ 

“ก่อนหน้านี้เธอช่วยพ่อขายบาร์บีคิวทุกวันเลยเหรอ”

“ใช่...ฉันช่วยพ่อตั้งแต่เด็กแล้วล่ะ”

แล้วชายหนุ่มก็หันมามองเธออีกครั้ง  “….ที่บ้านเธอฉันเห็นรูปครอบครัว….”

เขาคงกำลังสงสัยว่าแม่และพี่ชายของฉันเขาอยู่ที่ไหน 

“อืม...แม่ขอแยกทางกับพ่อตั้งแต่ฉันยังจำความไม่ได้”

“แล้วไม่คิดถึงแม่บ้างเหรอ”  ฉันแปลกใจอยู่นิดๆที่อยู่ๆเขาก็ถามคำถามนี้แต่ก็ช่างเถอะ  ฉันคลี่ยิ้มออกมาแต่เป็นรอยยิ้มที่ไร้วี่แววแห่งความสุขก่อนจะตอบคำถาม

“คิดถึงสิแต่ป่านนี้ท่านคงจะมีครอบครัวใหม่แล้วล่ะ”

“แล้วทำไมเธอไม่คิดที่จะไปทำอย่างอื่นล่ะ”

“ขายบาร์บีคิวน่ะหรอ?”  เขาพยักหน้าหงึกๆ

บางทีคนเราก็มองข้ามในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่  คนที่ทำอะไรด้วยความชอบบางครั้งมันก็ใช่ว่าจะประสบความสำเร็จเสมอ  ฉันน่ะโชคดีที่พ่อวางรากฐานร้านบาร์บีคิวไว้ให้  ตรงข้ามกับบางคนที่ต้องเสาะแสวงหาว่าอะไรที่เหมาะสมกับตัวเอง  ฉันว่ามันน่าเสียดายนะถ้าหากเราไม่ยอมลองลงมือทำในสิ่งที่มีดูก่อน

ฉันไม่คาดคิดมาก่อนว่าเรื่องราวของตัวเองจะคับคล้ายคลับครากับเรื่องราวของเขาที่กำลังประสบอยู่นี้  แต่ก็ดีเหมือนกันที่การพูดในครั้งนี้จะได้เตือนสติเขาให้เขาได้คิดว่าไอ้สิ่งที่ฉันพูดมันเกี่ยวข้องกับเขายังไงบ้าง  และดูเหมือนว่าจะมีแววเพราะพอฉันพูดจบเขาก็นั่งเงียบไปตลอดทาง

และแล้วเราก็มาถึงทำเลที่ตั้งของร้าน  หลังจากที่ฉันเตรียมของเสร็จเรียบร้อยฉันก็หยิบเครื่องดนตรีโปรดชิ้นหนึ่งออกมา

“เธอเล่นกีตาร์เป็นด้วยหรอ”  ( ‘ o’)สายตาเขาพุ่งตรงมายังกีตาร์ในมือฉัน

“ของกล้วยๆเลยล่ะ”  ฉันเลิกคิ้วสูงอย่างมั่นใจ

“นี่นายจำเรื่องที่เราคุยกันบนรถได้ไหมฉันลืมบอกอะไรนายไป  คือบางครั้งถ้าเราเอาความชอบมาปรับใช้ให้เหมาะกับสิ่งที่เรามีอยู่มันก็จะยิ่งทำให้สิ่งนั้นดียิ่งๆขึ้นไปอีก  ฉันเองก็ชอบเล่นกีตาร์และร้องเพลงเป็นชีวิตจิตใจถึงจะไม่ไพเราะเพราะพริ้งเหมือนกับนักร้องมืออาชีพแต่เวลาฉันได้ทำมันทีไรนอกจากจะมีความสุขแล้วลูกค้าก็ยังแน่นร้านอีก”

พูดจบฉันก็ลงมือเรียกลูกค้าด้วยการเล่นกีตาร์แล้วก็ร้องเพลงไปด้วย

-รู้ว่าเสี่ยงแต่คงต้องขอลองรู้ว่าเหนื่อยแต่อยากได้ของที่อยู่สูงยังไงต้องขอลองดูสักที…-

ครู่เดียวลูกค้าก็มาต่อคิวซื้อแล้ว  มันดูขัดอยู่บ้างเพราะปกติแล้วพ่อจะเป็นคนขายส่วนฉันจะเป็นคนเรียกลูกค้า  เสียงเพลงก็เลยขาดหายไปตอนฉันต้องมาทำหน้าที่ขายแทนพ่อ

-ถ้าหากรักนี้ไม่บอกไม่พูดไม่กล่าวแล้วจะรู้ว่ารักหรือเปล่า…-

ระหว่างที่ฉันทำหน้าที่ขายอยู่เสียงกีตาร์ก็ถูกบรรเลงพร้อมกับเสียงฮำเพลงขึ้นอีกครั้งแน่นอนว่าไม่ใช่ฉันแต่เป็นเขา(เขาจริงๆ)ที่เรียกว่าเสียงดีไม่แพ้หน้าตาของเขาเลย  ฉันหันไปมองเขาอย่างยิ้มๆพอหันกลับมาที่หน้าร้านอีกทีไม่รู้ว่าผู้หญิงนับสิบคนหลั่งไหลกันมาจากไหน  แต่ฉันก็ไม่แปลกใจหรอกนะเพราะฉันก็ชอบเขาเวลานี้เหมือนกัน  เวลาล่วงเลยจนค่ำพร้อมกับหลากหลายบทเพลงจากทั้งเขาและฉัน  ลูกค้าก็เพิ่งจะเบาลงเราเองก็เพิ่งจะได้นั่งพักและฉันก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ก็เหงื่อเขาหยกติ๋งๆขนาดนั้นดีนะที่ฉันเป็นคนที่พกผ้าเช็ดหน้าติดตัวไว้ตลอดเวลา  ทีแรกจะหยิบมาใช้เองแต่ตอนนี้เปลี่ยนใจแล้วฉันจึงยื่นมันให้เขาที่เวลานี้เอาแต่ใช้มือปาดเหงื่อออก

“ใช้แล้วหรือเปล่า”  หมอนั่นดูถูกน้ำใจฉันด้วยสายตาและความคิดอุบาทห์ๆ

“ยังย่ะแต่ไม่เอาก็ตามใจ  เชอะ” 

ฉันเบือนหน้าไปอีกทางและกำลังจะซับเหงื่อที่หน้าตัวเองแล้วอยู่ๆผ้าเช็ดหน้าสีชมพูลายคิดตี้ก็ถูกกระตุกไปจากมือแต่บังเอิญว่ามันเกิดอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาจับมือฉันเอาไว้  เพียงเสี้ยววินาทีนั้นเหมือนทุกอย่างหยุดเคลื่อนไหวไปหมดมีเพียงแค่เราสองคนทว่าฉันต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อเขาเลื่อนมือมาหยิบผ้าเช็ดหน้าจากมือฉันไป

คนอะไรขนาดท่าเช็ดเหงื่อยังดูหล่อ  (  o3o)!!!!!!!  ฉันสะบัดหน้าถี่ๆสลัดความรู้สึกบ้าบอออกไป 

“ทำไม  เกิดหวงขึ้นมาหรอ”  เขาพูดขึ้นโดยไม่ได้หันมามอง

“ปะเปล่า”

“งั้นก็ดีแล้วล่ะเพราะฉันไม่ได้คิดที่อยากจะเก็บผ้าเช็ดหน้าลายปัญญาอ่อนแบบนี้เอาไว้หรอก”

ว่าไงนะ  ผ้าเช็ดหน้าลายปัญญาอ่อน!

ไว้ซักให้แล้วจะเอามาคืน

ฉันแทบอยากจะเอาเล็บข่วนหน้าเขาสักสามทีแต่ดีนะที่ป้าอิงอรลูกค้าประจำแวะมาพอดี  เขาก็เลยรอดตัวไปได้อย่างหวุดหวิด

“ดาวพ่อไปไหนซะล่ะ  แล้วนี่เราเองหายไปไหนซะตั้งหลายวันไม่เห็นมาช่วยพ่อเลยนะ”

“วันนี้พ่อไม่ค่อยสบายนะคะหนูเองก็ได้งานใหม่แล้ว”

“เป็นเด็กดีเสมอเลยนะป้าล่ะภูมิในแทนปกรณ์จริงที่มีลูกอย่างหลาน  ผิดกับเจ้าคิมหันต์ขยันสร้างแต่เรื่องให้ปวดหัว”

“ว่าแต่คราวนี้เอากี่ไม้ดีคะ”

“สิบไม้จ๊ะ...ว่าแต่ชายหนุ่มคนนี้เป็นใครกัน  แฟนหลานหรือเปล่า?”

ประกายดาวรีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธ  “ไม่ใช่นะคะ  เป็นเพื่อนกันเท่านั้นคะ” 

“ถามแค่นี้ทำไมหลานจะต้องหน้าแดงด้วย”  สายตาของป้าอิงอรทำให้ฉันทำตัวไม่ถูก

หมับ!เธียรทัดขยับมาโอบไหล่ของประกายดาวอย่างสนิทสนมแล้วพูดประโยคเด็ดที่ทำให้หญิงสาวแก้มร้อนผ่าว

“ที่หน้าแดงก็เพราะว่าเราสองคนไม่ได้เป็นแค่เพื่อนกันน่ะสิครับ”  เขาหันไปสบตาประกายดาวที่อ้าปากค้าง

“แหมมีแฟนแล้วไม่เห็นต้องอายเลย”  อิงอรเอามือปิดปากหัวเราะเล็กๆ

ฉันก็เอาแต่ส่ายหน้า  เขาเลยคว้าคว้าถุงบาร์บีคิวยื่นให้ป้าอิงอรแทนและการแถมให้เธอหนึ่งไม้เป็นอันสิ้นสุดภารกิจในวันนี้

คล้อยหลังป้าอิงอรฉันก็หันไปตวาดใส่เขาที่บังอาจมาทำให้ฉันถูกเข้าใจผิด

“นายทำบ้าอะไรลงไป”

“ฉันทำอะไร”  เขาทำเฉยเมยไม่ทุกข์ไม่ร้อน

“ก็นายทำให้ป้าอิงอรเข้าใจว่าเราสองคนเป็น.…(แฟน)…..”  เอาเข้าจริงฉันก็ตะกุกตะกัก

“นี่อย่าบอกว่าเธอคิดว่าไอ้สิ่งที่ฉันหมายถึงเป็นอย่างว่า”  เขากลอกตาไปมายิ้มยี๊ๆ

“เอ้าก็นายเป็นคนพูดเอง”

“แล้วฉันพูดว่าไง”

“นายพูดว่าฉันกับนายเราไม่ได้เป็นแค่เพื่อนกัน”

“ก็ถูกแล้วไม่ใช่หรอ  เธอเป็นลูกน้องส่วนฉันเป็นเจ้านาย”

ฉันเผยอปากเล็กๆหลังจากได้ฟังคำตอบของเขา  มันก็ใช่เขาไม่ได้พูดออกมาตรงๆแต่ก็ส่อซะจนฉันคิดไปเอง

“เอ๊ะหรือว่าเธอคิดว่าฉันคิดกับเธอมากกว่านั้น” 

เขากอดอกจ้องตาฉันราวกับว่าจะทะลุเข้าไปข้างในให้ได้ 

“แหวะใครอยากจะมีแฟนอย่างนายกันล่ะ”  ฉันออกแนวประชด

“นั่นไง!  เธอพูดออกมาแล้ว”  เขาชี้หน้า

ฉันเม้มปากแน่น  “ไม่ยักกะรู้มาก่อนว่านายจะหลงตัวเองได้ถึงขนาดนี้”

เก็บของเสร็จฉันก็ขยับเดินตรงไปจะขึ้นรถทว่าประตูที่ฉันเปิดออกมาได้เพียงนิดเดียวก็ถูกปิดกลับเข้าไปด้วยฝีมือของ…(O.O)พอหันกลับออกมาฉันก็ถูกกักเอาไว้ด้วยแขนทั้งสองข้าง  เขาคลี่ยิ้มบางๆออกมาแล้วพยายามโน้มหน้ามาใกล้จนได้น้ำหอมที่เสื้อเขาฟุ้งอยู่ในจมูก  ฉันจึงใช้ฝ่ามือดันที่ไหล่ทั้งสองข้างของเขาให้ออกไป

“จะทำอะไร”  ฉันพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแทบจะมีเพียงแค่ลม

“ถ้าเธอไม่ได้รู้สึกอะไรกับฉันก็มองตาฉันสิ”

“นายอยู่ใกล้ขนาดนี้ฉันจะมองได้ยังไงล่ะ”

“ได้สิ” 

ว่าแล้วเขาก็ใช้มือข้างหนึ่งจับที่ปลายคางของฉันแล้วค่อยๆเลื่อนมันขึ้นมาได้ในระดับหนึ่งก่อนที่ฉันจะสะบัดหน้าจนหลุดจากมือของเขา

“ถ้าเธอไม่ยอมมองฉันจะจูบเธอตรงนี้และเดี๋ยวนี้”

ได้ยินอย่างนั้นฉันก็รีบหันขวับสบตาเขาทันทีทันใด  แล้วเสียงหัวเราะของเขาก็แว่วดังเข้ามาในหู

“เธอกลัวฉันจูบ  แต่ฉันจูบเธอไม่ลงหรอก”

เขาส่ายหน้าอย่างขำๆแล้วผละตัวเดินอ้อมไปขึ้นรถ  ฉันกัดฟันกรอดๆกำมือแน่นเมื่อรู้ว่าตกหลุมพรางของเขาเข้าให้แล้ว

“นี่จะกลับกันได้รึยัง”  เสียงตะโกนดังออกมาจากในรถ

ฉันเตะกลางอากาศเพื่อระบายอารมณ์ก่อนจะเปิดประตูขึ้นรถ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.3 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา