The moon'story (Full moon พันธนาการแห่งดวงจันทร์)

8.7

เขียนโดย Sara

วันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2556 เวลา 18.48 น.

  6 chapter
  11 วิจารณ์
  10.33K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2556 08.02 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) Dream

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

Dream

                ในความฝันของเธอ ใช่ ฟังไม่ผิดหรอกความฝันนั่นแหละ เธอรู้ว่าตัวเองกำลังฝันอยู่แถมยังไม่ยอมตื่นเสียด้วย ในความฝันเธอเห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินอยู่ในป่าอันมืดมิด เธอไม่เห็นใบหน้าของผู้หญิงคนนั้น เธอรู้แค่ว่าเธอกำลังเดินตามผู้หญิงคนนั้นไป เธอเริ่มเดินตามผู้หญิงคนนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือเราเดินมาไกลแค่ไหนแล้วไม่มีใครรู้ รู้แค่ว่าป่านี้เริ่มจะลึกลงเรื่อยๆ บรรยากาศรอบด้านเย็นไปหมด พระจันทร์ดวงกลมโตบนฟากฟ้าช่วยสาดแสงเย็นตาส่องลงมา

                กลิ่นของมอสที่ขึ้นอยู่ตามพื้นเย็นจนแสบจมูก ความมืดมักจะพาความเงียบสงัดมาด้วยเสมอ แต่ก็เพียงแค่ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น เมื่อผู้หญิงที่เดินนำหน้าเธออยู่เริ่มร้องเพลง เสียงของเธอนั้นหวานและเย็นเยียบเธอไม่รู้จักเพลงที่เธอกำลังร้อง รู้แค่ว่ามันเป็นเพลงช้า เสียงเพลงเบาๆที่ดังออกจากปากของเธอถูกล้อมรอบด้วยความเงียบ มันให้ความรู้สึกขนลุกและเสียวสันหลังอยู่เสมอ เธอไม่รู้หรอกว่าผู้หญิงคนนั้นร้องเพลงทำไมทั้งๆที่เดินอยู่ท่างกลางป่าที่ลึกและมืดมิด บางทีอาจจะแค่ร้องเพลงเพื่อร่นระยะทางไม่ให้รู้สึกกลัวเกินไปเหมือนอย่างที่เธอกำลังเป็น หรือไม่บางทีผู้หญิงคนนี้อาจจะกำลังอารมณ์ดีอยู่ก็ได้ ถ้าเพียงแค่เธอฟังบทเพลงนั่นออก

                มันคงไม่แปลกที่แอมมี่เริ่มจะเอาแขนกอดตัวเองและเผลอหันไปมองข้างหลังเป็นระยะๆ แต่ก็ไม่พบอะไรนอกจากความมืดที่ทอดทิ้งตัวอยู่พร้อมกับหมอกจางๆ หญิงสาวผู้นั้นยังคงร้องเพลงต่อไป ในความเงียบแบบนี้เสียงนั้นดังกังวานก้องป่าเหมือนกับว่าที่นี่มีเพียงแค่เราสองคนเท่านั้น หรืออาจจะแค่ เธอ คนเดียว

                เสียงเพลงของหญิงสาวแผ่วเบาลงเมื่อมีเสียงสวบสาบเข้ามาใกล้ แต่ถึงอย่านั้นเธอก็ยังไม่หยุดร้องเพลง สิ่งมีชีวิตสามตัวเดินเข้ามาใกล้ผู้หญิงคนนั้นจากทางด้านหลัง ก่อนจะเดินตามหญิงสาวไปอย่างเงียบๆเหมือนผู้ร่วมเดินทาง สุนัขหมาป่าสามตัวที่มีขนสีน้ำตาลเงางามสะท้อนแสงจันทร์

                ถึงแม้มันจะเป็นความฝันของแอมมี่ แต่มันก็เป็นความฝันที่น่ากลัวและคุ้นเคย เพราะเธอเคยฝันแบบนี้มาแล้ว ฝันซ้ำๆกันมานานมาก แต่นานเท่าไหร่นี้เธอก็ไม่รู้ ทุกครั้งของความฝันมันจะมาจบอยู่ที่หน้าประตูเหล็กดัดสีดำอันใหญ่ท่ามกลางป่าทึบ แต่เธอก็ไม่เคยเข้าไปถึงข้างในสักที ไม่เคยเลยสักครั้ง

                ทุกครั้งที่ฝันมันเหมือนจะมีแรงจูงใจบางอย่างกระตุ้นความอยากรู้ของเธอ อย่างเช่นประตูสีดำนี้ ถึงแม้ว่าพอมองเข้าไปจะมีแค่ป่าเหมือนเดิมก็ตาม แต่ด้วยจิตใต้สำนึกลึกๆของเธอแล้วมันจะต้องมีอะไรอยู่หลังบานประตูบานนี้แน่ๆ เหมือนในตอนนี้ที่เธอและผู้หญิงคนนั้นพร้อมๆกับผู้ร่วมเดินทางอีกสามตัวมาหยุดยืนอยู่หน้าประตูเหล็กดัดบานเดิมที่ดูคุ้นเคยท่ามกลางป่าทึบที่เรียงรายไปด้วยต้นไม้ที่สงบนิ่งราวกับนิทรา มันเป็นประตูเหล็กดัดสีดำบานใหญ่มีเหล็กแหลมอยู่บนยอดประตู ให้ความรู้สึกที่ทรงพลังและแข็งแกร่งราวกับว่าประตูบานนั้นไม่มีวันพัง อีกทั้งมันยังไม่มีร่องรอยแห่งกาลเวลา ไม่มีตำหนิ ไม่มีสนิม และสีดำของมันยังคงมันวาวเหมือนได้รับการทาสีใหม่ทุกวัน

                ในยามที่มองประตูบานนี้เธอรู้สึกเหมือนกับว่ามีเสียงเรียกร้องของอะไรบางอย่างหรือใครบางคนเรียกให้เธอเข้าไป มันเป็นเสียงที่ดังก้องอยู่ในหัวราวกับต้องมนต์สะกด อีกทั้งมันยังเป็นยากระตุ้นความอยากรู้ชั้นดี เพียงแค่ประตูบานนั้นเปิดออก ทุกครั้งที่ฝันถึงมัน ทุกครั้งความอยากรู้และความปรารถนาจะเพิ่มเป็นทวีคูณ ยิ่งบ่อยเท่าไหร่ก็ยิ่งอยากรู้มากเท่านั้น

                เสียงร้องเพลงหยุดลง หญิงสาวตรงหน้าเริ่มเข้าสู่ความเงียบ ประตูบานนั้นเปิดออกแล้ว เธอผู้นั้นก้าวเดินเข้าไปพร้อมๆกับหมาป่าอีกสามตัว แล้วพวกเขาก็หยุดเหมือนกำลังรออะไรบางอย่าง

                ...รอเธออย่างนั้นเหรอ

                แสดงว่าเธอสามารถเข้าไปในนั้นได้ใช่มั้ย

                แค่สักก้าวเดียวก็ยังดี

                แอมมี่กลับมายืนตัวตรงอีกครั้ง ไม่ว่าประตูบานนั้นจะเชื่อมต่อไปยังที่ใด แต่ในเมื่อมันเปิดออกแล้วก็แสดงว่ามันต้อนรับเธอแล้ว เธอค่อยๆก้าวเดินไปอย่างช้าๆ หัวใจเต้นเป็นจังหวะอย่างรุนแรง ความตื่นเต้นที่อยู่ในทรวงอกพร้อมจะทะลักออกมาทุกเมื่อ

                ก้าวแรกที่เข้าไปในประตูสีดำ ชั่วขณะหนึ่งราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบกายถูกปลุกให้ตื่นจากการหลับใหล เสียงหวีดหวิวของของลมดังอ้อล้ออยู่ในหู ใบไม้ทั้งหลายที่อยู่บนพื้นต่างปลิวว่อนกระจัดกระจายเสียดสีและตีกระทบกันจนเกิดเสียงแซ่ก แซ่ก นกกาที่บินมาเป็นฝูงกระพือปีกเสียงดังพับ และส่งเสียงร้องอันน่ากลัว บรรยากาศวุ่นวายอยู่ในความมืดทันทีที่พระจันทร์โคจรมาอยู่ตรงกลางท้องฟ้า

                “แอมมี่!” เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นเมื่อเธอหันหน้ากลับไปข้างหลัง เป็นเวลาเดียวกันกับที่เธอสะดุ้งตื่นจากเตียง...ในห้องของตัวเอง

               

                คนเราจะหงุดหงิดทุกครั้งที่ถูกปลุกให้ตื่นจากฝันที่ไม่อยากตื่นโดยนาฬิกาปลุกเสียงแหลม ซึ่งเธอก็เป็นแบบนั้น เธอเอื้อมมือไปปิดเสียงนาฬีกาปลุกที่โต๊ะข้างเตียงที่กำลังสั่นราวกับเจ้าเข้า พระอาทิตย์กำลังทอแสงสีทองยามเช้า อากาศอบอุ่น แต่เธอยังรู้สึกเย็นเยียบจากในความฝัน หัวใจกำลังเต้นรัวยามที่เธอเอามือทาบอกราวกับว่ามันเป็นเรื่องจริง จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเธอไม่ได้ถูกปลุกให้ตื่นขึ้น แต่อย่างน้อยเธอก็สามารถเข้าประตูนั้นเข้าไปได้แล้ว และถึงแม้ว่ามันจะเป็นแค่ฝัน แต่เธอก็เชื่อว่ามันต้องมีจริงๆ ประตูนั่นอาจจะอยู่ที่ไหนสักแห่งบนโลกใบนี้ ที่ที่ไม่มีใครหามันเจอ

                “แอมมี่ นี่พี่ยังไม่ต...” สเตฟานเปิดประตูพรวดเข้ามาในห้องของเธอ หลังจากที่วันนี้ดูเหมือนว่าพี่ของเขาจะตื่นสายกว่าปกติ “วันนี้พี่ตื่นสายนะ ไม่สบายหรือเปล่า”  เขาถามพร้อมกับเดินเข้ามาเอามือแตะหน้าผากเธอ

                “เปล่า ก็แค่...นอนเพลินน่ะ” หญิงสาวแก้ตัว

                “วันนี้ผมมีสอบด้วย” เขาบอก

                “งั้นเหรอ ขอโทษทีนะ” แอมมี่ยันตัวลุกขึ้นบอกน้องชาย

                “เป็นเพราะไอ้ขโมยนั่นแน่ๆ พี่คงนอนไม่หลับ”

                เธอยิ้มให้กับความห่วงใยของน้อยชาย “คงงั้นมั้ง” เธอพูดแล้วหอมแก้มน้องชายผู้หล่อเหลาของเธอ “พี่ไปอาบน้ำก่อน”

                เขาพยักหน้าแล้วเดินออกไป เพื่อให้พี่สาวจัดการกับธุระส่วนตัวยามเช้า บางที ลงไปนั่งอ่านหนังสือฆ่าเวลารอสักหน่อยก็ยังดี

 

                โรงเรียนมัธยมปลายสตีฟอร์ดก็เหมือนกับโรงเรียนมัธยมทั่วไป นักเรียนที่นี่มีอยู่หลายสังคมและส่วนใหญ่จะเป็นคนรวยซะมากกว่า แน่นอนว่าเธอกับสเตฟานไม่ได้อยู่ในกลุ่มสาวกเสพของแพงเหล่านั้น แต่พวกเธอมีมรดกของพ่อกับแม่อยู่เยอะทีเดียว นั้นทำให้เธอกับสเตฟานสามารถอยู่ได้โดยไม่ลำบากนัก การอยู่ที่บ้านหลังเล็กๆกับน้องชายนั้นก็เพียงพอแล้ว

ดูเหมือนว่าพวกเธอมาสายไปนิดแต่ก็ยังไม่ถึงเวลาเรียน สภาพแวดล้อมที่ตามองเห็นก็มีตั้งแต่เด็กเนิร์ดที่วันๆอยู่กับหนังสือเสมือนเป็นคนในครอบครัว  เด็กเกรียนที่อดไม่ได้ที่จะต้องไล่ถอดกางเกงชาวบ้าน เหล่าสาวๆไฮโซที่ดูเหมือนว่าจะกินแป้งรองพื้นแทนอาหารเช้าหรือดื่มน้ำหอมแทนน้ำเปล่า นักกีฬาที่ต้องเหงื่อออกทุกเช้าก่อนเข้าเรียนเป็นอยู่ประจำ หรือแม้แต่นักเรียนทั่วไปที่ไม่มีอะไรโดดเด่น

                แอมมี่หยุดเดินเมื่อรู้สึกว่าคนที่เดินตามเธอมาตั้งแต่ออกจากบ้านไม่ได้ตามมาแล้ว เธอหันไปดูข้างหลัง สเตฟานกำลังมองไปที่อะไรบางอย่าง เธอเดินไปหาน้องชายแล้วมองตาม บางทีเธอน่าจะคิดได้แล้วว่าคนอย่างสเตฟานน้องชายแสนรักของเธอที่เรียนเก่งอย่างอัจฉริยะและเพลย์บอยขั้นเทพจะมองอะไรนอกจากหนังสือหรือสาวๆ

                แต่ในเมื่อที่ที่พวกเธอกำลังยืนอยู่นี้เป็นที่โล่งแจ้งของถนนในโรงเรียนมันคงจะไม่มีหนังสือตำราอนาโตมี่เล่มหนาๆดีๆวางอยู่ นอกซะจาก...

                “พี่ว่าผมหล่อมั้ย”

                สาวๆสวยๆสักคน...

                “ว่าไง พี่ว่าผมดูดีหรือเปล่า” คนดูดีจัดถามขึ้นโดยไม่หันมามองเธอ

                “แล้วนายคิดว่าฉันจะตอบว่าอะไร” เธอถามพลางมองสาวน้อยเป้าหมายของน้องชายของตัวเองที่กำลังนั่งอยู่บนม้านั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างสนามบอลขณะที่กำลังฟังเพลงจากไอพอด

                “พี่ก็ต้องเข้าข้างผมอยู่แล้วน่ะสิ” เขาตอบอย่างไม่ลังเล

                “แล้วสาวน้อยแคลิฟอร์เนียที่ควงกันเมื่ออาทิตย์ก่อนล่ะ” เธอถาม สเตฟานแค่หันมายิ้ม “นายนี่ไม่ไหว คอยดูสักวันจะอกหัก”

                “พี่ก็รู้ว่าผมไม่เคยอกหัก”

                “แต่หักอกคนอื่นประจำ” เธอสวนอย่างรวดเร็ว

                สเตฟานถอนหายใจแล้วส่ายหัว “น่าเสียดายที่พวกเธอไม่มีใครคิดแบบพี่” แอมมี่ผลักหัวน้องชายอย่างรวดเร็วด้วยความหมั่นไส้

                “พี่ก็รู้ว่าผมรู้เสมอว่าพวกเธอเล่นด้วยหรือเปล่า แล้วเจอกัน” เขาหันมาตบไหล่เธอสองทีแล้วยิ้มแบบที่ผู้หญิงเห็นแล้วต้องยอมสยบก่อนที่จะวิ่งออกไป

                เธอมองตามอย่างไม่ค่อยใส่ใจนักเพราะมันเป็นนิสัยที่แก้ไม่หายของน้องชายอีกทั้งก็ไม่มีผู้หญิงคนไหนที่รังเกียจเขาสักคน แถมสเตฟานก็ไม่ได้เสียการเรียนถึงแม้ว่าเขาจะเพลย์บอย สูบบุหรี่ หรือชอบเที่ยวผับ แต่มันก็เป็นนิสัยประจำตัวของวัยรุ่นชายผู้รักสนุกเกือบทั้งหมด

          “เพื่อนสาว” เธอหันไปตามเสียงเรียกก็เห็นเจสสิก้ากำลังวิ่งมาทางนี้ “มอร์นิ่ง”

                “มอร์นิ่ง” เธอทักทายกลับ “ดูเหมือนว่าวันนี้เธอจะมาเช้านะ ปกติถ้ายังไม่เข้าวิชาแรกฉันจะไม่เห็นหัวเธอเลย”

                เจสสิก้ากรอกตาไปมาแบบคนเบื่อโลกสุดขีด “ย่ะ ก็ทำไงได้ล่ะ ฉันดันทำเอกสารวิชาคณิตหายไปไว้ไหนก็ไม่รู้” เธอบ่น

                “ลืมไว้ไหนล่ะ” เธอถาม

                “นั่นแหละปัญหา” เจสสิก้าตอบทันควัน “บางทีฉันน่าจะไปดูในล็อกเกอร์”

          “งั้นก็รีบเลยสิ อีกไม่กี่นาทีจะเข้าเรียนแล้ว” แอมมี่พูดพลางดูนาฬิกาข้อมือแล้วจูงมือเพื่อนรักเข้าอาคารเรียนตรงไปยังล็อกเกอร์เก็บของเพราะเธอก็ต้องเอาหนังสือเรียนเหมือนกัน

                ล็อกเกอร์ของพวกเธอนั้นอยู่ติดกัน หญิงสาวใช้กุญแจไขเปิดประตูล็อกเกอร์ก่อนที่สะดุ้งเฮือกเมื่อมีชายหญิงคู่หนึ่งกำลังพลอดรักกันอย่างดูดดื่มแล้วเผลอมาชนตู้ล็อกเกอร์ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีอะไรที่มาทำลายความโรแมนติกยามเช้าของทั้งสองคนได้ลง

                “ขอให้รักกันนานๆ” เจสสิก้าแขวะพร้อมกรอกตาไปมา “ขอคุณพระเจ้า ชีทฉันอยู่นี่” เธอบอกแล้วเอาชีทคณิตขึ้นมาโชว์

          “โอ้! เดี๋ยว แป๊บนะขอฉันเติมแป้งเพิ่มหน่อย การรีบร้อนเกินไปมันจะทำให้หน้าฉันย่นแล้วขึ้นรอยตีนกา” เจสสิกาพูดขึ้น เธอเอาตลับแป้งขึ้นมาส่องดูความเรียบร้อยก่อนจะลงมือสวย

                แอมมี่หัวเราะเบาๆ แล้วเธอก็มองไปเห็นใครบางคนที่กำลังเดินเข้ามา ดวงตาสีฟ้าของเขาเป็นประกายเหมือนท้องทะเลยามเช้าที่นิ่งสงบและเย็นชา เขาเดินมาพร้อมกับเพื่อนอีกคนเห็นได้ชัดว่าเป็นเพื่อนสนิท หน้าตาของเขานิ่งยากที่จะเดาอารมณ์ถึงแม้ว่าเขากำลังพูดคุยอยู่ก็ตาม

                แล้วเขาก็หันมาทางเธอ ดวงตาคู่นั้นไม่มีอะไรเปลี่ยนไปดูเย็นชาและหยิ่งยโส เพียงคู่เดียวเขามองเมินเธอไปด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์  มันให้ความรู้สึกเหมือนว่าเขาไม่ชอบเธอ ระหว่างเขากับเธอมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

                หมายความว่าอย่างไรที่เจสสิก้าบอกว่าเธอกับเขาเลิกกัน

                หมายความว่าอย่างไรกันแน่ที่เธอมีรูปถ่ายคู่กับเขา

                เธอกับผู้ชายคนนั้นเคยรู้จักกันมาก่อนอย่างนั้นเหรอ ทำไมเธอจำอะไรไม่ได้...ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าเธอไม่รู้อะไรเลยต่างหาก

               แวบหนึ่งที่เธอมองเห็นแววตาคู่นั้นที่มองมาทางเธอ ทำไมเธอรู้สึกเหมือนกับว่าเขารังเกียจเธอ

               “แอมมี่ไปเถอะ” เจสสิก้าเรียกเพื่อนสาวแต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ เธอจึงมองไปทางเดียวกันกับที่แอมมี่มอง “นั่นไง ฉันบอกแล้วไงว่าเธอต้องตัดใจจากเขาไม่ขาด”

               แอมมี่หันมาทางเพื่อน “ฉันไม่...”

               “ไม่ๆ ยังไม่ต้องพูดอะไรตอนนี้ทั้งนั้น ฉันรู้ว่าเธอกำลังสับสน เพราะงั้น...” เจสสิก้าจงใจเว้นวรรค                     “เธอควรมองหาหนุ่มๆคนใหม่ที่ดูหล่อๆเท่ มาดแมนมองสักคนสองคนเพื่อเป็นอาหารตาบ้างนะ”

              “จะบ้าเหรอ” เธอรีบขัดก่อนอธิบาย “คืองี้นะ เจส ฉันไม่รู้อะไรเลย”

              “เพราะงั้นไงฉันถึงบอกว่าเธอกำลังสับสน” เจสสิก้าตอบแล้วดึงมือเพื่อยให้ออกเดิน

              “มันไม่ใช่อย่างนั้น ฉันหมายความว่าฉันไม่รู้อะไรเลย”

              “เธอกำลังสับสนสุดๆ”

               แอมมี่ถอนหายใจแรงขณะเร่งเท้าให้ตามเพื่อนทันทั้งๆที่เจสสิก้ากำลังลากเธออยู่ “ฉันหมายความว่าฉันไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้อะไรเลยน่ะ”

              เจสสิก้าหยุดเดินกะทันหันทำให้เธอเกือบจะชนเพื่อนเข้าไปเติมๆ “งั้นเธอก็กำลังเกิดอาการสับสนหนักจริงๆ” แล้วเธอก็ชี้นิ้วเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง “เพราะงั้น วันนี้เธอไปเคลียร์กับเขาให้รู้เรื่องไปเลยเป็นไง ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกันนะว่าตอนแรกๆพวกเธอก็ยังรักกันหวานฉ่ำกันดี แถมยังคบกันนาน แต่อยู่ๆพวกเธอก็บอกเลิกกันเร็วยิ่งกว่าสายฟ้าแลบขนาดที่คู่รักดาราท้องก่อนแต่งบอกจะแต่งงานกันยังต้องอาย แล้วฉันก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนของเลิกใครระหว่างเขากับเธอ แต่จะว่าไปแล้วลูคัสเขาก็เป็นคนที่น่าตาดีอยู่หรอก ไม่ใช่สิ ดีมากๆๆๆๆเลยล่ะ เขาคงจะมีหญิงสาวติดพันเยอะเหมือนกัน แล้วที่ฉันรู้เธอก็ไม่ชอบผู้ชายเจ้าชู้ ต้องเป็นเรื่องนี้แน่ๆเลยใช่มะ หรืออาจจะมีเรื่องอื่น หรือว่าเขาเป็นคนบอกเลิกเธอก่อนแน่เพราะเขาอาจจะเบื่อเธอ พระเจ้า ฉันล่ะสับสนกับความสัมพันธ์ของพวกเธอจัง แถมเธอก็ดูเหมือนจะอาลัยอาวรณ์เขาอยู่ เพราะงั้น...” เจสสิก้าหยุดพักหายใจ “เธอต้องไปเคลียร์กับเขาให้จบจะได้ไม่มีเรื่องค้างคากัน แล้วฉันก็จะได้ไม่ต้องสงสัยจนอกแตกตาย”

             แอมมี่เงียบ ความจริงต้องบอกว่าเธอฟังไม่ทันต่างหาก แหงล่ะ อย่างที่บอกว่าเธอไม่รุ้เรื่องอะไรเลย ไม่รู้อะไรทั้งนั้น แล้วยัยเพื่อนรักนี่ก็ดูเหมือนจะพูดเองเออเองหมดจนเธองงเป็นไก่ตาแตก แถมยังบอกให้เธอไปเคลียร์กับผู้ชายคนนั้นอีก ไปพูดว่าอะไรล่ะ หรือต้องเดินหน้ามึนๆไปถามว่า เฮ้ เราสองคนรู้จักกันมั้ย แบบนี้เหรอ แต่ฟังจากที่ยัยเจสสิก้าเล่าให้ไปพูดแบบนั้นมันคงไม่เวิร์คแน่

            “ว่าไง” เจสสิก้ารอ “ไม่ว่าไงแล้ว ไปหาเขาเลยดีกว่า” พูดจบเจ้าตัวก็ดึงแขนเพื่อนไปโดยไม่ฟังคำค้านแล้วก็หน้าเอ่อๆตกใจๆของเพื่อนสาว

           “เธอจะบ้าเหรอ จะให้ฉันไปเคลียร์กับเขาว่าอะไร”

           “อะไรก็ได้ที่จะทำให้ทุกอย่างกระจ่างชัด” เจสสิก้าตัดบท

            แอมมี่สลัดมือออกแล้วเดินไปดักหน้า “ก็ฉันบอกเธอไปแล้วไง ว่าฉันไม่รู้เรื่องอะไรเลย” เธอเน้นคำหลัง

            เจสสิก้าถอนหายใจ “เอาล่ะ บอกฉันทีว่าใครบอกเลิกใครก่อน”

           “เจส เธอฟังฉันไม่รู้เรื่องเหรอ ฉันบอกว่าไม่รู้เรื่อง!!” แอมมี่แทบจะตะคอกใส่ทันทีเธอเหนื่อยและสับสน สาบาญได้ว่าเธอไม่รู้เรื่องอะไรเลย ไม่รู้อะไรทั้งนั้น!

           “งั้นก็ดี” เจสสิก้าบอก “เพราะตอนนี้เขาอยู่นั่นแล้ว”

           แอมมี่มองไปทางนิ้วของเจสสิก้า เขาอยู่นั้นอีกแค่ไม่กี่ก้าว และก่อนที่เธอจะตั้งตัวทันยัยเพื่อนรักสุดโหดก็ลากเธอก็ไปทางนั้นแล้วบอก

          “เฮ้ ลูคัส เพื่อนฉันมีอะไรจะพูดด้วยแหนะ” พูดจบเธอก็เหวี่ยงแอมมี่ไปตรงหน้าของลูคัสทันที ทุกอย่างไวมาก ไวจนเธอแทบไม่ได้หายใจ

            ยัยเพื่อนบ้า

           เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาเธอไม่ได้รู้สึกอะไรทั้งนั้นนอกจากมึนงงและสับสนเหมือนอย่างที่เป็นอยู่ จะให้พูดอะไรต่อหน้าคนที่ยังไม่เคยเจอกันล่ะ แถมยังไม่เคยพูดกันแม้แต่ครั้งเดียว

           “เอ่อ สวัสดี” เยี่ยมมันดูเป็นคำพูดที่โง่มาก ยัยเจสสิก้าคงคิดอย่างนั้นแหงๆ แต่ก่อนที่เธอจะได้พูดอะไรออกไปอีก ชายตรงหน้าก็ขัดขึ้นมาทันที

           “อย่ามายุ่งกับฉัน ไปซะ”

            คำเดียวง่ายๆที่ทำให้คนฟังถึงกับตกตะลึง ไม่เว้นแม้แต่เธอและเพื่อนของเขา แต่คนที่ปรี๊ดที่สุดเห็นจะเป็นเจสสิก้า

            “นี่นายว่าอะไรนะ” เจสสิก้าร้องเสียงแหลมก่อนที่เธอจะทันได้พ่นคำด่าออกไป

            ลูคัสดูเหมือนจะไม่ได้สะทกสะท้านอะไรทั้งสิ้น มีหน้าของเขายังคงเรียบเฉย ดวงตาสีฟ้าน้ำทะลคู่นั้นดูน่าหลงใหลและคุ้นเคย

คุ้นเคยอย่านั้นเหรอ...

            “นี่นายพูดใหม่ซิ นายกล้าว่าเพื่อนฉันเหรอ! คิดว่าหล่อเลือกได้แล้วจะพูดอะไรก็ได้งั้นเหรอ” เจสสิก้าร้องแล้วเสียงของเธอก็กลายเป็นลำโพงชั้นดีที่เรียกสายตาจากคนเกือบทั้งโรงเรียน

             เยี่ยม ตอนนี้พวกเธอตกเป็นเป้าสายตาเรียบร้อย เธอเกลียดการตกเป็นเป้าสายตาแบบนี้ถึงแม้ว่าตอนนี้เธอจะฉุนผู้ชายคนนี้มากก็เถอะ เขายังคงเป็นคนที่ไม่สนใจอะไรเหมือนเคยต่างจากเจสสิก้าที่แทบจะระเบิดตายอยู่แล้ว เพื่อนของเขาก็ดูจะนิ่งๆพอกัน

            สุดท้ายลูคัสก็เป็นฝ่ายพูดออกมา “ไปเถอะ” เขาหันไปบอกเพื่อนแล้วเดินหนีไป เยี่ยม หนีไปดื้อๆเลย

            เจสสิก้าตะโกนเรียกให้เขากลับมา แต่เธอก็ลากยัยเพื่อนซี้นี่ไปซะก่อนที่คนจะมากขึ้น

           “โอ๊ย แอมมี่เธอไม่รู้สึกอะไรกับคำพูดหมอนั่นเลยหรือไง เสียงดายที่เป็นคนหล่อแถมยังเพอร์เฟ็กซ์ อะไรกันพอเลิกกันแล้วนิสัยเขาเปลี่ยนไปคนละขั้วเลยงั้นเหรอ เลวมาก”

            เธอก็ตรงมาก

           “ที่นี้เธอก็เลิกอาลัยอาวรณ์หมอนั่นสักที มันน่าหมั่นไส้นัก” เจสสิก้ากัดฟันกรอด “พูดออกมาได้ยังไงกัน อย่ามายุ่งกับฉัน หยิ่งเป็นบ้า โอ๊ย พระเจ้าฉันต้องมองคนผิดแน่ พระเจ้าๆๆๆๆ” หญิงสาวทึ่งหัวตัวเองด้วยความโมโหสุดขีดแถมยังกระทืบเท้าปึงปังตึงตังอีก

            อันที่จริงเธอก็รู้สึกกับใจกับคำพูดนั้นอยู่เหมือนกัน มันดูเหมือนกับว่าเขาเกลียดเธอมากทั้งๆที่เธอยังไม่ได้ทำอะไรให้เขา เป็นคำพูดที่น่าเจ็บใจที่สุดเธอรู้สึกเหมือนกับหัวใจมันถูกกระตุกออกไป

เกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่

                เธอจะต้องหาคำตอบให้ได้

 

                ดูเหมือนว่าวันนี้โชคชะตาจะเล่นตลกร้ายกับเธอ ตอนบ่ายเจสสิก้ามีเรียนวิชาชีวะแต่เธอเรียนดนตรีซึ่งอันนี้เธอก็รู้อยู่แล้ว แต่ที่เธอไม่รู้อะไรเลยก็คือคนที่ต้องเล่นดนดรีคู่กับเธอดันเป็นผู้ชายคนนั้น ลูคัส แม็กฟอกซ์นั่น

                อาจารย์โจดี้กำลังสาธยายเกี่ยวกับเพลงคลาสสิกของบีโธเฟนและประวัติอะไรอีกต่างๆบลาๆๆๆ...ในขณะที่เธอกำลังนั่งอยู่หน้าเปียโนสีดำเงาแล้วลูบคีย์อย่างเคยชิน นักเรียนหลายคนทำท่าทางน่าเบื่อกับการพูดสุนทรพจน์ของอาจารย์โจดี้ที่ทำเป็นประจำทุกครั้งที่สอนวิชาดนตรี หลายคนคงอยากจะเล่นดนตรีมากกว่ามานั่งแกร่วในห้องกว้างๆเพื่อฟังคำพูดซ้ำๆ

                “เอาละ และข่าวดีวันนี้ของเราก็คือ” มิสซิสโจดี้เกริ่น นั่นเริ่มทำให้ใครหลายๆเริ่มจะตื่นตัวมากขึ้น แหงล่ะ พอพูดว่าข่าวดีมีใครจะไม่ฟังบ้างล่ะ “เราจะมีงานพรอม”

                และเมื่อจบประโยคนั้นความตื่นเต้นก็ดูเหมือนจะเข้าสิงทุกคนที่อยู่ในห้องนี้ทันทีไม่เว้นแม้แต่เธอ เสียงพูดคุยเริ่มจะดังขึ้นเรื่อยๆจากคนทุกคน ยกเว้นเพียงผู้ชายที่นั่งอย่างเงียบสงบโดยไม่สนอะไรเลยตรงมุมห้องนั่นทำให้เธอสงสัยว่าทำไมผู้ชายท่าทางอย่างเขาถึงเลือกที่จะเรียนดนตรี

                นิ่งสงบราวกับมหาสมุทร

                มิสซิสโจดี้ปรบมือเพื่อสร้างความสงบ “เอาล่ะๆ ครูรู้ว่างานนี้น่าตื่นเต้น และแน่นอนว่าวงดนตรีคลาสสิกของเราจะต้องได้บรรเลงเพลงเปิดงาน และขอเป็นเพลง ซิมโฟนี่นัมเบอร์โฟร์ตี้ นะจ้ะ” เธอพูดเสียงหวาน

                ทุกคนปรบมือเฮก่อนที่มิสซิสโจดี้จะพูดต่อ

                “ทุกคนเตรียมตัวซ้อม และขอให้ทำให้เต็มที่ แต่...” ทุกคนเงียบเพื่อฟังเธอ “งานนี้ครูมีเซอร์ไพรซ์เล็กๆน้อยๆ” ทันทีที่พูดจบ ผู้หญิงคนหนึ่งก็รีบยกมือขึ้นถามทันที

                “เซอร์ไพรซ์อะไรเหรอค่ะ”

                มิสซิสโจดี้จุ๊ปาก “ถ้าบอกไปมันจะเป็นเซอร์ไพรซ์เหรอจ๊ะ เอาเป็นว่าการบรรเลงของเรางานนี้จะไม่มีเปียโนนะจ้ะ” เธอบอกทำให้แอมมี่หันไปมองหน้าคนพูดทันที ถ้างานนี้เธอไม่มีเปียโนแล้วเธอจะทำอะไรล่ะ

                แล้วก่อนที่เธอจะได้ยกมือขึ้นถาม ก็มีเสียงคนถามขัดขึ้นก่อน

                “ถ้าไม่มีเปียโนแล้วจะเล่นได้ยังไงกันล่ะ”

                มิสซิสโจดี้ยิ้ม “ก็ทำเหมือนคราวก่อนที่เราซ้อมกันไว้ไง แค่ไวโอลิน เชลโล่ และเบส เครื่องสาย”

                “แล้วอย่างนี้แอมมิลเลียจะเล่นอ่ะไรล่ะครับ หรือว่าจะให้เธอมาเล่นไวโอลินแทน”

                มิสซิสโจดี้อมยิ้มแล้วมองมาทางเธอ “เอาเป็นว่างานนี้คุณแอมมิลเลียจะไม่ได้ร่วงงานกับพวกคุณ” พูดจบเสียงดังจอแจก็เริ่มเข้าคลุมห้องอีกครั้ง มิสซิสโจดี้ปรบมืออีกครั้งแล้วทั้งห้องก็สงบลง ก่อนที่จะพูดขึ้นขัดคำถามของใครคนใดคนหนึ่ง

                “เอาเป็นว่าเอาตามนี้นะ เอาล่ะแยกย้ายกันไปซ้อมได้ แยกๆๆๆๆ”

                แล้วทุกคนก็แยกย้ายกันไป เหลือแต่เธอ

                “คุณโรเบิร์ตสันกับคุณแม็กฟอกซ์ ตามฉันมาที่ห้อง” พูดจบเธอก็เดินนำไป แอมมี่หันซ้ายหันขวาอย่างไม่เข้าใจ ก่อนที่เธอจะมองเห็นลูคัสลุกเดินออกไปเธอถึงเดินตาม

                “นั่งสิ” มิสซิสโจดี้กล่าว พวกเรานั่ง

                “มีอะไรเหรอค่ะ” เธอถาม

                มิสซิสโจดี้พูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง “เซอร์ไพร์ซ! ก็อย่างที่บอกไปตั้งแต่แรกว่าฉันมีเซอร์ไพร์ซ”

                แอมมี่หันไปมองคนที่นั่งข้างๆซึ่งได้แต่นั่งเงียบๆ “แล้ว...”

                  “ฉันต้องการให้พวกคุณช่วย” เธอบอก “พวกคุณทั้งสองคนมีพรสวรรค์ทางดนตรี ฉันก็เลยอยากทำอะไรที่มันแบบ...หรูหราและ เอ่อ...น่ารัก”

                  “น่ารักเหรอค่ะ”

                   “ใช่ งานเซอร์ไพร์ซเล็กๆน้อยๆแต่หรูหราและน่ารัก” มิสซิสโจดี้กล่าวด้วยน้ำเสียงเริงร่า “ดังนั้นฉันก็เลยเตรียมนี่...” มิสซิสโจดี้ยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้พวกเธอ “พวกเธอทั้งคู้ต้องเล่นเพลงนี้คู่กัน”

                     แอมมี่หันหน้าไปมองลูคัส แต่เขายังคงไม่ขยับตัว ถ้ามีใครสักคนบอกว่าเขาตายไปแล้วเธอจะเชื่อทันทีเลย

                “cannon in D major เหรอค่ะ”

                 “ใช่ พวกเธอต้องฝึกเล่นเพลงนี้ และต้องมาซ้อมทุกวันด้วยกัน” เธอเน้นสองพยางค์หลัง “ส่วนเรื่องชุดหรือธีมการแสดงอะไรอีกต่างๆบลาๆๆ พวกเธอไม่ต้องห่วงฉันจัดการให้เอง สิ่งที่พวกเธอทำมีแค่ซ้อม ซ้อม ซ้อม และซ้อม”

                 “ฮ้า ไวโอลินกับเปียโน ดูสิว่ามันเป็นคู่ที่ลงตัวขนาดไหน อย่างที่บอก” มิสซิสโจดี้พูด “ขอแบบน่ารักๆนะ ตอนนี้เหลือเวลาอีกหนึ่งเดือนเต็มนะจ้ะ เอาล่ะ หมดธุระแล้ว  เชิญจ้ะ”

                 มิสซิสโจดี้พูดตัดบทก่อนที่เธอจะเดินออกจากห้องพร้อมกับโน้ตเพลงมาอย่างงงๆ ลูคัสเดินผ่านหน้าเธอไปอย่างรวดเร็ว

                 เธอรู้สึกกดดันกับผู้ชายคนนี้ เหมือนกับว่าไม่กล้าที่จะทำอะไรต่อหน้าเขาเหมือนกับว่าเธอทำอะไรบางอย่างผิดไปแล้วไม่กล้าสู้หน้าเขา แต่ไม่ว่ามันจะเป็นอย่างไรเธอก็ไม่รู้จักผู้ชายคนนี้อยู่ดี เขาเหมือนกับว่าปรากฎตัวออกมาจากความว่างเปล่าจากตัวของเธอ

                 แอมมี่มองโน้ตเพลงในมือ

                 “เฮ้ ลุค” เธอเรียกเขา เจ้าของชื่อหันมา เกิดความเงียบระหว่างพวกเธอในขณะที่เธอกำลังใช่ความคิด ให้ตายสิ! เมื่อกี้เธอเรียกเค้าว่าอะไรนะ ลุค เหรอ ทำไมเธอถึงไปเรียกเค้าอย่างสนิทสนมอย่างนั้นล่ะ?

                 ลูคัสมองเธอด้วยสีหน้านิ่งๆก่อนจะหันหลังเดินต่อไป

                 “นี่ ฉันเรียกนายนะ” เธอพูด ขณะเร่งฝีเท้าให้ทันเขา “ตามมารยาทแล้วนายต้องหยุดฟังสิ”

                  ทันทีที่เธอพูดจบเขาก็หยุดเดินทันที ทำเธอหยุดไม่ทัน

                  คิดจะเดินก็เดิน คิดจะหยุดก็หยุด อะไรของผู้ชายคนนี้นะ เธอคิด

“เมื่อกี้ฉันก็หยุดรอเธอแล้ว แต่เธอไม่ยอมพูดเอง”

                   มันก็จริงนะ คราวนี้ลูคัสก็ก้าวเดินต่อไป

                  “ฉันแค่จะถามว่าวันนี้นายจะซ้อมมั้ย” เธอถาม เขาหยุดแล้วหันมามองหน้าเธอ ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นยังคงนิ่งสงบเหมือนเดิม

                 “ไม่ล่ะ”

                 “แล้วจะซ้อมเมื่อไหร่” เธอรีบถามเพราะกลัวว่าเขาจะเดินหนีอีก

                 “ถ้าฉันอยากซ้อมฉันจะมาเอง”

                  พูดจบเขาก็เดินออกจากห้องดนตรีทันที บางที...กับผู้ชายคนนี้สิ่งที่เธอต้องปรับตัวตามให้ทันอย่างแรกดูเหมือนว่าจะเป็นอารมณ์ของเขาล่ะมั้ง

============================================

คราวก่อนโพสต์ตอนผิด ขออภัยมาที่นี้ด้วยนะคะ

แก้ให้แล้ว

แล้วก็ตอนนี้ยังติดสอบอยู่ค่ะ เลยไม่ค่อยมีเวลา

เจอกันตอนปิดเทอมตุลาคมนะคะ

ขอบคุณที่ติดตามค่ะ ^_^

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.3 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา